ยุ่งนักรักคนเสื้อกาวน์ มาเฟียกับหมอสาวยอดยูโด
เฉินฮ่าวหมิงมาเฟียมหาเศรษฐีฮ่องกงผู้ลึกลับ น้อยคนที่จะเคยเห็นหน้าเขา เขาคือทายาทมหาเศรษฐีชาวจีนอันดับหนึ่ง เฉินกวงหลิน
การบริหารไม่แพ้ผู้เป็นบิดา จนคนตั้งฉายา
พ่อเสือ ลูกพญามังกร
เธอคือสูตินรีแพทย์สาว โก๊ะในบางเวลา แต่เธอก็มีจิตวิญญาณของความเป็นแพทย์เต็มตัว
แล้วสองคนก็โคจรมาพบกันเมื่อวันที่เธออยู่เวร เกิดเหตุไม่คาดฝันกับหญิงสาวคนหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับเฉินฮ่าวหมิง
แค้นนี้ต้องชำระ หนี้เก่าที่เธอเคยฝากรอยแผลไว้ให้เขา อาถรรพ์รัก ที่เธอลงคาถาเสกไว้ในตัวเขา เขาจะคิดบัญชีคืนพร้อมกันคราวนี้
แต่อย่าหวังว่าหมอนักยูโดสายดำคนนี้จะยอมง่ายๆ
การบริหารไม่แพ้ผู้เป็นบิดา จนคนตั้งฉายา
พ่อเสือ ลูกพญามังกร
เธอคือสูตินรีแพทย์สาว โก๊ะในบางเวลา แต่เธอก็มีจิตวิญญาณของความเป็นแพทย์เต็มตัว
แล้วสองคนก็โคจรมาพบกันเมื่อวันที่เธออยู่เวร เกิดเหตุไม่คาดฝันกับหญิงสาวคนหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับเฉินฮ่าวหมิง
แค้นนี้ต้องชำระ หนี้เก่าที่เธอเคยฝากรอยแผลไว้ให้เขา อาถรรพ์รัก ที่เธอลงคาถาเสกไว้ในตัวเขา เขาจะคิดบัญชีคืนพร้อมกันคราวนี้
แต่อย่าหวังว่าหมอนักยูโดสายดำคนนี้จะยอมง่ายๆ
Tags: วงการแพทย์ รักโรแมนติก หมอ มาเฟีย
ตอน: บทที่ 1 สูติแพทย์สาวใจเด็ด
ตอนที่ 1 ปัจจุบัน สูติแพทย์สาวใจเด็ด
รถพยาบาลสีขาวคันใหญ่ ด้านข้างติดโลโก้ โรงพยาบาลเพชรธานี แล่นช้าๆจนเกือบจะเป็นคลาน ปาดซ้ายปาดขวาหลบรถที่เคลื่อนต่อกันเป็นแถวยาวไปตามถนนด้านฝั่งธนบุรีจะมุ่งขึ้นสะพานตากสิน หากเพราะการจราจรติดขัด และขนาดของตัวรถบวกกับความไม่มีน้ำใจของเจ้าของรถบางคันที่แม้จะเห็นตัวหนังสือ Ambulance ด้านหน้ารถพยาบาลที่เขียนกลับจากขวาไปซ้ายให้ผิดจากเวลาปกติ
เพื่อให้อ่านได้ง่ายจากกระจกมองหลังของรถข้างหน้า อีกทั้งเสียงไซเรนขอทางที่ดังก้องไปทั้งถนน และยังไฟกระพริบวิบวับบนหลังคารถให้รู้ว่ามีคนไข้ฉุกเฉินอยู่ข้างใน ต้องการไปถึงโรงพยาบาลเร็วที่สุด ก็ยังเพิกเฉยไม่ยอมเปิดทางให้ ทำให้รถพยาบาลขยับไปได้ไม่ไกลเท่าที่ควร ท้ายสุดก็หยุดคร่อมเส้นแบ่งเลนตรงกลางถนน ไปต่อไม่ได้
"ทุเรศ"
หญิงสาวหน้าใสเกลี้ยงเกลา ผิวชาวอมชมพู ผมยาวสีดำเป็นเงางามของหล่อนรวบตึงไว้ด้านหลังเป็นทรงหางม้ารัดด้วยหนังยางเส้นเล็กง่ายๆที่นั่งอยู่ในรถตอนหลังสบถออกมาอย่างฉุนเฉียวหลังจากชะโงกมองผ่านกระจกใสเลื่อนเปิดปิดได้หลังที่นั่งคนขับ เห็นช่องว่างพอที่รถจะขยับไปข้างหน้าได้อีก แต่กลับไปไม่ได้ "คนสมัยนี้แล้งน้ำใจกันจริงๆ แม้แต่รถพยาบาลยังไม่ปล่อยให้ไป"
"อย่างนี้แหละครับหมอกล้วย" คนขับรถที่เพิ่งจะวิทยุพูดคุยติดต่อขอทางกับศูนย์วิจัยเพื่อประสานงานกับตำรวจจราจรเมื่อครู่หันมาเสริม "ผมเจอประจำ เวลารถติด ใครๆก็รีบ ธุระตัวเองต้องสำคัญที่สุด ใครจะเป็นจะตาย ช่างแม่งมัน"
"ต้องรอให้ญาติมันป่วยหนักแล้วรถติดแหงกไม่มีใครหลีกทางให้ มันถึงจะรู้สึก" หนุ่มน้อยประจำรถฉุกเฉิน หน้าที่เข็นเปลที่นั่งตอนหน้าคู่กับคนขับระบายอารมณ์หงุดหงิดออกมาบ้าง
แต่ทีเรื่องจราจรติดขัด ไม่ยักบ่น เพราะรู้ว่าโวยวายเท่าไหร่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
"ถ้าข้างหน้ามีน้ำใจช่วยกันขยับคนละนิดละหน่อย รถเราคงไปได้อีกไกล เผลอๆขึ้นสพานไปแล้ว" ที่คนขับคาดคะเนก็ไม่ผิดความจริงไปสักเท่าไหร่ เพราะช่องแคบๆระหว่างรถ หากรวมกันหลายๆช่องก็พอจะมีที่ให้รถคันใหญ่เบียดตัวผ่านไปได้
"ลุงมั่นพอกะได้ไหม เมื่อไหร่จะถึงโรงพยาบาล?" หมอคนเดียวในรถถามคนขับ ดวงตากลมโตสีนิลสุกใสฉายแววกังวลชัดเจน
ที่จริงคนเจ็บรายนี้เพิ่งไปรับมาจากร้านอาหารที่เกิดเหตุแก๊สระเบิดในช่วงเย็นหลังเลิกงานพอดี จึงมีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย ต่างถูกลำเลียงแยกย้ายส่งไปตามโรงพยาบาลต่างๆ ส่วนใหญ่ตามความประสงค์ของญาติหรือตัวคนเจ็บเองที่ยังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ แต่สำหรับเหยื่ออุบัติเหตุที่ไม่มีญาติและไม่เรียกร้องเจาะจงไปที่ไหน ก็จะพาไปส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด สะดวกที่สุด
สำหรับคนไข้หมอกล้วยตามรายงานแต่ทีแรกอยู่ห่างแรงกระแทกไปไกล มีแค่บาดแผลที่บริเวณใบหน้าและปาก นอกนั้นบริเวณอื่นไม่มีอาการบาดเจ็บสำคัญให้เห็น ตั้งแต่รับขึ้นรถมา ภาวะการรู้สึกตัว สัญญาณชีพและระดับออกซิเจนดูคงที่ตลอด แต่ถึงกระนั้นอาการบาดเจ็บแถวๆปากใกล้ทางเดินหายใจก็ไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่นัก
"คิดว่าไม่น่าจะเกินยี่สิบนาที" คนขับประมาณคร่าวๆ พลางเอี้ยวตัวไปด้านหลัง ตามองจับไปที่คนเจ็บบนเปลกลางรถ 'ภาระ' สำคัญที่เขามีหน้าที่ต้องพาไปส่งให้ถึงโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด หากไม่มีรถติด จากจุดเกิดเหตุ แค่สิบนาทีก็น่าจะถึงโรงพยาบาลแล้ว "ตำรวจกำลังพยายามเคลียร์ทางให้เราเต็มที่"
หมอกล้วยหรือหมอปันนาเม้มปากกัดริมฝีปากตัวเองแรงๆ เวลาเครียดหล่อนมักจะเผลอทำกริยาแบบนี้บ่อยๆ
"หมอคิดว่าพอไหว..." เสียงลุงมั่นไม่ทันขาดคำ คนเจ็บที่นอนสงบแต่แรกก็แสดงอาการกระสับกระส่าย เหงื่อแตก หายใจครืดคราดเหมือนขาดอากาศหายใจ เครื่องมอนิเตอร์จับระดับออกซิเจนเริ่มส่งสัญญาณเตือน
"หมอ! คนไข้แย่แล้ว" เสียงพยาบาลสาวร่างท้วมวัยไล่เลี่ยกับหมอร้องบอก ท่าทางตกใจ
เออรู้แล้ว ร้องเสียงดังทำไมให้ใจกระเจิง หมอก็นั่งเบิ่งตามองอยู่ตรงนี้อยู่แล้ว
"เป็นอะไร อยู่ดีๆทำไมแย่ลง" เสียงเดิมย้ำถามละล่ำละลัก
ปันนาไม่ตอบเพราะกำลังใช้หูฟังตรวจอาการของคนเจ็บอยู่
"ออกซิเจนตก เพิ่มเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น ความดันก็วัดไม่ได้ ปุกเปิดน้ำเกลือเต็มที่แล้ว" เสียงพยาบาลคนเดียวในรถที่เรียกแทนตัวเองว่า ‘ปุก’ รัวเร็วจนลิ้นแทบจะพันกัน "ว๊าย!" อุทานเสียงแหลมปรี๊ด "หน้าเขียวแล้ว สงสัยไม่รอดแน่"
พูดยังไม่ทันขาดคำ คนเจ็บก็ตาเหลือก ชักกระตุกแด็กๆ จะเพราะตกใจคำว่าไม่รอดแน่ของพยาบาลหรือเพราะสมองขาดออกซิเจน หรือเป็นจากทั้งสองกรณี ไม่มีใครรู้
"หมอกล้วย ใส่เอนโดเถอะ"
ใครเป็นหมอ ใครเป็นพยาบาลกันแน่ฟะ
หมอตัวจริงถอดหูฟังออก ส่ายหน้าไม่เห็นด้วยที่จะใส่ท่อช่วยหายใจ "ไม่มีประโยชน์หรอก เป็น Upper airway obstruction"
"เป็นได้ไง ขึ้นรถมา ก็เห็นดีๆอยู่"
"ข้างในคงเบิร์นมากกว่าที่เราเห็นข้างนอก เลยบวมขึ้นไปกดทางเดินหายใจส่วนบน" ปันนาสันนิษฐาน "บีบแอมบู ลมก็ไม่เข้าอยู่ดี" หล่อนบอกเมื่อเห็นพยาบาลพยายามช่วยคนเจ็บเต็มที่ด้วยการบีบเครื่องช่วยหายใจแบบใช้มือบีบครอบบนใบหน้าคนไข้ "เอาออกเถอะ เดี๋ยวหน้ายิ่งเยินหนักเข้าไปใหญ่"
"บีบแอมบูก็ไม่ได้ ใส่ท่อช่วยหายใจก็ไม่มีประโยชน์ อย่างงี้ก็ตายสิคะหมอ?"
ดูพูดเข้า แต่ละอย่างอวยดีๆทั้งนั้น โพสิทีบ ติ้งกิ้ง ความคิดด้านบวกน่ะมีบ้างไหม
หมอก็ใจเสียเป็นเหมือนกันนะ...โว๊ย
"แล้วจะทำยังไงดีครับ?" นายมั่นคนขับรถถึงจะมีประสบการณ์เรื่องคนไข้วิกฤตืในรถฉุกเฉินบ่อยกว่าใครเพื่อน แต่ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้
"เจาะคอ" หมอกล้วยทำเสียงหนักแน่น "ตอนนี้"
"ฮ้า..." สามเสียงอุทานขึ้นพร้อมกัน
"รอถึงโรงพยาบาลก่อน ไม่ปลอดภัยกว่าหรือคะหมอ" พยาบาลพยายามท้วง
"ถ้ารอปลอดภัยก่อน ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว"
"แต่เราไม่มีเครื่องมือเจาะคอนะคะหมอ"
"ยังไงก็ต้องทำ" หมอยืนกรานหนักแน่น หากภายในกลับเต้นรัวเร็วราวกับใครมาตีกลองอยู่ในหัวใจ แต่ภายนอกต้องวางมาดสวย สงบสยบความเคลื่อนไหวไว้ก่อน ยิ่งถ้ารู้ว่าในใจปันนากำลังนึกว่าครั้งสุดท้ายที่เจาะคอคนไข้นี่มันนานกี่ปีแล้วนะ รับรองวงแตกกระเจิง "ไหน กระเป๋ามีอะไรบ้าง เอาออกมาดูซิ" หญิงสาวหมายถึงกระเป๋ายาและครื่องมือฉุกเฉิน
คนรับคำสั่งมัวแต่งง ชักช้า ไม่ทันใจ คนสั่งเลยแย่งกระเป๋ามาเปิดเสียเอง เทของข้างในออกมาพรวดเดียว กวาดตามองแวบเดียว ก็ทำหน้าผิดหวัง "ไมไม่มีมีด?"
"กระเป๋าฉุกเฉินที่ไหนจะเอามีดติดมาด้วยล่ะคะ หมอกล้วย" พยาบาลรีบออกตัว เดี๋ยวคนเจ็บเป็นอะไรขึ้นมา พยาบาลได้กลายเป็นแพะปะไร โทษฐานเตรียมเครื่องมือมาไม่พร้อม "นี่รถพยาบาลนะคะ ไม่ใช่ห้องผ่าตัด"
"อย่าว่าแต่ในรถเลย ถึงอยู่ข้างถนน ก็ต้องทำ" หมอย้ำอีกครั้งพลางเหลียวซ้ายแลขวามองหาของมีคมที่พอจะใช้แทนมีดได้ "ใครเอามีดมาบ้าง มีดพก มีดพับ มีดอีโต้ได้ทั้งนั้น"
ทุกคนส่ายหัวดิก
คนถามชักหน้าซีด สมองตีบตัน นึกไม่ออกว่าจะเอาอะไรมาเจาะคอดี
เสียงอลาร์มของเครื่องจับออกซิเจน จังหวะการเต้นของหัวใจ เตือนถึงภาวะวิกฤติยังคงดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย
สงสัยจะได้ปั๊มหัวใจในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้แหละ
ลางสังหรณ์มันบอก
แต่ยังหรอก ชะตาเจ้าหนุ่มเหยื่อถังแก๊สยังไม่ถึงที่ เมื่อลำแสงสว่างเจิดจ้าพุ่งชอนใชลดเลี้ยวคดเคี้ยวไปตามรอยหยักลึกในสมองของปันนาแวบหนึ่ง
"ลุงมั่น เอากระทิงแดงมาให้หมอเร็ว" เสียงหมอโพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
คนขับรถสะดุ้งโหยง ซวยแล้วกู แค่แอบจิบนิดหน่อยพอกระชุ่มกระชวย หมอยังเห็นจนได้
"ผมแค่จิบไปอึกเดี..." รีบแก้ตัว
"พูดมากจริง รีบเอามาเร็ว เดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก" ปันนาขัด ท่าทางร้อนรน
ถึงลุงมั่นจะไม่รู้ว่าที่ว่าไม่ทันนั้น ไม่ทันอะไร แต่ก็ให้ความร่วมมือ รีบดึงขวดแก้วขนาดเล็กออกมาจากช่องเก็บของข้างประตูรถ เอี้ยวตัวส่งให้หมอตามสั่งอย่างว่าง่าย
"โห! ถึงกับต้องโด๊ปเลยหรือ..?"
'เพล้ง!'
ทุกคนสะดุ้งโหยง เสียงแก้วแตกกระทบพื้นดังสนั่น
เศษแก้วแผ่นใหญ่ ขอบคมปลายแหลมหนึ่งชิ้นอยู่ในมือปันนา
กระปุกมัวแต่เบิ่งตาอ้าปากค้างจนแมลงวันแทบจะบินเข้าไปได้ทั้งฝูง และกว่าภาพที่เห็นจะแล่นเอื่อยเฉื่อยขึ้นสู่ส่วนรับรู้ทางซีกซ้ายของสมองและแปลความหมายออก ปันนาก็จัดการราดน้ำยาฆ่าเชื้อลงบนแผ่นแก้วในมือเสร็จเรียบร้อย
หล่อนรีบขมีขมันทำหน้าที่พยาบาลอย่างตกกระไดพลอยโจนช่วยเทเบตาดีนลงบนผิวหนังบริเวณคอด้านหน้าตั้งแต่คางลงมาจนถึงไหปลาร้าของคนเจ็บเตรียมพื้นที่ผ่าตัดให้หมอ
ความหวังที่คนเจ็บจะรอดมองเห็นรำไร
ท่าทางหมอตอนจับขวดฟาดเปรี้ยงลงไปบนพื้น เท่ซะยังกับดูหนังฮอลลีวูดเลย
แต่! นี่คือชีวิตจริง หมอก็แค่คนธรรมดา ไม่ได้เก่งกาจไปเสียทุกเรื่อง
หมอกล้วยไม่ใช่พระเอกนางเอกในภาพยนตร์
หลังจากใช้นิ้วมือข้างที่ว่างลูบคลำไล่ไปมาตามรอยหยักตรงกระดูกส่วนคอตั้งแต่ลูกกระเดือกลงมาถึงรอยบุ๋มระหว่างไหปลาร้า เพื่อหาตำแหน่ง 'ลงมีด' ชั่วอึดใจหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นทำตาปริบๆกับพยาบาลที่จ้องเขม็งอยู่ก่อนแล้ว ถามกึ่งปรารภว่า
"ลงมีดตรงไหนอะ ห่างลูกกระเดือกเยอะไม๊? แล้วจะหลบเส้นเลือดใหญ่กับไทรอยด์ยังไง จำไม่ได้ละ”
"เย้ย...” พยาบาลทำหน้าหวอ ตาเหลือกแข่งกับคนไข้ "ตายแน่”
หมอไม่รู้ ใครจะรู้
ชะรอยเจ้าหนุ่มนี่ จะถึงฆาตเสียละกระมัง
"ยัง...ยังไม่ตาย" หมอรีบแย้ง
ไม่รู้ล่ะ คิดบวกไว้ก่อนแล้วกัน
ที่จริงหมอคงไม่ได้คาดหวังจะได้คำตอบอะไรจากพยาบาล เหมือนรำพึงรำพันกับตัวเองมากกว่า
สภาพของหญิงสาวตอนนี้คงไม่ต่างจากคนที่กำลังลอยคอขอความช่วยเหลืออยู่กลางทะเล เห็นกิ่งไม้ผุๆลอยมาตามน้ำ ถึงไม่ใช่ท่อนซุงก็ขอโผเข้าไปเกาะเสียหน่อย
ท่อนซุงหรือ?
เออ น่าจะคิดออกตั้งแต่แรกแล้ว มัวแต่สะดุ้งกับเสียงยายกระปุกนี่แหละ ความคิดดีๆกระเจิงหายหมด
แล้วหน้าตาที่ซีดเซียวของหมอกล้วยก็เริ่มซับสีเลือดขึ้นมาทันทีเมื่อผุดไอเดียกิ๊บเก๋ได้ในวินาทีสุดท้าย
ท่อนซุงของหมอกล้วยก็คือ
"โทรหาพี่ฉัตรด่วน"
เพียงแค่ชื่อหมอฉัตร ที่เปล่งออกมาดุจมีมนต์ขลังเติมพลังพิเศษให้ทุกคนรู้สึกระตือรือร้น เต็มไปด้วยพลังแห่งความหวัง และเกิดความเชื่อมั่นแรงกล้า
คนเจ็บจะต้องไม่ตาย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 พ.ย. 2555, 06:13:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 พ.ย. 2555, 06:43:29 น.
จำนวนการเข้าชม : 1518
<< บทนำ อดีต แรกรักปักใจ | พญามังกรเฉินฮ่าวหมิง vs สูติแพทย์สาวใจเด็ด ตอนที่ 2 >> |

ปลาวาฬสีน้ำเงิน 25 พ.ย. 2555, 10:34:07 น.
เนื้อเรื่องน่าสนใจติดตาม ดีค่ะ ปันนา น่ารักดี มีทั้งอารมณ์ ความรู้สึก ของคนธรรมดา+อาชีพหมอ จะคอยเป็นกำลังใจและติดตามผลงาน ต่อไป
เนื้อเรื่องน่าสนใจติดตาม ดีค่ะ ปันนา น่ารักดี มีทั้งอารมณ์ ความรู้สึก ของคนธรรมดา+อาชีพหมอ จะคอยเป็นกำลังใจและติดตามผลงาน ต่อไป

หมีสีชมพู 26 พ.ย. 2555, 05:04:47 น.
รออ่านต่อค่ะ
รออ่านต่อค่ะ

bigrabbit 27 พ.ย. 2555, 09:10:35 น.
เนื้อเรื่องเกี่ยวก้บวงการแพทย์น่าสนใจมากๆๆๆ
เนื้อเรื่องเกี่ยวก้บวงการแพทย์น่าสนใจมากๆๆๆ

antibody 27 พ.ย. 2555, 14:16:46 น.
หมอฉัตรคงเก่งมานะคะ เป็นพระเอกป่าวคะ
หมอฉัตรคงเก่งมานะคะ เป็นพระเอกป่าวคะ

juneo 27 พ.ย. 2555, 14:18:57 น.
ขอถามนิดนึงนะค่ะคนแต่งเป็นหมอรึเปล่าค่ะ
ขอถามนิดนึงนะค่ะคนแต่งเป็นหมอรึเปล่าค่ะ

notedevilbit 28 พ.ย. 2555, 16:39:31 น.
เย้ย กระทิงแดงนี่ใช้ได้จริงๆหรอออ
เย้ย กระทิงแดงนี่ใช้ได้จริงๆหรอออ

idon 29 พ.ย. 2555, 18:24:00 น.
หมอฉัตรนี่วางภาพซะเท่ นึกว่าเป็นพระเอกเสียอีก
หมอฉัตรนี่วางภาพซะเท่ นึกว่าเป็นพระเอกเสียอีก