ชะตาฟ้า...ลิขิตรัก (ฟ้าดลรัก)
จากหญิงสามัญชนกลับกลายเป็นเจ้าหญิงสูงศักดิ์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ชีวิตของเธอจะดำเนินต่อไปอย่างไร ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมากมาย และเธอจะมีโอกาสได้เคียงคู่กับเจ้าชายที่แสนดีอย่างในนิทานหรือไม่....
Tags: เจ้าชาย-เจ้าหญิง

ตอน: บทที่ 3

บทที่ 3

กระแตเกาะกิ่งแก้ว เป็นการร้อยมาลัยในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมักใช้ในโอกาสสำคัญหรือมอบให้บุคคลที่มีความสำคัญมากๆ แต่การได้มาครั้งนี้คงไม่ใช่เพราะคือคนสำคัญของใครบางคน เนื่องจากฉกฉวยมันมาโดยที่เจ้าของไม่รู้ด้วยซ้ำ

เขาคาดกับเป้าหมายมาสองสามครั้งแล้ว วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ขณะที่กำลังเดินชมนกชมไม้ในเขตพระราชวังของมินธุรา สายตาก็ไปพบกับเจ้าของร่างบาง ผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้ม สวมเสื้อผ้าฝ้ายทอมือสีขาว แขนสามส่วน ปลายแขนเป็นผ้าปักชาวเขา ลายปักเน้นสีสันสดใส กางเกงสี่ส่วนปลายขากางเกงก็มีลักษณะเดียวกับแขนเสื้อ และไม่แน่ใจว่าบนตัวเสื้อจะมีลวดลายของฝ้าปักผสมอยู่หรือไม่ แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ ที่สำคัญที่สุดคือ เขาอยากรู้ว่าเธอคือใคร ใช่คนที่อยากพบหรือไม่ จึงรีบตรงเข้าไปหาแต่ก็ยังไม่ทันอยู่ดี เมื่อมีนางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้าไปพบเธอเสียก่อน พูดคุยกันไม่กี่คำเธอก็ลุกขึ้น แล้วก็เดินตรงกลับเข้าไปในอาคารด้านหนึ่ง เหตุการณ์นี้ทำให้เขาถึงกับถอนหายใจ แต่ก็ยังไม่ถอดใจ มุ่งตรงไปหานางกำนัลที่กำลังเก็บอุปกรณ์ต่างๆ อยู่

“ถวายพระพรเพคะเจ้าชาย” อรทัย นางกำนัลคนสนิทของเจ้าหญิง ถอนสายบัวให้กับผู้มาเยือน

“ใครกัน”

“ใครที่ไหนหรือเพคะ” อรทัยงงกับรับสั่งของเจ้าชายวริทธิ์ธร

“ก็คนที่เดินจากไปเมื่อสักครู่”

“เจ้าหญิงกัญญ์วราเพคะ” ใช่เจ้าหญิงพระองค์น้อยของเขาจริงๆ ด้วย

“เจ้าหญิงรีบเสด็จไปไหนหรือ เจ้ารู้หรือไม่”

“เสด็จไปที่ห้องเครื่องเพคะ”

“เข้าครัวเองเลยหรือ”

“เพคะ เจ้าหญิงโปรดการทำอาหาร ร้อยมาลัย ทรงอยากทำทุกๆ อย่างด้วยพระองค์เองเพคะ” อรทัยตอบด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความเคารพและเทิดทูนเจ้านายของตัวเอง

“แล้ววันนี้ทรงทำอะไรล่ะ”

“แกงฮังเล น้ำพริกอ่อง จอผักกาด เพคะ”

“ทำอย่างไรเราถึงจะได้ชิมอาหารฝีมือเจ้าหญิงของเจ้าล่ะ” เจ้าชายหนุ่มถาม

“เจ้าหญิงทรงนำไปถวายเจ้าชายธุติยะธรให้ทรงชิมทุกครั้งเพคะ” ที่อรทัยกราบทูลแบบนั้น เพราะทราบว่าเจ้าชายทรงประทับอยู่ที่พระตำหนักของเจ้าชายธุติยะธร

“หากเจ้าชายมีพระประสงค์ หม่อมฉันจะทูลให้เจ้าหญิงทรงทราบ” แล้วเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าเจ้าชายอาจจะโปรดที่จะชิมอาหารฝีมือของเจ้าหญิงเพียงลำพังก็ได้ เพราะใครๆ ก็รู้ว่า เจ้าชายพระองค์นี้สนิทสนมกับเจ้าหญิงเพียงใด เพียงแต่ระยะหลังมานี้ ด้วยภารกิจของบ้านเมือง ทำให้ทั้งคู่ไม่มีโอกาสได้พบปะกันอย่างสมัยยังทรงพระเยาว์

“ไม่ต้องหรอก เรารับเครื่องเสวยพร้อมเจ้าชายของเจ้าก็ได้” ตรัสจบเจ้าชายวริทธ์ธรทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปหยิบกิ่งแก้วที่มีมาลัยร้อยติดอยู่ในถาดขึ้นมา

“สวยดี เขาเรียกว่าอะไร เราไม่เคยเห็นมาลัยเช่นนี้มาก่อน”

“กระแตเกาะกิ่งแก้วเพคะ”

“เราขอก็แล้วกันนะ” แล้วเจ้าชายก็เสด็จจากไป ทำให้อรทัยได้แต่ตกใจ เพราะไม่รู้จะกราบทูลอย่างไร จะไม่ให้ก็คงทำไม่ได้ แต่จะให้เธอก็ไม่ใช่เจ้าของสิ่งนั้นสักหน่อย คงต้องทูลเจ้าหญิงตามความจริง

นี่คือที่มาของเจ้าของสิ่งนี้ หลังจากนั้นเขาก็เดินกลับมาที่ตำหนักของเพื่อน เพื่อรอที่จะได้ชิมอาหารฝีมือเธอ เธอเปลี่ยนไปมากจริงๆ เจอกันครั้งสุดท้ายตอนที่เธออายุ 15 ปี แต่ครั้งนั้นก็มิได้มีโอกาสได้พูดคุยกัน ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนเธอก็คือเจ้าหญิงองค์น้อยของเขาอยู่ดี

“ได้มาจากไหนน่ะวริทธิ์ธร” ธุติยะธรถามถึงของในมือของพระสหาย

“สวนดอกไม้ แถวตำหนักใหญ่”

“เจอกันแล้วหรือ”

“ยัง” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพื่อนหมายถึงใคร วริทธิ์ธรจึงตอบได้ทันที

“แล้วนายได้มาได้ยังไง”

“หยิบมา ตอนนางกำนัลกำลังจะเก็บพานดอกไม้ตามเจ้าหญิงน้อยเข้าไป”

“นี่ถึงขั้นขโมยของเลยหรือ” ธุติยะธรหัวเราะในการกระทำของเพื่อน

“เราไม่ได้ขโมย เราหยิบต่อหน้านางกำนัลของน้องนายต่างหาก” ธุติยะธรส่ายหน้ากับคำตอบที่ได้รับ

“เรามีอะไรบางอย่างจะบอกนายล่ะ” เจ้าชายวริทธิ์ธรมองหน้าเพื่อนอย่างสงสัย “เจ้าหญิงน้อยของนายเปลี่ยนไปมากนะ เปลี่ยนไปเป็นคนละคน มีแต่เรื่องของกิริยามารยาท การวางตัว การเข้าสังคม เท่านั้นที่ยังเหมือนเดิม นอกเหนือจากนี้หญิงกัญญ์มิใช่เจ้าหญิงน้อยองค์เดิมของนายอีกแล้ว” เจ้าชายธุติยะธรตรัสกับพระสหายที่รู้จักกันมานาน

“นายหมายความว่ายังไง”

“ดวงตาถึงแม้จะมีสีเดิม แต่แววตาก็ไม่ใช่คนเดิม หัวใจยังคงเต้นเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ใช่หัวใจดวงเดิม ร่างกายยังคงเดิม แต่จิตใจก็ไม่ใช่คนเดิม”

“เราไม่เข้าใจในสิ่งที่นายพูดเลย อะไรคือไม่เหมือนเดิม ในเมื่อเราก็เห็นว่านางยังคงเป็นคนเดิม มีจิตใจเมตตา อ่อนโยน และเอื้อเฝือเผื่อแผ่ต่อบุคคลอื่น”

“สักวันนายจะเข้าใจในสิ่งที่เราพูด เมื่อถึงวันนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวนายว่าจะยอมรับหญิงกัญญ์ได้หรือไม่ ถ้าถามเราว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นผลดีหรือผลเสีย เราบอกได้เลยว่าเป็นผลดี เจ้าหญิงพระองค์นี้พร้อมที่จะลุยไปทุกที่เพื่อประชาชนของมินธุรา”

“อย่างโครงการแพทย์อาสาในชุมชนแออัด หญิงกัญญ์ก็เป็นคนทูลขอทูลกระหม่อมพ่อเพื่อจะทำโครงการนี้ ทั้งๆ ที่สถานพยาบาลที่อยู่ในเมืองก็มีมากเพียงพอที่จะรองรับประชาชนทุกคน แต่หญิงกัญญ์ก็เหตุผลกับทูลกระหม่อมพ่อว่า บางครั้งสิ่งที่อยู่ใกล้ตาก็ทำให้เรามองข้ามไปเหมือนกัน เราลืมนึกถึงคนที่อยู่ในชุมชนแออัด พวกเขาก็ลำบากไม่น้อยไปกว่าคนที่อยู่ในชนบท การมีโครงการแพทย์อาสาในชนบทเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว แต่หญิงกัญญ์อยากเพิ่มโครงการในส่วนนี้ขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือคนยากจนในเมือง ลดความเหลื่อมล้ำของสังคมลงอีกนิด”

“ในเมื่อนางทำทุกอย่างเพื่อประชาชน นั่นก็หมายความว่านางไม่เคยเปลี่ยน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้เราต้องเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน”

“มันก็ไม่แน่หรอกวริทธิ์ธร อย่างน้อยๆ หญิงกัญญ์ก็ไม่ใช่เจ้าหญิงขี้แงและอ่อนแอสำหรับนายอีกแล้ว” ธุติยะธรทิ้งปมปริศนาให้เพื่อนอีก

“มื้อเที่ยงนายตั้งสำรับที่นี่ได้ไหมธุติยะธร”

“ทำไม หากเราจะไปเสวยพร้อมพระราชบิดา พระราชมารดา และพระน้องนางของเราที่ตำหนักใหญ่มิได้หรืออย่างไร” ธุติยะธรกระเซ้าเพื่อนอีกครั้ง

“ก็ในเมื่อเราคาดกับพระน้องนางของนายหลายครั้งแล้ว เราคิดว่าเจอกันตามหมายกำหนดการเลยก็แล้วกัน”

“ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับการที่เราจะทานข้าวที่ตำหนักใหญ่เลยนี่” ธุติยะธรต้อนเพื่อนอีกครั้ง

“นายนี่ยังไงนะ เรายอมรับก็ได้ เรารู้มาว่าวันนี้หญิงกัญญ์ลงครัว และคงแบ่งอาหารมาให้นายชิมด้วย แค่นี้พอใจหรือยัง” เจ้าชายธุริยธรทรงพระสรวลเสียงดังลั่น

“อยากชิมฝีมือของหญิงกัญญ์นี่เอง นี่ไงอย่างแรกของการเปลี่ยนแปลง ปกตินายก็รู้นี่ถึงหญิงกัญญ์จะเรียบร้อยอย่างไร หญิงกัญญ์ก็ไม่เคยคิดจะลงครัวเอง”

“ไม่เห็นแปลก เป็นเรื่องที่ดีอีกต่างหาก”

“เหมือนกับมาลัยที่อยู่ในมือนายใช่ไหม”

“ใช่ การมาหานายครั้งนี้ เรามีความสุขมาก แม้จะแปลกใจในการกระทำของเจ้าหญิงน้อยของเราบ้าง แต่เราคิดว่ามันเกิดจากการที่นางโตขึ้น มีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ไม่ใช่จิตวิญญาณเปลี่ยนไปอย่างที่นายบอกหรอก” วริทธิ์ธรยังเชื่อมั่นในความคิดของตน ธุติยะธรก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มเท่านั้น

กัญญ์วราเห็นคนของตนถือถาดดอกไม้สำหรับร้อยมาลัยเดินเข้ามา จึงเดินเข้าไปหาเพื่อสั่งความอะไรบางอย่าง

“มาลัยเอาไปไว้ที่ห้องของหญิงนะ วันนี้หญิงร้อยเล่นๆ ไม่ได้จะเอาไปถวายทูลกระหม่อมแม่” กัญญ์วราบอกความประสงค์ของตัวเอง

“เอ่อ...คือว่า” อรทัยไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี

“มีอะไรหรือจ๊ะ”

“คือมาลัยของเจ้าหญิง เจ้าชายวริทธิ์ธรทรงนำติดพระกรไปด้วยเพคะ” กัญญ์วราขมวดคิ้วสงสัย

“เจ้าชายเสด็จมาที่อุทยานหรือจ๊ะ”

“หม่อมฉันคิดว่าเจ้าชายทรงทอดพระเนตรเห็นเจ้าหญิงประทับอยู่ คงตั้งพระทัยมาทักทาย แต่เจ้าหญิงเสด็จกลับเข้ามาเสียก่อน หม่อมฉันขอพระราชทานอภัยเรื่องมาลัยนะเพคะ เพราะไม่ทราบว่าจะทูลเจ้าชายว่าอย่างไร”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ถ้าหญิงทราบว่าทรงอยากได้ หญิงก็จะร้อยถวายเหมือนกัน เราไปเข้าครัวกันดีกว่า ป่านนี้อรสากับอรณี รอเราสองคนแย่แล้ว” เจ้าหญิงกัญญ์วราทรงเอ่ยถึงนางกำนัลคนสนิทอีกสองคน เธอปฏิบัติกับทั้งสามคนเหมือนเพื่อนเช่นเดียวกับที่พี่ชายปฏิบัติต่อโตยธรและเวทิต เมื่อใดที่สี่สาวรวมตัวกันทำกิจกรรมก็มักจะมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเสมอ

อรสา อรณี และแม่ครัวประจำพระราชวัง ได้เตรียมส่วนประกอบต่างๆ ที่ต้องใช้ไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ผักสด เครื่องปรุง เครื่องเคียงต่างๆ เริ่มต้นจากแกงฮังเล ส่วนผสมของแกงฮังเลก็ประกอบไปด้วย เนื้อสันคอหมู เนื้อหมูสามชั้น น้ำอ้อยป่น น้ำมะขามเปียก ขิงซอย กระเทียม ถั่วลิสงคั่ว สับปะรด ผงฮังเล

ส่วนเครื่องแกงฮังเลก็ประกอบไปด้วย พริกแห้ง พริกขี้หนูแห้ง หอมแดง กระเทียม ตะไคร้ซอย ข่าซอย เกลือ และกะปิหยาบ โขลกส่วนผสมทั้งหมดนี้ให้ละเอียด หลังจากนั้นก็นำหมูที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ใส่ในกะละมังเพื่อทำการหมัก เริ่มจากใส่เครื่องแกงที่โขลกเรียบร้อยแล้วใส่ลงไป ตามด้วยผงฮังเล สัปปะรด คลุกส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง และในขณะนี้ก็ครบกำหนด 1 ชั่วโมงแล้ว

เริ่มต้นจากนำเนื้อหมูที่หมักเอาไว้ตั้งไฟ ใช้ไฟปานกลาง ใส่น้ำลงไปเล็กน้อย ผัดจนหมูตึงตัว แล้วเคี่ยวต่อ ค่อยๆ เติมน้ำลงไปเรื่อยๆ จนหมูนิ่มได้ที่ ใส่น้ำอ้อยป่น น้ำมะขามเปียก ใส่กระเทียมและขิงซอย คนให้เข้ากัน จากนั้นก็เคี่ยวต่อ ใส่ถั่วลิสงคั่ว รอเดือดสักพัก เป็นอันเสร็จสิ้น ได้แกงฮังเล หอมชวนชิม

ต่อด้วยน้ำพริกอ่อง ส่วนผสมของน้ำพริกอ่อง ประกอบได้ด้วย เนื้อหมูบด มะเขือเทศลูกเล็ก ผักชีซอย ต้นหอมซอย และน้ำมันพืช ส่วนผสมของเครื่องแกงก็ประกอบไปด้วย พริกขี้หนูแห้ง หอมแดง กระเทียม กะปิ เกลือ เริ่มจากโขลกเครื่องแกงให้ละเอียด ใส่กะปิและเกลือโขลกให้เข้ากัน จากนั้นก็ผัดเครื่องแกงกับน้ำมัน รอจนกลิ่นหอม ใส่เนื้อหมูบดลงไปผัดให้สุก เติมน้ำเล็กน้อย พอเดือด ใส่มะเขือเทศลงไปผัดให้เข้ากัน ตั้งไฟต่อจนมะเขือเทศสุก เป็นอันเสร็จอีกหนึ่งเมนู

เมนูสุดท้ายของวันนี้จอผักกาด ส่วนผสมประกอบไปด้วย ผักกาดกวางตุ้ง ซี่โครงหมู หอมแดง กระเทียม ถั่วเน่าแข็บย่างไฟ กะปิ น้ำมะขามเปียก เกลือป่น น้ำมันพืช เมื่อได้ส่วนผสมครบทุกอย่างแล้ว เริ่มต้นด้วย ต้มน้ำให้เดือด ระหว่างรอน้ำเดือดก็การโขลกกระเทียม หอมแดง กะปิ เกลือ ให้ละเอียด เมื่อน้ำพอเดือดให้ใส่ซี่โครงหมู ต้มจนกระทั่งหมูนุ่ม จากนั้นก็นำเครื่องปรุงที่โขลกเรียบร้อยแล้วแล้วใส่ลงไปในหม้อ พอเดือด ใส่ผักกาดกวางตุ้งที่หันเป็นท่อนๆ ลงไป พอผักนุ่ม ใส่ถั่วเน่าแผ่นโขลกละเอียดตามลงไป ใส่น้ำมะขามเปียกคนให้ทั่ว พอเดือดเป็นอันเรียบร้อย แต่ยังไม่จบสำหรับเมนูนี้ สิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ก็คือสิ่งที่ต้องทำต่อไปนี้

ตั้งกระทะใส่น้ำมัน พอร้อน ใส่พริกขี้หนูแห้งลงทอด พอกรอบ ตักขึ้น ใส่กระเทียมสับเจียวให้เหลือง เททั้งกระเทียมเจียวและน้ำมันใส่ในหม้อจอผักกาด เป็นอันเรียบร้อยสำหรับเมนูนี้ ส่วนพริกแห้งก็เอาไว้ตกแต่งนั่นเอง แถมอีกนิดคิดว่าหลายคนคงไม่รู้จักถั่วเน่าแข็บ ถั่วเน่าแข็บเป็นเครื่องปรุงอาหารอย่างหนึ่ง ทำโดยการนำถั่วเหลืองมาต้มเปื่อยหมักไว้ประมาณ 3 วัน ให้ขึ้นราเล็กน้อย นำมาโขลกให้ละเอียด ทำเป็นแผ่นกลมๆ บาง ขนาดกว้างประมาณ 3-4 นิ้ว นำไปตากแดดให้แห้ง ใช้ในการปรุงอาหารอย่างกะปิ

“หน้าตาใช้ได้ ทุกคนลองชิมดูหน่อยสิคะ” เจ้าหญิงเชิญชวนผู้ร่วมขบวนการ เธอไม่คิดว่าการที่ให้ทุกคนได้ชิมอาหารก่อน พระราชบิดา พระราชมารดาและพระเชษฐา จะเป็นการไม่บังควรแต่อย่างใด เพราะเธอเชื่อว่า ทุกครั้งที่แม่ครัวทำเครื่องเสวยถวาย ก็ต้องชิมอาหารที่ทำอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าอาหารที่ทำจะเป็นอาหารรสเลิศ

“อร่อยเพคะ ต่อไปหม่อมฉันจะตกงานหรือเปล่าเพคะเจ้าหญิง” แม่ครัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม ที่กล้าทำพูดเช่นนั้น เพราะเจ้าหญิงมิทรงถือพระองค์แม้แต่นิดเดียว ทุกครั้งที่เสด็จมายังห้องเครื่อง ก็จะทำตัวเป็นนักเรียนที่ดี เชื่อฟังทุกอย่าง พูดคุยเป็นกันเองกับทุกคน

“แหม! หญิงจะเก่งไปกว่าครูของหญิงได้ยังไงคะ” เจ้าหญิงกัญญ์วราบอกแม่ครัวใหญ่ “จัดเครื่องเสวยกันดีกว่าค่ะ อรสาไปสอบถามที่ตำหนักพี่ชายให้หน่อยสิจ๊ะว่าจะให้จัดเครื่องเสวยที่ตำหนักหรือเปล่า”

“เพคะเจ้าหญิง” อรสารับคำแล้วเดินจากห้องเครื่องไป

“หญิงอยากแกะสลักผักผลไม้เป็นจังเลยค่ะ ป้าจีรณา” เจ้าหญิงกัญญ์วราตรัสกับแม่ครัวใหญ่ ในขณะที่ทอดพระเนตรผู้ช่วยแม่ครัวหลายคนกำลังแกะสลักผักและผลไม้ที่จะนำขึ้นโต๊ะเสวย

“เอาไว้หม่อมฉันจะสอนให้นะเพคะ”

“ขอบคุณค่ะ อ้อ! อรณีจ๊ะ ดอกไม้ที่หญิงจะเอามาทำบุหงาเป็นยังไงบ้างจ๊ะ”

“จุดเทียนอบอยู่เพคะ พรุ่งนี้น่าจะเรียบร้อยเพคะ”

“ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้เอาไปให้หญิงที่อุทยานนะจ๊ะ” กัญญ์วราสั่งคนของตน ที่ประจำของเธอก็คือ สนามหญ้าที่ล้อมรอบไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ เธอให้คนนำโต๊ะ-เก้าอี้เหล็กดัด ลวดลายสวยงาม สีขาวทั้งชุด ไปวางไว้สำหรับนั่งเล่นยามบ่าย หรือเวลาเธอนั่งทำกิจกรรมต่างๆ ที่ตนชื่นชอบ บริเวณนั้นจะอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้ และอากาศยามบ่ายก็แสนจะเย็นสบาย

“เพคะ” อรณีรับคำอีกครั้ง

“เจ้าหญิงเพคะ เจ้าชายทรงให้จัดเครื่องเสวยไปที่พระตำหนักเพคะ” อรสารายงานให้เจ้าหญิงทรงทราบ

“เหรอจ๊ะ ป้าจีรณาจัดเครื่องเสวยให้พี่ชายด้วยนะคะ เดี๋ยวหญิงนำไปถวายเอง แต่ตอนนี้ขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”

“เพคะเจ้าหญิง” แม่ครัวใหญ่รับคำสั่ง จากนั้นเจ้าหญิงก็เสด็จกลับไปยังห้องบรรทม เพื่อสรงน้ำและเปลี่ยนฉลองพระองค์

ฉลองพระองค์ชุดใหม่ก็ดูสบายๆ เรียบง่ายและน่ารักเหมือนเดิม ตัวเสื้อเป็นผ้าปักชาวเขาทั้งตัว สีเสื้อเป็นสีขาวที่ถูกบดบังด้วยเส้นไหมหลายหลากสี ลวดลายสวยงาม ส่วนตัวกระโปรงบานยาวเสมอเข่า ครึ่งบนเป็นผ้าพื้นสีดำ ส่วนครึ่งล่างมีลักษณะเช่นเดียวกับตัวเสื้อ เพียงแต่ลวดลายจากไหมเหล่านั้นถูกปักบนผืนผ้าสีดำ สวมรองเท้าสานจากต้นกก สวมใส่สบาย นี่คือความเรียบง่ายที่เห็นได้จากเจ้าหญิงพระองค์นี้

หากทรงประทับอยู่ในวัง ก็จะทรงสวมใส่เครื่องแต่งกายง่ายๆ สบายๆ ทุกอย่างบนพระวรกาย ทรงปล่อยให้เป็นธรรมชาติ ให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย เรียกว่าสวยธรรมชาติอย่างแท้จริง ทรงบอกอยู่เสมอว่า ‘อยู่บ้าน เราก็อยากใช้ชีวิตในแบบของเรา เป็นตัวของเรา ไม่อยากให้ตัวเองยึดติดกับทุกสิ่งทุกอย่างตลอดเวลา เราถือว่าเราแต่งกายสุภาพแล้ว มิได้ผิดกาลเทศะแต่อย่างใด นั่นก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อผ้าราคาแพงหรือต้องสวมชุดที่ดูเป็นทางการตลอดเวลา ถ้าเราต้องทำแบบนั้น เราคงเหนื่อยแย่'

“แม่ครัวใหญ่นำทีมมาเองเลยหรือจ๊ะ” เจ้าชายทุติยธรถามพระขนิษฐา

“วันนี้หญิงลงครัวเอง พี่ชายต้องเสวยให้หมดนะคะ” เจ้าหญิงแห่งมินธุราทูล ส่วนนางกำนัลที่ยกเครื่องเสวยก็ปลีกตัวไปทำหน้าที่ของตัวเอง

“ท้องพี่จะเสียหรือเปล่าเจ้า” เจ้าชายทรงเย้าน้องสาวเล่น

“แหม พี่ชายก้อ หญิงไม่ได้ไร้ฝีมือขนาดนั้นสักหน่อย ป้าจีรณาการันตีความอร่อยแล้วค่ะ”

“การันตีความอร่อย แต่ไม่ได้การันตีความปลอดภัยด้วยนี่นา” ทรงแหย่เจ้าหญิงเล่นอีก

“ถ้างั้นหญิงนำกลับไปก็ได้ แล้วจะให้ทางห้องเครื่องจัดเครื่องเสวยมาให้ใหม่” เจ้าหญิงหน้างอใส่พระเชษฐา รู้สึกน้อยใจเล็กๆ ที่ทรงดูถูกฝีมือของพระองค์

“โอ๋ๆ พี่เย้าเจ้าเล่นเท่านั้นเอง ขืนให้เจ้าเอากลับไป มีหวังคนแถวนี้ลงแดงตายแน่ๆ” เจ้าชายพาดพิงถึงใครบางคนที่ตอนนี้พักอยู่ที่ห้องรับรอง

“ใครหรือคะ” กัญญ์วราถามด้วยความสงสัย

“ก็พี่ไงเจ้า อดของอร่อยของเจ้า พี่ถึงขั้นลงแดงเลยนะเจ้า” เจ้าชายทรงแย้มพระโอษฐ์ ทรงรับไว้เสียเองเพราะไม่อยากให้ผู้เป็นน้องได้รับรู้เรื่องราวของใครบางคนนัก เพราะนางไมใช่เจ้าหญิงองค์เดิมที่มีใจปฏิพัทธ์กับพระสหายของพระองค์อีกแล้ว

“พี่ชายทรงล้อหญิงทำไมคะ คราวหน้าหญิงไม่นำมาถวายให้พี่ชายชิมอีกแล้ว จะดูสิว่าพี่ชายจะลงแดงจริงๆ หรือเปล่า”

“เจ้าจะใจร้ายกับพี่ถึงขนาดนั้นเลยหรือ ว่าแต่เจ้าจะอยู่ทานพร้อมพี่หรือเปล่า”

“ไม่ดีกว่าค่ะ หญิงทราบมาว่าพระสหายของเสด็จพี่ประทับอยู่ด้วยไม่ใช่หรือคะ เกรงว่าจะไม่สะดวก” กัญญ์วราบอกถึงเหตุผลที่ไม่สามารถอยู่ร่วมโต๊ะเสวยได้

“พี่เข้าใจ ขอบใจเจ้ามากนะสำหรับสำรับในวันนี้”

“ไม่เป็นไรค่ะ หญิงเต็มใจทำถวาย แต่ตอนนี้หญิงขอตัวก่อนดีกว่าค่ะ” เจ้าหญิงกัญญ์วราถอนสายบัว แล้วเดินเลี่ยงออกไป


ปล. อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันพ่อแล้ว อย่าลืมบอกรักพ่อกันนะคะ ^^




หนึ่งจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ธ.ค. 2555, 08:51:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ธ.ค. 2555, 08:51:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1985





<< บทที่ 2   บทที่ 4 >>
icewinter 1 ธ.ค. 2555, 19:41:31 น.
ติดตามต่อไปค่ะ รอลุ้นให้เจ้าชายเจอเจ้าหญิงไวๆค่ะ


หมูอ้วน 2 ธ.ค. 2555, 14:10:19 น.
ว้า...นึกว่าจะได้เจอกัน ตอนนำอาหารมาให้ที่ตำหนักนะเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account