ลิขิตรักในสายลม # จุฬามณี
รัก หวานๆ ขม ของสาวไทยกับหนุ่มมาเลย์
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: 3.
บทที่ 3
พอหลินฮันหมิงวางนามบัตรของณิชกานต์ลงบนโต๊ะทำงานของวิศรุตหลังจากเล่าคร่าว ๆ ถึงที่มาที่ไปของนามบัตรใบนี้ให้เพื่อนได้รับรู้ไว้ วิศรุตที่คว้าไปดูเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นของแท้ก็เปล่งคำอุทานออกมาว่า
“พระเจ้าช่วยกล้วยทอด โอ้วววมันเป็นเรื่องจริงหรือนี่”
“พระเจ้าช่วยกล้วยทอดคืออะไรหรือ” หลินฮันหมิงไม่เข้าใจสำนวนนี้ของคนไทย..ซึ่งคู่สนทนาก็ได้แต่หัวเราะพลางส่ายหน้าเบา ๆ โดยไม่ยอมอธิบายความ...
“ยูนี่มันเสน่ห์แรงจริง ๆ ยูรู้หรือเปล่าว่าณิชกานต์น่ะดังแค่ไหน”
“ไอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดาราไทยสักคนเลยนะ...”
“แต่ตอนนี้ที่ยูรู้ก็มีสองคนแล้ว ณิชกานต์และขวัญชีวี”
“ในร้านอาหารญี่ปุ่น เมื่อกี้นี้ ไอเจอเขา ขวัญชีวี มากับแฟนเขาด้วยนะ หน้าตาหล่อเหลาดีมาก ๆ ไอเลยเข้าใจเลยว่าทำไมยูถึงจีบเขาไม่สำเร็จทั้งที่ยูก็รวยล้นฟ้า...”
แม้วันนี้จะบังเอิญได้พบขวัญชีวีในห้างสรรพสินค้าอีกครั้ง แต่หลินฮันหมิงไม่คิดจะบอกเรื่องคุณย่าหลินซิ่วอินของเขากับคุณยายแน่งน้อยของขวัญชีวีนั้นเป็นเพื่อนกันให้วิศรุตได้รับรู้...เหตุผลก็คือ เขากลัวเพื่อนจะยำเรื่องรวม ๆ กันแล้วก็เหมาว่ามันเป็นเรื่องของพรหมลิขิต? ซึ่งเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญเสียมากว่า และเธอกับเขาก็คงไม่มีเรื่องอะไรมาเกี่ยวข้องกันอีก รวมถึงดาราที่ชื่อ ณิชกานต์นี่ด้วย
“ไม่ต้องมาตอกย้ำ ไอรู้ตัวว่าไม่หล่อ”
“ผู้หญิงไทยชอบผู้ชายหล่อ ๆ ใช่ไหม”
“ไอคิดว่าน่าจะเป็นทุกชาติพันธุ์แหละ ผู้หญิงชอบผู้ชายหน้าตาดี หุ่นดี และถ้ามีเงินด้วยก็จะดีมาก ๆ”
“ยูก็ก็ไม่ได้ขี้เหร่ตรงไหนเลย เพียงแต่หล่อสู้เขาไม่ได้เท่านั้นเอง”
“ไอถึงอยากจะส่งยูไปสู้ไง ช่วยหน่อยนะเพื่อน...”
“ไม่...”
“เล่นตัวนะ...”
“ไม่ได้เล่นตัว แต่อดสงสัยไม่ได้ว่า ยูบอกว่ายูชอบเขา แล้วทำไมยูถึงได้โยนเขามาให้ไอได้ง่าย ๆ มันชอบประสาอะไร ไอสงสัย”
“ก็ทั้งรักทั้งแค้นไง พอเขาไม่สนใจเรา ก็ไม่อยากให้เขาสมหวังกับคนที่เขารัก”
วิศรุตพูดเอาตัวรอดทั้งที่ใจจริงแล้ว เขาเองก็ไม่ได้อินังขังขอบกับเรื่องราวความรักในครั้งนี้สักเท่าไหร่ ยอมรับว่าชอบในความงาม ของขวัญชีวี แต่เมื่อขวัญชีวีปฏิเสธไมตรีของเขาอย่างไม่คิดเลี้ยงไข้ เขาก็ตัดใจได้ไม่ยากเช่นกัน แล้วอีกอย่างเขารู้สึกสนุกกับเกมรักของหลินฮันหมิงกับขวัญชีวีเสียแล้ว เพราะเพื่อนชายของเขากับขวัญชีวีนั้น นับว่าเหมาะสมกันทีเดียว...ผู้ชายหล่อรวย ผู้หญิงสวยสูงส่ง..ถ้าลงเอยก็กันก็นับว่าเหมาะสมมาก และถ้ามีลูกด้วยกันลูกคงจะน่ารักมาก...
“ไอเพิ่งรู้ว่ายูเป็นคนนิสัยแย่มาก”
“เอาตรง ๆ ก็ได้นะ ไอไม่ได้คิดอะไรกับเขาสักเท่าไหร่หรอก จีบเล่น ๆ อยากลองใจคนเล่นน่ะ...ถ้ายูคิดจะชอบเขา จีบเขา ก็ไม่ต้องมาคิดเกรงใจไอ”
“คุยเรื่องอื่นเหอะ...ไอไม่ชอบคนที่เขามีแฟนอยู่แล้วหรอก”
“แต่ถ้าเขาไม่มีแฟนก็ว่าไปอย่างใช่ไหม...”
“เขาสวยใช้ได้ทีเดียว แต่อยู่ละประเทศแบบนี้...อย่าไปคิดให้วุ่นวายหัวใจเลย เอาเวลามาคิดเรื่องงานดีกว่า”
“สมัยนี้ ความรักมันไร้พรมแดนแล้วเพื่อน ทำอย่างกับยูไม่เคยออกเดทกับสาวญี่ปุ่น รัสเซีย อินเดียและก็แอฟริกาใต้”
หลินฮันหมิงถอนหายใจแรง ๆ...บ่งอารมณ์ว่าเบื่อที่จะมานั่งต่อปากต่อคำกับเรื่องที่ผ่านมาแล้วและไร้สาระแบบนี้
“แล้วนี่บอกข้อมูลอะไรให้ยายณิชกานต์ไปบ้างแล้วล่ะ” น้ำเสียงของวิศรุตเป็นงานเป็นการขึ้นมา หลังจากที่ประเมินสถานการณ์ที่เพื่อนเล่าให้ฟังแล้วว่า อุบัติเหตุตรงนั้นมันน่าจะเกิดจากความตั้งใจของฝ่ายนั้น
“ไอก็บอกว่า ไอเป็นคนปีนัง มาเที่ยว กลับบ้านพรุ่งนี้ แค่นี้เอง ไม่ได้บอกอะไรไปมากมายหรอก ไอแกล้งพูดไทยไม่ชัด ฟังภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่อง เขาเองก็ไม่เก่งภาษาอังกฤษเท่าไหร่ เขาก็ขอนามบัตรไอนะ แต่ไอไม่มีให้เขา แต่ไอก็ให้เบอร์โทรเขาไป เขาให้นามบัตรไอมา อย่างที่ยูเห็น”
“ดีแล้วที่ไม่ให้ไป ไม่งั้น คุณเธอตื้อนายไม่เลิกแน่ ๆ”
“แล้วนิชกานต์เขาเป็นคนอย่างไร”
“เขาก็...ถ้าเทียบกับขวัญชีวีแล้ว ขวัญชีวีดังกว่า ฐานะทางบ้านดีกว่า ประวัติดีกว่า แต่เท่าที่รู้ตอนนี้...
แป๊บนะ” วกกลับมาหาขวัญชีวีแล้ววิศรุตก็ยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะกดออกไปหาเลขาฯ หน้าห้อง “คุณวิ ผมอยากรู้ว่าตอนนี้ณิชกานต์ที่เป็นนางเอกละครน่ะคบหาอยู่กับใคร....เอ้อ...ครับ.. ว่างเหรอ...ครับ ๆ ขอบคุณ”
วางกระบอกโทรศัพท์ลงแล้วเขาก็บอกว่า “ตอนนี้คุณณิชกานต์เธอว่าง แต่เมื่อก่อนหน้านั้นเท่าที่คุณวิรู้เธอคบกับพระเอกละครคนหนึ่ง แล้วก็เลิกกัน นายแบบคนหนึ่งแล้วก็เลิกกัน แล้วก็พวกลูกหลานไฮโซอีกคนหนึ่งแล้วก็เลิกกัน...ตอนนี้เธอว่าง หากนายสนใจ”
หลินฮันหมิงส่ายหน้าดิก
“ณิชกานต์ไม่สวยหรืออย่างไร สวยแล้วก็ไม่มีแฟนด้วยนะ”
“สวย...แต่ไอรู้สึกเฉย ๆ” คนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามทอดสะพานเขากลับไม่รู้สึกยินดี แต่คนที่นั่งอยู่กับคนรักโต๊ะใกล้ ๆ กัน เขากลับรู้สึกอยากจะมองหน้าอยากสบตาคู่นั้น และถ้าเขาบอกกับวิศรุตไปตรงๆ มันก็คงเข้าทางของเพื่อนเขาแน่ ๆ
“คุณดาครับ คุณดา” พอปวุฒิเลี้ยวรถคันใหญ่ของตัวเองเข้ามายังลานจอดรถของครัวปวุฒิเขาก็เห็นวรรณรดาเดินไปที่รถของตัวเอง และขณะที่หญิงสาวกำลังจะเปิดประตูเข้าไปนั่ง ปวุฒิก็รีบเลื่อนกระจกรถของตัวเองลง แล้วร้องเรียกไว้ วรรณรดาหันมาหาเขาพร้อมยิ้มบาง ๆ แต่งแต้มใบหน้าขาว...ซึ่งพอรับบทสาวออฟฟิศวรรณรดาก็แต่งกายได้อย่างดีเยี่ยมเช่นกัน...
“เดี๋ยวขอผมจอดรถแป๊บนะ...” ตะโกนบอกวรรณรดาแล้วปวุฒิก็เลื่อนรถเข้าช่องจอดก่อนจะรีบลงจากรถเดินมาหาวรรณรดาที่ยืนคอยอยู่ข้างรถสปอร์ตหรูของตน...
“มีอะไรกับรดาค่ะ” รองเท้าส้นสูงกับระยะห่างประมาณหนึ่งเมตรทำให้วรรณรดาไม่ต้องแหงนหน้าคุยกับปวุฒิ
“คุณดามาทำอะไรครับ”
“พาลูกค้าจากเวียดนามมาเลี้ยงส่งค่ะ แต่ให้คนขับรถบริษัทพาส่งกลับโรงแรมไปแล้ว ดาเองก็กำลังจะกลับเหมือนกัน”
“เมื่อคืนผมไม่รู้ว่าเป็นวันเกิดคุณดา...ผมจะแก้ตัวอย่างไรดีละ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดานัดเจอกันเฉพาะเพื่อน ๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยค่ะ ไม่ได้เจอกันนานแล้วก็เลยหาข้ออ้างรวมตัวสังสรรค์ แค่นั้นเองค่ะ”
“งั้นผมขออวยพรวันเกิดให้คุณดาย้อนหลังแล้วกันนะครับ”
“ค่ะ..ยินดีค่ะ”
ปวุฒิที่มีความสูงร้อยแปดสิบเซนติเมตรหุ่นกำยำล่ำสันคิ้วหนาดวงตาคมกล้าใช้มือข้างขวาทับฝ่ามือข้างซ้ายแล้วกำหลวม ๆ ไว้ที่ระดับอกแล้วกล่าวอย่างเป็นงานเป็นการว่า “ผมขอให้คุณดา คุณดา เอ่อ..สุข สดชื่น สมหวังนะครับ คิดสิ่งหนึ่งประการใดก็ขอให้สมความปรารถนา โตวันโตคืน รวยยิ่ง ๆ ขึ้นแล้วก็พาลูกค้ามาเลี้ยงที่นี่บ่อย ๆ ผมจะได้รวยตามคุณดาไปด้วย”
วรรณรดาย่นจมูกกับคำอวยพรของเขาจนปวุฒิต้องยิ้มกลั้นขำไว้...
“พูดแบบนี้จะบอกว่าดาเตี้ยม่อต้อใช่ไหมคะ”
“เปล่าครับ ผมไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น โตของผมคือ กิจการเจริญรุ่งเรืองครับ”
“ดารู้ตัวดีค่ะ” วรรณรดารู้ตัวดีว่า พระเอกระดับปวุฒิไม่มีทางสนใจคนอย่างเธอหรอก แต่เธอเองที่ตัดใจจากความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้เขาไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่า เขาคือคนรักของเพื่อน วรรณรดาก็ยังพยายามให้ความหวังตัวเอง หวังว่าสักวันปวุฒิและขวัญชีวีจะไปด้วยกันไปรอด แล้วเมื่อนั้นปวุฒิก็จะหันมามองเธอบ้าง และการที่ดึงพี่วิศรุตลูกพี่ลูกน้องกันให้เข้ามาตามจีบขวัญชีวีนั้น วรรณรดาก็หวังให้เห็นความแตกแยก แต่ว่าทั้งคู่ก็ยังดูรักกันเหนียวแน่นเหมือนเดิม ทางเดียวที่วรรณรดาทำได้คือ ‘ทำใจ’ คิดเสียว่าไม่ใช่เนื้อคู่กัน แต่ว่าพอได้อยู่ใกล้ ๆ กับเขาทีไร ความน่ารักสนุกสนานของเขา ก็ทำให้ใจของวรรณรดาก็อ่อนยวบลงอีกแล้ว
“คุณดาสวยน่ารัก แบบคุณดาครับ ขอให้คุณดาเจอชายในฝันไว ๆ นะครับ นี่ก็เป็นการคำอวยพรวันเกิดอีกข้อแล้วกัน”
“ค่ะขอบคุณมาก ๆ ค่ะ” แม้จะอยากคุยกับเขานาน ๆ อยากมองหน้าเขาให้หายคิดถึง แต่วรรณรดาก็รู้ว่าไม่ควร..ไม่ควรให้ความใกล้ชิดทำให้ตัวเองเจ็บมากกว่านี้ และไม่ควรให้ความห่างทำให้เธอคิดถึงเขาเช่นกัน
...ดังนั้น ยามที่หาข้ออ้างมาที่ร้านนี้ได้วรรณรดาจะต้องรีบทำทันที...และครั้งนี้ก็เช่นกัน ลูกค้าจากเวียดนามที่เธอพามาเลี้ยงข้าวนั้นกลับกันไปนานแล้ว แต่วรรณรดาก็หาข้ออ้างได้ว่าสถานที่อันร่มรื่นของเขาควรค่ากับการนั่งอ่านหนังสือนิยายเล่มที่ซุกอยู่ในกระเป๋าสะพาย
...ทั้งที่จริง ๆ แล้ว วรรณรดานั่งรอการกลับมาของเขา แต่เมื่อเห็นว่ามันเป็นเวลาบ่ายคล้อย และดีไม่ดีวันนี้เขาอาจจะไม่เข้ามาที่ร้าน วรรณรดาจึงได้คิดกลับบ้าน ทั้งที่หัวใจรู้สึกห่อเหี่ยวเมื่อรู้ว่าเขากำลังอยู่กับขวัญชีวีเพื่อนสนิทของเธอ
“แล้วนี่คุณดาอิ่มหรือยังครับ...”
“อิ่มแล้วค่ะ พ่อครัวที่นี่ทำอาหารอร่อยมากค่ะ มาทีไรเจริญอาหารแบบลืมตัวเมื่อนั้น...แต่ถามทำไมคะ”
“อยากจะชวนดื่มกาแฟด้วยกันอีกสักแก้วครับ”
“เอาไว้โอกาสหน้าดีกว่าค่ะ ดาไม่ดื่มกาแฟตอนบ่าย แล้ววันหนึ่งดาก็ไม่ดื่มกาแฟหลายแก้วค่ะ ใจเต้นตุบตุ๊บดาไม่อยากนอนไม่หลับ...”
“นอนไม่หลับก็ออกไปแดนซ์...”
“ดารู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วค่ะ ดายี่สิบเจ็ดเต็มแล้วนะคะ แดนซ์แล้วไม่มันส์เหมือนเดิม”
“ถ้าคุณดาแก่ ผมไม่แก่งั๊กเลยเหรอ”
“ผู้ชายแก่ช้ากว่าผู้หญิงค่ะ โดยเฉพาะคนผิวคล้ำ ๆ แบบพี่วุฒิ...แก่ช้ามาก”
“เอ๊ะพูดแบบนี้คุณดาจะบอกว่าผมดำใช่ไหมครับ”
“ดาเปล่าบอกอย่างนั้นนะคะ”
“งั้นเมื่อกี้ ผมก็ไม่ได้หมายถึงว่าคุณดาเตี้ยม่อต้อเหมือนกันครับ เป็นอันว่าหายกันนะ ดีไหม”
“ค่ะ...”
ตาสองคู่ประสานกัน สายตาแพรวพราวของเขานั้นวรรณรดาอ่านไม่ออกว่าคิดอะไรกับเธอ...แต่วรรณ รดารู้ใจของตัวเองดีว่าคิดอะไรกับเขา เธอกลัวว่าดวงตาของเธอจะทำให้เขาอ่านความรู้สึกในหัวใจได้
... แล้ววรรณรดาก็ได้สติ..ยิ้มให้เขาก่อนจะบอกว่า “คุยกันนานแล้ว ดาชักเมื่อยแล้วค่ะ”
“งั้นผมไม่กวนคุณดาแล้วครับ...” ว่าแล้วปวุฒิก็ก้าวไปเปิดประตูรถของหญิงสาว วรรณรดายิ้มให้เขาก่อนจะเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งประจำที่คนขับ...
“ขับรถด้วยความระมัดระวังนะครับ”
“ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ...”
เขาปิดประตูให้แล้ว วรรณรดาก็สต๊าทเครื่องโดยที่ปวุฒิยังยืนยิ้มอยู่ข้างรถเห็นฟันขาวเรียงเสมอกัน และก่อนจะถอยรถวรรณรดาก็ยกมือบ๊ายบายให้เขา พอรถตั้งหลักแล้ววรรณรดาที่เคลื่อนรถไปข้างหน้าก็มองกระจกส่องหลังก่อนจะพูดเบา ๆ กับตัวเองว่า “น่ารักอย่างนี้ซิน่า ดาถึงตัดใจจากพี่วุฒิไม่ได้เสียที”
แม้จะมีห้องชุดเป็นของตัวเองเพื่อความเป็นส่วนตัวในบางโอกาส แต่วิศรุตที่เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของกมลกับเสน่ห์จันทร์ ลิ้มวรรักษ์ ก็ยังพักอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ภายในรั้วบ้านของตระกูลลิ้มวรรักษ์ที่มีคฤหาสน์ของอากงอาม่าผู้เป็นต้นตระกูลลิ้มวรรักษ์ที่ได้ล่วงลับไปแล้วเป็นเรือนหลังประธานอยู่กลางเนื้อที่ที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่เขียวขจีและสวนสวย เรือนหลังประธานนั้นปัจจุบันเป็นที่พักของครอบครัวนภดล ลิ้มวรรักษ์ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของตระกูล..
นภดลกับอุทุมพรมีบุตรสาวด้วยกันสี่คน ลูกสาวคนโตและคนรองนั้นแต่งงานและย้ายไปอยู่กับครอบครัวของสามีซึ่งมีธุรกิจใหญ่ไม่แพ้กัน ส่วนบุตรสาวคนที่สามนั้นปัจจุบันทำปริญญาเอกอยู่ที่อังกฤษไม่สนใจธุรกิจของครอบครัว และมีทีท่าจะไม่กลับมาอยู่เมืองไทยเพราะคู่รักเป็นคนฝรั่งเศส ดังนั้น ลูกสาวคนเล็กวรรณรดา ลิ้มวรรักษ์ เมื่อเรียนจบระดับปริญญาโทที่ออสเตรเลียแล้ว อุทุมพรจึงต้องรีบเรียกตัวให้กลับมาอยู่ด้วยกันเพราะเกรงว่าหากปล่อยให้ใช้ชีวิตอิสระอยู่ต่างแดน วรรณรดาจะลืมบ้านเหมือนพี่สาวคนที่สามคบหากับหนุ่มต่างชาติ ปล่อยให้บ้านหลังนี้เปลี่ยวเหงาเพราะไม่มีลูก ๆ รายล้อมเหมือนในอดีต...
เมื่อกลับมาแล้ววรรณรดาก็เข้าทำงานในบริษัทของตระกูลเหมือนกับวิศรุตบุตรชายคนเดียวของคุณอา ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ดังนั้นวรรณรดาจึงมีโอกาสพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา รวมถึงบรรดาลูกชายเพื่อนสนิทของบิดาและมารดาแต่ว่าวรรณรดาก็หาได้มีใจสนใจใครสักคนเดียว...
ใจของวรรณรดาอยู่กับปวุฒิดาราหนุ่มที่วรรณรดาหลงใหลรูปร่างหน้าตาและบทบาทการแสดง และเมื่อเธอเป็นเพื่อนสนิทกับขวัญชีวี ทำให้วรรณรดามีได้มีโอกาสใกล้ชิดกับปวุฒิบ่อยครั้ง
และทุกครั้ง วรรณรดาก็ต้องเจ็บแปลบหัวใจเมื่อรู้ว่า หัวใจของตัวเองนั้นทรยศหักหลังหัวใจรักของเพื่อนสนิท ทางเดียวที่วรรณรดาทำได้อย่างถูกต้องนั่นก็คือทำให้ขวัญชีวีกับปวุฒิเลิกกันเสียก่อน โดยวรรณรดาคิดว่าหากวิศรุตญาติของตัวเองที่จัดว่าเป็นหนุ่มไฮโซเข้าไปพัวพันจะทำให้ขวัญชีวีหวั่นไหว แต่ว่าหัวใจของขวัญชีวีก็แกร่งกว่าที่วรรณรดาประเมินไว้ ขวัญชีวีไม่ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ เงินทองมากกว่าที่มีอยู่ ขวัญชีวีพอใจที่จะได้รักอยู่กับปวุฒิพระเอกที่ใกล้ปลดระวางตัวเองเพราะคลื่นลูกใหม่
...ลงจากรถแล้ววรรณรดาก็เดินเข้าบ้านด้วยอาการเหงา ๆ...คุณแม่บ้านรีบมาช่วยถือกระเป๋าเอกสารเหมือนเมื่อครั้งที่วรรณรดาเป็นนักเรียน...
“คุณพ่อกับคุณแม่กลับมาหรือยังคะ”
“ยังค่ะ มีงานเลี้ยง...”
วรรณรดาลอบถอนหายใจเบา ๆ ...บ้านหลังใหญ่ มีคนอยู่อาศัยนับสิบคนแต่เธอกลับรู้สึกเหงา....พ่อกับแม่มีแต่งานและงาน บางครั้งวรรณรดารู้สึกอิจฉาพี่สาวทั้งสามคนที่หลุดพ้นจากบ้านหลังนี้ไปได้...
“คุณหนูจะทานข้าวเย็นเลยไหมคะ”
“วันนี้ดาอิ่มแล้วค่ะป้า...ดาขอขึ้นห้องเลยแล้วกันนะไม่ต้องตั้งโต๊ะตอนเย็นหรอก...” เมื่อคืนนี้เธอกลับมาจนเกือบสว่าง นอนหลับเพียงครู่แล้วก็รีบอาบน้ำแต่งตัวขับรถไปทำงาน วันนี้ทั้งวันวรรณรดาจึงรู้สึกไม่สดชื่นนัก...
วรรณรดาล้มตัวลงบนที่นอนนุ่มสะอาดและหอมกรุ่นอยู่ตลอดเวลาทั้งที่ยังอยู่ในชุดที่สวมไปทำงาน...
และพอจะเคลิ้มหลับหญิงสาวก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ที่วางไว้ใกล้ ๆ มือ...
“พี่รุต...”
“ออกไปหาอะไรกินกันไหม”
“คุณมาร์คกลับแล้วเหรอคะ”
“พี่จะออกไปกับมาร์คนี่แหละ อยากชวนไปด้วยน่ะ เปิดหูเปิดตา...”
“ดาขอตัวแล้วกันค่ะ...”
“เป็นอะไร เหมือนเพลีย ๆ ไม่สบายหรือเปล่า” ด้วยเป็นลูกชายคนเดียว และเขาก็มีอายุไม่ห่างจากวรรณรดาเท่าไหร่ แม้จะไม่ใช่พี่น้องคลานตามกันมา แต่ว่าวิศรุตกับวรรณรดาก็สนิทสนมกันเป็นอย่างมาก
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...ดาหลับตอนเย็นน่ะ ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไร เราพี่น้องกัน...ดา คือพี่มีเรื่องจะบอกดาไว้ คือเรื่องที่ดาให้พี่ช่วยจีบขวัญน่ะ พี่ขอบายนะ”
“ทำไมละคะ”
“ดาก็เห็นนี่ขวัญเขาไม่สนใจพี่เลยสักนิด...พี่ท้อแล้ว...แต่ดาไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้พี่มีแผนการใหม่ที่จะช่วยดา...พี่จะให้มาร์คเขาจีบขวัญแทนพี่น่ะ”
“พี่รุต!!...”
“ไม่ต้องทำเสียงอย่างนั้นหรอก พี่ไม่บอกมาร์คเขาหรอกว่าพี่มีเหตุผลอะไรถึงต้องให้เขาช่วยเหลือ... เรารู้กันแค่สองคนเหมือนเดิม...”
“แล้วมันจะสำเร็จหรือคะพี่”
“พี่กำลังเกลี้ยกล่อมมาร์คเขาอยู่น่ะ...พี่คิดว่าจะเอาเรื่องงานมาช่วยน่ะ ประโยชน์เกื้อกูล สนุก ๆ มีข่าวคืบหน้าอย่างไรพี่จะรายงานให้ทราบอีกทีนะ"
“ทางการซะเหลือเกิน”
“อ้าว...คุยอยู่กับผู้จัดการฝ่าย ก็ต้องเป็นเรื่องเป็นราวหน่อย”
“ขอบคุณค่ะพี่...แต่ถ้าไม่สำเร็จ พี่รุตไม่ต้องคิดอะไรมากนะคะ ดาคิดว่า ดาตัดใจจะง่ายกว่า”
“รักไปแล้วก็รักไปเหอะ จะตัดใจทำไมละ...ส่วนฝ่ายปวุฒิดาก็หาวิธีพิชิตใจเขาเองนะ...พี่ไม่รู้จะช่วยอย่างไรเหมือนกัน...”
“ทำไมพี่ไม่ห้ามดา”
“สู้เพื่อความรักมันก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ”
“แต่รักแฟนของเพื่อนมันผิด...”
“เขายังไม่ได้แต่งงานกัน อะไรมันก็เปลี่ยนแปลงได้เสมอ...ท่องไว้ ๆ...โอเค แค่นี้ก่อนนะ มาร์คออกมาจากห้องน้ำแล้ว พี่จะพาเขาไปเลี้ยงส่งสักหน่อยนะ ดูแลตัวเองนะ...”
เสียงเคาะประตูห้องธุรการทำให้ปวุฒิต้องเงยหน้าหน้าจากบทละครและพอเห็นวุฒินารท ปีติเวช พระรองตลอดกาลคนจากจังหวัดเดียวกันหุ้นส่วนครัวปวุฒิผลักประตูเข้ามา ปวุฒิก็วางบทลงบนโซฟาแล้วก็ประสานมือทั้งสองข้างไว้ที่ศีรษะก่อนจะบิดขี้เกียจ ส่วนวุฒินารทนั้นเขาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วก็เอ่ยปากว่า
“แกไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ”
“เรื่องอะไรวะ...อารัมภบทสักหน่อยซี่เพื่อน”
“ดูไม่ออกจริง ๆ หรือไง”
ปวุฒิถอนหายใจเบา ๆ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเพื่อนสนิทกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“ข้าว่าคุณดาเขาชอบแก”
“ไหนแกบอกว่าจะทำให้คุณดาชอบแกให้ได้...”
“ก็เขาชอบแกนี่...ข้าหมดอารมณ์จีบแล้วว่ะ แล้วอีกอย่าง เค้ามันไฮโซด้วย ข้าเอง แกก็รู้ ๆ พื้นของเรามันสามัญชนคนธรรมดา ๆ พ่อแม่เป็นครูบ้านนอก ก้าวขึ้นมาถึงขั้นนี้ก็นับว่าบุญแล้ว”
“กินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า มาถึงก็ทำท่าท้อแท้ใจเสียอย่างนั้น...วันนี้คุณดาเขาพูดอะไรกับเอ็งเหรอ”
“เปล่า เขานั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ รอแกตรงใต้ต้นลั่นทม ระหว่างนั้นข้าก็เห็นเขาชะเง้อชะแง้ไปที่ลานจอดรถอยู่บ่อย ๆ เห็นแบบนี้มาหลายหนแล้วแหละ เวลาที่มา
ที่นี่แล้วไมเจอแก”
ปวุฒิรู้ว่าวรรณรดารู้สึกอย่างไรกับตน แต่ว่าเขารักขวัญชีวี และวรรณรดาเองจะว่าไปแล้วเธอก็สูงเกินกว่าที่เขาจะเอื้อมถึง ดังนั้นการถนอมน้ำใจกันไว้ในลักษณะเพื่อนจึงดีที่สุด และการที่วุฒินารทเปิดเผยความรู้สึกออกมาแบบนี้ เขาก็ไม่อยากผสมโรงเผยความรู้สึกตัวเองออกไปให้มากเรื่องมากความ ดังนั้นปวุฒิจึงได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ วุฒินารทเองก็เลยต้องเปลี่ยนเรื่องคุยบ้าง “น้องสาวแกติดต่อมาบ้างหรือเปล่า...”
ปวุฒิยกไหล่อย่างไม่สนใจ
“แกจะปล่อยให้น้องสาวแกไปตะลอน ๆ อย่างกับเด็กไม่มีพ่อ ไม่แม่ ไม่มีพี่ ไม่ได้นะโว้ย”
“แกก็รู้นี่ว่า ข้าไม่มีเวลาดูแลเขา แล้วเขาเองก็ไม่ได้ทำตัวเสียหายอะไร เพียงแค่มันมีความคิดไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาก็เท่านั้นเอง”
“แล้วมันจะเรียนจบไหมนะ กี่ปีเข้าไปแล้ว”
คนที่สองหนุ่มพูดถึงคือเพียงออ น้องสาวของปวุฒิ เพียงออรักความเป็นอิสรเสรี ไม่ชอบอยู่ในกฎเกณฑ์ หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก เพียงออก็ขอพ่อแม่มาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ไม่สนใจเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยของรัฐบาล ไม่สนใจมหาวิทยาลัยเอกชน ทั้งที่พี่ชายและพ่อแม่มีปัญญาส่งเสีย เพียงออเลือกเรียนคณะมนุษยศาสตร์เอกสื่อสารมวลชนเพราะอยากเป็นนักข่าว นักเขียน หญิงสาวชอบทำกิจกรรมและการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ
เพียงออเคยโบกรถจากกรุงเทพฯ ไปถึงอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และโบกรถเที่ยวในจังหวัดเชียงราย โบกรถจากเชียงรายไปเชียงใหม่ จากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอน และนั่งรถฟรีที่โบกได้กลับมากรุงเทพฯ พร้อมกับเขียนเรื่องเล่าระหว่างที่เดินทางรอนแรมแบบสาวนักโบกเสนอสำนักพิมพ์ และสำนักพิมพ์ก็พิมพ์ออกจำหน่าย ได้ค่าลิขสิทธิ์มาแล้วเพียงออจึงฮึกเหิมแบกเป้เดี่ยวเที่ยวลาวเหนือจรดลาวใต้เขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวระหว่างการเดินทางเป็นเรื่องที่สอง และเรื่องที่สามนั้นเพียงอออาจหาญทำโครงการเข้าไปขอทุนจากบริษัทแห่งหนึ่งไปเที่ยวเวียดนามใต้จนถึงเวียดนามเหนือ โดยขาไปใช้เส้นทางผ่านทางประเทศกัมพูชาขากลับนั่งรถจากฮานอยมายังเวียงจันทร์
...ครั้งนั้นเพียงออหายไปเกือบครึ่งเดือน กลับมาในสภาพที่ผอมโทรมเพราะเจ็บป่วยระหว่างการเดินทาง แต่ว่าเพียงออก็หาได้เข็ดหลาบ หลังจากที่ถูกพี่ชายพยายามขนาบให้ตั้งใจเรียนหนังสือเพียงออก็แอบทำโครงการเที่ยวอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และมาเลเซียตามสไตล์ของตน กระทั่งได้ทุนจากบริษัทเดิมและได้ค่าลิขสิทธิ์จากหนังสือสามเล่มที่พิมพ์ไปแล้วมาสมทบ แล้วหญิงสาวก็แบกเป้ออกจากบ้านทิ้งไว้เพียงจดหมายน้อยให้พี่ชายได้รับรู้
...และเมื่อรับรู้แล้วปวุฒิก็ได้แต่ภาวนาว่า ระหว่างการตะลอนเที่ยวไปนี้น้องสาวจะเอาตัวรอดกลับมาพร้อมกับประสบการณ์ที่คนอื่นไม่ต้องลงทุนลงแรงมากนัก...
“กี่ปีก็ช่างมันเหอะ มันก็บอกแล้วนี่ว่าประสบการณ์ไม่มีให้ในมหาวิทยาลัย...”
“ไอ้พี่ใจดำ”
“ใจดีต่างหากโว้ย แล้วทำไมแกไม่ส่งเมล์ไปถามมัน หรือไม่ก็โทรเข้าเครื่องมัน”
“ส่งเมล์ไปแล้ว เพียงออเค้าตอบมาแล้วว่าสบายดีไม่ต้องห่วง โทรไปไม่รับสาย ไม่ยอมเปิดเครื่อง แต่เห็นอยู่ว่าบางทีอัพรูปขึ้นเฟสบุ๊ค ขึ้นบล็อก...ก็คงยังไม่ตายแหละ”
“งั้นก็ไม่ต้องห่วงมันหรอก ห่วงตัวเองเถอะ มีงานอะไรติดต่อมาอีกหรือเปล่า”
“ไม่มีก็เฝ้าร้าน นี่จะกลายเป็นพ่อครัวอยู่แล้วเนี่ย เด็กเสิร์ฟลาป่วยก็ต้องออกมาดูแขกเอง”
“น่า...สู้ ๆ เพื่อน”
“วาสนาข้ามันไม่ดีอย่างเอ็ง ว่าไปข้าก็ไม่ได้หล่อน้อยไปกว่าเอ็งเลยนะ”
“แกพูดแบบนี้เป็นครั้งที่สองพันแล้วนะ ไม่เบื่อจะพูดบ้างหรืออย่างไร”
“ขอบใจที่ให้ได้ระบาย แล้วแกจะไม่กินข้าวกินอะไรบ้างเหรอ...”
“ไม่หรอก ยังอิ่ม ว่าจะออกไปฟิตเนสสักหน่อย รู้สึกไม่เฟิร์มเท่าเมื่อก่อน...”
“อย่างไรถ้าผู้จัดติดต่อมาก็อย่าลืมเอ่ยถึงข้าด้วยล่ะ”
“แกเล่นเป็นเพื่อนข้ามายี่สิบเรื่องแล้วนะ เล่นจนไม่มีบทอะไรจะให้เล่นแล้ว”
“ข้าต้องเป็นพ่อครัวไปจนแก่ตายเลยใช่ไหมเนี่ย เซ้งโว้ยย....” ขยี้หัวตัวเองแล้ววุฒินารทก็ลุกขึ้น ปวุฒิที่นั่งอยู่มองหน้าเพื่อน วุฒินารทแลสบตาแล้วกรอกตาไปมา...
“นารท ถามอะไรหน่อยเหอะ...”
“ถามมา”
“แกรู้สึกอย่างไรกับเพียงออ..”
พอหลินฮันหมิงวางนามบัตรของณิชกานต์ลงบนโต๊ะทำงานของวิศรุตหลังจากเล่าคร่าว ๆ ถึงที่มาที่ไปของนามบัตรใบนี้ให้เพื่อนได้รับรู้ไว้ วิศรุตที่คว้าไปดูเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นของแท้ก็เปล่งคำอุทานออกมาว่า
“พระเจ้าช่วยกล้วยทอด โอ้วววมันเป็นเรื่องจริงหรือนี่”
“พระเจ้าช่วยกล้วยทอดคืออะไรหรือ” หลินฮันหมิงไม่เข้าใจสำนวนนี้ของคนไทย..ซึ่งคู่สนทนาก็ได้แต่หัวเราะพลางส่ายหน้าเบา ๆ โดยไม่ยอมอธิบายความ...
“ยูนี่มันเสน่ห์แรงจริง ๆ ยูรู้หรือเปล่าว่าณิชกานต์น่ะดังแค่ไหน”
“ไอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดาราไทยสักคนเลยนะ...”
“แต่ตอนนี้ที่ยูรู้ก็มีสองคนแล้ว ณิชกานต์และขวัญชีวี”
“ในร้านอาหารญี่ปุ่น เมื่อกี้นี้ ไอเจอเขา ขวัญชีวี มากับแฟนเขาด้วยนะ หน้าตาหล่อเหลาดีมาก ๆ ไอเลยเข้าใจเลยว่าทำไมยูถึงจีบเขาไม่สำเร็จทั้งที่ยูก็รวยล้นฟ้า...”
แม้วันนี้จะบังเอิญได้พบขวัญชีวีในห้างสรรพสินค้าอีกครั้ง แต่หลินฮันหมิงไม่คิดจะบอกเรื่องคุณย่าหลินซิ่วอินของเขากับคุณยายแน่งน้อยของขวัญชีวีนั้นเป็นเพื่อนกันให้วิศรุตได้รับรู้...เหตุผลก็คือ เขากลัวเพื่อนจะยำเรื่องรวม ๆ กันแล้วก็เหมาว่ามันเป็นเรื่องของพรหมลิขิต? ซึ่งเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญเสียมากว่า และเธอกับเขาก็คงไม่มีเรื่องอะไรมาเกี่ยวข้องกันอีก รวมถึงดาราที่ชื่อ ณิชกานต์นี่ด้วย
“ไม่ต้องมาตอกย้ำ ไอรู้ตัวว่าไม่หล่อ”
“ผู้หญิงไทยชอบผู้ชายหล่อ ๆ ใช่ไหม”
“ไอคิดว่าน่าจะเป็นทุกชาติพันธุ์แหละ ผู้หญิงชอบผู้ชายหน้าตาดี หุ่นดี และถ้ามีเงินด้วยก็จะดีมาก ๆ”
“ยูก็ก็ไม่ได้ขี้เหร่ตรงไหนเลย เพียงแต่หล่อสู้เขาไม่ได้เท่านั้นเอง”
“ไอถึงอยากจะส่งยูไปสู้ไง ช่วยหน่อยนะเพื่อน...”
“ไม่...”
“เล่นตัวนะ...”
“ไม่ได้เล่นตัว แต่อดสงสัยไม่ได้ว่า ยูบอกว่ายูชอบเขา แล้วทำไมยูถึงได้โยนเขามาให้ไอได้ง่าย ๆ มันชอบประสาอะไร ไอสงสัย”
“ก็ทั้งรักทั้งแค้นไง พอเขาไม่สนใจเรา ก็ไม่อยากให้เขาสมหวังกับคนที่เขารัก”
วิศรุตพูดเอาตัวรอดทั้งที่ใจจริงแล้ว เขาเองก็ไม่ได้อินังขังขอบกับเรื่องราวความรักในครั้งนี้สักเท่าไหร่ ยอมรับว่าชอบในความงาม ของขวัญชีวี แต่เมื่อขวัญชีวีปฏิเสธไมตรีของเขาอย่างไม่คิดเลี้ยงไข้ เขาก็ตัดใจได้ไม่ยากเช่นกัน แล้วอีกอย่างเขารู้สึกสนุกกับเกมรักของหลินฮันหมิงกับขวัญชีวีเสียแล้ว เพราะเพื่อนชายของเขากับขวัญชีวีนั้น นับว่าเหมาะสมกันทีเดียว...ผู้ชายหล่อรวย ผู้หญิงสวยสูงส่ง..ถ้าลงเอยก็กันก็นับว่าเหมาะสมมาก และถ้ามีลูกด้วยกันลูกคงจะน่ารักมาก...
“ไอเพิ่งรู้ว่ายูเป็นคนนิสัยแย่มาก”
“เอาตรง ๆ ก็ได้นะ ไอไม่ได้คิดอะไรกับเขาสักเท่าไหร่หรอก จีบเล่น ๆ อยากลองใจคนเล่นน่ะ...ถ้ายูคิดจะชอบเขา จีบเขา ก็ไม่ต้องมาคิดเกรงใจไอ”
“คุยเรื่องอื่นเหอะ...ไอไม่ชอบคนที่เขามีแฟนอยู่แล้วหรอก”
“แต่ถ้าเขาไม่มีแฟนก็ว่าไปอย่างใช่ไหม...”
“เขาสวยใช้ได้ทีเดียว แต่อยู่ละประเทศแบบนี้...อย่าไปคิดให้วุ่นวายหัวใจเลย เอาเวลามาคิดเรื่องงานดีกว่า”
“สมัยนี้ ความรักมันไร้พรมแดนแล้วเพื่อน ทำอย่างกับยูไม่เคยออกเดทกับสาวญี่ปุ่น รัสเซีย อินเดียและก็แอฟริกาใต้”
หลินฮันหมิงถอนหายใจแรง ๆ...บ่งอารมณ์ว่าเบื่อที่จะมานั่งต่อปากต่อคำกับเรื่องที่ผ่านมาแล้วและไร้สาระแบบนี้
“แล้วนี่บอกข้อมูลอะไรให้ยายณิชกานต์ไปบ้างแล้วล่ะ” น้ำเสียงของวิศรุตเป็นงานเป็นการขึ้นมา หลังจากที่ประเมินสถานการณ์ที่เพื่อนเล่าให้ฟังแล้วว่า อุบัติเหตุตรงนั้นมันน่าจะเกิดจากความตั้งใจของฝ่ายนั้น
“ไอก็บอกว่า ไอเป็นคนปีนัง มาเที่ยว กลับบ้านพรุ่งนี้ แค่นี้เอง ไม่ได้บอกอะไรไปมากมายหรอก ไอแกล้งพูดไทยไม่ชัด ฟังภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่อง เขาเองก็ไม่เก่งภาษาอังกฤษเท่าไหร่ เขาก็ขอนามบัตรไอนะ แต่ไอไม่มีให้เขา แต่ไอก็ให้เบอร์โทรเขาไป เขาให้นามบัตรไอมา อย่างที่ยูเห็น”
“ดีแล้วที่ไม่ให้ไป ไม่งั้น คุณเธอตื้อนายไม่เลิกแน่ ๆ”
“แล้วนิชกานต์เขาเป็นคนอย่างไร”
“เขาก็...ถ้าเทียบกับขวัญชีวีแล้ว ขวัญชีวีดังกว่า ฐานะทางบ้านดีกว่า ประวัติดีกว่า แต่เท่าที่รู้ตอนนี้...
แป๊บนะ” วกกลับมาหาขวัญชีวีแล้ววิศรุตก็ยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะกดออกไปหาเลขาฯ หน้าห้อง “คุณวิ ผมอยากรู้ว่าตอนนี้ณิชกานต์ที่เป็นนางเอกละครน่ะคบหาอยู่กับใคร....เอ้อ...ครับ.. ว่างเหรอ...ครับ ๆ ขอบคุณ”
วางกระบอกโทรศัพท์ลงแล้วเขาก็บอกว่า “ตอนนี้คุณณิชกานต์เธอว่าง แต่เมื่อก่อนหน้านั้นเท่าที่คุณวิรู้เธอคบกับพระเอกละครคนหนึ่ง แล้วก็เลิกกัน นายแบบคนหนึ่งแล้วก็เลิกกัน แล้วก็พวกลูกหลานไฮโซอีกคนหนึ่งแล้วก็เลิกกัน...ตอนนี้เธอว่าง หากนายสนใจ”
หลินฮันหมิงส่ายหน้าดิก
“ณิชกานต์ไม่สวยหรืออย่างไร สวยแล้วก็ไม่มีแฟนด้วยนะ”
“สวย...แต่ไอรู้สึกเฉย ๆ” คนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามทอดสะพานเขากลับไม่รู้สึกยินดี แต่คนที่นั่งอยู่กับคนรักโต๊ะใกล้ ๆ กัน เขากลับรู้สึกอยากจะมองหน้าอยากสบตาคู่นั้น และถ้าเขาบอกกับวิศรุตไปตรงๆ มันก็คงเข้าทางของเพื่อนเขาแน่ ๆ
“คุณดาครับ คุณดา” พอปวุฒิเลี้ยวรถคันใหญ่ของตัวเองเข้ามายังลานจอดรถของครัวปวุฒิเขาก็เห็นวรรณรดาเดินไปที่รถของตัวเอง และขณะที่หญิงสาวกำลังจะเปิดประตูเข้าไปนั่ง ปวุฒิก็รีบเลื่อนกระจกรถของตัวเองลง แล้วร้องเรียกไว้ วรรณรดาหันมาหาเขาพร้อมยิ้มบาง ๆ แต่งแต้มใบหน้าขาว...ซึ่งพอรับบทสาวออฟฟิศวรรณรดาก็แต่งกายได้อย่างดีเยี่ยมเช่นกัน...
“เดี๋ยวขอผมจอดรถแป๊บนะ...” ตะโกนบอกวรรณรดาแล้วปวุฒิก็เลื่อนรถเข้าช่องจอดก่อนจะรีบลงจากรถเดินมาหาวรรณรดาที่ยืนคอยอยู่ข้างรถสปอร์ตหรูของตน...
“มีอะไรกับรดาค่ะ” รองเท้าส้นสูงกับระยะห่างประมาณหนึ่งเมตรทำให้วรรณรดาไม่ต้องแหงนหน้าคุยกับปวุฒิ
“คุณดามาทำอะไรครับ”
“พาลูกค้าจากเวียดนามมาเลี้ยงส่งค่ะ แต่ให้คนขับรถบริษัทพาส่งกลับโรงแรมไปแล้ว ดาเองก็กำลังจะกลับเหมือนกัน”
“เมื่อคืนผมไม่รู้ว่าเป็นวันเกิดคุณดา...ผมจะแก้ตัวอย่างไรดีละ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดานัดเจอกันเฉพาะเพื่อน ๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยค่ะ ไม่ได้เจอกันนานแล้วก็เลยหาข้ออ้างรวมตัวสังสรรค์ แค่นั้นเองค่ะ”
“งั้นผมขออวยพรวันเกิดให้คุณดาย้อนหลังแล้วกันนะครับ”
“ค่ะ..ยินดีค่ะ”
ปวุฒิที่มีความสูงร้อยแปดสิบเซนติเมตรหุ่นกำยำล่ำสันคิ้วหนาดวงตาคมกล้าใช้มือข้างขวาทับฝ่ามือข้างซ้ายแล้วกำหลวม ๆ ไว้ที่ระดับอกแล้วกล่าวอย่างเป็นงานเป็นการว่า “ผมขอให้คุณดา คุณดา เอ่อ..สุข สดชื่น สมหวังนะครับ คิดสิ่งหนึ่งประการใดก็ขอให้สมความปรารถนา โตวันโตคืน รวยยิ่ง ๆ ขึ้นแล้วก็พาลูกค้ามาเลี้ยงที่นี่บ่อย ๆ ผมจะได้รวยตามคุณดาไปด้วย”
วรรณรดาย่นจมูกกับคำอวยพรของเขาจนปวุฒิต้องยิ้มกลั้นขำไว้...
“พูดแบบนี้จะบอกว่าดาเตี้ยม่อต้อใช่ไหมคะ”
“เปล่าครับ ผมไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น โตของผมคือ กิจการเจริญรุ่งเรืองครับ”
“ดารู้ตัวดีค่ะ” วรรณรดารู้ตัวดีว่า พระเอกระดับปวุฒิไม่มีทางสนใจคนอย่างเธอหรอก แต่เธอเองที่ตัดใจจากความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้เขาไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่า เขาคือคนรักของเพื่อน วรรณรดาก็ยังพยายามให้ความหวังตัวเอง หวังว่าสักวันปวุฒิและขวัญชีวีจะไปด้วยกันไปรอด แล้วเมื่อนั้นปวุฒิก็จะหันมามองเธอบ้าง และการที่ดึงพี่วิศรุตลูกพี่ลูกน้องกันให้เข้ามาตามจีบขวัญชีวีนั้น วรรณรดาก็หวังให้เห็นความแตกแยก แต่ว่าทั้งคู่ก็ยังดูรักกันเหนียวแน่นเหมือนเดิม ทางเดียวที่วรรณรดาทำได้คือ ‘ทำใจ’ คิดเสียว่าไม่ใช่เนื้อคู่กัน แต่ว่าพอได้อยู่ใกล้ ๆ กับเขาทีไร ความน่ารักสนุกสนานของเขา ก็ทำให้ใจของวรรณรดาก็อ่อนยวบลงอีกแล้ว
“คุณดาสวยน่ารัก แบบคุณดาครับ ขอให้คุณดาเจอชายในฝันไว ๆ นะครับ นี่ก็เป็นการคำอวยพรวันเกิดอีกข้อแล้วกัน”
“ค่ะขอบคุณมาก ๆ ค่ะ” แม้จะอยากคุยกับเขานาน ๆ อยากมองหน้าเขาให้หายคิดถึง แต่วรรณรดาก็รู้ว่าไม่ควร..ไม่ควรให้ความใกล้ชิดทำให้ตัวเองเจ็บมากกว่านี้ และไม่ควรให้ความห่างทำให้เธอคิดถึงเขาเช่นกัน
...ดังนั้น ยามที่หาข้ออ้างมาที่ร้านนี้ได้วรรณรดาจะต้องรีบทำทันที...และครั้งนี้ก็เช่นกัน ลูกค้าจากเวียดนามที่เธอพามาเลี้ยงข้าวนั้นกลับกันไปนานแล้ว แต่วรรณรดาก็หาข้ออ้างได้ว่าสถานที่อันร่มรื่นของเขาควรค่ากับการนั่งอ่านหนังสือนิยายเล่มที่ซุกอยู่ในกระเป๋าสะพาย
...ทั้งที่จริง ๆ แล้ว วรรณรดานั่งรอการกลับมาของเขา แต่เมื่อเห็นว่ามันเป็นเวลาบ่ายคล้อย และดีไม่ดีวันนี้เขาอาจจะไม่เข้ามาที่ร้าน วรรณรดาจึงได้คิดกลับบ้าน ทั้งที่หัวใจรู้สึกห่อเหี่ยวเมื่อรู้ว่าเขากำลังอยู่กับขวัญชีวีเพื่อนสนิทของเธอ
“แล้วนี่คุณดาอิ่มหรือยังครับ...”
“อิ่มแล้วค่ะ พ่อครัวที่นี่ทำอาหารอร่อยมากค่ะ มาทีไรเจริญอาหารแบบลืมตัวเมื่อนั้น...แต่ถามทำไมคะ”
“อยากจะชวนดื่มกาแฟด้วยกันอีกสักแก้วครับ”
“เอาไว้โอกาสหน้าดีกว่าค่ะ ดาไม่ดื่มกาแฟตอนบ่าย แล้ววันหนึ่งดาก็ไม่ดื่มกาแฟหลายแก้วค่ะ ใจเต้นตุบตุ๊บดาไม่อยากนอนไม่หลับ...”
“นอนไม่หลับก็ออกไปแดนซ์...”
“ดารู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วค่ะ ดายี่สิบเจ็ดเต็มแล้วนะคะ แดนซ์แล้วไม่มันส์เหมือนเดิม”
“ถ้าคุณดาแก่ ผมไม่แก่งั๊กเลยเหรอ”
“ผู้ชายแก่ช้ากว่าผู้หญิงค่ะ โดยเฉพาะคนผิวคล้ำ ๆ แบบพี่วุฒิ...แก่ช้ามาก”
“เอ๊ะพูดแบบนี้คุณดาจะบอกว่าผมดำใช่ไหมครับ”
“ดาเปล่าบอกอย่างนั้นนะคะ”
“งั้นเมื่อกี้ ผมก็ไม่ได้หมายถึงว่าคุณดาเตี้ยม่อต้อเหมือนกันครับ เป็นอันว่าหายกันนะ ดีไหม”
“ค่ะ...”
ตาสองคู่ประสานกัน สายตาแพรวพราวของเขานั้นวรรณรดาอ่านไม่ออกว่าคิดอะไรกับเธอ...แต่วรรณ รดารู้ใจของตัวเองดีว่าคิดอะไรกับเขา เธอกลัวว่าดวงตาของเธอจะทำให้เขาอ่านความรู้สึกในหัวใจได้
... แล้ววรรณรดาก็ได้สติ..ยิ้มให้เขาก่อนจะบอกว่า “คุยกันนานแล้ว ดาชักเมื่อยแล้วค่ะ”
“งั้นผมไม่กวนคุณดาแล้วครับ...” ว่าแล้วปวุฒิก็ก้าวไปเปิดประตูรถของหญิงสาว วรรณรดายิ้มให้เขาก่อนจะเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งประจำที่คนขับ...
“ขับรถด้วยความระมัดระวังนะครับ”
“ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ...”
เขาปิดประตูให้แล้ว วรรณรดาก็สต๊าทเครื่องโดยที่ปวุฒิยังยืนยิ้มอยู่ข้างรถเห็นฟันขาวเรียงเสมอกัน และก่อนจะถอยรถวรรณรดาก็ยกมือบ๊ายบายให้เขา พอรถตั้งหลักแล้ววรรณรดาที่เคลื่อนรถไปข้างหน้าก็มองกระจกส่องหลังก่อนจะพูดเบา ๆ กับตัวเองว่า “น่ารักอย่างนี้ซิน่า ดาถึงตัดใจจากพี่วุฒิไม่ได้เสียที”
แม้จะมีห้องชุดเป็นของตัวเองเพื่อความเป็นส่วนตัวในบางโอกาส แต่วิศรุตที่เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของกมลกับเสน่ห์จันทร์ ลิ้มวรรักษ์ ก็ยังพักอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ภายในรั้วบ้านของตระกูลลิ้มวรรักษ์ที่มีคฤหาสน์ของอากงอาม่าผู้เป็นต้นตระกูลลิ้มวรรักษ์ที่ได้ล่วงลับไปแล้วเป็นเรือนหลังประธานอยู่กลางเนื้อที่ที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่เขียวขจีและสวนสวย เรือนหลังประธานนั้นปัจจุบันเป็นที่พักของครอบครัวนภดล ลิ้มวรรักษ์ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของตระกูล..
นภดลกับอุทุมพรมีบุตรสาวด้วยกันสี่คน ลูกสาวคนโตและคนรองนั้นแต่งงานและย้ายไปอยู่กับครอบครัวของสามีซึ่งมีธุรกิจใหญ่ไม่แพ้กัน ส่วนบุตรสาวคนที่สามนั้นปัจจุบันทำปริญญาเอกอยู่ที่อังกฤษไม่สนใจธุรกิจของครอบครัว และมีทีท่าจะไม่กลับมาอยู่เมืองไทยเพราะคู่รักเป็นคนฝรั่งเศส ดังนั้น ลูกสาวคนเล็กวรรณรดา ลิ้มวรรักษ์ เมื่อเรียนจบระดับปริญญาโทที่ออสเตรเลียแล้ว อุทุมพรจึงต้องรีบเรียกตัวให้กลับมาอยู่ด้วยกันเพราะเกรงว่าหากปล่อยให้ใช้ชีวิตอิสระอยู่ต่างแดน วรรณรดาจะลืมบ้านเหมือนพี่สาวคนที่สามคบหากับหนุ่มต่างชาติ ปล่อยให้บ้านหลังนี้เปลี่ยวเหงาเพราะไม่มีลูก ๆ รายล้อมเหมือนในอดีต...
เมื่อกลับมาแล้ววรรณรดาก็เข้าทำงานในบริษัทของตระกูลเหมือนกับวิศรุตบุตรชายคนเดียวของคุณอา ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ดังนั้นวรรณรดาจึงมีโอกาสพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา รวมถึงบรรดาลูกชายเพื่อนสนิทของบิดาและมารดาแต่ว่าวรรณรดาก็หาได้มีใจสนใจใครสักคนเดียว...
ใจของวรรณรดาอยู่กับปวุฒิดาราหนุ่มที่วรรณรดาหลงใหลรูปร่างหน้าตาและบทบาทการแสดง และเมื่อเธอเป็นเพื่อนสนิทกับขวัญชีวี ทำให้วรรณรดามีได้มีโอกาสใกล้ชิดกับปวุฒิบ่อยครั้ง
และทุกครั้ง วรรณรดาก็ต้องเจ็บแปลบหัวใจเมื่อรู้ว่า หัวใจของตัวเองนั้นทรยศหักหลังหัวใจรักของเพื่อนสนิท ทางเดียวที่วรรณรดาทำได้อย่างถูกต้องนั่นก็คือทำให้ขวัญชีวีกับปวุฒิเลิกกันเสียก่อน โดยวรรณรดาคิดว่าหากวิศรุตญาติของตัวเองที่จัดว่าเป็นหนุ่มไฮโซเข้าไปพัวพันจะทำให้ขวัญชีวีหวั่นไหว แต่ว่าหัวใจของขวัญชีวีก็แกร่งกว่าที่วรรณรดาประเมินไว้ ขวัญชีวีไม่ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ เงินทองมากกว่าที่มีอยู่ ขวัญชีวีพอใจที่จะได้รักอยู่กับปวุฒิพระเอกที่ใกล้ปลดระวางตัวเองเพราะคลื่นลูกใหม่
...ลงจากรถแล้ววรรณรดาก็เดินเข้าบ้านด้วยอาการเหงา ๆ...คุณแม่บ้านรีบมาช่วยถือกระเป๋าเอกสารเหมือนเมื่อครั้งที่วรรณรดาเป็นนักเรียน...
“คุณพ่อกับคุณแม่กลับมาหรือยังคะ”
“ยังค่ะ มีงานเลี้ยง...”
วรรณรดาลอบถอนหายใจเบา ๆ ...บ้านหลังใหญ่ มีคนอยู่อาศัยนับสิบคนแต่เธอกลับรู้สึกเหงา....พ่อกับแม่มีแต่งานและงาน บางครั้งวรรณรดารู้สึกอิจฉาพี่สาวทั้งสามคนที่หลุดพ้นจากบ้านหลังนี้ไปได้...
“คุณหนูจะทานข้าวเย็นเลยไหมคะ”
“วันนี้ดาอิ่มแล้วค่ะป้า...ดาขอขึ้นห้องเลยแล้วกันนะไม่ต้องตั้งโต๊ะตอนเย็นหรอก...” เมื่อคืนนี้เธอกลับมาจนเกือบสว่าง นอนหลับเพียงครู่แล้วก็รีบอาบน้ำแต่งตัวขับรถไปทำงาน วันนี้ทั้งวันวรรณรดาจึงรู้สึกไม่สดชื่นนัก...
วรรณรดาล้มตัวลงบนที่นอนนุ่มสะอาดและหอมกรุ่นอยู่ตลอดเวลาทั้งที่ยังอยู่ในชุดที่สวมไปทำงาน...
และพอจะเคลิ้มหลับหญิงสาวก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ที่วางไว้ใกล้ ๆ มือ...
“พี่รุต...”
“ออกไปหาอะไรกินกันไหม”
“คุณมาร์คกลับแล้วเหรอคะ”
“พี่จะออกไปกับมาร์คนี่แหละ อยากชวนไปด้วยน่ะ เปิดหูเปิดตา...”
“ดาขอตัวแล้วกันค่ะ...”
“เป็นอะไร เหมือนเพลีย ๆ ไม่สบายหรือเปล่า” ด้วยเป็นลูกชายคนเดียว และเขาก็มีอายุไม่ห่างจากวรรณรดาเท่าไหร่ แม้จะไม่ใช่พี่น้องคลานตามกันมา แต่ว่าวิศรุตกับวรรณรดาก็สนิทสนมกันเป็นอย่างมาก
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...ดาหลับตอนเย็นน่ะ ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไร เราพี่น้องกัน...ดา คือพี่มีเรื่องจะบอกดาไว้ คือเรื่องที่ดาให้พี่ช่วยจีบขวัญน่ะ พี่ขอบายนะ”
“ทำไมละคะ”
“ดาก็เห็นนี่ขวัญเขาไม่สนใจพี่เลยสักนิด...พี่ท้อแล้ว...แต่ดาไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้พี่มีแผนการใหม่ที่จะช่วยดา...พี่จะให้มาร์คเขาจีบขวัญแทนพี่น่ะ”
“พี่รุต!!...”
“ไม่ต้องทำเสียงอย่างนั้นหรอก พี่ไม่บอกมาร์คเขาหรอกว่าพี่มีเหตุผลอะไรถึงต้องให้เขาช่วยเหลือ... เรารู้กันแค่สองคนเหมือนเดิม...”
“แล้วมันจะสำเร็จหรือคะพี่”
“พี่กำลังเกลี้ยกล่อมมาร์คเขาอยู่น่ะ...พี่คิดว่าจะเอาเรื่องงานมาช่วยน่ะ ประโยชน์เกื้อกูล สนุก ๆ มีข่าวคืบหน้าอย่างไรพี่จะรายงานให้ทราบอีกทีนะ"
“ทางการซะเหลือเกิน”
“อ้าว...คุยอยู่กับผู้จัดการฝ่าย ก็ต้องเป็นเรื่องเป็นราวหน่อย”
“ขอบคุณค่ะพี่...แต่ถ้าไม่สำเร็จ พี่รุตไม่ต้องคิดอะไรมากนะคะ ดาคิดว่า ดาตัดใจจะง่ายกว่า”
“รักไปแล้วก็รักไปเหอะ จะตัดใจทำไมละ...ส่วนฝ่ายปวุฒิดาก็หาวิธีพิชิตใจเขาเองนะ...พี่ไม่รู้จะช่วยอย่างไรเหมือนกัน...”
“ทำไมพี่ไม่ห้ามดา”
“สู้เพื่อความรักมันก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ”
“แต่รักแฟนของเพื่อนมันผิด...”
“เขายังไม่ได้แต่งงานกัน อะไรมันก็เปลี่ยนแปลงได้เสมอ...ท่องไว้ ๆ...โอเค แค่นี้ก่อนนะ มาร์คออกมาจากห้องน้ำแล้ว พี่จะพาเขาไปเลี้ยงส่งสักหน่อยนะ ดูแลตัวเองนะ...”
เสียงเคาะประตูห้องธุรการทำให้ปวุฒิต้องเงยหน้าหน้าจากบทละครและพอเห็นวุฒินารท ปีติเวช พระรองตลอดกาลคนจากจังหวัดเดียวกันหุ้นส่วนครัวปวุฒิผลักประตูเข้ามา ปวุฒิก็วางบทลงบนโซฟาแล้วก็ประสานมือทั้งสองข้างไว้ที่ศีรษะก่อนจะบิดขี้เกียจ ส่วนวุฒินารทนั้นเขาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วก็เอ่ยปากว่า
“แกไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ”
“เรื่องอะไรวะ...อารัมภบทสักหน่อยซี่เพื่อน”
“ดูไม่ออกจริง ๆ หรือไง”
ปวุฒิถอนหายใจเบา ๆ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเพื่อนสนิทกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“ข้าว่าคุณดาเขาชอบแก”
“ไหนแกบอกว่าจะทำให้คุณดาชอบแกให้ได้...”
“ก็เขาชอบแกนี่...ข้าหมดอารมณ์จีบแล้วว่ะ แล้วอีกอย่าง เค้ามันไฮโซด้วย ข้าเอง แกก็รู้ ๆ พื้นของเรามันสามัญชนคนธรรมดา ๆ พ่อแม่เป็นครูบ้านนอก ก้าวขึ้นมาถึงขั้นนี้ก็นับว่าบุญแล้ว”
“กินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า มาถึงก็ทำท่าท้อแท้ใจเสียอย่างนั้น...วันนี้คุณดาเขาพูดอะไรกับเอ็งเหรอ”
“เปล่า เขานั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ รอแกตรงใต้ต้นลั่นทม ระหว่างนั้นข้าก็เห็นเขาชะเง้อชะแง้ไปที่ลานจอดรถอยู่บ่อย ๆ เห็นแบบนี้มาหลายหนแล้วแหละ เวลาที่มา
ที่นี่แล้วไมเจอแก”
ปวุฒิรู้ว่าวรรณรดารู้สึกอย่างไรกับตน แต่ว่าเขารักขวัญชีวี และวรรณรดาเองจะว่าไปแล้วเธอก็สูงเกินกว่าที่เขาจะเอื้อมถึง ดังนั้นการถนอมน้ำใจกันไว้ในลักษณะเพื่อนจึงดีที่สุด และการที่วุฒินารทเปิดเผยความรู้สึกออกมาแบบนี้ เขาก็ไม่อยากผสมโรงเผยความรู้สึกตัวเองออกไปให้มากเรื่องมากความ ดังนั้นปวุฒิจึงได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ วุฒินารทเองก็เลยต้องเปลี่ยนเรื่องคุยบ้าง “น้องสาวแกติดต่อมาบ้างหรือเปล่า...”
ปวุฒิยกไหล่อย่างไม่สนใจ
“แกจะปล่อยให้น้องสาวแกไปตะลอน ๆ อย่างกับเด็กไม่มีพ่อ ไม่แม่ ไม่มีพี่ ไม่ได้นะโว้ย”
“แกก็รู้นี่ว่า ข้าไม่มีเวลาดูแลเขา แล้วเขาเองก็ไม่ได้ทำตัวเสียหายอะไร เพียงแค่มันมีความคิดไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาก็เท่านั้นเอง”
“แล้วมันจะเรียนจบไหมนะ กี่ปีเข้าไปแล้ว”
คนที่สองหนุ่มพูดถึงคือเพียงออ น้องสาวของปวุฒิ เพียงออรักความเป็นอิสรเสรี ไม่ชอบอยู่ในกฎเกณฑ์ หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก เพียงออก็ขอพ่อแม่มาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ไม่สนใจเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยของรัฐบาล ไม่สนใจมหาวิทยาลัยเอกชน ทั้งที่พี่ชายและพ่อแม่มีปัญญาส่งเสีย เพียงออเลือกเรียนคณะมนุษยศาสตร์เอกสื่อสารมวลชนเพราะอยากเป็นนักข่าว นักเขียน หญิงสาวชอบทำกิจกรรมและการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ
เพียงออเคยโบกรถจากกรุงเทพฯ ไปถึงอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และโบกรถเที่ยวในจังหวัดเชียงราย โบกรถจากเชียงรายไปเชียงใหม่ จากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอน และนั่งรถฟรีที่โบกได้กลับมากรุงเทพฯ พร้อมกับเขียนเรื่องเล่าระหว่างที่เดินทางรอนแรมแบบสาวนักโบกเสนอสำนักพิมพ์ และสำนักพิมพ์ก็พิมพ์ออกจำหน่าย ได้ค่าลิขสิทธิ์มาแล้วเพียงออจึงฮึกเหิมแบกเป้เดี่ยวเที่ยวลาวเหนือจรดลาวใต้เขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวระหว่างการเดินทางเป็นเรื่องที่สอง และเรื่องที่สามนั้นเพียงอออาจหาญทำโครงการเข้าไปขอทุนจากบริษัทแห่งหนึ่งไปเที่ยวเวียดนามใต้จนถึงเวียดนามเหนือ โดยขาไปใช้เส้นทางผ่านทางประเทศกัมพูชาขากลับนั่งรถจากฮานอยมายังเวียงจันทร์
...ครั้งนั้นเพียงออหายไปเกือบครึ่งเดือน กลับมาในสภาพที่ผอมโทรมเพราะเจ็บป่วยระหว่างการเดินทาง แต่ว่าเพียงออก็หาได้เข็ดหลาบ หลังจากที่ถูกพี่ชายพยายามขนาบให้ตั้งใจเรียนหนังสือเพียงออก็แอบทำโครงการเที่ยวอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และมาเลเซียตามสไตล์ของตน กระทั่งได้ทุนจากบริษัทเดิมและได้ค่าลิขสิทธิ์จากหนังสือสามเล่มที่พิมพ์ไปแล้วมาสมทบ แล้วหญิงสาวก็แบกเป้ออกจากบ้านทิ้งไว้เพียงจดหมายน้อยให้พี่ชายได้รับรู้
...และเมื่อรับรู้แล้วปวุฒิก็ได้แต่ภาวนาว่า ระหว่างการตะลอนเที่ยวไปนี้น้องสาวจะเอาตัวรอดกลับมาพร้อมกับประสบการณ์ที่คนอื่นไม่ต้องลงทุนลงแรงมากนัก...
“กี่ปีก็ช่างมันเหอะ มันก็บอกแล้วนี่ว่าประสบการณ์ไม่มีให้ในมหาวิทยาลัย...”
“ไอ้พี่ใจดำ”
“ใจดีต่างหากโว้ย แล้วทำไมแกไม่ส่งเมล์ไปถามมัน หรือไม่ก็โทรเข้าเครื่องมัน”
“ส่งเมล์ไปแล้ว เพียงออเค้าตอบมาแล้วว่าสบายดีไม่ต้องห่วง โทรไปไม่รับสาย ไม่ยอมเปิดเครื่อง แต่เห็นอยู่ว่าบางทีอัพรูปขึ้นเฟสบุ๊ค ขึ้นบล็อก...ก็คงยังไม่ตายแหละ”
“งั้นก็ไม่ต้องห่วงมันหรอก ห่วงตัวเองเถอะ มีงานอะไรติดต่อมาอีกหรือเปล่า”
“ไม่มีก็เฝ้าร้าน นี่จะกลายเป็นพ่อครัวอยู่แล้วเนี่ย เด็กเสิร์ฟลาป่วยก็ต้องออกมาดูแขกเอง”
“น่า...สู้ ๆ เพื่อน”
“วาสนาข้ามันไม่ดีอย่างเอ็ง ว่าไปข้าก็ไม่ได้หล่อน้อยไปกว่าเอ็งเลยนะ”
“แกพูดแบบนี้เป็นครั้งที่สองพันแล้วนะ ไม่เบื่อจะพูดบ้างหรืออย่างไร”
“ขอบใจที่ให้ได้ระบาย แล้วแกจะไม่กินข้าวกินอะไรบ้างเหรอ...”
“ไม่หรอก ยังอิ่ม ว่าจะออกไปฟิตเนสสักหน่อย รู้สึกไม่เฟิร์มเท่าเมื่อก่อน...”
“อย่างไรถ้าผู้จัดติดต่อมาก็อย่าลืมเอ่ยถึงข้าด้วยล่ะ”
“แกเล่นเป็นเพื่อนข้ามายี่สิบเรื่องแล้วนะ เล่นจนไม่มีบทอะไรจะให้เล่นแล้ว”
“ข้าต้องเป็นพ่อครัวไปจนแก่ตายเลยใช่ไหมเนี่ย เซ้งโว้ยย....” ขยี้หัวตัวเองแล้ววุฒินารทก็ลุกขึ้น ปวุฒิที่นั่งอยู่มองหน้าเพื่อน วุฒินารทแลสบตาแล้วกรอกตาไปมา...
“นารท ถามอะไรหน่อยเหอะ...”
“ถามมา”
“แกรู้สึกอย่างไรกับเพียงออ..”

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ธ.ค. 2555, 08:28:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ธ.ค. 2555, 08:28:05 น.
จำนวนการเข้าชม : 2087
<< 2.2 | 4.1 >> |


Orathai 6 ธ.ค. 2555, 10:16:02 น.
ต้นๆเรื่องยังเป็นช่วงที่เก็บรายละเอียด ^^
ต้นๆเรื่องยังเป็นช่วงที่เก็บรายละเอียด ^^

Zephyr 7 ธ.ค. 2555, 09:46:18 น.
อืม ยังจับเรื่องไม่ถูกแฮะ แต่แบบ แหม มีแผนจีบเนียนๆ
เฮ้อ ทำยังไงจะลงตัวล่ะเนี่ย เหมือนยังไม่มีใครออกนอกลู่นอกทางเลยน้า
อืม ยังจับเรื่องไม่ถูกแฮะ แต่แบบ แหม มีแผนจีบเนียนๆ
เฮ้อ ทำยังไงจะลงตัวล่ะเนี่ย เหมือนยังไม่มีใครออกนอกลู่นอกทางเลยน้า

loveleklek 7 ธ.ค. 2555, 20:19:44 น.
ตามมาอ่าน
ตามมาอ่าน