ชะตาฟ้า...ลิขิตรัก (ฟ้าดลรัก)
จากหญิงสามัญชนกลับกลายเป็นเจ้าหญิงสูงศักดิ์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ชีวิตของเธอจะดำเนินต่อไปอย่างไร ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมากมาย และเธอจะมีโอกาสได้เคียงคู่กับเจ้าชายที่แสนดีอย่างในนิทานหรือไม่....
Tags: เจ้าชาย-เจ้าหญิง

ตอน: บทที่ 2

บทที่ 2

มินธุราเป็นประเทศเล็กๆ ที่ปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นประเทศที่รักความสงบ พึ่งพาตนเอง เป็นเอกเทศไม่ขึ้นตรงกับใคร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทิวเขาสูงสลับซับซ้อน ธรรมชาติยังคงอุดมสมบูรณ์อยู่มาก ลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบร้อนชื้น โดยในฤดูร้อนจะมีอากาศร้อนจัด อากาศหนาวจัดในฤดูหนาว และฝนจะตกชุกในฤดูฝน นอกจากนี้มินธุรายังเป็นประเทศที่มีหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศที่เป็นหุบเขาสูง

ด้วยลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศเป็นเช่นนี้ ทำให้แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของมินธุราแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในสามฤดู รายได้อันดับหนึ่งของมินธุราจึงมาจากการท่องเที่ยว รายได้รองลงมาก็คือผลผลิตทางการเกษตร อย่างพวกผักผลไม้เมืองหนาว รวมถึงพรรณไม้ดอกไม้ประดับต่างๆ ด้วย

การกระจายตัวของประชากรก็คงเหมือนๆ ทุกประเทศ ความแออัดของผู้คนในเมืองหลวงมีมากกว่าชนบท ต่างคนต่างก็อยากเข้ามาหาชีวิตที่ดีกว่า หารู้ไม่ว่าบ้านเกิดเมืองนอนของตนนั่นแหละคือแหล่งทำกินที่ดีที่สุด มีหลายโครงการที่พยายามผลักดันคนรุ่นใหม่ให้กับไปพัฒนาบ้านเกิดของตนเอง โดยการสร้างอาชีพให้กับชุมชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพืชผลทางการเกตษรหรือสินค้าพื้นเมือง ไม่เว้นแม้แต่กิจกรรมเสริมสร้างการท่องเที่ยว ผู้ที่มีส่วนผลักดันโครงการเหล่านี้ก็มิใช่ใครที่ไหน หากเป็นบุคคลที่ชาวมินธุรารักและเทิดทูลไม่แพ้องค์เหนือหัว องค์ราชินี และองค์รัชทายาท นั่นก็คือ เจ้าหญิงกัญญ์วรา นอกจากนี้ยังทรงทำโครงการแพทย์อาสาเพื่อคนในชุมชนแออัด ซึ่งแตกตัวมาจากโครงการแพทย์อาสาเพื่อประชาชนในชนบท

และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่มีกิจกรรมแพทย์อาสาเพื่อชุมนุมแออัด โครงการนี้เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน ในขณะนั้นเจ้าหญิงยังทรงเป็นนิสิตนักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะสังคมศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของมินธุรา นั่นทำให้เพราะองค์ไม่สามารถทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับโครงการนี้ได้ เนื่องจากติดภารกิจในเรื่องของการศึกษา

จนกระทั่งพระองค์สำเร็จการศึกษาแล้ว เวลาทั้งหมดก็ทรงทุ่มเทให้กับราษฎรอย่างแท้จริง ทุกครั้งที่มีกิจกรรมเกี่ยวกับโครงการที่พระองค์ทรงรับผิดชอบ พระองค์จะเข้าร่วมกิจกรรมนั้นด้วยความยินดีทุกครั้ง วันนี้ก็เช่นเดียวกัน

“เจ้าหญิงจะเสด็จไปกับหน่วยแพทย์อาสาหรือเปล่าพระเจ้าค่ะ”

“ไปสิคะคุณหมอ แต่เราอยากไปในนามของทีมแพทย์ได้ไหมคะ ไม่อยากในฐานะเจ้าหญิง” กัญญ์วราตอบพร้อมกับถามนายแพทย์ใหญ่ประจำหน่วยอาสา

“จะดีหรือพระเจ้าค่ะ”

“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่คะ ไม่มีใครจำเราได้หรอก เป็นผู้ช่วยพยาบาลใส่ทั้งหมวก ทั้งผ้าปิดปาก เห็นแต่ลูกกะตา ใครที่ไหนจะจำได้คะ อีกอย่างไปในฐานะเจ้าหญิง หยิบจับอะไรก็ไม่ได้ แถมยังกันผู้คนไม่ให้เข้าใกล้อีก เราไม่ได้เป็นโรคติดต่อสักหน่อย” เจ้าหญิงตัดพ้อกับแพทย์ประจำหน่วยในวันนี้

“อย่าทรงคิดอย่างนั้นสิพระเจ้าค่ะ ใครๆ ก็อยากชมพระบารมีของเจ้าหญิงกันทั้งนั้น เพียงแต่เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องรักษาความปลอดภัยให้กับเจ้าหญิงนะพระเจ้าค่ะ”
“เรารู้ เราจึงอยากไปในฐานะคนของทีมแพทย์ยังไงคะ”

“จะไปไหนหรือหญิงกัญญ์” เสียงทุ้มนุ่มที่เธอได้ยินมาตลอดสองปี ทำให้หญิงสาวหันไปส่งยิ้มให้กับคนที่เดินเข้ามาหา

“วันนี้ทีมแพทย์อาสาจะไปรักษาประชาชนที่ชุมชนแออัดค่ะพี่ชาย”

“จะไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วยใช่ไหมเจ้า” พระเชษฐาถาม

“ค่ะ แต่วันนี้หญิงไม่อยากไปในฐานะเจ้าหญิง หญิงอยากไปเป็นผู้ช่วย ได้ทำอะไรตั้งหลายอย่าง ไม่ใช่ไปนั่งเป็นองค์ประธานอย่างทุกครั้ง” เจ้าหญิงกัญญ์วราจับแขนคนเป็นพี่เขย่าน้อยๆ อ้อนเพื่อที่จะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

“แล้วใครจะไปเป็นประธานในพิธีล่ะจ๊ะ”

“พี่ชายว่างหรือเปล่าคะ ถ้าว่างเสด็จไปเป็นประธานให้หญิงหน่อยได้ไหมคะ” เจ้าชายธุติยะธรยื่นพระหัตถ์ไปโยกศีรษะทุยเบาๆ

“เห็นทีจะไม่ได้ วันนี้พี่มีงานต้องทำ”

“ว้าแย่จัง”

“แบบนี้ดีไหม หญิงก็ไปเป็นประธานในพิธีก่อนสิ หลังจากนั้นก็ขอตัวกลับ แล้วค่อยตามไปสมทบในฐานะผู้ช่วยพยาบาล” เจ้าชายหาทางออกให้ พระองค์ทราบดีว่าเพราะเหตุใดเจ้าหญิงจึงสนใจประชาชนในระดับล่าง เข้าถึงทุกชุมชน และพระองค์ก็ทรงสนับสนุนกิจกรรมดีๆ อย่างนี้ด้วย เพราะมันมีส่วนทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข และพระขนิษฐาก็เหมาะสมที่สุดกับหน้าที่นี้

“แต่ต้องระวังตัวเองให้ดีนะ เดี๋ยวพี่...” เจ้าชายรับสั่งยังไม่ทันจบเจ้าหญิงก็ต่อท้ายประโยคนั้นให้เสร็จสรรพ

“จะส่งโตยธรกับเวทิตไปคุ้มครองความปลอดภัยให้น้องเอง” เจ้าชายธุติยะธรแย้มพระโอษฐ์ด้วยความเอ็นดู พระน้องนางน่ารักเสมอในสายตาของพระองค์ แถมยังขี้เล่นเพิ่มขึ้นอีกด้วย

“รู้ก็ดีแล้ว พี่ขอตัวก่อนนะ หญิงก็ไปเตรียมตัวได้แล้ว”

“ค่ะ เชิญคุณหมอไปตรวจความเรียบร้อยของเครื่องมือและอุปกรณ์อื่นๆ ตามสบายค่ะ เราเตรียมตัวเสร็จแล้วจะตามไปสมทบค่ะ”

“กระหม่อมทูลลา” นายแพทย์ใหญ่ทำความเคารพก่อนจะปลีกตัวออกจากบริเวณนั้น เจ้าหญิงทรงลุกขึ้นจากมุมนั่งเล่นมุมโปรดตรงไปยังห้องบรรทม เพื่อเปลี่ยนฉลองพระองค์เช่นเดียวกัน

องค์ประธานในกิจกรรมวันนี้สวมชุดที่ตัดเย็บด้วยผ้าทอพื้นเมืองสีฟ้าสดใส ตัวเสื้อเป็นแบบปกบัวเล็กเรียบกุ๊นด้วยผ้าทอลายเน้นสีน้ำเงินเข้มเส้นเล็กๆ บริเวณหน้าอกเดินจีบระบายคู่ขนาน กุ๊นผ้าทอลายตีคู่กันไปตลอดแนวเสื้อ ใช้โบว์เล็กๆ แทนการติดกระดุม แขนตุ๊กตา ปลายแขนกุ๊น กระโปรงทรงเอยาวเหนือเข่าเล็กน้อย ชายกระโปรงกุ๊นด้วยผ้าทอลายเช่นเดียวกัน แม้จะชอบแต่งตัวตามสมัยนิยายม แต่ก็ยังเน้นความเรียบร้อยของเสื้อผ้าเป็นหลัก

แบบผ้า ลายผ้า ล้วนแล้วแต่เป็นผ้าพื้นเมืองของมินธุราทั้งสิ้น แม้แต่ช่างที่เย็บตัดฉลองพระองค์ก็เป็นคนมินธุรา เรียกได้ว่า พระองค์เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับพสกนิกรของพระองค์ พระองค์เป็นผู้นำแฟชั่นผ้าพื้นเมืองอย่างแท้จริง สมัยก่อนผ้าทอพื้นเมืองไม่ว่าจะเป็นผ้าพื้นหรือผ้าลาย ผู้นิยมสวมใส่มักจะเป็นผู้ใหญ่วัยกลางคนขึ้นไป แต่เดี๋ยวนี้ตั้งแต่ลูกเล็กเด็กแดงจนถึงวัยชราต่างก็นิยมนำผ้าทอพื้นเมืองมาตัดเย็บเสื้อผ้ากันทั้งนั้น

เจ้าหญิงพระองค์นี้เคยตรัสไว้ว่า ‘เมื่อสินค้าของเรา เป็นสินค้ามีคุณภาพ แล้วเหตุอันใดที่เราจะปฏิเสธการใช้ของเหล่านั้นด้วย อีกทั้งเราผู้ซึ่งเป็นเจ้าของสินค้ายังไม่พึ่งประสงค์ที่จะใช้สินค้าของตน แล้วจะหวังให้ผู้มาเยี่ยมเยือนสนใจสินค้าของเราได้อย่างไร อย่างเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ หลายคนถามว่าทำไมถึงเลือกใช้ผ้าทอจากที่ต่างๆ ของมินธุรา มันไม่เหมาะกับวัยของเรา เราก็บอกกับท่านเหล่านั้นว่า เราคือคนของมินธุรา แล้วเหตุใดเราจึงไม่เหมาะกับผ้าพื้นเมืองของมินธุรา ส่วนเรื่องเหมาะสมกับวัยของเราหรือไม่ เราว่ามันขึ้นอยู่กับการออกแบบและตัดเย็บมากกว่า แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต่อต้านสินค้ารูปแบบอื่น เสื้อผ้าของเราก็มีหลายแบบ หลายเนื้อผ้า มาจากหลายที่ทั้งในและนอก เพียงแต่เราคิดว่า เมื่อใดที่เรากำลังปฏิบัติหน้าที่ เราก็คือตัวแทนของชาวมินธุรา ผิดหรือที่เราอยากโชว์ความภาคภูมิใจของชาวมินธุรา’

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานราชการ นักธุรกิจ ผู้มีตำแหน่งหรือผู้ยศถาบรรดาศักดิ์ทั้งหลายก็หันมานิยมผ้าพื้นเมืองกันหมด ไม่ว่าจะเป็นเพราะชอบ หรือทำตามกระแสรับสั่ง หรือแม้แต่การประจบสอพลอ เจ้าหญิงก็ทรงปลื้มปิติที่มีส่วนทำให้ชาวบ้านที่มีอาชีพทอผ้า มีรายได้มากขึ้น

หลังจากกล่าวเปิดงานกิจกรรมในครั้งนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงขอโทษผู้ที่มาร่วมงานทุกคน รวมถึงประชาชนที่มาใช้บริการของหน่วยแพทย์อาสา ที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกิจกรรมด้วยได้ และพระองค์ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าประชาชนในชุมชนแห่งนี้จะได้รับการบริการที่ดีจากคนของพระองค์ แล้วเจ้าหญิงกัญญ์วราก็ทรงเสด็จกลับ

โต๊ะทำงานชั่วคราวของคณะแพทย์อาสา ถูกแยกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งให้บริการกับประชาชนที่มีสมุดเพื่อสุขภาพแล้ว นั่นหมายความว่าคนกลุ่มนี้เคยได้เข้ารับการรักษาจากโครงการนี้แล้ว ส่วนอีกฝั่งก็รับลงทะเบียนให้กับประชาชนที่ยังไม่เคยมาใช้บริการ ทั้งสองฝั่งจะประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่สามคน

ทางฝั่งที่รับลงทะเบียนใหม่ เจ้าหน้าที่จะแยกกันทำงานอย่างชัดเจน คนแรกจะทำหน้าที่ลงทะเบียนใหม่ให้กับผู้ที่มารับการรักษาครั้งแรก คนที่สองจะจัดการออกสมุดเพื่อสุขภาพให้ ส่วนคนสุดท้ายก็คือจัดคิว ส่วนทางฝั่งตรวจรับรักษา จะแบ่งหน้าที่ดังนี้ คนแรกจะรับเรื่องเกี่ยวกับประชาชนที่ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง คนกลุ่มนี้จะได้พบแพทย์คนเดิมที่ได้รับการรักษา เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด คนที่สองจะรับเรื่องเกี่ยวกับประชาชนที่ป่วยเป็นโรคทั่วไป ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ และการเข้ารับการฉีดวัคซีน เป็นต้น ส่วนคนสุดท้ายก็ทำการตรวจชีพจรและวัดความดัน และจัดคิวให้กับคนป่วย

จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม ใบจัดคิวของหน่วยแพทย์อาสา จึงมีถึงสิบสี เพราะแพทย์ประจำหน่วยนี้ นอกจากจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางแล้ว นายแพทย์แต่ละคนก็ยังมีคนไข้ประจำของตนอีกด้วย ทีมแพทย์จะแบ่งเป็นสองส่วนเช่นเดียวกัน กลุ่มหนึ่งคือทีมแพทย์ที่รักษาโรคทั่วไป ประชาชนไม่จำเป็นต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง หรือเรียกง่ายๆ ว่า ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์คนเดิม ส่วนอีกกลุ่มก็คือทีมแพทย์เฉพาะทางนั่นเอง

หากประชาชนที่เข้ารับการรักษาเป็นครั้งแรก แล้วทางหน่วยแพทย์เห็นว่า ผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องพบแพทย์เฉพาะทาง หรือต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง นายแพทย์ก็จะส่งต่อไปยังแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ เพื่อความสะดวกในการเข้ารับการรักษาในครั้งต่อไป

แต่ละชุมชนจะได้รับการบริการจากโครงการนี้อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง หลายคนคงสงสัยว่า แล้วคนที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่องจะทำอย่างไร เจ้าหญิงกัญญ์วราทรงตระหนักถึงเรื่องนี้ จึงทรงพระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์จัดสร้างสถานพยาบาลสำหรับคนยากจน ทีมแพทย์อาสาของพระองค์จะทำงานที่สถานพยาบาลแห่งนี้ทุกคน แพทย์ท่านใดไม่ได้ลงพื้นที่ก็จะประจำอยู่ที่สถานพยาบาล สรุปคือ สถานพยาบาลแห่งนี้มีแพทย์ที่คอยให้บริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ดังนั้นหากผู้ป่วยคนใดที่ต้องรับการรักษาต่อเนื่อง นายแพทย์จะเป็นผู้นัดผู้ป่วยให้ไปพบที่สถานพยาบาลนั่นเอง

“สวัสดีค่ะ” เสียงกังวานดังระฆังแก้ว ทักทายผู้ที่นั่งลงตรงหน้า ทั้งใบหน้าเห็นเพียงดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม เพราะส่วนอื่นถูกบดบังด้วยหน้ากากอนามัย

“ทำไมต้องสวมหน้ากากด้วยครับ” ชาวบ้านถาม สายตายังจับจ้องไปยังดวงตากลมโตด้วยความสงสัย

“เพื่อป้องกันเชื้อโรคค่ะ ผู้ป่วยเยอะโอกาสแพร่กระจายของเชื้อโรคก็เยอะตามไปด้วย เราผู้ที่ปฏิบัติงานนี้จำเป็นต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้ดีที่สุด เพราะพวกเรายังต้องดูแลประชาชนในอีกหลายชุมชน หากเราป่วยซะเองแล้ว คนที่รอรับบริการจะทำอย่างไร” เจ้าหน้าที่สาวตอบคำถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“เจ้าหญิง” เสียงนั้นทำให้เจ้าหน้าที่สาวมองคนตรงหน้า ขมวดคิ้วสงสัย
“เอ่อ...วันนี้เจ้าหญิงไม่ได้เสด็จมาหรือครับ” ชายหนุ่มเสแสร้งถามไปอีกทาง ทั้งๆ ที่ใจหวังลึกๆ ว่าคนตรงหน้าน่าจะใช่คนที่เขาต้องการพบ

“เจ้าหญิงเสด็จกลับไปแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ว่าคนตรงหน้าจะเป็นใคร และมีจุดประสงค์อะไร แต่เราไม่ยอมเปิดเผยฐานะของตัวเองเด็ดขาด สงสัยคงช่วยงานได้ไม่นานแล้วกระมังกัญญ์วรา

“ว้า แบบนี้ผมก็มาไม่ทันรับเสด็จสิครับ” ชายหนุ่มทำท่าเหมือนผิดหวังเสียเต็มประดา ไม่ได้ผิดหวังที่มาไม่ทันรับเสด็จ แต่ผิดหวังที่คนตรงหน้าไม่ใช่คนที่เขาคิด แต่ถ้าใช่เจ้าหญิงจริงๆ พระองค์ต้องจำเขาได้สิน่า

“ราชกิจของเจ้าหญิงมิได้มีเพียงแค่โครงการนี้โครงการเดียวหรอกค่ะ ครั้งแรกดิฉันนึกว่าคุณคิดว่าดิฉันเป็นเจ้าหญิงเสียอีก อยู่ดีๆ คุณก็พูดขึ้นมา รู้ไหมคะมันจะทำให้นรกกินหัวดิฉัน”

“ขอโทษครับ” ชายหนุ่มยังจ้องดวงตากลมโตนั้นอย่างค้นหาคำตอบ ดวงตาคู่นี้เหมือนดวงตาของใครบางคนที่คุ้นเคยมานาน...เจ้าหญิงพระองค์น้อยที่ทรงซุกซนและขี้แง บัดนี้ได้เจริญชันษาเป็นสาวน้อยหน้าตาสะสวยและจิตใจงดงาม...ไม่ได้เจอกันนานแค่ไหนแล้วนะ…

“ไม่ทราบว่าคุณจะลงทะเบียนเพื่อรับการรักษาไหมคะ” ชายหนุ่มแปลกหน้าสะดุ้ง เพราะใจมัวแต่คิดเตลิดไปจนไกล

“เอ่อ...คะ...ครับ”

“ช่วยกรอกประวัติให้ด้วยค่ะ” หญิงสาวยื่นเอกสารไปตรงหน้าชายหนุ่ม ไม่นานเขาก็ยื่นกระดาษแผ่นนั้นคืนเธอ “เชิญคุณรอรับสมุดเพื่อสุขภาพที่เจ้าหน้าที่คนต่อไปได้เลยค่ะ”

แล้วหญิงสาวก็ทำหน้าที่ลงทะเบียนให้กับประชาชนคนแล้วคนเล่า อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนกระทั่งใกล้เที่ยง เมื่อร่วมงานคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบอะไรบางอย่างกับเธอ และเธอก็ตัดสินใจลุกขึ้นเปลี่ยนให้เพื่อนมาทำหน้าที่แทน การกระทำเหล่านั้นอยู่ในสายตาคนๆ หนึ่งตลอดเวลา

ด้วยความสงสัย ทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหาเธอ ทำไมเขาถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับเธอนัก ถึงกับเอ่ยปากเรียกเธอว่า เจ้าหญิง เลยนะนั่น

“คุณจะไปไหนครับ”

“คุณหมอตรวจอาการของคุณเสร็จแล้วหรือคะ”

“เอ่อ...ครับ” จริงๆ เขาไม่ได้ป่วยสักหน่อย แต่ต้องการมาเห็นใครบางคน และเขาก็มาช้าไปเพียงก้าวเดียว ตั้งใจจะกลับแล้ว ถ้าไม่เห็นผู้หญิงคนนี้เสียก่อน จากที่คิดว่าจะกลับ สมองกลับสั่งการให้ตามเธอไป จนกระทั่งรู้ว่าเธอเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของทีมแพทย์อาสา

“คุณหมอว่าอย่างไรบ้างคะ” เธอถามเพราะคิดว่าอย่างน้อยเขาก็คือประชาชนคนหนึ่งของมินธุรา แม้ว่าจะรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง

“ไม่เป็นอะไรมากครับ ทานยาสองสามวันก็หายครับ ไม่ทราบว่าคุณจะไปไหนหรือครับ”

“ได้เวลาพักของดิฉันแล้วค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” กัญญ์วราก้มหน้าให้เขานิดหนึ่ง ก่อนจะเดินจากไป

“เดี๋ยวครับ” ชายหนุ่มตัดสินใจเรียก ทำให้เธอต้องหันกลับมามองเขาอีกครั้ง

“มีอะไรให้ช่วยหรือคะ”

“ใกล้เที่ยงแล้ว เชิญทานข้าวด้วยกันได้ไหมครับ”

“ขอโทษนะคะ บังเอิญว่าวันนี้ไม่สะดวกจริงๆ ค่ะ เชิญคุณตามสบาย ขอให้ทานอาหารให้อร่อยนะคะ” คราวนี้กัญญ์วราไม่รอให้เขาร้องทักอีกแล้ว เธอเดินเข้าไปในสำนักงานเคลื่อนที่ของทีมแพทย์ ก่อนจะหลบออกมาขึ้นรถของราชองครักษ์ที่จอดรออยู่

“รู้ไหมโตยธร ถ้าไม่ติดว่าหญิงไม่สามารถร่วมรับประทานอาหารกับทุกคนได้ หญิงคงได้อยู่ช่วยงานถึงเย็น” กัญญ์วราบ่นกระปอดกระแปดไปเรื่อยเปื่อย ไม่ใช่ว่าจะเป็นเจ้ายศเจ้าอย่างถึงขนาดไม่ยอมร่วมทานข้าวกับทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกคน แต่เพราะไม่อยากให้ทุกฝ่ายลำบากใจ ฝ่ายคนฟังก็ทำได้เพียงยิ้ม ด้วยเข้าใจความรู้สึกอีกฝ่าย พระหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์พระองค์นี้ไม่เคยยกตนข่มท่าน ไม่เคยถือตัว ถึงกับเคยตรัสเรียกเขาและเวทิตว่าพี่ด้วยซ้ำ หากด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ของพระองค์ ทำให้เขากับเพื่อนรักต้องรีบห้ามปราม และให้ทรงคิดถึงความเหมาะสม เหนือสิ่งใดเขาไม่อยากให้ใครมาครหาพระขนิษฐาของมกุฎราชกุมารธุติยะธร

“เจ้าหญิงก็ทรงทราบนี่พระเจ้าค่ะว่าไม่มีใครทราบว่าเจ้าหญิงทรงประทับอยู่ที่นี่ อย่าทรงทำให้ทุกคนเป็นกังวลเลยนะพระเจ้าค่ะ” เวทิตที่ร่วมรับฟังอยู่ด้วยปลอบโยนด้วยเหตุผล

“เพราะหญิงคิดอย่างนี้ไง ไม่อย่างนั้นหญิงไม่ยอมกลับวังหรอก”

“เจ้าหญิงทรงจำเจ้าชายวริทธิ์ธรได้หรือเปล่าพระเจ้าค่ะ” โตยธรเปลี่ยนบทสนทนา เลี่ยงความสนใจในเรื่องเดิมของเจ้านาย

“พระสหายของพี่ชายใช่ไหมคะ” เธอไม่รู้จักหรอก แต่จดจำได้จากการท่องๆ แล้วก็ท่อง หลังจากที่เธอต้องมาเป็นเจ้าหญิงเต็มตัวนั่นแหละ

“พระเจ้าค่ะ”

“มีอะไรหรือคะ”

“กระหม่อมจะทูลให้ทรงทราบว่า เจ้าชายวริทธิ์ธรจะเสด็จมาเยือนมินธุราอย่างเป็นทางการ ในฐานะทูตเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสองประเทศ”

“หญิงทราบแล้วค่ะ หมายกำหนดการเสด็จมาถึงมินธุราอีกสองสัปดาห์ไม่ใช่หรือคะ ”

“ใช่พระเจ้าค่ะ แต่ในขณะนี้พระองค์ทรงประทับอยู่ที่มินธุราแล้ว ทรงตั้งพระทัยจะเสด็จมาก่อนหมายกำหนดการพระเจ้าค่ะ และทรงเลือกที่จะประทับอยู่ที่พระตำหนักของเจ้าชายพระเจ้าค่ะ”

“เสด็จมาถึงเมื่อไหร่คะ ทำไมหญิงไม่ทราบเรื่องเลย” กัญญ์วราถามด้วยความสงสัย

“เสด็จมาถึงเมื่อเช้าตรู่ของวันนี้เองพระเจ้าค่ะ เสด็จมาเป็นการส่วนพระองค์ พร้อมกับองครักษ์คนสนิทอีกสองคนพระเจ้าค่ะ” เวทิตเป็นคนไขข้อสงสัยให้กับเจ้าหญิงบ้าง

“ทูลกระหม่อมพ่อ ทูลกระหม่อมแม่ทรงทราบหรือยังคะ”

“เจ้าชายเข้าเฝ้าทั้งสองพระองค์แล้วพระเจ้าค่ะ และทรงขอประทับเงียบๆ จนกว่าจะถึงหมายกำหนดการเดิมพระเจ้าค่ะ ทรงอยากเที่ยวมินธุราเป็นการส่วนพระองค์ด้วยพระเจ้าค่ะ”

“ทั้งสองคนสนิทกับพระสหายของพี่ชายด้วยใช่ไหมคะ” ที่เธอถามแบบนี้ เพราะองครักษ์ทั้งสองติดตามพี่ชายเธอมาตั้งแต่เด็กเลยก็ว่าได้ เรียน เล่น มาด้วยกัน สนิทสนมกลมเกลียวกันยิ่งกว่าพี่น้องอีก

“เจ้าชายธุติยะธรและเจ้าชายวริทธิ์ธร ทรงสนิทสนมกันมากๆ ก็ตอนที่ทรงไปศึกษาต่อที่อังกฤษพร้อมกันพระเจ้าค่ะ” โตยธรเป็นคนตอบคำถามบ้าง

“ทูลกระหม่อมแม่ของเรากับทูลกระหม่อมแม่ของเจ้าชายก็ทรงเป็นพระสหายที่รักกันมากไม่ใช่หรือคะ เราจำได้ว่าพี่ชายสนิทสนมกับเจ้าชายตั้งแต่เด็กแล้วไม่ใช่หรือคะ ดูเหมือนเจ้าชายจะใจดีกับเราด้วย” อันนี้ก็เป็นข้อมูลที่เธอได้รับมาเหมือนกัน เพราะเอาเข้าจริงๆ เธอก็ไม่ทราบว่าทรงพระทัยดีจริงหรือไม่

“ยังจำได้อีกหรือพระเจ้าค่ะ” เวทิตทูลถาม เจ้าหญิงทรงพยักหน้า “ทรงรู้จักกันตั้งแต่เด็ก ไปมาหาสู่กันก็ไม่บ่อยนัก แต่ตอนที่ทรงไปศึกษาต่อที่เดียวกัน เรียกว่าทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตลอดพระเจ้าค่ะ”

“รวมถึงเวทิตกับโตยธรด้วยใช่ไหม” กัญญ์วราถามยิ้มๆ และก็ได้รับคำตอบตามที่คิด “แล้วเจ้าชายไม่มีองครักษ์ติดตามไปศึกษาต่อด้วยหรือคะ”

“มีพระเจ้าค่ะ กลุ่มเรามีด้วยกัน 6 คน ในขณะนั้นเจ้าชายทรงตรัสว่าพวกหม่อมฉันเป็นเพื่อน ไม่ใช่ลูกน้อง ก็เลยกิน เที่ยว เล่นด้วยกัน ทางด้านของเจ้าชายวริทธิ์ธรก็มีพระสหายเป็นองครักษ์สองคนเหมือนกันพระเจ้าค่ะ” โตยธรเป็นคนบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาอีก

“6 หนุ่ม รวมตัวกันคงซ่าน่าดูเลยสิคะ”

“นานๆ เจ้าชายจะทรงมีอิสระก็ต้องมีบ้างพระเจ้าค่ะ แต่ไม่ได้มากมายอะไร เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่าพระองค์อยู่ในฐานะใด”

“พี่ชายสมกับทรงเป็นเจ้าชายรัชทายาทของมินธุราเลยนะคะ”

“พระเจ้าค่ะ เจ้าหญิงก็ทรงสมกับเป็นเจ้าหญิงของมินธุราเช่นเดียวกันพระเจ้าค่ะ” กัญญ์วรายิ้มรับคำชม ในเมื่อเธอได้มีโอกาสดำรงตำแหน่งนี้ เธอพร้อมที่จะทำหน้าที่ของเธออย่างดีที่สุด เหมือนที่เคยสัญญาไว้กับเจ้าชายธุติยะธร และเจ้าหญิงอีกพระองค์ที่อยู่บนฟ้า




หนึ่งจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 พ.ย. 2555, 11:00:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 พ.ย. 2555, 11:00:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 1444





<< บทที่ 1   บทที่ 3 >>
Oleang 24 พ.ย. 2555, 18:11:37 น.
โอ้ว เพิ่งเห็น อ่ะ ... มาเป็นกำลังใจ ก้อนโต ๆ ให้ เลย ...


เดิมเดิม 24 พ.ย. 2555, 18:25:58 น.
เพิ่งเห็นค่ะ มาเชียร์ค่ะ


icewinter 24 พ.ย. 2555, 23:22:12 น.
หรือผุ้ชายคนนั้นเปนเจ้าชาย


หมูอ้วน 25 พ.ย. 2555, 10:18:05 น.
อีกหนึ่งเสียงค่ะ เจ้าชายแน่ ๆ เลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account