The Recapture ร้ายทวงรัก(สำนักพิมพ์ sugar beat)
ฉันจะทำให้คุณสยบแทบเท้า เพราะรักฉัน!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 7...100%

ตอนที่ 7

วันแรกของการศึกษางานเพื่อดูแลธุรกิจฟาร์มไข่มุก ‘ภูเก็ต เพิร์ล เวิร์ล จำกัด’ นายหัวเริ่มต้นด้วยการพาสูรย์กับปีวราไปพบคุณณรงค์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของที่นี่มาตั้งแต่ยุคบุกเบิก ครั้งยังเป็นเพียงฟาร์มไข่มุกเล็กๆเกือบสิบห้าปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันเจ้าตัวดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประธาน ดูแลทุกภาคส่วนขององค์กร

ธุรกิจไข่มุกของที่นี่ แบ่งสถานที่ประกอบการออกเป็นสองส่วน...ฟาร์มเลี้ยงมุกจะอยู่บริเวณอ่าวสะปำ ทางทิศตะวันออกของภูเก็ต ห่างจากฝั่งประมาณ 1 กิโลเมตร แถบทะเลอันดามัน ใช้เวลาเดินทางโดยเรือประมาณ 10 นาที ส่วนโรงงานไข่มุกภูเก็ตตั้งอยู่ฝั่งตัวเมือง เป็นสถานที่จำหน่ายเครื่องประดับที่ทำจากเพชร ไข่มุก ทอง ฯลฯโดยออกแบบงานฝีมืออย่างประณีตเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง แต่กว่าธุรกิจของตระกูลสมบูรณ์พูนผลจะประสบความสำเร็จในระดับนี้ ล้วนผ่านอุปสรรคนานัปการ

แต่ที่เพิ่งสร้างชื่อจนกลายเป็นข่าวครึกโครมในหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อปีที่แล้ว คือการคิดค้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่าสามปี โดยพัฒนาลักษณะเด่นของมุกเซ้าซีและมุกมาเบ้เข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดมุกชนิดใหม่ที่มีสีรุ้งประกายทอง ครั้นประสบความสำเร็จในขั้นต้น จึงได้ยื่นจดสิทธิบัตรในนามของบริษัท

แล้วนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ที่เสี่ยสวัสดิ์หวังจะต่อยอดธุรกิจ สร้างชื่อเสียงให้ดังกระฉ่อนไประดับโลก ท่านจึงมีแนวคิดอยากจะให้สูรย์มาทำหน้าที่บริหารและดูแลการตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่วนปีวราให้ควบคุมงานทางด้านภาพลักษณ์ขององค์กร

แต่กระนั้น ก็มีอยู่น้อยคนที่ทราบถึงภาวะฝืดเคืองของฟาร์มไข่มุกที่นี่เมื่อสิบกว่าปีก่อน ซึ่งเงินทุนหมุนเวียนนั้นขาดสภาพคล่องจนเกือบถึงขั้นวิกฤต ด้วยปัญหาหลายประการทั้งด้านผลผลิตไม่ถึงตามเป้า อันมีต้นเหตุมาจากสภาพดินฟ้าอากาศเป็นตัวแปร แต่ระหว่างที่เสี่ยสวัสดิ์กำลังประคับประคองธุรกิจไม่ให้ล่ม เพียงไม่ถึงครึ่งปี ท่านสามารถฟื้นฟูสภาพการเงินจนกระเตื้องเข้าสู่ภาวะปกติ จนนำมาซึ่งการเติบโตและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ด้วยเงินก้อนโตจากใครบางคน

ซึ่งท่าน ‘คดโกง’ มา

แล้วสิ่งที่ปกปิดมายาวนานนั้นเล่า มันจะถูกลบเลือนไปได้นานเพียงไร เมื่อความลับไม่เคยมีอยู่ในโลก...และมีคนรู้เห็นถึงสี่คน

เสียงคุณณรงค์เอ่ยทักทายผู้มาเยือนยังฟาร์มทั้งหมดดังลั่นสมกับตัว “เมื่อวานอาไม่อยู่ ไปธุระที่หาดใหญ่ เลยไม่ทันอยู่ต้อนรับหลานชาย เป็นยังไงบ้างล่ะ อาได้ข่าวว่าสาวๆที่อยู่บนเกาะต่างตื่นเต้นที่ได้พบหน้าหลาน”

หนุ่มสาวประนมมือไหว้ผู้สูงวัยกว่า โดยที่สูรย์เป็นคนตอบ “คุณอาก็พูดเกินไปครับ คนที่เข้ามาทักทาย ส่วนใหญ่ก็เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น เคยเห็นผมตั้งแต่สมัยยังเด็กๆ พอได้เจอผมอีกทีตอนโตแล้ว ก็เลยแวะเข้ามาชวนคุย...ก็เท่านั้นเอง”

คุณณรงค์เป็นชายสูงวัย อายุปาเข้าไปหกสิบตอนต้น รูปร่างท้วมสมบูรณ์ ไว้
หนวดเหนือริมฝีปากบางเป็นสีดำแซมขาวเช่นเดียวกับเส้นผม ซึ่งบางเรียบ หน้าตาท่านเป็นคนใจดี สุภาพ คิ้วบางอยู่เหนือดวงตาเล็กยิบหยี ดูเหมือนมีเชื้อสายจีนมากกว่าจะเป็นคนทางภาคใต้ ยกเว้นก็แต่สีผิวที่เข้มมาตั้งแต่เกิดและสำเนียงภาษาที่เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าคุณณรงค์เป็นหนุ่มใต้ขนานแท้

ถ้าคุณณรงค์มายืนเทียบกับเสี่ยสวัสดิ์ รูปร่างของฝ่ายหลังแม้จะมีโครงสร้างที่สูงใหญ่ แต่น้ำหนักตัวก็ไม่ได้น้อยกว่าคุณณรงค์ แต่ว่าหน้าตานั้นคมคาย สุขุมลุ่มลึก ทิ้งเค้าความหล่อเหลาเป็นต้นพิมพ์แก่บุตรชาย ยิ่งดวงตาของเสี่ยใหญ่มองใคร ในความเรียบนิ่งกลับซ่อนความกรุ้มกริ่มเจ้าชู้อย่างหาตัวจับยากทีเดียว

“นอกจากโตเป็นหนุ่มหล่อเฟี้ยวไม่แพ้สมัยรุ่นพ่อ อาว่าสูรย์ท่าทางจะเจ้าชู้ไม่แพ้พ่อเราเหมือนกันนะ”

คุณณรงค์ออกความคิดเห็นโดยไม่ได้คิดอะไร ทว่ากลับกระทบเข้ากับความรู้สึกของปีวราอย่างจัง เธอจึงกลบเกลื่อนสีหน้าด้วยการมองไปยังด้านในเรือนรับรอง เวลานั้นนายหัวของฟาร์มก็เปลี่ยนเรื่องพอดี

“แล้วนี่ตกลงว่าจะเริ่มให้สูรย์เรียนรู้ตรงไหนก่อนดี ยังไงฝากนายช่วยดูแลทั้งคู่ด้วยนะ เอาตามที่เราเคยคุยกันไว้ พอดีมีธุระบนฝั่งนิดหน่อย...” นายหัวใหญ่หันไปมองคู่คิดในการทำงานอย่างรู้กัน โดยไม่ต้องเอ่ยว่าธุระของตนนั้นคือสิ่งใด ฝ่ายนั้นก็รับคำอย่างเข้าใจ

“ตามสบาย ไปจัดการธุระทางโน้นให้เรียบร้อยละกัน” แล้วคุณณรงค์ก็หันไปทางชายหนุ่ม “ส่วนทางนี้เดี๋ยวอาจะเป็นคนสอนงานคร่าวๆให้กับสูรย์เอง แล้วจะให้ดำเกิงมาเป็นผู้ช่วยอีกแรง...อ้อ! ส่วนหนูปี ช่วงนี้ก็เรียนรู้งานในส่วนของสูรย์ไปก่อนนะ ถ้าหนูปีเข้าใจงานทั้งหมด ถึงเวลาไปทำงานในส่วนประชาสัมพันธ์มันก็จะได้ทำง่ายขึ้น”

ท้ายๆผู้อาวุโสหันมาทางหญิงสาว แล้วก็หมุนตัวกลับ ไม่ได้สนใจว่านายหัวจะแยกตัวไปตอนไหน หรือว่าเธอกับสูรย์จะก้าวตามไปแล้วหรือไม่ เธอจึงได้แต่เดินตามทิ้งห่างจนเกือบช่วงตัว ทำเป็นเมินมองสูรย์ซึ่งพยายามชะลอฝีเท้า เพื่อรอก้าวเดินไปพร้อมกัน

ในจังหวะที่คุณณรงค์เดินนำหน้า ตะโกนเรียกหาดำเกิง ซึ่งมีบทบาทในการรับฟังคำสั่งจากคุณณรงค์อีกทอดหนึ่ง ให้ทำทุกหน้าที่แล้วแต่จะสั่ง

ดำเกิงเป็นเด็กหนุ่มผิวสีเข้มไม่แพ้นายเกลี้ยง หน้าตาก็ละม้ายคล้ายคลึงด้วยเป็นญาติกันห่างๆ...เจ้าตัวกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาจากมุมห้องซึ่งใช้เป็นที่พำนักรองรับแขก ตรงรี่เข้ามารอฟังคำสั่ง เห็นคุณณรงค์กำลังชี้มือชี้ไม้ไปหลายทิศทาง คล้ายแจกแจงจ่ายงานที่เหมาะสมให้อีกฝ่ายทราบ แล้วพากันหายไปทางด้านหลัง

จังหวะนั้น สูรย์ซึ่งเดินขนาบข้าง มือสองข้างล้วงกระเป๋าอย่างไว้ท่า แต่เอียงคอพูดกับเธอด้วยเสียงเบาพอได้ยินกันสองคน

“บอกตามตรง ไม่นึกไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าเธอจะคือน้องปีของพี่”

นี่เป็นประโยคแรกนับแต่เช้าของวันนี้ ที่สูรย์ได้เอ่ยกับเธออย่างใกล้ชิด และเขาถือสิทธิ์ในอดีต เรียกแทนตัวว่า ‘พี่’ อย่างที่เคยเป็น โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ แทนที่จะเรียกว่า ‘คุณ’ อย่างที่พูดกันวันสองวันนี้

“แล้วยังไงคะ...จะสิบปีที่แล้ว เวลานี้ ตอนนี้ หรือว่าผ่านไปอีกกี่ปี...ฉันก็คือปีอยู่วันยังค่ำ”

น้ำเสียงเธอเสียงกระด้าง ดวงตาแข็งไร้เยื่อใย...แต่ชายหนุ่มก็มิได้ถือสา ทอดเสียงอ่อน “อย่าพูดตัดรอนกันแบบนั้นสิ เมื่อเช้าที่โต๊ะอาหาร พี่ทั้งตื่นเต้น ทั้งตกใจ แล้วก็ดีใจ...”

หญิงสาวชะงักกึก หันขวับไปมองด้วยสายตานิ่งจนไม่อาจเดาความคิดได้ “แต่ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรไปกับคุณ”

ชายหนุ่มเผลอตัวไปจับต้นแขนฝ่ายหญิง “ทำไมถึงคุยกับพี่ห่างเหินแบบนั้นล่ะ เรียกพี่ว่าพี่เหมือนเดิม แล้วแทนตัวเองว่าปีแบบเดิม เมื่อก่อนโน้น ไม่ได้หรือไง”

“ฉันไม่นับว่าคุณเป็นพี่ คุณมันก็แค่คนที่เคยรู้จัก...อ๋อ! ไม่ใช่สิ ฉันไม่เคยรู้จักคุณด้วยซ้ำ ว่าคุณเป็นใคร”

“โธ่! ปี ถ้าเป็นเรื่อง...”

ชายหนุ่มกำลังจะเท้าความเรื่องเมื่อคืนก่อน ปีวราพลันจับข้อมือของเขาสะบัดออก ยิ้มเหยียดยาว แล้วสะบัดหน้าอย่างไม่แยแส จังหวะเดียวกับที่คุณณรงค์เดินกลับมาพร้อมกับดำเกิง ทั้งคู่ยิ้มร่ามาแต่ไกล

แต่กระนั้น เท่าที่ปีวราจับสังเกตได้ กลับรู้สึกว่ารอยยิ้มสุภาพของชายสูงวัย กลับดูมีนัยยะแฝงไว้ชอบกล

.........................................................

บริเวณฟาร์มเลี้ยงมุกติดน้ำทะเลสีฟ้าอมเขียว มีเรือนรับรองแขกหลังเดี่ยว ตั้งอยู่ด้านหน้าสุดติดหาดทราย เมื่อเดินลัดเลาะไปตามสะพานไม้ จะเป็นอาคารขนาดใหญ่ ภายในโปร่ง กว้าง ไว้เป็นที่คัดแยกคุณภาพของมุก โดยที่ด้านนอกเหนือน่านน้ำทะเลจะมีไม้ไผ่วางซ้อนทับ เป็นตะแกรง ขนาดห่างพาดอยู่บนสะพานไม้ ใช้เป็นที่เพาะเลี้ยงหอยมุก

คุณณรงค์เดินนำหน้าสุด เริ่มอธิบายกระบวนการตามธรรมชาติของการทำฟาร์มตั้งแต่ต้น เพื่อให้สูรย์ได้ซึมซับความเป็นไปในวิถีของมัน โดยมีดำเกิงเดินตามหลังอย่างเงียบๆ

ชายสูงวัยผู้มีประสบการณ์เล่าว่า ตั้งแต่ร่วมบุกเบิก ที่นี่เน้นทำฟาร์มเลี้ยงมุกซีกมาจนถึงมุกกลม “เวลาที่อาเห็นที่นี่ประสบความสำเร็จ อามักจะนึกย้อนไปถึงตอนแรกๆเสมอ ตั้งแต่เรายังไม่มีโรงงานบนฝั่ง...เราเริ่มทำด้วยสองมือ จนขยายเป็นหลายสิบ หลายร้อย และการเริ่มต้นที่ศูนย์ในวันนั้น มันก็คุ้มค่า ไม่สูญเปล่าเลย”

สูรย์ตั้งใจฟังและกล่าวเสริม “เท่าที่ผมจำได้ ในตอนเด็กๆ คุณพ่อไม่ค่อยจะกลับไปที่บ้านบ่อยนัก วันๆก็มักจะอยู่กับคุณอาที่นี่ จนคุณแม่ผมยังบ่นอยู่เรื่อย ว่าคุณพ่อทำงานหามรุ่งหามค่ำ นี่คงเป็นผลตอบแทนที่คุณพ่อกับคุณอาตั้งใจร่วมมือกันทำงาน มันถึงได้เจริญแล้วก้าวไกลขนาดนี้”

คุณณรงค์หัวเราะในลำคอเสียงเบา แต่เหมือนติดๆขัดๆ ก่อนจะพ่นความในใจลอยๆ “แต่กว่าที่มันจะประสบผลสำเร็จอย่างทุกวันนี้ มันก็ทำร้าย...”

แล้วท่านก็ถอนหายใจทิ้ง เปลี่ยนบทเจรจากลับมาเรื่องงานอีกครั้ง โดยที่ผู้รับฟังไม่ได้ติดใจ กลับซักถามในเนื้องานอย่างสนใจ

“แล้วถ้าผมจะเข้ามาสานต่อ ผมควรเริ่มงานจากตรงไหนก่อนครับคุณอา”

“ถ้าสูรย์ตั้งใจจริง...ก็ต้องเรียนรู้ตั้งแต่กระบวนการแรกของวงจรชีวิตหอยมุก มีโอกาสสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับการทำงานของลูกจ้างทุกคน เพราะเราถือว่าทุกคนที่นี่อยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ มีอะไร เราก็พึ่งพาช่วยเหลือกัน ดังนั้นอาอยากแนะนำให้สูรย์ลงไปคลุกคลีกับทุกคน”

ชายหนุ่มเข้าใจความหมายของคุณณรงค์เพียงครึ่งเดียว จึงถามออกไปว่า “ที่ว่าให้ผมลงไปคลุกคลี คือต้องทำยังไงครับ”

ดำเกิงที่ติดตามอยู่ด้านหลัง ยิ้มเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ แล้วกล่าวแทนผู้เป็นนาย “ที่น้ารงพูด หมายถึงว่าอยากให้นายหัวน้อย ได้ลงมือทำงานแบบเดียวกับลูกจ้างที่นี่ไงครับ”

“ถูกอย่างที่นายดำพูด อาหมายถึงว่า สูรย์ควรจะลงมือทำงานแบบเดียวกับที่ลูกจ้างเขาลงมือทำกัน เรียนรู้งานตั้งแต่เบื้องต้น ตั้งแต่การเตรียมฟาร์มผลิต เพื่อรองรับหอยมุกที่ได้จากชาวประมงไปดำหาในทะเล แล้วนำมาส่งขายให้กับทางบริษัทของเรา”

สูรย์หน้าจืดลงไปเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าตัวเขาสำอาง หยิบหย่งจนไม่เป็นงาน แต่ก็นึกไม่ถึงว่าการจะเป็นผู้บริหารงานระดับสูง จะต้องเริ่มบริหารงานในระดับที่ไกลตัวเสียก่อน

“หมายถึงผมจะต้องลงมือคัดหอยที่ชาวประมงนำมาขายด้วยตัวเองหรือเปล่าครับ”

คุณณรงค์พยักหน้ารับ พร้อมกับชี้นิ้วไปยังคนงานที่จ้างรวมกลุ่มกับชาวประมงร่วมสิบกว่าคนที่กำลังง่วนกับการคัดเลือกหอยที่จับได้อยู่บนพื้นไม้กระดานไม่ไกลนัก

ปีวราซึ่งยืนฟังอยู่นาน เห็นสูรย์ตีหน้าขรึม เธอจึงแกล้งพูดกระเซ้าชวนโมโห “คุณอาคะ...งานลำบากแบบนี้ ปีว่าไม่เหมาะกับคุณสูรย์หรอกค่ะ เขาอยู่เมืองนอกมาตั้งสิบกว่าปี เจอแต่อากาศหนาวเป็นส่วนใหญ่ ถ้าต้องมาอยู่กลางแดดกลางลม ปีว่าเขาจะเป็นลมล้มพับไปก่อนสิคะ แถมตัวโตยังกับยักษ์ปักหลั่น เกิดหน้ามืดตกน้ำตกท่าไป จะมีใครช่วยอุ้มไว้ได้”

สูรย์หันขวับมามอง ยิ้มครึ่งๆกลางๆให้ผู้ที่เย้ยหยัน “ปีจะรู้ได้ยังไงว่าพี่ทำไม่ได้ พี่ยังไม่ได้พูดสักคำ”

“ของแบบนี้ เดาไม่ยากหรอกค่ะ ภายนอกคุณออกจะสำอาง แต่งตัวเนี้ยบ อยู่เมืองนอกก็คงกินกับนอน เพื่อรอเวลาเรียนแค่นั้น ไม่รู้ว่าจะล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน หรือว่าต้มมาม่าเป็นรึเปล่า ก็ไม่รู้”

สูรย์ ‘ติดกับ’ คำดูถูกของฝ่ายหญิงจนได้ จึงเดินเข้ามาประชิดตัว แล้วเผลอจับคางของเธอเชิดขึ้น โดยลืมคิดไปว่าทั้งคู่ไม่ได้อยู่กันตามลำพัง

“ถ้าปีไม่เชื่อว่าพี่ทำได้ เรามาลองดูกันสักตั้งไหมล่ะ ว่าแต่ปีเถอะ แต่งหน้าแต่งตัวสวยแบบนี้ จะกล้านุ่งผ้าถุง หรือว่าแต่งตัวมอซอ มายืนทำงานตากแดดตากลมรึเปล่าล่ะ”

ปีวราไม่ชอบให้ใครมาท้า เธอหรี่ตามองเขาอย่างเอาเรื่อง โดยกระชากมืออีกฝ่ายออก “ถึงฉันจะเป็นผู้หญิง แต่ยังไงก็ไม่แพ้ผู้ชายอกสามศอกอย่างคุณแน่”

เธอก็ ‘ติดกับ’ เขาเช่นกัน

“ก็ดี...งั้นเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เราสองคนมาลุยงานในฟาร์มนี้ดู ว่าใครมันจะอึด ทนกว่ากัน แต่ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”

เมื่อสูรย์มีข้อเสนอ ปีวราก็ไม่รอช้า ตอบสนองด้วยการแลกเปลี่ยนที่เธอมองว่าต้องคุ้มค่าเช่นกัน โดยที่ทุกคำพูดของคนทั้งคู่ ล้วนอยู่ในสายตาของคุณณรงค์และดำเกิง โดยทั้งสองคนนั้น กลายเป็นพยานในการรับเดิมพันไปโดยปริยาย

“ถ้าฉันชนะ ไม่ยอมแพ้คุณก่อน คุณจะต้องยอมเป็นลูกไล่ อยู่ภายใต้คำสั่งฉัน ตกลงไหม”

ความคิดของปีวราก็แค่ต้องการให้สูรย์เสียเกียร์ติ ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย ถูกเธอข่ม ทว่าเธอก็ไม่อาจทันความคิดเจ้าเล่ห์ เจ้าชู้ของฝ่ายชาย

“พี่ตกลง ถ้าพี่อู้งาน...ยอมแพ้ พี่จะยอมอยู่ใต้อาณัติของปีไปตลอดชีวิต ปีอยากจะโขกสับ ทำอะไรกับพี่ก็เชิญ”

“ก็ดี...แล้วอย่ากลับคำล่ะ”

คราวนี้สูรย์อมยิ้มกริ่ม “ส่วนข้อตกลงของพี่ ปีจะว่ายังไงล่ะ ถ้าปีเป็นฝ่ายยอมแพ้”

“คุณมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรก็ว่ามา อย่ามาลีลา”

ชายหนุ่มโน้มใบหน้า ป้องมือไปกระซิบที่ใบหูของเธอ เมื่อพูดสิ่งที่เขาต้องการออกไปแล้ว สิ่งนั้นมันทำให้เธอถึงกับหน้าแดงซ่าน ทั้งโกรธทั้งอาย

.............................................................

‘ถ้าพี่ชนะ ปีจะต้องยกโทษสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด แล้วแต่งงานกับพี่นะ’

ข้อแลกเปลี่ยนของสูรย์ ทำให้หัวใจของปีวราเต้นส่ำไม่เป็นจังหวะ โกรธที่เขามักง่าย นำเรื่องน่าอับอายมาเป็นข้อต่อรอง จะขอให้เธอยกโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นแบบง่ายดาย แต่มันก็มีความอายแทรกซ้อนเข้ามาปะปน เมื่อได้ยินคำต่อท้าย

ผู้ชายคนนี้เห็นการต่อรองเป็นเรื่องสนุก โดยเอาการแต่งงานมาเดิมพัน อย่างนั้นล่ะหรือ?

ครั้นจะโวยวายเสียงดัง ทุกอิริยาบถก็อยู่ในสายตาของคนอื่นด้วย ปีวราจึงแสร้งทำเป็นเมิน ไม่ตอบรับข้อตกลงนั้น แล้วเดินเลี่ยงไปยังมุมอื่น ที่พอจะหลบสายตาทุกคู่ในที่นั้น เพื่อพรางความรู้สึกนึกคิดของตน

แล้วความเงียบของเธอ ก็กลายเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย เมื่อสูรย์ตะโกนไล่หลังขึ้นมา ‘ปีไม่ตอบ พี่ถือว่าเป็นอันตกลงนะครับ’

แล้วตลอดทั้งวัน ก็ทำให้หญิงสาวไม่มีสมาธิ จิตใจเลื่อนลอย ฟังเรื่องราวของฟาร์มไข่มุก รวมถึงวิธีการเพาะเลี้ยงจากปากคุณณรงค์เพียงแค่ผ่านหู จนกระทั่งเวลาหมดไปทั้งวัน คำท้าทายของสูรย์กับสายตาของเขายังคงตามมามีอิทธิพลรบกวนจิตใจของเธอ

ยิ่งขลุกตัวอยู่ลำพังในห้องนอน ดูเหมือนว่าจะได้ยินเสียงนั้นชัดเจน!

“ปีอยู่ในห้องไหมลูก แม่มีเรื่องอยากคุยด้วย”

เสียงของนางปราณีดังอยู่หน้าประตู เรียกความคิดในห้วงภวังค์ของเธอให้กลับมา เมื่อรู้สึกตัว จึงเดินไปเปิดประตู ครั้นเห็นมารดามีสีหน้าวุ่นวายใจ เธอก็อดเป็นห่วงไม่ได้

“แม่เป็นอะไรคะ ทำไมถึงทำหน้าเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ”

หญิงสาวฉุดแขนผู้เป็นแม่ให้เข้ามาภายในห้อง เมื่ออยู่กันสองต่อสอง นางปราณีที่นั่งลงบนเบาะทรงกลมเป็นเครื่องสานจากผักตบชวา ก็เลียบเคียงออกมาทีละนิด ด้วยอาการอ้อมแอ้มในคำพูด

“แม่แค่อยากจะมาถามลูก ว่าวันนี้เป็นยังไงบ้าง...”

ท่านเหมือนจะถามประโยคถัดไป แต่กลับชะงักไปเสียเฉยๆ จนลูกสาวขมวดคิ้วชนกัน “แม่อยากมาถามหนู เรื่องที่ไปเรียนรู้งานวันนี้ จริงๆหรือเปล่าคะ”

เธอลงนั่งบนเบาะงานสานข้างกัน แล้วกุมมืออีกฝ่ายอย่างปลอบโยน ด้วยรู้ว่าแท้จริงผู้เป็นแม่ น่าจะมีสิ่งอื่นใดแอบแฝงมากกว่านั้น สังเกตได้จากความโรยล้าในดวงตาซึ่งเคยมองเธออย่างเป็นห่วงเสมอมาตั้งแต่เด็ก

ถ้าเทียบกับสมัยที่เธอยังเป็นเด็กหญิง มีชีวิตครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก ตอนนั้นนางปราณีดูสดชื่นไปทั้งภายนอกและภายใน เรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัว ผิวพรรณอันละเอียดเนียนทั่วสรรพางค์ ได้รับการทะนุถนอมอย่างผู้ลากมากดี ถึงแม้ว่าสมัยนั้น ท่านจะเป็นเพียงศรีภรรยาที่มีหน้าที่เป็นแม่เหย้าแม่เรือน ดูแลปรนนิบัติสามีอยู่แต่ในบ้านอย่างผู้เป็นช้างเท้าหลัง

ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันเกือบสิ้นเชิง ที่ยามนี้แม้แต่ผมเผ้าซึ่งเคยเข้าร้านเสริมสวยบ้าง อย่างน้อยก็สองครั้งในสัปดาห์ มาตอนนี้ แทบจะไม่ได้เหยียบย่างเข้าไปเลย ยกเว้นก็แต่มีธุระปะปังในยามเข้าไปในเขตเมือง หรือนายหัวต้องการให้ท่านไปออกงานสังคมเป็นบางวาระ ดังนั้นสภาพความงามที่หลงเหลืออยู่ จึงมีเพียงเค้าโครงในคุณลักษณะของรูปโฉมเท่านั้น ที่นับว่ายังน่าชวนพิศ

ยิ่งมีเรื่องทุกข์ตรมขมไหม้ที่กักเก็บไว้ตั้งแต่ชีวิตพลิกผัน นางปราณีก็เต็มไปด้วยความทุกข์โศก หน้าชื่นอกตรม โดยมักจะยิ้มแย้มต่อหน้าเธอและผู้อื่นเสมอ ยอมเก็บความเจ็บปวดไว้เสียเอง จนมาช่วงหลังไม่นานนัก ที่เหมือนว่าความชอกช้ำเหล่านั้นเปรียบเสมือนน้ำล้นแก้ว

ท่านจึงเริ่มระบายมากขึ้น

“แม่เป็นห่วง พูดตามตรง แม่ไม่อยากให้ปีไปทำงานพร้อมๆกับสูรย์” ท่านนิ่งโดยใช้ความคิด แววตาว้าวุ่น กว่าจะเอ่ยประโยคถัดมาได้ “แม่มาคิดๆดูแล้ว แม่อยากจะไปจากที่นี่ อย่างที่ปีเคยคุยกับแม่เอาไว้”

สิ่งที่มารดาคิด เคยตรงกับความต้องการของปีวรา ก่อนหน้าที่จะกลับจากงานแต่งของเพื่อน แต่ในชั่วโมงนี้ ความคิดเช่นนั้นไม่หลงเหลืออีกแล้ว

เธอต้องการอยู่ที่นี่...ต้องการแก้แค้นคนที่นี่!

“ทำไมแม่ถึงเปลี่ยนใจ ทำตามคำขอของหนูล่ะคะ ในเมื่อตอนแรก แม่เป็นคนยืนกราน ว่าเราสองคนไม่ควรไปจากที่นี่”

ความสงสัยของผู้เป็นลูก ไม่อาจเค้นคำตอบจากแม่ได้ ท่านเพียงแค่พูดย้ำๆ “แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แม่รู้สึกกลัว...กลัวว่า...”

‘ความกลัว’ ในจิตใจมารดา คือความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสูรย์ แต่เธอก็ไม่ได้รอฟังความคิดนั้น กลับพูดสวนออกไปอย่างถือมั่น

“เราจะยังไม่ไปจากที่นี่ ในตอนนี้หรอกค่ะแม่...มันยังไม่ถึงเวลา”

.....................................................




พู่ไหมบุรามฉัตร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ธ.ค. 2555, 13:44:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ธ.ค. 2555, 13:44:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 1223





<< ตอนที่ 6   ตอนที่ 8 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account