เล่ห์รักเกมหัวใจ
มีน เขาถูกว่าจ้างให้หักอกเธอ "อลินา" ที่คนว่าจ้างบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงร้ายกาจ
อลินา ถูกว่าจ้างให้ดักหลังผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ อย่าง"มีน" ที่ไม่ยอมสยบให้หญิงใด
เมื่อ แผนถูกซ้อนเป็นชั้นๆเหมือนขนมที่แสนหวาน กับดักที่พันจนวุ่นวาย
หมายเหตุ เรื่องนี้เขียนสดๆ ดังนั้นอาจจะมีเนื้อหาที่จะมีการเปลี่ยนแปลงภายหลังค่ะ
อลินา ถูกว่าจ้างให้ดักหลังผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ อย่าง"มีน" ที่ไม่ยอมสยบให้หญิงใด
เมื่อ แผนถูกซ้อนเป็นชั้นๆเหมือนขนมที่แสนหวาน กับดักที่พันจนวุ่นวาย
หมายเหตุ เรื่องนี้เขียนสดๆ ดังนั้นอาจจะมีเนื้อหาที่จะมีการเปลี่ยนแปลงภายหลังค่ะ
Tags: เล่ห์รักเกมหัวใจ คีตา ณิชนิตา
ตอน: บทที่ ๑๒ เล่ห์ลวง
บทที่ ๑๒ เล่ห์ลวง
พัชระเก็บของเข้าไว้ในลิ้นชักเมื่อจัดการงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนประวีย์เพิ่งกวาดร้านเสร็จก็รีบเข้ามานั่งเฝ้าเจ้านายหนุ่ม สีหน้าเจ้าเล่ห์นั้นดูออดอ้อนพิกล
“พี่พัช เดือนหน้าก็เป็นช่วงพักของเราแล้วนะพี่”
พัชระเงยหน้าขึ้นมองลูกน้องที่อยู่ด้วยกันมานานนมนั้นด้วยความรู้สึกขันแต่ระงับรอยยิ้มไว้ ทำหน้าขรึมต่อไป
“แล้วไง”
“พี่ นี่พี่อย่าบอกนะว่าพี่ลืม ไม่ได้นะผมรอคอยมาทั้งปีเลยน๊า”
พัชระเผลอหลุดหัวเราะออกมาจนได้ เขาเอื้อมมือออกไปตบหน้าผากเด็กหนุ่มเบาๆ เป็นการลงโทษที่โวยวายไม่เข้าเรื่อง อลินาแอบยิ้มเมื่อเห็นภาพนั้น พัชระดูกันเองและมีความสุขกับงานในร้านนี้เหลือเกิน เขาอาจจะเป็นพี่ชายที่ไม่ค่อยดีนัก หรือเพราะเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็นเลยก็ได้ แต่เขาทำหน้าที่เจ้านายของประวีย์และเธอได้อย่างดีเหลือเกิน
“ได้ไปอยู่น่า แล้วมีที่ๆ ที่คิดไว้ในใจหรือเปล่า”
“ไปเที่ยวทางเหนือไหมพี่ สักที่เดี๋ยวผมจัดการ เออ...ลืมถามลีน่าล่ะอยากไปเที่ยวที่ไหน เราจะพักร้อนประจำปีกัน” ประวีย์รับอาสาทันทีโดยไม่มีเกี่ยวงอนเลยสักนิด
“เดือนหน้าคงไปด้วยไม่ได้หรอกค่ะพอดีฉันต้องไปเก็บตัวซ้อมที่พัทยา”
“แย่จังเลย เอ๋ งั้นเราก็ไปพัทยาสิพี่ จะได้ดูลีน่าแข่งด้วย” ประวีย์หันมาเสนอหัวหน้าใหม่อีกครั้ง ใบหน้าของพัชระเรียบตึงไปในทันที เขาเคยบอกอลินาแล้วว่าไม่ให้แข่งรถ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่เชื่อฟังในเรื่องนี้เรื่องเดียว
“ไม่เป็นไรหรอก อยากไปเที่ยวไหนตามใจพวกพี่ๆ เถอะ ฉันมีงานต้องทำไม่เป็นไรหรอก” อลินาเกรงใจพัชระและประวีย์จึงกล่าวออกมาเช่นนั้น
“แต่ผมอยากไปเชียร์ลีน่านี่ ดูสิ นักแข่งรถหญิงมีมากเสียที่ไหน ลีน่าเป็นเพื่อนก็ต้อให้กำลังใจ เชียร์ให้แข่งชนะไง แถวนั้นก็น่าจะมีที่เที่ยวออกเยอะแยะแหละ นะพี่พัชไปพัทยากัน” ประวีย์ยังไม่ยอมแพ้ คะยั้นคะยอหัวหน้าต่อ
พัชระลอบมองสีหน้าของน้องสาวแวบเดียวก่อนจะพยักหน้าตอบตกลงไปกับประวีย์ เด็กหนุ่มกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ อลินาเหลือบมองพัชระเพียงเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งเท่านั้น เขาไม่ได้แสดงสีหน้าอาการอะไรออกมาเลย นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกแปลกใจ เขาไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับงานอดิเรกของเธอเลยหลังจากที่สั่งห้ามไว้ พอเห็นว่าห้ามไม่ได้เขาก็ไม่พูดอีกเลย
พัชระเดินกลับขึ้นห้องไปหลังจากที่ประวีย์กลับไปแล้ว พอมือเอื้อมไปไขกุญแจห้อง เสียงประตูห้องของอลินาเปิดอ้าออกพร้อมร่างสูงเพรียวที่ยืนจดจ้องเขาอยู่
“พี่พัชไม่ต้องทำตามวีย์ก็ได้นะคะ”
“ไม่เป็นไร”
“พี่โกรธฉันไหมที่ไม่ยอมเลิกแข่งรถ”
“พี่อยากโกรธเหมือนกันนะ แต่มันเสียเวลาเปล่า เธอคงรักมัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ดันทุรังที่จะทำมันต่อไปหรอกจริงไหม”
“ขอบคุณค่ะ”
“อย่าขอบคุณพี่เลย ขอบคุณตัวเองที่มั่นคงกับความรู้สึกตัวเองดีกว่า ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเสี่ยงแต่ก็ยังทำ รู้ว่าพี่ห้ามเธอก็ไม่ยอมแพ้ ยังไงก็ทำให้ดีที่สุดเถอะ” พัชระเปิดประตูห้องก้าวเข้าไปก่อนจะปิดมันลงปล่อยให้อลินายิ้มอยู่กับตัวเองคนเดียว ดวงตาสวยหันไปมองห้องถัดไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง วันนี้ทั้งวันแทบไม่เห็นเขาเลยแม้กระทั่งช่วงเช้าที่เขาต้องเอาดอกไม้ที่จัดมาวางไว้มุมร้านเสมอแต่วันนี้ไม่เป็นเช่นนั้น เขาหายไปตั้งแต่เช้าตรู่จนตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา
แววตาอ่อนแสงลงด้วยความรู้สึกเศร้าใจ อยู่ๆ ดวงตากลับกล้าแข็งขึ้นก่อนจะหันหลังกลับเข้าห้องตัวเอง
ชายหนุ่มยังอยู่ในชุดทำงานตั้งแต่เช้า เขานั่งมองความสับสนวุ่นวายตรงหน้าโดยที่คนอื่น ๆ อาจจะมองว่ามันคือความสนุกสุดเหวี่ยงแค่ไหนก็ตาม ตอนนี้มีนคิดว่ามันก็แค่เพลงเร็ว ทำให้คนตื่นและเต้นไปกับมัน เขาไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับกิจกรรมความสนุกแห่งปีนี้เลยสักนิด
“อ้าว คุณมีน มาเที่ยวที่นี่ด้วยหรือคะ” เสียงหญิงสาวดังแผ่วดูอ่อนหวานในทีแต่มีนที่คุ้นชินกับหญิงสาวมากหน้าหลายตาพอจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ตัวตนของลิษา
“ครับ” เขาตอบไปด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ลิษาถือโอกาสนั่งลงข้างๆชายหนุ่มโดยไม่รีรอขออนุญาตใดๆ เธอสั่งเครื่องดื่มง่ายๆ หันกลับมามองใบหน้าคมที่นั่งจ้องเธอด้วยสายตาที่ยากจะแปลความหมายใดได้
“ทำหน้าแบบนั้นเครียดอะไรมาหรือคะ”
“เปล่าครับ มันก็มีเรื่องทั่วๆไปให้คิดน่ะ แล้วคุณษาล่ะ มาเที่ยวกับเพื่อนหรือว่ามาคนเดียว”
“มากับเพื่อนค่ะ เขาอยู่ตรงโน้นค่ะ แต่ขอแวะคุยกับคุณมีนก่อนเท่านั้นเอง”
“คุยนานๆ ก็ได้ผมไม่ว่าหรอก” น้ำเสียงนั้นเหมือนกระซิบแต่หญิงสาวยังได้ยินด้วยหัวใจที่เริ่มรู้สึกวาบหวาม เธอส่งสายตาสื่อความหมายบางอย่างไปให้เป็นคำตอบ มีนยิ้มรับ
“คุณรู้จักผมดีแค่ไหนหรือครับคุณษา”
“ข่าวคุณค่อนข้างเยอะเหมือนกันนะคะ เกือบเท่าดาราด้วยซ้ำ มันแปลกดีที่คุณเป็นแค่ช่างภาพ”
“ใช่ครับ ผมเป็นแค่ช่างภาพที่บังเอิญมีคนสนใจเท่านั้นเอง คุณษาละครับ ตอนนี้จะไปทำงานกับคุณแม่หรือพักก่อน”
“คงรอคุณแม่ก่อนน่ะค่ะ ช่วงนี้ท่านยุ่ง ๆ กับงานที่บริษัท แทบไม่มีเวลาเจอกันด้วยซ้ำ อย่างตัวงานที่คุณมีนถ่ายจริง ๆ ต้องเป็นคุณแม่ แต่ท่านโบ้ยมาให้ษาแทนน่ะค่ะ”
“แต่ดีนะครับ อย่างน้อย มันก็ทำให้ผมได้พบกคุณษา” มีนกล่าวทั้งยิ้มที่มุมปาก หญิงสาวยิ้มกว้างพอใจกับสิ่งที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่มีเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อ ขนตางอนนั้นช้อนขึ้นมองชายหนุ่มอย่างวางท่าที
มีนที่พยายามข่มเขี้ยวไว้มิดนั้นเริ่มอยากเผยออกไปบ้าง แต่เขาคงไม่เอาตัวเข้าแลกกับเธอแน่ๆ มันดูสกปรกในสายตาของเขามากเกินไป แค่จับขึ้นมาเขายังรังเกียจ ความแค้นที่ผ่านมามันทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น เขาไม่ใช่คนดูถูกผู้หญิงแต่สำหรับครอบครัวนี้เขายกเว้น
ชายหนุ่มออกมาจากบาร์นั้นหลังจากพูดคุยกับลิษาได้ไม่นาน พอเธอทำเหมือนจะสานสัมพันธ์ต่อเขาจึงทำทีเหมือนมีงานด่วนแต่เช้ามืดแล้วลาจากมา นั่นคงทำให้หญิงสาวหงุดหงิดใจไม่น้อย
เขายังจำได้ว่า ลิษา เคยทำอะไรไว้บ้างเมื่อยังเด็ก เขาที่นั่งเก็บของให้ห้องหลังจากถูกเฉดหัวออกจากบ้าน เธอก้าวเข้ามาในบ้านหลังจากที่ไม่เคยย่างกรายเข้ามาเลย พอพ่อเขาเสีย...ยกขโยงกันมาทั้งครอบครัว
“คุณแม่จะขายบ้านนี้จริงๆ เหรอคะ บ้านออกจะใหญ่เสียดายออก”
“ขายได้เงินก็ยังดีกว่าเก็บไว้ให้เก่าลงทุกวัน จะได้เอาเงินนั้นให้ลูกไปเรียนเมืองนอกยังไงล่ะ”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่” เธอว่าทั้งเข้าไปกราบที่อกของรตี “แล้วนี่ลูกคุณลุงจะไปอยู่ที่ไหนละคะ ถ้าเราขายบ้านไปเสียแล้ว”
“คนเรามันต้องมีชีวิตของตัวเองสิ เงินก็เงินของเรา ส่วนของเขาก็มี หรือลูกจะเอาเงินส่วนของลูกให้เขาล่ะ”
“ไม่มีทาง เรื่องอะไรละคะที่ษาจะให้”
ตอนนั้นเขาแค้นแน่นในอกไปหมด ไม่คิดว่าแม่ลูกคู่นี้จะร้ายกาจเหลือเกิน เขาออกไปจากบ้านของตัวเองเงียบๆ โดยที่ลิษาไม่เคยเห็นหน้าเขาแบบจังๆ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดี
มีนแวะร้านสะดวกซื้อที่ใกล้ที่สุด เขาคิดว่าจะซื้อของใช้บางอย่างที่ลืมซื้อหลายวันแล้ว เมื่อจัดการเลือกใส่ตระกร้าเสร็จสายตาเหลือบไปเห็นถุงขนมปัง สิ่งนี้เองทำให้เขานึกถึงหญิงสาว หลังจากที่เขาทำความรู้จักกับอลินาแล้ว ทุก เช้าเธอจะถือขนมปังมาเพื่อกินเป็นอาหารเช้าและเผื่อแผ่เจ้าแมวตัวน้อยตัวนั้น แต่เขาแกล้งกัดกินชิ้นในมือของเธอเสมอ
มือเรียวนั้นหยิบขนมขึ้นมาจ้องด้วยความรู้สึกบางอย่าง...ไม่มีอะไรที่ได้คืนมาอย่างง่ายดาย ยิ่งเป็นของที่มันแตกไปแล้วด้วย เขาจะเรียกมันคืนมาได้อย่างไร
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นเตือนความจำของอลินาว่าถึงเวลาที่เธอต้องตื่นขึ้นมาทำสิ่งที่ตัวเองต้องทำเสียแล้ว มือสวยควานหาอุปกรณ์ที่กำลังส่งเสียงเพื่อปิดมันลง
เมื่อเปิดประตูห้องออกมาสิ่งแรกที่เธอสัมผัสได้คือถุงที่ห้องอยู่ที่ลูกบิดประตู สิ่งที่อยู่ในถุงนั้นทำให้เธอแปลกใจ ขนมปังกับน้ำผลไม้
พัชระที่จัดการเช็ดแก้วอยู่ที่บาร์นั้นเหลือบมองน้องสาวซึ่งถือถุงขนมลงมาด้วย ประวีย์ซึ่งเพิ่งเข้ามาในร้านยิ้มแฉ่งก่อนจะยกมือไหว้เจ้าของร้าน
“เอ๋ ช่วงนี้ไม่เห็นพี่มีนจัดดอกไม้ลงมาเลย”
“เขาไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว”
“แปลกจังตอนเลิกงานก็ยังไม่เห็นรถ ช่วงนี้งานยุ่งมากหรือเปล่านะ แล้วอย่างนี้พี่มีนจะได้ไปเที่ยวด้วยกันไหมพี่ เสียดายมากนะถ้าพี่มีนไม่ไป”
“ฉันจะไปรู้เหรอ ไปรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว” พัชระหันไปดุลูกน้อง
“พี่พัชซื้อขนมให้ลีน่าเหรอคะ”
“เปล่า” พัชระตอบพร้อมกับนึกถึงถุงขนมปังหน้าห้องของหญิงสาว เขารู้ว่าเป็นใคร มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกหากคนๆ นั้นไม่ใช่มีน “แล้วคิดว่าเป็นใครล่ะ” คำถามนั้นเหมือนหย่อนเบ็ดลงสระ ดวงตาคมตวัดมองน้องสาวด้วยความรู้สึกบางอย่าง
“ไม่ทราบค่ะ”
“มีนไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องแบบนี้กับใครหรอกนะ เขามาสารภาพกับพี่เมื่อวาน ก็พอจะเข้าใจมันอยู่เหมือนกัน เหตุผลที่มีนพูดไม่ได้น่ะ เธออยากรู้ไหมล่ะ ถ้าอยากรู้แล้วพี่จะเล่าให้ฟัง แต่ถ้าไม่อยากรู้คิดว่าต้องเกลียดเขาแน่แล้ว พี่ก็จะไม่พูด” น้ำเสียงเนิบ ๆ นั้นดูเป็นเอกลักษณ์ของพัชระไปแล้ว อลินาเม้มริมฝีปากแน่นกำลังชั่งใจในสิ่งที่พัชระเอ่ยถาม
“แล้วพี่คิดว่าฉันควรทำยังไงละคะ”
“ก็ลองคิดดูว่าเหตุผลของการเกลียดกับเหตุผลที่รักเขาน่ะ อันไหนมันหนักกว่ากัน พี่ไม่เคยรักใครเลยตัดสินใจให้ไม่ได้ว่าควรทำแบบไหน แต่พี่คิดว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนดี เขาเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่พี่มีและไม่อยากเสียไปเพราะน้องสาว เท่าที่รู้จักกันมาเขาไม่เคยกลับดึก ไม่เคยหนีหน้าไปตอนเช้าตรู่ คิดว่าเป็นเพราะใครเหรอที่มีนพยายามหลบหน้า เขาอยากให้เธอสบายใจเลยหนีเอง”
“ที่เขาไม่ไปตามนัดเพราะอะไรหรือคะ”
“วันนั้น...เป็นวันที่พ่อมีนเสีย ต้องกลับมาเมืองไทยอย่างเร่งด่วน ที่สำคัญหลังจากนั้น มีนก็หมดเนื้อหมดตัวเพราะหนี้สินที่พ่อสร้างไว้ แม่เลี้ยงก็ยักยอกเงินทุกอย่างไว้ให้ตัวเอง เขาถึงได้กลับไปเรียนต่อไม่ได้ไงล่ะ”
“พี่จะไม่ถามถึงเหตุผลของการเกลียดนะ แต่พี่อยากให้คิดว่าแล้วเหตุผลที่เรารักเขาคืออะไร ลองเอามันมาทบทวนอีกครั้งนะ พี่เล่าเรื่องของมีนให้ฟังแล้วต่อไปก็แล้วแต่เราตัดสินใจ”
รตีเดินเข้ามาใหนบ้านหลังใหญ่ของตัวเอง หลังจากเสร็จงานที่บริษัท เห็นบุตรสาวกำลังนั่งอ่านนิตยสารจึงเดินเข้ามาหา เธอไม่เคยบังคับลูกให้ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการเลยสักครั้งเรียกได้ว่า ลิษาถูกตามใจมากที่สุดเพราะเธอคือ สิ่งที่เธอรักและหวงมากที่สุด
“อ่านอะไรอยู่หรือลูก”
“เปล่าค่ะ อ่านไปเรื่อย ๆ นะค่ะ” ลิษาเก็บนิตยสารในมือสอดไว้ในกองหนังสือตรงหน้า ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้แม่
“แล้วกลับมานี่เที่ยวพอใจหรือยัง อยากไปทำงานกับแม่หรือยังลูก”
“ยังค่ะ ขอสบายๆอีกสักหน่อยไม่ได้หรือคะ นะคะ แม่” หญิงสาวเข้าไปออดอ้อนกอดเอาแม่ไว้อย่างหลวมๆ ด้วยท่าทีเอาใจ
รตียิ้มก่อนจะลูบผมลูกสาวเบาๆ “ได้สิ ไม่มีอะไรที่ลูกขอแล้วแม่ไม่ให้นี่จริงไหม” เธอกล่าวอย่างใจดี
รตีเคยคิดว่าชีวิตเธอนั้นแสนรันทด สามีคนแรกไปมีภรรยาน้อยจนทำให้เธอต้องหาเลี้ยงตัวเองและลูกเพียงลำพัง สามีคนแรกเป็นรักแรกของเธอ เธอทั้งรักและบูชาเขายิ่งกว่าชีวิต จวบจนได้รับรู้ความเป็นจริง ทำให้เธอถอดเขาบนหัวออกได้ หลังจากที่ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อหาเลี้ยงตัวเองและลูก เธอได้พบกับกิตติธร เขาเป็นเศรษฐีหนุ่มใหญ่ อายุห่างกับเธอเกือบรอบได้ เขามีลูกตนแก่กับภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้ว เหมือนเธอกลายเป็นหญิงตกถังข้าวสาร เธอต้องโป้ปดว่าเป็นสาวที่ไม่เคยแต่งงานมาก่อนเพื่อให้ได้แต่งงานกับเขา เงินของเขาจะช่วยให้ชีวิตเธอดีขึ้นและมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ช่างภาพหนุ่มก้าวเดินด้วยท่าทีกระฉับกระเฉงเข้าไปในร้านอาหารที่บรรณาธิการสาวโทรศัพท์แจ้งให้เขาและทีมงานมาร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ประจำปี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการพบปะพูดคุยกับผู้บริหารและยังมีการเลี้ยงขอบคุณลูกค้าที่ให้การสนับสนุนโฆษณาในนิตยสารอีกด้วย เขาเลือกนั่งเก้าอี้ที่มุมไกลที่สุด ช่วงนี้เขายังไม่อยากพูดคุยวุ่นวายกับใครมากเป็นพิเศษ แต่งานเลี้ยงมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี
“อ้าวมีน มานั่งหลบมุมอะไรตรงนี้ มานี่ พี่มีคนอยากแนะนำให้รู้จัก” บรรณาธิการสาวเอ่ยบอกพร้อมกับดึงชายหนุ่มไปอีกห้องหนึ่ง “พี่อยากให้รู้จักท่านไว้ เขาน่าจะมีงานที่เอื้อเธอได้มากทีเดียว”
“คุณรตีคะ สวัสดีค่ะ พอดีมีช่างภาพมือดีมาแนะนำค่ะ”
“มีน วัฒนะค่ะ” เธอกล่าวแนะนำโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าที่เริ่มเจื่อนของลูกค้าคนสำคัญ มีนแม้ตอนแรกจะตกใจแต่เริ่มปรับสีหน้าได้ก่อน เขายิ้มเย็น
“สวัสดีครับ”
“มีนเป็นช่างภาพฝีมือดีนะคะคุณรตี เคยได้รับรางวัลหลายครั้งแล้วด้วย เผื่อว่าคุณรตีสนใจใช้บริหารเขา ได้ยินข่าวว่าคุณรตีสนใจงานด้านสื่อสิ่งพิมพ์เหมือนกัน”
“สนใจค่ะ เอ่อคุณแจนช่วยไปตามคุณโอฬารให้หน่อยได้ไหมคะพอดีดิฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย” เมื่อบุคคลที่สามเดินหายจากไป เธอจึงหันกลับมาหามีนทันที “ไม่คิดว่า ...จะได้เจอคุณมีนในรูปแบบนี้”
“ทำไมหรือครับคิดว่าผมคงไม่สามารถโงหัวขึ้นมาจากตมได้เหรอครับ ผมมันปลาไหลดิ้นได้ ตายยากสักหน่อยขนาดคนเลวๆ เอาน้ำร้อนลวกมันยังไม่ตายเลย”
“ปากจัดเหมือนเดิมนะคะ สบายดีไหมคะ แต่ดูท่าทางแล้วคงสบายดีอยู่แล้ว” รตีข่มความโกรธไว้ข้างในก่อนจะกล่าวถามด้วยรอยยิ้มที่ไร้สีสัน
“ผมสบายดีมากครับ มีกินมีใช้ ไม่เดือดร้อนอะไร ขอบคุณที่ยังเป็นห่วงลูกเลี้ยงคนนี้นะครับ ถ้าหวังดีจริงทำไมไม่คืนเงินที่โกงพ่อผมไปล่ะ”
“ฉันไม่เคยทำอย่างนั้น อย่าปากพล่อย”
“ฮึ...ปากพล่อย พูดเหมือนผมเอาความเท็จมาพูด พูดความจริงทั้งนั้น ตั้งแต่ผมรู้เช่นเห็นชาติคุณแล้ว มีเรื่องหนึ่งที่ผมดีใจมากและขอบคุณคุณเหลือเกิน” มีนหยุดจ้องดวงหน้านวลเนียนที่เริ่มมีริ้วรอยของอายุ “ขอบคุณที่ไม่ใช้นามสกุลของผม ไม่งั้นมันคงไม่เหลือดีอะไรแน่ๆ ผมไม่อยากให้มีเสนียดติดแม้แต่นามสกุล!”
“อ้าวคุณแม่ ตามหาเสียแทบแย่” เสียงใสของลิษาทำให้ทั้งคู่หันไปมองต้นเสียง ดวงตาลิษาเป็นประกายเมื่อเห็นหน้าของมีน “คุณมีน” น้ำเสียงทอดหวานพร้อมกับส่งยิ้มให้
“รู้จักคุณแม่ด้วยเหรอคะ”
“ครับ รู้จักกัน...เมื่อนานมาแล้ว” เขายิ้มเย็นก่อนจะเหลือบมองปอยผมของลิษาเอื้อมมือขึ้นแตะมันแผ่วเบา ทำให้รตีถึงกับตะลึงไปกับสิ่งที่มีนแสดงออก ใจเต้นแรงด้วยความรู้สึกที่ถูกหยาม
“กลีบดอกไม้น่ะครับมันติดผม” ลิษายิ้มหวานส่งสายตาไปหาชายหนุ่ม ทำให้มีนยิ้มที่มุมปาก “ที่นี่คงหมดธุระของผมแล้ว ขอตัวนะครับ คุณรตี...คุณษา”
“แล้วเจอกันนะคะ” เสียงของลิษายังยืนยันความสนิทที่ทำให้รตีถึงกับเบิกตากว้าง จ้องมีนด้วยความรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
มีนหันหลังให้กับแม่ลูกก่อนจะยิ้มเหยียด เขาสะใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมานานมากแล้ว รักลูกคนนี้มากใช่หรือเปล่า ก็ดี รักมาก...ก็เจ็บมาก...
พัชระเก็บของเข้าไว้ในลิ้นชักเมื่อจัดการงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนประวีย์เพิ่งกวาดร้านเสร็จก็รีบเข้ามานั่งเฝ้าเจ้านายหนุ่ม สีหน้าเจ้าเล่ห์นั้นดูออดอ้อนพิกล
“พี่พัช เดือนหน้าก็เป็นช่วงพักของเราแล้วนะพี่”
พัชระเงยหน้าขึ้นมองลูกน้องที่อยู่ด้วยกันมานานนมนั้นด้วยความรู้สึกขันแต่ระงับรอยยิ้มไว้ ทำหน้าขรึมต่อไป
“แล้วไง”
“พี่ นี่พี่อย่าบอกนะว่าพี่ลืม ไม่ได้นะผมรอคอยมาทั้งปีเลยน๊า”
พัชระเผลอหลุดหัวเราะออกมาจนได้ เขาเอื้อมมือออกไปตบหน้าผากเด็กหนุ่มเบาๆ เป็นการลงโทษที่โวยวายไม่เข้าเรื่อง อลินาแอบยิ้มเมื่อเห็นภาพนั้น พัชระดูกันเองและมีความสุขกับงานในร้านนี้เหลือเกิน เขาอาจจะเป็นพี่ชายที่ไม่ค่อยดีนัก หรือเพราะเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็นเลยก็ได้ แต่เขาทำหน้าที่เจ้านายของประวีย์และเธอได้อย่างดีเหลือเกิน
“ได้ไปอยู่น่า แล้วมีที่ๆ ที่คิดไว้ในใจหรือเปล่า”
“ไปเที่ยวทางเหนือไหมพี่ สักที่เดี๋ยวผมจัดการ เออ...ลืมถามลีน่าล่ะอยากไปเที่ยวที่ไหน เราจะพักร้อนประจำปีกัน” ประวีย์รับอาสาทันทีโดยไม่มีเกี่ยวงอนเลยสักนิด
“เดือนหน้าคงไปด้วยไม่ได้หรอกค่ะพอดีฉันต้องไปเก็บตัวซ้อมที่พัทยา”
“แย่จังเลย เอ๋ งั้นเราก็ไปพัทยาสิพี่ จะได้ดูลีน่าแข่งด้วย” ประวีย์หันมาเสนอหัวหน้าใหม่อีกครั้ง ใบหน้าของพัชระเรียบตึงไปในทันที เขาเคยบอกอลินาแล้วว่าไม่ให้แข่งรถ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่เชื่อฟังในเรื่องนี้เรื่องเดียว
“ไม่เป็นไรหรอก อยากไปเที่ยวไหนตามใจพวกพี่ๆ เถอะ ฉันมีงานต้องทำไม่เป็นไรหรอก” อลินาเกรงใจพัชระและประวีย์จึงกล่าวออกมาเช่นนั้น
“แต่ผมอยากไปเชียร์ลีน่านี่ ดูสิ นักแข่งรถหญิงมีมากเสียที่ไหน ลีน่าเป็นเพื่อนก็ต้อให้กำลังใจ เชียร์ให้แข่งชนะไง แถวนั้นก็น่าจะมีที่เที่ยวออกเยอะแยะแหละ นะพี่พัชไปพัทยากัน” ประวีย์ยังไม่ยอมแพ้ คะยั้นคะยอหัวหน้าต่อ
พัชระลอบมองสีหน้าของน้องสาวแวบเดียวก่อนจะพยักหน้าตอบตกลงไปกับประวีย์ เด็กหนุ่มกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ อลินาเหลือบมองพัชระเพียงเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งเท่านั้น เขาไม่ได้แสดงสีหน้าอาการอะไรออกมาเลย นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกแปลกใจ เขาไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับงานอดิเรกของเธอเลยหลังจากที่สั่งห้ามไว้ พอเห็นว่าห้ามไม่ได้เขาก็ไม่พูดอีกเลย
พัชระเดินกลับขึ้นห้องไปหลังจากที่ประวีย์กลับไปแล้ว พอมือเอื้อมไปไขกุญแจห้อง เสียงประตูห้องของอลินาเปิดอ้าออกพร้อมร่างสูงเพรียวที่ยืนจดจ้องเขาอยู่
“พี่พัชไม่ต้องทำตามวีย์ก็ได้นะคะ”
“ไม่เป็นไร”
“พี่โกรธฉันไหมที่ไม่ยอมเลิกแข่งรถ”
“พี่อยากโกรธเหมือนกันนะ แต่มันเสียเวลาเปล่า เธอคงรักมัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ดันทุรังที่จะทำมันต่อไปหรอกจริงไหม”
“ขอบคุณค่ะ”
“อย่าขอบคุณพี่เลย ขอบคุณตัวเองที่มั่นคงกับความรู้สึกตัวเองดีกว่า ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเสี่ยงแต่ก็ยังทำ รู้ว่าพี่ห้ามเธอก็ไม่ยอมแพ้ ยังไงก็ทำให้ดีที่สุดเถอะ” พัชระเปิดประตูห้องก้าวเข้าไปก่อนจะปิดมันลงปล่อยให้อลินายิ้มอยู่กับตัวเองคนเดียว ดวงตาสวยหันไปมองห้องถัดไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง วันนี้ทั้งวันแทบไม่เห็นเขาเลยแม้กระทั่งช่วงเช้าที่เขาต้องเอาดอกไม้ที่จัดมาวางไว้มุมร้านเสมอแต่วันนี้ไม่เป็นเช่นนั้น เขาหายไปตั้งแต่เช้าตรู่จนตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา
แววตาอ่อนแสงลงด้วยความรู้สึกเศร้าใจ อยู่ๆ ดวงตากลับกล้าแข็งขึ้นก่อนจะหันหลังกลับเข้าห้องตัวเอง
ชายหนุ่มยังอยู่ในชุดทำงานตั้งแต่เช้า เขานั่งมองความสับสนวุ่นวายตรงหน้าโดยที่คนอื่น ๆ อาจจะมองว่ามันคือความสนุกสุดเหวี่ยงแค่ไหนก็ตาม ตอนนี้มีนคิดว่ามันก็แค่เพลงเร็ว ทำให้คนตื่นและเต้นไปกับมัน เขาไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับกิจกรรมความสนุกแห่งปีนี้เลยสักนิด
“อ้าว คุณมีน มาเที่ยวที่นี่ด้วยหรือคะ” เสียงหญิงสาวดังแผ่วดูอ่อนหวานในทีแต่มีนที่คุ้นชินกับหญิงสาวมากหน้าหลายตาพอจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ตัวตนของลิษา
“ครับ” เขาตอบไปด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ลิษาถือโอกาสนั่งลงข้างๆชายหนุ่มโดยไม่รีรอขออนุญาตใดๆ เธอสั่งเครื่องดื่มง่ายๆ หันกลับมามองใบหน้าคมที่นั่งจ้องเธอด้วยสายตาที่ยากจะแปลความหมายใดได้
“ทำหน้าแบบนั้นเครียดอะไรมาหรือคะ”
“เปล่าครับ มันก็มีเรื่องทั่วๆไปให้คิดน่ะ แล้วคุณษาล่ะ มาเที่ยวกับเพื่อนหรือว่ามาคนเดียว”
“มากับเพื่อนค่ะ เขาอยู่ตรงโน้นค่ะ แต่ขอแวะคุยกับคุณมีนก่อนเท่านั้นเอง”
“คุยนานๆ ก็ได้ผมไม่ว่าหรอก” น้ำเสียงนั้นเหมือนกระซิบแต่หญิงสาวยังได้ยินด้วยหัวใจที่เริ่มรู้สึกวาบหวาม เธอส่งสายตาสื่อความหมายบางอย่างไปให้เป็นคำตอบ มีนยิ้มรับ
“คุณรู้จักผมดีแค่ไหนหรือครับคุณษา”
“ข่าวคุณค่อนข้างเยอะเหมือนกันนะคะ เกือบเท่าดาราด้วยซ้ำ มันแปลกดีที่คุณเป็นแค่ช่างภาพ”
“ใช่ครับ ผมเป็นแค่ช่างภาพที่บังเอิญมีคนสนใจเท่านั้นเอง คุณษาละครับ ตอนนี้จะไปทำงานกับคุณแม่หรือพักก่อน”
“คงรอคุณแม่ก่อนน่ะค่ะ ช่วงนี้ท่านยุ่ง ๆ กับงานที่บริษัท แทบไม่มีเวลาเจอกันด้วยซ้ำ อย่างตัวงานที่คุณมีนถ่ายจริง ๆ ต้องเป็นคุณแม่ แต่ท่านโบ้ยมาให้ษาแทนน่ะค่ะ”
“แต่ดีนะครับ อย่างน้อย มันก็ทำให้ผมได้พบกคุณษา” มีนกล่าวทั้งยิ้มที่มุมปาก หญิงสาวยิ้มกว้างพอใจกับสิ่งที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่มีเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อ ขนตางอนนั้นช้อนขึ้นมองชายหนุ่มอย่างวางท่าที
มีนที่พยายามข่มเขี้ยวไว้มิดนั้นเริ่มอยากเผยออกไปบ้าง แต่เขาคงไม่เอาตัวเข้าแลกกับเธอแน่ๆ มันดูสกปรกในสายตาของเขามากเกินไป แค่จับขึ้นมาเขายังรังเกียจ ความแค้นที่ผ่านมามันทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น เขาไม่ใช่คนดูถูกผู้หญิงแต่สำหรับครอบครัวนี้เขายกเว้น
ชายหนุ่มออกมาจากบาร์นั้นหลังจากพูดคุยกับลิษาได้ไม่นาน พอเธอทำเหมือนจะสานสัมพันธ์ต่อเขาจึงทำทีเหมือนมีงานด่วนแต่เช้ามืดแล้วลาจากมา นั่นคงทำให้หญิงสาวหงุดหงิดใจไม่น้อย
เขายังจำได้ว่า ลิษา เคยทำอะไรไว้บ้างเมื่อยังเด็ก เขาที่นั่งเก็บของให้ห้องหลังจากถูกเฉดหัวออกจากบ้าน เธอก้าวเข้ามาในบ้านหลังจากที่ไม่เคยย่างกรายเข้ามาเลย พอพ่อเขาเสีย...ยกขโยงกันมาทั้งครอบครัว
“คุณแม่จะขายบ้านนี้จริงๆ เหรอคะ บ้านออกจะใหญ่เสียดายออก”
“ขายได้เงินก็ยังดีกว่าเก็บไว้ให้เก่าลงทุกวัน จะได้เอาเงินนั้นให้ลูกไปเรียนเมืองนอกยังไงล่ะ”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่” เธอว่าทั้งเข้าไปกราบที่อกของรตี “แล้วนี่ลูกคุณลุงจะไปอยู่ที่ไหนละคะ ถ้าเราขายบ้านไปเสียแล้ว”
“คนเรามันต้องมีชีวิตของตัวเองสิ เงินก็เงินของเรา ส่วนของเขาก็มี หรือลูกจะเอาเงินส่วนของลูกให้เขาล่ะ”
“ไม่มีทาง เรื่องอะไรละคะที่ษาจะให้”
ตอนนั้นเขาแค้นแน่นในอกไปหมด ไม่คิดว่าแม่ลูกคู่นี้จะร้ายกาจเหลือเกิน เขาออกไปจากบ้านของตัวเองเงียบๆ โดยที่ลิษาไม่เคยเห็นหน้าเขาแบบจังๆ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดี
มีนแวะร้านสะดวกซื้อที่ใกล้ที่สุด เขาคิดว่าจะซื้อของใช้บางอย่างที่ลืมซื้อหลายวันแล้ว เมื่อจัดการเลือกใส่ตระกร้าเสร็จสายตาเหลือบไปเห็นถุงขนมปัง สิ่งนี้เองทำให้เขานึกถึงหญิงสาว หลังจากที่เขาทำความรู้จักกับอลินาแล้ว ทุก เช้าเธอจะถือขนมปังมาเพื่อกินเป็นอาหารเช้าและเผื่อแผ่เจ้าแมวตัวน้อยตัวนั้น แต่เขาแกล้งกัดกินชิ้นในมือของเธอเสมอ
มือเรียวนั้นหยิบขนมขึ้นมาจ้องด้วยความรู้สึกบางอย่าง...ไม่มีอะไรที่ได้คืนมาอย่างง่ายดาย ยิ่งเป็นของที่มันแตกไปแล้วด้วย เขาจะเรียกมันคืนมาได้อย่างไร
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นเตือนความจำของอลินาว่าถึงเวลาที่เธอต้องตื่นขึ้นมาทำสิ่งที่ตัวเองต้องทำเสียแล้ว มือสวยควานหาอุปกรณ์ที่กำลังส่งเสียงเพื่อปิดมันลง
เมื่อเปิดประตูห้องออกมาสิ่งแรกที่เธอสัมผัสได้คือถุงที่ห้องอยู่ที่ลูกบิดประตู สิ่งที่อยู่ในถุงนั้นทำให้เธอแปลกใจ ขนมปังกับน้ำผลไม้
พัชระที่จัดการเช็ดแก้วอยู่ที่บาร์นั้นเหลือบมองน้องสาวซึ่งถือถุงขนมลงมาด้วย ประวีย์ซึ่งเพิ่งเข้ามาในร้านยิ้มแฉ่งก่อนจะยกมือไหว้เจ้าของร้าน
“เอ๋ ช่วงนี้ไม่เห็นพี่มีนจัดดอกไม้ลงมาเลย”
“เขาไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว”
“แปลกจังตอนเลิกงานก็ยังไม่เห็นรถ ช่วงนี้งานยุ่งมากหรือเปล่านะ แล้วอย่างนี้พี่มีนจะได้ไปเที่ยวด้วยกันไหมพี่ เสียดายมากนะถ้าพี่มีนไม่ไป”
“ฉันจะไปรู้เหรอ ไปรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว” พัชระหันไปดุลูกน้อง
“พี่พัชซื้อขนมให้ลีน่าเหรอคะ”
“เปล่า” พัชระตอบพร้อมกับนึกถึงถุงขนมปังหน้าห้องของหญิงสาว เขารู้ว่าเป็นใคร มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกหากคนๆ นั้นไม่ใช่มีน “แล้วคิดว่าเป็นใครล่ะ” คำถามนั้นเหมือนหย่อนเบ็ดลงสระ ดวงตาคมตวัดมองน้องสาวด้วยความรู้สึกบางอย่าง
“ไม่ทราบค่ะ”
“มีนไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องแบบนี้กับใครหรอกนะ เขามาสารภาพกับพี่เมื่อวาน ก็พอจะเข้าใจมันอยู่เหมือนกัน เหตุผลที่มีนพูดไม่ได้น่ะ เธออยากรู้ไหมล่ะ ถ้าอยากรู้แล้วพี่จะเล่าให้ฟัง แต่ถ้าไม่อยากรู้คิดว่าต้องเกลียดเขาแน่แล้ว พี่ก็จะไม่พูด” น้ำเสียงเนิบ ๆ นั้นดูเป็นเอกลักษณ์ของพัชระไปแล้ว อลินาเม้มริมฝีปากแน่นกำลังชั่งใจในสิ่งที่พัชระเอ่ยถาม
“แล้วพี่คิดว่าฉันควรทำยังไงละคะ”
“ก็ลองคิดดูว่าเหตุผลของการเกลียดกับเหตุผลที่รักเขาน่ะ อันไหนมันหนักกว่ากัน พี่ไม่เคยรักใครเลยตัดสินใจให้ไม่ได้ว่าควรทำแบบไหน แต่พี่คิดว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนดี เขาเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่พี่มีและไม่อยากเสียไปเพราะน้องสาว เท่าที่รู้จักกันมาเขาไม่เคยกลับดึก ไม่เคยหนีหน้าไปตอนเช้าตรู่ คิดว่าเป็นเพราะใครเหรอที่มีนพยายามหลบหน้า เขาอยากให้เธอสบายใจเลยหนีเอง”
“ที่เขาไม่ไปตามนัดเพราะอะไรหรือคะ”
“วันนั้น...เป็นวันที่พ่อมีนเสีย ต้องกลับมาเมืองไทยอย่างเร่งด่วน ที่สำคัญหลังจากนั้น มีนก็หมดเนื้อหมดตัวเพราะหนี้สินที่พ่อสร้างไว้ แม่เลี้ยงก็ยักยอกเงินทุกอย่างไว้ให้ตัวเอง เขาถึงได้กลับไปเรียนต่อไม่ได้ไงล่ะ”
“พี่จะไม่ถามถึงเหตุผลของการเกลียดนะ แต่พี่อยากให้คิดว่าแล้วเหตุผลที่เรารักเขาคืออะไร ลองเอามันมาทบทวนอีกครั้งนะ พี่เล่าเรื่องของมีนให้ฟังแล้วต่อไปก็แล้วแต่เราตัดสินใจ”
รตีเดินเข้ามาใหนบ้านหลังใหญ่ของตัวเอง หลังจากเสร็จงานที่บริษัท เห็นบุตรสาวกำลังนั่งอ่านนิตยสารจึงเดินเข้ามาหา เธอไม่เคยบังคับลูกให้ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการเลยสักครั้งเรียกได้ว่า ลิษาถูกตามใจมากที่สุดเพราะเธอคือ สิ่งที่เธอรักและหวงมากที่สุด
“อ่านอะไรอยู่หรือลูก”
“เปล่าค่ะ อ่านไปเรื่อย ๆ นะค่ะ” ลิษาเก็บนิตยสารในมือสอดไว้ในกองหนังสือตรงหน้า ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้แม่
“แล้วกลับมานี่เที่ยวพอใจหรือยัง อยากไปทำงานกับแม่หรือยังลูก”
“ยังค่ะ ขอสบายๆอีกสักหน่อยไม่ได้หรือคะ นะคะ แม่” หญิงสาวเข้าไปออดอ้อนกอดเอาแม่ไว้อย่างหลวมๆ ด้วยท่าทีเอาใจ
รตียิ้มก่อนจะลูบผมลูกสาวเบาๆ “ได้สิ ไม่มีอะไรที่ลูกขอแล้วแม่ไม่ให้นี่จริงไหม” เธอกล่าวอย่างใจดี
รตีเคยคิดว่าชีวิตเธอนั้นแสนรันทด สามีคนแรกไปมีภรรยาน้อยจนทำให้เธอต้องหาเลี้ยงตัวเองและลูกเพียงลำพัง สามีคนแรกเป็นรักแรกของเธอ เธอทั้งรักและบูชาเขายิ่งกว่าชีวิต จวบจนได้รับรู้ความเป็นจริง ทำให้เธอถอดเขาบนหัวออกได้ หลังจากที่ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อหาเลี้ยงตัวเองและลูก เธอได้พบกับกิตติธร เขาเป็นเศรษฐีหนุ่มใหญ่ อายุห่างกับเธอเกือบรอบได้ เขามีลูกตนแก่กับภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้ว เหมือนเธอกลายเป็นหญิงตกถังข้าวสาร เธอต้องโป้ปดว่าเป็นสาวที่ไม่เคยแต่งงานมาก่อนเพื่อให้ได้แต่งงานกับเขา เงินของเขาจะช่วยให้ชีวิตเธอดีขึ้นและมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ช่างภาพหนุ่มก้าวเดินด้วยท่าทีกระฉับกระเฉงเข้าไปในร้านอาหารที่บรรณาธิการสาวโทรศัพท์แจ้งให้เขาและทีมงานมาร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ประจำปี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการพบปะพูดคุยกับผู้บริหารและยังมีการเลี้ยงขอบคุณลูกค้าที่ให้การสนับสนุนโฆษณาในนิตยสารอีกด้วย เขาเลือกนั่งเก้าอี้ที่มุมไกลที่สุด ช่วงนี้เขายังไม่อยากพูดคุยวุ่นวายกับใครมากเป็นพิเศษ แต่งานเลี้ยงมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี
“อ้าวมีน มานั่งหลบมุมอะไรตรงนี้ มานี่ พี่มีคนอยากแนะนำให้รู้จัก” บรรณาธิการสาวเอ่ยบอกพร้อมกับดึงชายหนุ่มไปอีกห้องหนึ่ง “พี่อยากให้รู้จักท่านไว้ เขาน่าจะมีงานที่เอื้อเธอได้มากทีเดียว”
“คุณรตีคะ สวัสดีค่ะ พอดีมีช่างภาพมือดีมาแนะนำค่ะ”
“มีน วัฒนะค่ะ” เธอกล่าวแนะนำโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าที่เริ่มเจื่อนของลูกค้าคนสำคัญ มีนแม้ตอนแรกจะตกใจแต่เริ่มปรับสีหน้าได้ก่อน เขายิ้มเย็น
“สวัสดีครับ”
“มีนเป็นช่างภาพฝีมือดีนะคะคุณรตี เคยได้รับรางวัลหลายครั้งแล้วด้วย เผื่อว่าคุณรตีสนใจใช้บริหารเขา ได้ยินข่าวว่าคุณรตีสนใจงานด้านสื่อสิ่งพิมพ์เหมือนกัน”
“สนใจค่ะ เอ่อคุณแจนช่วยไปตามคุณโอฬารให้หน่อยได้ไหมคะพอดีดิฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย” เมื่อบุคคลที่สามเดินหายจากไป เธอจึงหันกลับมาหามีนทันที “ไม่คิดว่า ...จะได้เจอคุณมีนในรูปแบบนี้”
“ทำไมหรือครับคิดว่าผมคงไม่สามารถโงหัวขึ้นมาจากตมได้เหรอครับ ผมมันปลาไหลดิ้นได้ ตายยากสักหน่อยขนาดคนเลวๆ เอาน้ำร้อนลวกมันยังไม่ตายเลย”
“ปากจัดเหมือนเดิมนะคะ สบายดีไหมคะ แต่ดูท่าทางแล้วคงสบายดีอยู่แล้ว” รตีข่มความโกรธไว้ข้างในก่อนจะกล่าวถามด้วยรอยยิ้มที่ไร้สีสัน
“ผมสบายดีมากครับ มีกินมีใช้ ไม่เดือดร้อนอะไร ขอบคุณที่ยังเป็นห่วงลูกเลี้ยงคนนี้นะครับ ถ้าหวังดีจริงทำไมไม่คืนเงินที่โกงพ่อผมไปล่ะ”
“ฉันไม่เคยทำอย่างนั้น อย่าปากพล่อย”
“ฮึ...ปากพล่อย พูดเหมือนผมเอาความเท็จมาพูด พูดความจริงทั้งนั้น ตั้งแต่ผมรู้เช่นเห็นชาติคุณแล้ว มีเรื่องหนึ่งที่ผมดีใจมากและขอบคุณคุณเหลือเกิน” มีนหยุดจ้องดวงหน้านวลเนียนที่เริ่มมีริ้วรอยของอายุ “ขอบคุณที่ไม่ใช้นามสกุลของผม ไม่งั้นมันคงไม่เหลือดีอะไรแน่ๆ ผมไม่อยากให้มีเสนียดติดแม้แต่นามสกุล!”
“อ้าวคุณแม่ ตามหาเสียแทบแย่” เสียงใสของลิษาทำให้ทั้งคู่หันไปมองต้นเสียง ดวงตาลิษาเป็นประกายเมื่อเห็นหน้าของมีน “คุณมีน” น้ำเสียงทอดหวานพร้อมกับส่งยิ้มให้
“รู้จักคุณแม่ด้วยเหรอคะ”
“ครับ รู้จักกัน...เมื่อนานมาแล้ว” เขายิ้มเย็นก่อนจะเหลือบมองปอยผมของลิษาเอื้อมมือขึ้นแตะมันแผ่วเบา ทำให้รตีถึงกับตะลึงไปกับสิ่งที่มีนแสดงออก ใจเต้นแรงด้วยความรู้สึกที่ถูกหยาม
“กลีบดอกไม้น่ะครับมันติดผม” ลิษายิ้มหวานส่งสายตาไปหาชายหนุ่ม ทำให้มีนยิ้มที่มุมปาก “ที่นี่คงหมดธุระของผมแล้ว ขอตัวนะครับ คุณรตี...คุณษา”
“แล้วเจอกันนะคะ” เสียงของลิษายังยืนยันความสนิทที่ทำให้รตีถึงกับเบิกตากว้าง จ้องมีนด้วยความรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
มีนหันหลังให้กับแม่ลูกก่อนจะยิ้มเหยียด เขาสะใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมานานมากแล้ว รักลูกคนนี้มากใช่หรือเปล่า ก็ดี รักมาก...ก็เจ็บมาก...
ณิชนิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ธ.ค. 2555, 15:44:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ธ.ค. 2555, 15:44:17 น.
จำนวนการเข้าชม : 1700
<< บทที่ ๑๑ คำขอโทษที่สายไป | บทที่ ๑๓ ยกโทษ >> |
pseudolife 7 ธ.ค. 2555, 00:52:13 น.
นายมีนจะเอาความแค้นไปลงที่ใคร
นายมีนจะเอาความแค้นไปลงที่ใคร