ชะตาฟ้า...ลิขิตรัก (ฟ้าดลรัก)
จากหญิงสามัญชนกลับกลายเป็นเจ้าหญิงสูงศักดิ์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ชีวิตของเธอจะดำเนินต่อไปอย่างไร ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมากมาย และเธอจะมีโอกาสได้เคียงคู่กับเจ้าชายที่แสนดีอย่างในนิทานหรือไม่....
Tags: เจ้าชาย-เจ้าหญิง

ตอน: บทที่ 4

บทที่ 4

อุปกรณ์ทำบุหราถูกนำมาไว้ที่มุมประทับยามบ่ายของเจ้าหญิงกัญญ์วรา เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างให้ผู้เป็นนายเรียบร้อยแล้ว อรทัย อรสา และอรณี ต่างก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน เพราะเจ้าหญิงโปรดที่จะประทับอยู่คนเดียว ทรงงานไปเรื่อยๆ ไม่ทรงโปรดให้ใครมารบกวน

หน้ากากอนามัยถูกนำมาใช้อีกครั้ง เพราะงานตรงหน้าตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำหอมที่นำมาผสมอยู่ในกลีบดอกไม้แห้ง อีกทั้งยังใช้ป้องกันเศษฝุ่นเล็กๆ หรือละอองของดอกไม้แห้งที่จะส่งผลให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจด้วย สุดท้ายก็คือป้องการไอ จาม ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่างการทำงาน คงไม่ดีแน่ถ้าบุหงาเหล่านี้จะมีสิ่งแปลกปลอมที่เกิดจากการจามปนลงไป

“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมกระไอปลุกให้คนที่กำลังเพลิดเพลินกับการบรรจุกลีบดอกไม้หอมกรุ่นลงในถุงผ้าไหมแก้ว หันไปมองเจ้าของเสียง

“คุณ” กัญญ์วราตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยือน ดูเหมือนเขาก็ตกใจไม่ต่างกัน

ชายหนุ่มคาดไม่ถึงว่าจะเจอหญิงสาวที่เคยพบในทีมแพทย์อาสา เพราะเขาคิดว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้คือเจ้าหญิงน้อย

“คุณนั่นเอง ผมก็คิดว่า...” ชายหนุ่มหยุดชะงัก คิดว่าไม่ควรพูด จึงได้เปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง “เจอกันกี่ครั้งคุณก็ต้องใส่หน้ากากอนามัยทุกทีสิน่า ไม่ทราบว่าครั้งนี้ใส่เพื่ออะไรกันครับ” หญิงสาวก็ยอมตอบคำถามเขาแต่โดยดี เมื่อบอกเหตุผลทั้งหมดแล้ว เธอก็ตั้งคำถามกลับบ้าง

“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง นี่มันเขตพระราชฐานชั้นใน บุคคลภายนอกไม่มีสิทธิ์เข้ามาที่นี่” กัญญ์วรามองบุคคลตรงหน้าอย่างหวาดระแวง ถึงพบกันเพียงแค่สองครั้ง แต่ก็เป็นสองครั้งที่เธอรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเสียแล้ว

“แล้วคุณล่ะ เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ทีมแพทย์อาสามิใช่หรือ แล้วมาทำอะไรอยู่ที่นี่” วริทธิ์ธรเองก็สงสัยหญิงสาวตรงหน้าเช่นเดียวกัน เธอมานั่งตรงที่ประทับของเจ้าหญิงน้อยได้อย่างไร มันเป็นการสมควรแล้วหรือ

“ฉันเป็นคนสนิทของเจ้าหญิงกัญญ์วรา” นี่เป็นข้ออ้างที่เธอคิดว่าน่าจะดีที่สุด ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นใคร แล้วมีจุดประสงค์อะไร ระหว่างที่เธอโต้ตอบกับชายหนุ่ม สายตาก็พยายามสอดส่องหาองครักษ์ของตนเช่นเดียวกัน และแน่นอนไม่ใช่ทั้งโตยธรและเวทิต เพราะคนทั้งคู่คือราชองครักษ์ของพระเชษฐา ซึ่งมักจะให้คนทั้งคู่มาดูแลเธอเป็นครั้งคราวเท่านั้น

“ถ้าคุณคือคนสนิทของเจ้าหญิง ผมก็คือคนสนิทของเจ้าชายธุติยะธรเช่นเดียวกัน” เจ้าชายวริทธิ์ธรตอบหญิงสาวฝีปากกล้า

“ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้จักราชองครักษ์ของเจ้าชายทั้งหมด แต่มั่นใจว่าคุณไม่ใช่หนึ่งในราชองครักษ์คนสนิทของเจ้าชายอย่างแน่นอน คุณมาที่นี่มีจุดประสงค์อะไร แล้วคุณเข้ามาได้อย่างไร ฉันให้โอกาสคุณเป็นครั้งสุดท้าย อย่าให้ฉันต้องตามทหารมาลากตัวคุณออกไป”

“คุณนี่ความจำเป็นเลิศจริงๆ ผมยกย่อง ท่าทางไม่เกรงกลัวใคร ผมก็นับถือ แต่ถ้าผมคิดจะมาทำร้ายใครแถวนี้ คงไม่ต้องพูดคุยกับคุณให้เสียเวลา ผมเป็นผู้ติดตามขององค์รัชทายาทแห่งมุราดา ซึ่งเป็นพระสหายของเจ้าชายธุติยะธร” วริทธิ์ธรเลือกที่จะเก็บความลับของตนไว้เช่นกัน เขาอยากรู้ว่าเธอไม่รู้จักเขาจริงๆ หรือ

“คุณเป็นคนของเจ้าชายวริทธิ์ธรอย่างนั้นหรือ” เหลือเชื่อ! เธอไม่รู้จักเขาจริงๆ ไม่น่าเป็นไปได้ ตลอดเวลาที่พักอยู่ที่นี่ นางกำนัล และข้าราชบริพารทั้งหลาย ไม่เคยมีใครที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร

“ถ้าผมบอกว่า ผมคือเจ้าชายวริทธิ์ธรล่ะคุณจะเชื่อหรือไม่”

“ถ้าถามฉัน ฉันก็คงไม่เชื่อ แต่ถ้าคุณเป็นเจ้าชายจริงๆ คุณจะไปที่กิจกรรมแพทย์อาสาทำไม ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องไปที่นั่น”

“ทำไมไม่คิดว่าเราต้องการไปศึกษางานของเจ้าหญิง เพื่อนำไปปรับใช้ที่บ้านเมืองของเราบ้างล่ะ” เจ้าชายใช้คำพูดที่ยกระดับตัวเองขึ้น ทำให้กัญญ์วราชักไม่แน่ใจ

“หากพระองค์คือเจ้าชายวริทธิ์ธรจริงๆ หม่อมฉันขอพระราชทานอภัยที่พูดจาล่วงเกินเจ้าชาย หม่อมฉันขอตัวนะเพคะ ยังมีงานให้ทำอีกมากมาย” กัญญ์วราถอนสายบัวลา เธอยอมทิ้งงานที่ทำไม่อยากคุยกับคนตรงหน้าอีก เพราะสุดท้ายเธอก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เหมือนที่เขาไม่รู้ว่าเธอเป็นใครนั่นแหละ

“เดี๋ยวสิ ผมล้อคุณเล่นเท่านั้น อย่างผมจะเป็นเจ้าชายได้อย่างไรกัน” วริทธิ์ธรรีบแก้ต่าง งานนี้ขอทิ้งตำแหน่งเจ้าชายไว้ข้างหลังก่อนแล้วกัน เขายังอยากพูดคุยกับเธออยู่นี่นา

“ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของคุณ กรุณาอย่ามาล้อเล่นกับฉันแบบนี้อีก”

“ผมขอโทษก็ได้ คุณอย่าโกรธเลยนะ ว่าแต่คุณกำลังทำอะไรอยู่หรือ ขอผมนั่งด้วยคนได้หรือเปล่า”

“คุณไม่ไปอารักษ์ขาเจ้าชายหรือ” หญิงสาวถามคนที่ถือวิสาสะนั่งลงข้างเธอ

“วันนี้ผมว่างทั้งวันครับ เบื่อๆ ก็เลยออกมาเดินเล่น จนได้พบคุณนี่แหละ”

“คราวหน้าคราวหลังอย่าเดินเพ่นพ่านแบบนี้ ยังไงที่นี่ก็คือเขตพระราชฐานชั้นใน แล้วเจ้าหญิงก็ทรงมาประทับบริเวณนี้บ่อยๆ เจ้าหญิงทรงโปรดที่จะพักผ่อนเพียงลำพัง” กัญญ์วราถือว่าที่แห่งนี้เป็นอาณาเขตของเธอ โดยส่วนมากจะมีเพียงพระเชษฐาเท่านั้นที่แวะเวียนเข้ามา ส่วนข้าราชบริพารคนอื่นๆ จะรู้ว่าเวลาใดที่เธอมานั่งเล่นที่นี่

“แล้วคุณล่ะมานั่งที่นี่ได้ยังไง ในเมื่อเป็นที่ประทับของเจ้าหญิง”

“เอ่อ...วันนี้ฉันมาทำงานให้กับเจ้าหญิง เจ้าหญิงประทานอนุญาตแล้ว” วริทธิ์ธรพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบถุงบุหราขึ้นมาดู

“หอมจัง” กลิ่นน้ำหอมผสมกินพิมเสน สร้างความสดชื่นไม่น้อย

“ไม่ใช่กลิ่นดอกไม้ทั้งหมดหรอกค่ะ มีกลิ่นของน้ำหอมผสมอยู่ด้วย เดี๋ยวนี้หาดอกไม้กลิ่นหอมแรงยากมากค่ะ” หญิงสาวบอกชายหนุ่ม เมื่อเห็นท่าทางชื่นชอบของในมือ

“เจ้าหญิงทรงเอาไปทำอะไรหรือครับ”

“ทรงทำเก็บไว้ใช้ในโอกาสต่างๆ และเป็นกิจกรรมยามว่างที่เจ้าหญิงทรงโปรด”
“เจ้าหญิงของคุณทรงโปรดอะไรบ้างล่ะ” วริทธิ์ธรถามอย่างสนใจ

“ทรงชอบทำอาหาร งานประดิดประดอย ร้อยมาลัย บางครั้งก็คิดงานต่างๆ เพื่อโครงการที่รับผิดชอบ” กัญญ์วราบอกถึงภารกิจของตนอย่างไม่หวงแหนเช่นเดียวกัน

“คุณพูดเหมือนคุณเป็นเจ้าหญิงอย่างนั้นแหละ” กัญญ์วรารู้สึกตัว จึงหันไปสนใจงานตรงหน้าเพื่อกลบเกลื่อน

“คุณนี่ชอบหาเหามาใส่หัวฉันเรื่อยเลย ถ้าใครได้ยินเข้า ฉันอาจจะถูกเนรเทศนะคุณ โทษฐานทำตัวตีเสมอพระองค์ท่าน” เธอจำต้องแกล้งแว๊ดใส่ชายหนุ่ม เพื่อไม่ให้เขาจำพิรุธอะไรได้

“ผมขอโทษ ก็ผมเห็นคุณพูดเหมือนเป็นงานของคุณเองนี่นา”

“ฉันแค่ชื่นชมพระองค์เท่านั้น” กัญญ์วรารู้สึกระอายแก่ใจไม่น้อยที่ต้องมานั่งชมตัวเองให้คนอื่นฟัง แต่ทำยังไงได้ล่ะ “ฉันเคยติดตามเจ้าหญิงไปยังสถานที่ต่างๆ ด้วย”

“สนุกไหมเวลาตามเสด็จ” ชายหนุ่มอยากรู้เรื่องราวของเจ้าหญิงน้อยของเขาเวลาทรงงาน ทั้งๆ ที่รู้มาเกือบหมดแล้ว เรื่องของเจ้าหญิงน้อยไม่เคยหลุดรอดจากสายตาของเขาเลยสักครั้ง

“สนุกค่ะ ทุกครั้งที่ทรงเสด็จไปเยี่ยมเยียนประชาชน ทรงยิ้มแย้มอยู่เสมอ ไม่ถือองค์ ลงไปคลุกคลีกับชาวบ้าน โดยเฉพาะชาวเขาเผ่าต่างๆ ทรงแนะให้ชาวเขาเสริมสร้างอาชีพให้กับตัวเอง เปิดหมู่บ้านให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ให้ผู้คนที่มาจากหลากหลายที่ ได้สัมผัสธรรมชาติและความเป็นอยู่ของพวกเขา แต่ยังทรงย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าขายตัวตนของเรา อย่าหลงไปกับสิ่งรอบตัว ให้ทำเพื่อการดำรงชีวิตดีขึ้น มิใช่ทำเพื่อให้ชีวิตสุขสบาย อย่าให้จิตวิญญาณของเราหายไป หลงเหลือแต่เพียงความเห็นแก่ตัว เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นไม่นานสิ่งที่บรรพบุรุษสร้างสมมาก็จะหายไปในพริบตาเดียว จะไม่หลงเหลือความเป็นเอกลักษณ์ของเราอีกเลย”

“นอกจากนั้นยังทรงส่งเสริมการทอผ้าของคนพื้นเมือง ไม่ว่าชาวเขาหรือชาวเรา เพราะนั่นก็คืออาชีพหนึ่งที่ติดตัวพวกเขามาตั้งแต่เกิด ไม่ต้องไปเรียนรู้จากที่ไหน เพียงแค่อดทนและคิดค้นลวดลายใหม่ๆ เพียงแค่นี้ชีวิตความเป็นอยู่ก็จะดีขึ้น มีรายได้เลี้ยงชีพตัวเอง ทรงรับซื้อสินค้าทุกชิ้นจากคนที่เข้าร่วมโครงการของพระองค์ ทรงตั้งร้านจำหน่ายสินค้าส่วนพระองค์ด้วย โดยไม่สนใจว่าสินค้าจะขายได้กำไรดีหรือไม่ สนใจเพียงอย่างเดียว ทำอย่างไรให้ชาวบ้านมีรายได้ มีกำลังใจในการผลิตสินค้าของตัวเอง บางครั้งเงินที่เสียไปให้กับชาวบ้าน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้รับเงินส่วนนั้นจากการขายสินค้าของพวกเขาหรือไม่ แต่ก็ไม่เคยเสียดายเงินจำนวนนั้นเลย” กัญญ์วราเล่าด้วยความภาคภูมิใจในสิ่งที่ตนทำ

“ทรงเป็นขัตติยนารีจริงๆ” เจ้าชายทรงเอ่ยชมเจ้าหญิงน้อยของพระองค์

“บางครั้งฉันยังรู้สึกว่ามันเกินกำลังที่คนๆ หนึ่งจะทำได้ เคยคิดเหมือนกันว่า จะเหนื่อยไหม จะท้อไหม จะเอากำลังที่ไหนมาทำเรื่องราวมากมายขนาดนี้” เป็นอีกครั้งที่กัญญ์วราลืมตัว แต่ดีที่คู่สนทนาด้วยไม่ทันจับสังเกต

“ทุกคนคงรักเจ้าหญิงกัญญ์วรามากเลยสิครับ”

“ค่ะ ฉันเชื่อว่าทุกคนรักพระองค์ เหมือนที่พระองค์รักประชาชนทุกๆ คน”

“ผมอดภูมิใจแทนชาวมินธุราไม่ได้จริงๆ” และที่เขาภูมิใจมากที่สุดก็คือภูมิใจในตัวเจ้าหญิงน้อยของเขานั่นแหละ

“ฉันก็ภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนมินธุราเช่นเดียวกัน”

“ผมมารบกวนเวลางานของคุณนานแล้ว ขอตัวก่อนดีกว่า แต่ผมขอนี่ไปด้วยนะ” ชายหนุ่มชูถุงบุหงาที่เขาหยิบติดมือขึ้นมาให้เธอดู แล้วลุกเดินหนีไป โดยไม่สนใจว่าคนที่นั่งอยู่จะเต็มใจให้ของที่อยู่ในมือเขาหรือเปล่า

“ไม่ได้นะคุณ” ไม่ทันแล้ว เพราะชายหนุ่มเดินจากไปอย่างรวดเร็ว “เฮ้อ! ให้มันได้อย่างนี้สิ คนอะไรอยู่ๆ ก็โผล่มา นึกจะไปก็ลุกขึ้นไปเสียเฉยๆ” กัญญ์วราบ่นไม่จริงจังนัก เธอนั่งทำงานต่อจนกระทั่งบ่ายคล้อย จึงละสายตาจากงานที่ทำ เดินกลับไปยังตำหนัก เรียกนางกำนัลคนสนิทให้ไปจัดการของที่อยู่บนโต๊ะ ส่วนตัวเธอเองก็กลับเข้าห้องนอน เตรียมตัวร่วมโต๊ะเสวยในเวลาอาหารเย็น

มือข้างหนึ่งถือกระแตเกาะกิ่งแก้วที่ตอนนี้เริ่มเหี่ยวแห้งไปตามกาลเวลา มืออีกข้างถือถุงบุหงาดอกไม้แห้ง ชายหนุ่มจ้องมองของทั้งสองสิ่ง แววตาฉายความกังวล เขาเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงภายในใจ มีการต่อสู้กันเกิดขึ้น ใจถูกแบ่งเป็นสองฝ่าย รักที่มั่นคงกำลังถูกสั่นคลอนอย่างหนัก หนึ่งนั้นคือผู้ที่ได้ครอบครองหัวใจของเขามาเนิ่นนาน อีกหนึ่งคือผู้ที่เพิ่งเดินเข้ามาเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งๆ ที่พบกันเพียงแค่สองครั้ง และพูดคุยกันเป็นเรื่องราวก็เพียงครั้งเดียว แต่ทำไมถึงได้ส่งผลต่อหัวใจของเขานัก พรุ่งนี้แล้วที่จะได้พบเจ้าหญิงน้อย ทั้งๆ ที่พยายามหาโอกาสพบกันก่อนหน้านี้กลับไม่ได้พบ แต่กลับพบใครอีกคนที่เขาคิดว่าเป็นเจ้าหญิงน้อย และเป็นสองครั้งที่เขาเข้าใจผิดด้วยสิ

“เป็นอะไรล่ะวริทธิ์ธร เราเห็นนายยืนถอนหายใจมาพักใหญ่แล้วนะ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่มุราดาหรือเปล่า” เจ้าชายธุติยะธรถามพระสหายด้วยความเป็นห่วง

“เราเริ่มไม่แน่ใจในบางสิ่งบางอย่างแล้วสิธุติยะธร” วริทธิ์ธรถอนหายใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น หัวใจถูกแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย ตัดสินใจเลือกไม่ได้สักอย่าง

“อะไรล่ะ” ธุติยะธรถามเพื่อนรักอย่างใส่ใจ

“หัวใจ” ทรงกล้าที่จะเปิดเผย เพราะเจ้าชายธุติยะธรคือพระสหายที่ทรงสนิทสนมด้วยมากที่สุด

“อะไรทำให้นายเกิดความไม่แน่ใจได้ขนาดนั้น” ธุติยะธรไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านี้จากพระสหาย ถ้าให้บอกว่าไม่ทรงเชื่อก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะแววตาและน้ำเสียงของวริทธิ์ธรบ่งบอกถึงความไม่แน่ใจได้ดีกว่าคำพูดเสียอีก

“นี่คือสิ่งที่เราได้มาจากเจ้าหญิงน้อย” เจ้าชายต่างแดนชูกิ่งแก้วแห้งให้เพื่อนดู “นี่คือสิ่งที่เราได้มาจากคนที่ทำให้เราเริ่มไม่แน่ใจหัวใจของตัวเอง” ทรงชูถุงบุหงาขึ้นแทนกิ่งแก้ว

“ถุงบุหงานั้นนายได้มาจากใคร”

“เจ้าหน้าที่ทีมแพทย์อาสาคนสนิทของเจ้าหญิงน้อย” ธุติยะธรขมวดคิ้วสงสัย เริ่มไม่แน่ใจในบางสิ่งบางอย่างเช่นเดียวกัน

“นายไปเจอเธอที่ไหนล่ะ”

“อุทยานตำหนักใหญ่” คราวนี้เจ้าชายธุติยะธรทรงแย้มพระโอษฐ์ คิดว่าเรื่องทุกอย่างกระจ่างแล้วสำหรับพระองค์ แต่คงยังไม่กระจ่างสำหรับพระสหาย

ครั้งแรกพระองค์คิดว่าเพื่อนไปแอบหยิบถุงบุหงาของพระน้องนางมาอีกแล้ว เพราะทรงทราบว่ายามว่างพระขนิษฐามักจะทำของพวกนี้ไว้ใช้ในโอกาสต่างๆ แต่ที่ทรงถามว่าได้มาจากใคร เพื่อต้องการความมั่นใจ และสถานที่ที่ได้ยินจากปากของพระสหาย ทำให้พระองค์แน่ใจว่าผู้ที่ให้มาก็คือพระขนิษฐาของพระองค์เอง เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นที่ส่วนตัวของกัญญ์วรา มักจะไม่ค่อยมีใครเข้าไปยุ่งวุ่นวาย มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่บางครั้งจะไปร่วมเสวยของว่างเป็นเพื่อน ดังนั้นคนที่สามารถนั่งเล่นอยู่ที่นั่นได้มีเพียงคนเดียวก็คือ เจ้าของสถานที่นั่นเอง หัวใจของนายไม่ได้เปลี่ยนไปหรอกวริทธิ์ธร

“แล้วนายไม่ได้เจอหญิงกัญญ์หรอกหรือ” เจ้าชายธุติยะธรป้อนคำถามอีก

“ตอนแรกเราก็คิดว่าเป็นหญิงกัญญ์ ตั้งใจจะไปทักทายแต่กลับไม่ใช่” เป็นอีกครั้งที่เจ้าชายธุติยะธรทรงไม่แน่พระทัยอะไรบางอย่าง เป็นไปได้ยังไงที่พระสหายจะจำพระขนิษฐาของพระองค์ไม่ได้

“แล้วนายรู้ได้อย่างไรว่าเธอเป็นเจ้าหน้าที่ของทีมแพทย์อาสา”

“ก็เจอกันสองครั้งก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ครั้งแรกเราไปที่งานกิจกรรมของแพทย์อาสา นายก็รู้ใช่ไหมว่าวันนั้นเราตั้งใจไปพบเจ้าหญิงน้อย แต่กลับคลาดกันเพียงนิดเดียว ก่อนกลับเราได้พบกับเจ้าหน้าที่หญิงคนนี้ ตอนแรกเราคิดว่านางคือเจ้าหญิงน้อยด้วยซ้ำ” เจ้าชายวริทธิ์ธรเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้เพื่อนฟังอีกครั้ง

“นายจำน้องสาวเราไม่ได้หรือวริทธิ์ธร ถึงได้ไม่รู้ว่าเธอใช่หรือไม่ใช่” ความสับสนเวียนกลับมาหาพระองค์อีกครั้ง

“ทำไมเราจะจำไม่ได้ แต่นี่เราเห็นเพียงแค่ดวงตาของเธอเท่านั้น เพราะเธอคาดหน้ากากอนามัยไว้ ดวงตาของเธอคล้ายกับเจ้าหญิงน้อยมากๆ” ความกระจ่างเข้ามาปกคลุมรอบๆ ตัวเจ้าชายธุติยะธรอีกครั้ง นี่พบกันตั้งแต่ครั้งแรกเลยหรือนี่ แต่อย่างว่าจะโทษเพื่อนได้อย่างไร หากเป็นพระองค์ก็คงทำได้เพียงแค่สงสัยเท่านั้น

“แล้ววันนี้นายแน่ใจได้อย่างไรว่าเธอคือคนเดียวกับทีมแพทย์อาสา”

“อ้าว ทำไมจะจำไม่ได้ มาสภาพเดิมเลย คาดหน้ากากอนามัย ไม่รู้จะอนามัยจัดอะไรขนาดนั้น เราถามนะ เธอก็บอกป้องกันฝุ่นที่เกิดจากผงดอกไม้แห้ง ซึ่งอาจจะทำให้เธอไอ จามใส่ดอกไม้แห้งพวกนั้นได้” คราวนี้เจ้าชายธุติยะธรถึงกับพระสรวลออกมา ทุกอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว รู้แล้วว่าทำไมเพื่อนถึงได้เข้าใจผิดไปขนาดนี้

“ปกติจะไม่มีเจ้าหน้าที่ทีมแพทย์อาสาเข้ามาในวังนะ นางชื่ออะไรหรือ” เจ้าชายแห่งมินธุราพยายามจะกระตุ้นต่อมความผิดปกติของเรื่องให้เพื่อนทราบ แต่ก็ไม่รู้ว่าเพื่อนรักจะเอะใจกับคำพูดของพระองค์หรือไม่

“เราไม่ได้ถาม แต่นางบอกว่าเป็นคนสนิทของเจ้าหญิงน้อย” อ๋อ! โดนหญิงกัญญ์หลอกเข้าให้แล้ว ว่าแต่ทำไมหญิงกัญญ์ต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ สงสัยต้องไปหาคำตอบจากพระน้องนางด้วยกระมัง

“แล้วนางรู้ไหมว่านายเป็นใคร”

“นี่สิแปลก นางกลับไม่รู้จักเรา ครั้งแรกเราบอกนางว่าเป็นคนสนิทของนาย นางก็ตอบว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน พอเราบอกว่าเราเป็นใคร นางก็ไม่เชื่อแถมยังเดินหนีเราอีก เราก็เลยสมอ้างว่าเป็นองครักษ์ของตัวเองเสียเลย” มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่พระขนิษฐาพระองค์นี้จะไม่รู้จักพระสหายของพระองค์ เรื่องมันเป็นแบบนี้เมื่อไหร่จะรู้จักกันสักทีล่ะ เจ้าชายธุติยะธรรำพึงอยู่ในใจ

“นางอาจจะเพิ่งเข้ามาอยู่กระมังถึงได้ไม่รู้จักนาย แล้วนายจะเอายังไงต่อไปเรื่องเจ้าหญิงน้อย” เมื่อเห็นว่าสิ่งที่พระองค์ทรงกระตุ้นไม่เป็นผล เจ้าชายธุติยะธรจึงตัดสินพระทัยให้เรื่องระหว่างคนสองคนไปตามแต่ฟ้าลิขิต เพราะพระองค์ทรงเชื่อว่า ไม่มีใครหนีพ้นสิ่งที่ฟ้าทรงกำหนดมาได้

“ไม่รู้เหมือนกัน เราก็ยังไม่แน่ใจในตัวเอง ว่าแต่นายโกรธเราหรือเปล่าธุติยะธร” ด้วยความที่พระองค์ยังตัดสินใจอะไรไม่ได้เลย หัวใจซีกซ้ายกับหัวใจซีกขวา ต่างก็งัดเหตุผลและความรู้สึกมาต่อสู้กันอย่างหนัก สุดท้ายหัวใจของพระองค์จะเลือกใคร คนหนึ่งเฝ้าทะนุถนอมห่วงใยมาแต่เล็กแต่น้อย อีกคนความรู้สึกก็พุ่งชนเข้าอย่างจังแบบไม่ทันให้เตรียมตัวเตรียมใจ

“เราจะโกรธนายได้อย่างไร เรื่องของหัวใจห้ามกันไม่ได้” องค์รัชทายาทแห่งมินธุราบอกองค์รัชทายาทแห่งมุราดาอย่างอารมณ์ดี เมื่อหัวใจของเพื่อนไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด อาจจะเปลี่ยนไปหาใครอีกคน แต่คนคนนั้นก็อยู่ในร่างของพระน้องนางของพระองค์อยู่ดี

“แต่เรารู้สึกไม่ดี เรากลัวเจ้าหญิงน้อยเสียใจ เราไม่อยากให้เจ้าหญิงน้อยผิดหวัง” น้ำเสียงของพระสหายก็ยังกังวลอยู่มาก

“จำที่เราเคยบอกได้หรือไม่ หญิงกัญญ์ไม่ใช่หญิงกัญญ์คนเดิมอีกแล้ว อาจจะเป็นอย่างที่นายพูดเอาไว้ หญิงกัญญ์โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความคิด ความอ่าน และความมีเหตุผลก็คงมีเพิ่มมากขึ้นด้วย อย่ากังวลอะไรไปล่วงหน้าเลย เพราะหากฟ้าลิขิตมาแล้ว ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้” เจ้าชายทรงปลอบพระสหายอีกครั้ง

“แต่เราอยากลิขิตทุกอย่างด้วยใจของเรา มิใช่ปล่อยให้เป็นไปตามที่ฟ้าลิขิต” น้ำเสียงนั่นหนักแน่นสมกับเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน

“ถ้าเช่นนั้นก็จงเดินตามเสียงหัวใจของนาย แล้วฟ้าและหัวใจจะลิขิตเส้นทางให้นายเดินไปเอง เชื่อเราเถอะ” เจ้าชายธุติยะธรตบบ่าพระสหายอย่างให้กำลังใจ

“ขอบใจนายมาก” เพียงพี่ของนางเข้าใจพระองค์ เจ้าชายวริทธิ์ธรก็รู้สึกโล่งพระทัยไปมากเลยทีเดียว

เจ้าชายธุติยะธรไม่อยากเก็บความสงสัยไว้นาน เวลาในยามบ่ายเช่นนี้ หากพระองค์ประสงค์จะพบพระขนิษฐา ทรงรู้ดีว่าต้องเสด็จไปที่ใด และพระน้องนางก็มิได้ทำให้ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย

“หญิงกัญญ์” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้น ทำให้หญิงสาวต้องละสายตาจากงานที่ทำหันไปมอง

“ถวายพระพรเพคะ” เจ้าหญิงลุกขึ้นทำความเคารพ

“พี่มีเรื่องจะถามเจ้า” เจ้าชายทรงประทับนั่งลงข้างๆ

“มีอะไรหรือคะ”

“วันก่อนมีคนมายุ่งวุ่นวายที่นี่หรือ” เจ้าหญิงทรงมองพระพักตร์ของพระเชษฐา พร้อมกับทรงคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา

“อ๋อ! คงเป็นองครักษ์ของเจ้าชายวริทธิ์ธรค่ะ ไม่ทราบพี่ชายทรงทราบได้อย่างไรคะ หญิงมิได้บอกให้ใครทราบเรื่องนี้นี่นา” เจ้าหญิงน้อยของใครบางคนถามอย่างสงสัย

“เมื่อเช้ามีคนมาสารภาพกับพี่ว่ามายุ่งวุ่นวายที่นี่ แต่พี่อดแปลกใจไม่ได้ เพราะคนๆ คนนั้นยืนยันว่าไม่ได้พบเจ้า” พระเชษฐาทรงหยั่งเชิงพระขนิษฐา ทรงอย่างรู้ว่าเจ้าน้องจะตอบว่าอย่างไร

“บังเอิญวันนั้นหญิงกำลังทำบุหงาอยู่ค่ะ หญิงก็เลยสวมหน้ากากอนามัยเอาไว้ ทำให้องครักษ์ของเจ้าชายจำไม่ได้” เจ้าหญิงก็ทรงไขข้อสงสัยให้กับพระเชษฐาอย่างไม่คิดจะปิดบัง เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

“แล้วหญิงไม่ได้บอกหรือว่าน้องคือใคร”

“ก็หญิงไม่ทราบว่าเขาเป็นใครนี่คะ และไม่รู้จุดประสงค์การมาของเขาด้วย พอทราบว่าเป็นองครักษ์ของเจ้าชาย หญิงก็เบาใจ แต่ก็ปล่อยเลยตามเลย ไม่ได้แก้ต่างว่าตัวเองเป็นใคร พี่ชายก็ทรงทราบดีนี่คะว่าหญิงไม่ชอบทำให้ใครต้องหน้าแตก” พอกันทั้งคู่ ต่างคนต่างกลัวอีกคนหน้าแตก เลยไม่ต้องรู้จักกันพอดี

“แล้วหญิงเป็นคนมอบถุงบุหงาให้เขาหรือ”

“เปล่าเพคะ นายนั่นหยิบไปดูแล้วก็ขอไปหน้าตาเฉย หญิงยังไม่ทันอนุญาต เขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินหายไปเลย แปลกคนจริงๆ” เจ้าหญิงกัญญ์วราอดบ่นไม่ได้ ทางด้านพระเชษฐาก็เอาแต่พระสรวลด้วยความถูกใจ ครั้งแรกขอลับหลัง ครั้งที่สองขอซึ่งๆ หน้า แต่ทั้งสองครั้งไม่ต่างกันเลย ก็เจ้าของไม่ได้เต็มใจให้เสียหน่อย

“มีอะไรน่าขำหรือเพคะ”

“พี่ขำในความบ้าบิ่นขององครักษ์คนนั้นน่ะ กล้ามาหยิบฉวยของของเจ้าหญิงได้ยังไง สงสัยต้องให้เจ้าชายวริทธิ์ธรจัดการหน่อยแล้ว” เจ้าชายสรวลอย่างอารมณ์ดี โลกเราก็มีอะไรแปลกให้ชีวิตได้มีสีสันเหมือนกันนะ เจอกันตั้งสองสามครั้ง กลับไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือคนที่อยากเจอ

“อย่าเลยค่ะ ก็เขาไม่รู้นี่ว่าเป็นหญิง อีกอย่างของมันก็ไม่ได้มีค่างวดอะไร” ด้วยความที่เจ้าหญิงเป็นผู้มีน้ำพระทัยดี จึงไม่อยากให้พระเชษฐาไปเอาเรื่องราชองครักษ์คนนั้น

“ถ้าหญิงต้องการแบบนั้นก็ตามใจ ว่าแล้วพี่ก็นึกได้ พี่อยากให้หญิงร้อยมาลัยถวายเจ้าชายวริทธิ์ธรได้ไหมเจ้า”

“แล้วทำไมต้องให้หญิงเป็นคนร้อยด้วยล่ะคะ” กัญญ์วราอดสงสัยไม่ได้

“หญิงลืมไปแล้วหรือว่าเราสามคนสนิทกันแค่ไหน”

“แต่หญิงไม่ได้สนิทด้วยจริงๆ พี่ชายก็ทรงทราบ” เจ้าหญิงกัญญ์วราหาเหตุผลมาแย้งอีก

“แต่คนอื่นไม่ทราบ หญิงทำหน้าที่ดีมาโดยตลอด จะยอมละทิ้งหน้าที่เพียงเพราะเรื่องนี้หรือ”

“ก็ได้ค่ะ” เจ้าหญิงกัญญ์วรายอมในที่สุด ส่วนพระเชษฐาก็เอาแต่แย้มพระโอษฐ์ พระเนตรแพรวพราว ราวกับว่าทรงทอดพระเนตรเห็นเรื่องสนุกๆ

“ขอบใจนะหญิง พี่คงต้องขอตัวกลับตำหนักก่อน หญิงก็พักได้แล้วนะ พรุ่งนี้มีหน้าที่ต้องทำแต่เช้า”

“ถวายพระพรลาเพคะพี่ชาย” เจ้าหญิงกัญญ์วราลุกขึ้นถอนสายบัวลาพระเชษฐา






หนึ่งจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ธ.ค. 2555, 10:29:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ธ.ค. 2555, 10:29:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1524





<< บทที่ 3   บทที่ 5 >>
Auuuu 8 ธ.ค. 2555, 13:17:18 น.
น่ารักกกก ^^


icewinter 8 ธ.ค. 2555, 22:55:02 น.
รออ่านต่อนะคะ ตอนที่ทั้งสองเจอกัน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account