ชะตาฟ้า...ลิขิตรัก (ฟ้าดลรัก)
จากหญิงสามัญชนกลับกลายเป็นเจ้าหญิงสูงศักดิ์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ชีวิตของเธอจะดำเนินต่อไปอย่างไร ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมากมาย และเธอจะมีโอกาสได้เคียงคู่กับเจ้าชายที่แสนดีอย่างในนิทานหรือไม่....
Tags: เจ้าชาย-เจ้าหญิง

ตอน: บทที่ 5

บทที่ 5

ฉลองพระองค์วันนี้ดูงดงามแปลกตาด้วยชุดประจำชาติของมินธุรา ปัจจุบันการสวมชุดประจำชาติ มักจะนิยมสวมใส่เมื่อมีงานพระราชพิธีหรืองานสำคัญเท่านั้น เพราะไม่ว่าประเทศน้อยใหญ่ ต่างก็ต้องการความเสมอภาคและความเป็นสากล รูปแบบการใช้ชีวิตก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสังคมที่เปลี่ยนไปด้วย หากแต่ประเทศต่างๆ ก็ยังยึดถือและยึดมั่นในธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของตนเอาไว้ มินธุราก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะไม่ค่อยมีโอกาสได้ใส่ชุดประจำชาติบ่อยนัก หากทุกครั้งที่มีโอกาสผู้สวมใส่ก็รู้สึกถึงความภาคภูมิใจในชาติบ้านเมืองของตนเสมอ

ผ้าไหมทอมือสีชมพูอ่อนผืนยาว ถูกนำมาพันรอบอก ผ้าถูกพับเป็นจีบและจัดแต่งให้สวยงาม ให้เกิดมิติ มิใช่สักเพียงแต่พันผ้าเพื่อปกปิดสรีระของความเป็นหญิงเท่านั้น จริงๆ ในปัจจุบันมีการตัดเย็บเป็นเสื้อเกาะอกสำเร็จรูป ไม่ต้องยุ่งยากในการพันผ้า แต่เจ้าหญิงกัญญ์วราอยากให้ฉลองพระองค์เป็นแบบราชประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมา นุ่งผ้าซิ่นไหมยกทอง คาดเข็มขัดทองลวดลายโบราณ

เกล้าผมเป็นมวยเรียบร้อยแล้ว ก็นำผ้าฝ้ายทอมือผืนยาวสีเดียวกับตัวเสื้อ บิดเป็นเกลียวก่อนจะนำมาพันรอบศีรษะ ปักปิ่นดอกไม้ไหวยาวระย้าเคลียไหล่บนผมที่มวยไว้ สวมสร้อยคอ ต่างหู กำไล ลายโบราณเข้าชุดกันกับเข็มขัด เครื่องประดับทุกชิ้นทำจากทองคำแท้ทั้งสิ้น ใบหน้าก็ถูกแต่งเติมเสริมแต่งสมวัยของเจ้าของ

เจ้าหญิงกัญญ์วราประทับยืนอยู่ตรงหน้าพระฉายบานใหญ่ ตรวจความเรียบร้อยของตนเอง มองดูระยะห่างระหว่างตัวเสื้อกับผ้าซิ่น เผยให้เห็นหน้าท้องแบนเรียบ แม้จะรู้สึกว่าการแต่งกายในวันนี้จะเปิดเผยสรีระของร่างกายมากกว่าปกติ แต่เธอก็ยังอดรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นชาติของตนไม่ได้

“เป็นไงบ้างจ๊ะ อรทัย อรสา อรณี” เจ้าหญิงทรงถามผู้ช่วยแต่งองค์ทรงเครื่องให้กับพระองค์

“งดงามมากเพคะ” อรณีเป็นคนตอบ

“นานๆ แต่งแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ สวยอย่างโบราณ” เจ้าหญิงทรงชมตัวเองก่อนจะยิ้มให้กับนางกำนัลคนสนิททั้งสาม

“ไม่ว่าเจ้าหญิงจะฉลองพระองค์แบบไหน ก็ทรงสิริโฉมงดงามอยู่แล้วเพคะ” อรทัยเอ่ยปากชม

“อย่าชมเรานักเลย เดี๋ยวเขินมากๆ จะสะดุดล้มจนหน้าคะมำไปเสียก่อน ไม่ต้องออกไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายกันพอดี” เจ้าหญิงกัญญ์วรากล่าวยิ้มๆ พลอยทำให้นางกำนัลทั้งสามคนหัวเราะตามไม่ได้

“เสด็จดีกว่าเพคะ องค์เหนือหัว องค์ราชินี และเจ้าชายรอเจ้าหญิงอยู่นะเพคะ”

“จ้า” เจ้าหญิงกัญญ์วราสูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง ก่อนจะก้าวเดินออกจากห้องไป

เจ้าหญิงกัญญ์วราประทับยืนรอรับเสด็จองค์รัชทายาทแห่งมุราดา ตรงบริเวณส่วนหน้าของพระราชวัง มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ร่วมรับเสด็จกับพระองค์ด้วย ไม่นานขบวนรถพระที่นั่งก็จอดเทียบ ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์เดินไปหยุดที่หน้าประตูรถ ทำความเคารพก่อนจะเปิดประตูให้กับราชอาคันตุกะคนสำคัญ

เพียงแค่องค์รัชทายาทแห่งมุราดาปรากฏกาย ดวงเนตรหวานของผู้เชิญมาลัยก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ ในขณะที่อีกฝ่ายทอดสายตามองหญิงสาวอย่างอ่อนโยน นัยน์ตามีประกายแห่งความยินดีอยู่จนล้น พระโอษฐ์แย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นที่สุด เมื่อตั้งสติได้เจ้าหญิงจึงถอนสายบัวทำความเคารพก่อนถวายมาลัยข้อพระกรที่มีสีสันแปลกตาให้กับเจ้าชายวริทธิ์ธร ด้วยความรู้สึกประหม่าไปหมด ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะเคยพบและพูดคุยกับคนๆ นี้มาแล้ว ทั้งๆ ที่เขาพยายามบอกเธอว่าเขาเป็นใคร เธอก็ยังไม่ยอมเชื่อ ดีนะว่าเขาไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ไม่อย่างนั้นเขาต้องสงสัยแน่ๆ ว่าทำไมเธอจึงจำเขาไม่ได้

“ถวายพระพรเพคะเจ้าชาย” เสียงใสคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน ทำให้วริทธิ์ธรสบตากับผู้เป็นเจ้าของ ทำไมน้ำเสียงและดวงตาช่างเหมือนกับคนอีกคนเหลือเกิน ใจอยากจะค้นหาคำตอบเสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็ไม่อาจจะทำได้ จึงจำต้องเก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ก่อน

“เจอกันเสียทีนะหญิงกัญญ์” เจ้าชายตรัสขณะเอื้อมพระหัตถ์ไปรับมาลัยพวงสวย

“เพคะ เชิญเสด็จประทับด้านในก่อนดีกว่าเพคะ”

“หญิงเข้าไปพร้อมพี่มิได้หรืออย่างไร” เจ้าชายต่างเมืองก็ไม่ยอมปล่อยโอกาสให้สูญไปด้วยการเอ่ยปากชวนเจ้าหญิงแห่งมินธุรา

“คือหม่อมฉันยังต้องจัดการบางอย่างที่นี่ก่อนเพคะ” ด้วยความที่ยังตั้งตัวไม่ติด ทำให้เจ้าหญิงหาทางเลี่ยงการเผชิญหน้ากันในครั้งนี้

“ให้คนของหญิงจัดการไปสิ หญิงมีหน้าที่มาต้อนรับพี่มิใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงจะปล่อยให้ผู้อื่นนำพี่เข้าไปหาท่านลุง” วริทธิ์ธรพยายามหว่านล้อม เพราะอยากเดินเคียงข้างไปกับเจ้าหญิงน้อยของพระองค์

“ก็ได้เพคะ” กัญญ์วราจำต้องส่งพานคืนให้กับนางข้าหลวงคนหนึ่ง

“วันนี้หญิงงามสมกับเป็นเจ้าหญิงแห่งมินธุราจริงๆ” เจ้าชายแห่งมุราดามองเจ้าหญิงแห่งมินธุราด้วยความชื่นชม

“ขอบพระทัยเพคะ เชิญเสด็จเพคะ” ข้าราชบริพารทั้งหลายมองตามอย่างชื่นชม หากทั้งสองพระองค์จะทรงเกี่ยวดองกันก็คงเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อย ความแน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศก็คงมีมากยิ่งขึ้น และคงสร้างความเป็นปึกแผ่นและแข็งแรง หากสองแผ่นดินจะเกื้อหนุนกัน เป็นบ้านพี่เมืองน้องสืบต่อไป

“งานยุ่งมากหรือหญิงกัญญ์ พี่มาตั้งหลายวันแล้ว ไม่มีโอกาสพบหญิงเลยสักครั้ง” พบแล้วเพคะแต่พระองค์ไม่ทรงทราบเอง เจ้าหญิงตอบเจ้าชายในใจ

“ก็พอสมควรเพคะ หญิงเรียนจบแล้วก็อยากช่วยแบ่งเบาภาระของทูลกระหม่อมพ่อ ทูลกระหม่อมแม่และพี่ชายเพคะ” เจ้าหญิงกัญญ์วราตอบเป็นกลางๆ

“ไม่คิดจะเรียนต่อแล้วหรือ” เจ้าชายวริทธิ์ธรทรงถาม

“คิดเพคะ ตั้งใจจะเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเดิม เพราะหญิงอยากทำงานที่ตั้งใจไว้เพคะ แต่พี่ชายทรงอยากให้ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ” เจ้าหญิงน้อยของพระองค์ทรงเจริญพระชันษาเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ หรือนี่ ทรงรู้สึกภาคภูมิใจในตัวพระเจ้าหญิงไม่น้อย

“ธุติยะธรคงอยากให้เจ้าเห็นโลกกว้าง ได้พบเจอผู้คนหลายประเทศ มันเป็นประสบการณ์ที่ดีนะเจ้า” แม้ว่าพระองค์จะไม่ทรงเห็นด้วย หากเจ้าหญิงน้อยของพระองค์ต้องเสด็จไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ แต่ก็อดเห็นด้วยกับพระสหายไม่ได้ เพราะการได้เรียนรู้โลกกว้าง ก็จะทำให้เจ้าหญิงน้อยทรงมีทัศนคติที่กว้างไกลมากขึ้น

“เจ้าชายทรงคิดเช่นนั้นหรือเพคะ”

“ทำไมหญิงเรียกพี่แปลกๆ แบบนั้น ไม่อยากเรียกอย่างเดิมแล้วหรือ” วริทธิ์ธรมองหน้าคนที่เดินเคียงข้างอย่างสงสัย ท่าทีของเธอแปลกไปจริงๆ ทำตัวเหินห่าง ไม่สนิทสนมเหมือนเดิม

“แปลกอย่างไรหรือเพคะ”

“ไม่แปลกได้อย่างไร เมื่อก่อนหญิงเรียกพี่ชายฟ้าทุกคำ หรือเวลาเปลี่ยนไป ทำให้หญิงเปลี่ยนไปด้วย” น้ำเสียงนั้นแฝงคำตัดพ้อมาด้วย เจ้าหญิงกัญญ์วราชำเลืองพระเนตรไปมอง ก็เห็นแววตาตัดพ้อด้วยเช่นกัน

“แต่เวลานี้เสด็จเยือนมินธุราอย่างเป็นทางการนะเพคะ และก็ทรงอยู่ในเวลางาน จะให้หญิงเรียกพี่ชายฟ้าได้อย่างไรกันเพคะ” หญิงสาวคิดหาเหตุผลที่คิดว่าจะทำให้เขาเลิกน้อยใจได้

“แน่นะ?” เจ้าชายทรงถามย้ำเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง

“แน่สิเพคะ” เจ้าหญิงตรัสตอบแล้วก็ทรงสาวพระบาทนำเจ้าชายวริทธิ์ธรเข้าไปยังประตูทางเข้าของห้องรับรอง

หลังจากนั้นสมเด็จเจ้าฟ้าชายวริทธิ์ธร มกุฎราชกุมารแห่งมุราดาก็ทรงทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาอย่างเต็มภาคภูมิ เช่นเดียวกับราชวงศ์ทุกพระองค์ของมินธุราที่ทรงต้อนรับราชอาคันตุกะคนสำคัญอย่างสมพระเกียรติ เมื่อพิธีการเสร็จสิ้นลงแล้ว กษัตริย์แห่งมินธุราก็เชิญรัชทายาทแห่งมุราดาไปยังงานเลี้ยงรับรองที่ทางมินธุราจัดขึ้น

ผ่านมาสองวันแล้วที่ราชอาคันตุกะคนสำคัญของมินธุรามิได้พบพักตร์เจ้าหญิงน้อยของพระองค์ ด้วยราชกิจที่ต้องปฏิบัติทั้งของตนและของอีกฝ่าย วันนี้ซึ่งมีช่วงเวลาว่างพอสมควรก่อนติดตามมกุฎราชกุมารแห่งมินธุราตรวจเยี่ยมกำลังพลของกองทัพ เจ้าชายหนุ่มรีบสาวพระบาทไปยังตำหนักใหญ่ หวังอย่างยิ่งว่าสตรีที่เขาอยากพบเจอนั้น ว่างเว้นจากภารกิจประจำวันเช่นกัน

“เจ้าหญิงประทับอยู่ในวังหรือเปล่า” วริทธิ์ธรถามนางกำนัลคนหนึ่งที่ถอนสายบัวทำความเคารพตามธรรมเนียมราชประเพณี ซึ่งพระองค์ก็จำได้ว่าเป็นหนึ่งในนางในคนสนิทของกัญญ์วรา

“ประทับอยู่ที่อุทยานด้านหลังตำหนักเพคะเจ้าชาย”

“มีพระประสงค์จะไม่พบผู้ใดหรือไม่”

“มิได้ตรัสว่ากระไรเพคะ” อรณีตอบตามความสัตย์ แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า การที่เจ้าหญิงมิได้ตรัสสิ่งใดว่าห้ามผู้ใดรบกวนหมายความว่าใครๆ จะสามารถเข้าไปพบปะได้ตลอดเวลาหรือเปล่า

“เจ้าช่วยไปทูลเจ้าหญิงว่าเราขอเข้าเฝ้าจะได้ไหม” เจ้าชายหนุ่มร้องขออย่างมีมารยาท และเข้าใจถึงท่าทีที่ไม่ค่อยมั่นใจของอีกฝ่าย

“ทูลเชิญเจ้าชายเสด็จประดับรอที่ด้านหน้าอุทยานนะเพคะ แล้วหม่อมฉันจะมากราบทูลให้ทรงทราบ”

“ขอบใจ” จากนั้นชายผู้สูงศักดิ์ก็เดินนำหน้าหญิงสาวสามัญชนไปยังทิศทางที่หัวใจเรียกร้อง ยืนรอไม่นานก็ได้รับคำตอบที่หน้าพอใจ

เจ้าหญิงกัญย์วราประทับยืนรอแขกคนสำคัญ เมื่ออีกฝ่ายสาวเท้าเข้ามาใกล้ ร่างสมส่วนก็ย่อตัวลงทำความเคารพอย่างงดงามและอ่อนช้อย

“อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่ชายฟ้า”

“อรุณสวัสดิ์จ้ะหญิงกัญญ์ พี่มารบกวนเวลาของหญิงหรือเปล่า”

“เปล่าค่ะ ไม่ทราบพี่ชายฟ้ารับอาหารเช้าหรือยังคะ”

“ถ้าพี่บอกว่ายัง หญิงจะลงครัวทำให้พี่ทานหรือเปล่า”

“เห็นจะไม่ได้ค่ะ หญิงต้องร้อยมาลัยถวายทูลกระหม่อมแม่ แต่หญิงให้อรณีจัดสำรับให้ได้นะคะ” เจ้าหญิงผู้เลอโฉมกล่าวเสียงนิ่ม

“ไม่รบกวนหญิงขนาดนั้นหรอกจ้ะ พี่รับประทานมาจากตำหนักของนายธัญญ์เรียบร้อยแล้ว”

“แล้ววันนี้พี่ชายฟ้าไม่เสด็จไปที่ใดหรือคะ” กัญญ์วราถามหลังจากรินน้ำส้มคั้นสดๆ ถวายให้เจ้าชาย วริทธิ์ธร

“ช่วงบ่ายพี่จะไปตรวจเยี่ยมกองทหารกับนายธัญญ์ แล้วหญิงล่ะมีกิจที่ใดหรือเปล่า”

“หมายกำหนดการล่วงหน้าไม่มีค่ะ แต่ฉุกเฉินก็ยังไม่แน่ใจค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยรอยยิ้มละไมเช่นเคย

“เหนื่อยบ้างไหม พี่ได้ยินนายธัญญ์เล่าว่าหญิงทำงานหนักมาก รับผิดชอบหลายโครงการ มีราชกิจที่ต้องออกไปปฏิบัติตลอด” วริทธิ์ธรถามอย่างนึกห่วง

“ก็มีบ้างค่ะ แต่หญิงก็มีความสุขที่ได้ทำนะคะ หญิงอยากเห็นรอยยิ้มของประชาชน อยากช่วยให้เขา พ้นจากความลำบาก แม้จะไม่สามารถสร้างความร่ำรวยให้พวกเขาได้ ก็ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอาชีพให้พวกเขา หญิงก็พอใจแล้วค่ะ”

“หญิงสมกับเป็นนักสังคมสงเคราะห์จริงๆ” องค์รัชทายาทแห่งมุราดาตรัสชม

“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ หญิงเพียงแค่คิดว่าหญิงเกิดมาเพื่อทดแทนคุณแผ่นดิน หญิงมีโอกาส มีกำลังทรัพย์ มีกำลังพลพร้อมที่จะช่วยเหลือพี่น้องในประเทศของเรา หญิงก็อยากทำ และหญิงอยากแบ่งเบาภาระของทูลกระหม่อมพ่อ ทูลกระหม่อมแม่ แล้วก็พี่ชายค่ะ”

ก่อนหน้าที่เธอจะมายืนอยู่ตรงจุดนี้ เธอก็พอจะทราบข่าวพระราชกรณียกิจของบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์อยู่บ้าง ในขณะนั้นเธอคิดว่าถึงแม้ทุกพระองค์จะต้องทำงานเพื่อมวลชน แต่ก็น่าจะมีชีวิตที่สุขสบาย ครั้นเมื่อได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง จึงรู้ว่าเป็นงานที่หนัก และต่อให้เหนื่อยล้าเพียงใดบนใบหน้าก็ยังต้องประดับด้วยรอยยิ้ม เพียงเพราะคำว่าประชาชนคำเดียวเท่านั้น ไม่ว่าเม็ดเหงื่อจะหยาดหยด ไม่ว่าอากาศร้อนหรือหนาว แม้กระทั่งฝนตกก็ไม่หวั่น เพราะทุกพระองค์เข้าใจดีว่าไม่เพียงแต่เราที่ร้อน หนาว หรืออยู่ท่ามกลางสายฝน ประชาชนที่มาเฝ้ารอรับเสด็จก็ได้รับในสิ่งเดียวกัน ดังนั้นรอยยิ้มของผู้เป็นดั่งดวงใจของพวกเขาคือกำลังใจที่ดีและรับรู้ได้ว่าพวกเขาไม่ได้ถูกทอดทิ้งจากผู้ครองแผ่นดิน

“และเท่าที่พี่ได้รับฟังจากนายธัญญ์ หญิงก็ทำมันได้อย่างดีด้วย มาพบกันคราวนี้ พี่รู้สึกว่าเจ้าหญิงน้อยของพี่ เจริญชันษาขึ้นมาก ไม่เพียงแค่อายุ ความคิดและความรับผิดชอบก็มีเพิ่มมากขึ้นจริงๆ”

“หญิงบรรลุนิติภาวะแล้วนะคะ ทั้งยังจบการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้วด้วย ถ้ายังทำตัวเป็นเด็กๆ ก็แย่สิคะ พี่ชายฟ้าล่ะคะเป็นอย่างไรบ้าง ราชกิจก็มิใช่น้อยเลยไม่ใช่หรือคะ แล้วทางมุราดาเป็นอย่างไรบ้าง เสด็จอาทั้งสองทรงพระเกษมสำราญดีใช่ไหมคะ”

“สมเด็จพ่อ สมเด็จแม่สบายดี โดยเฉพาะสมเด็จแม่ทรงบ่นถึงหญิงบ่อยๆ เพราะไม่มีโอกาสได้พบกันสักที ส่วนงานของพี่ก็คงคล้ายๆกับงานของพี่ชายของหญิงนั่นแหละ สำหรับบ้านเมืองของพี่จะเป็นอย่างไร พี่อยากให้หญิงไปสัมผัสด้วยตัวเอง” มกุฎราชกุมารวริทธิ์ธรถือโอกาสเชิญชวนกลายๆ

“ถ้าเป็นเช่นนั้นหญิงคงไม่มีโอกาสทราบว่าทางมุราดาเป็นอย่างไร”

“ทำไมล่ะ หญิงไม่อยากไปเยี่ยมเยือนบ้านเมืองของพี่บ้างหรือ” เจ้าชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย

“ไม่ใช่ค่ะ แต่หญิงคงหาโอกาสไปเยือนได้ยากมาก เพราะตอนนี้หญิงกำลังไฟแรง ในหัวมีแต่โครงการที่อยากทำเต็มไปหมด และหญิงก็อยากเต็มที่กับมันก่อนที่จะจัดสรรเวลาเพื่อศึกษาต่อค่ะ” เจ้าหญิงขยายเหตุผลของตนอย่างละเอียด

“สักวันพี่จะเทียบเชิญเจ้าหญิงแห่งมินธุราให้เสด็จเยือนมุราดาอย่างเป็นทางการ หวังว่าเมื่อถึงวันนั้นหญิงคงไม่ปฏิเสธไมตรีจากพี่นะ”

“หญิงก็หวังว่าสักวันหนึ่งหญิงจะมีโอกาสไปกราบเสด็จอาทั้งสองเช่นเดียวกันค่ะ”

“นี่แดดเริ่มแรงแล้ว พี่ว่าหญิงกลับเข้าไปพักในตำหนักดีกว่านะ” บุรุษหนุ่มผู้ทรงศักดิ์เอ่ยเตือน เมื่อร่างกายเริ่มสัมผัสความร้อนจากเปลวแดด แม้ว่าบริเวณนี้จะร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้ แต่มันก็ไม่น่าพิสมัยในเวลานี้

“พี่ชายฟ้าล่ะคะจะเสด็จไปที่ตำหนักใหญ่เข้าเฝ้าทูลกระหม่อมพ่อทูลกระหม่อมแม่พร้อมหญิงหรือจะเสด็จกลับตำหนักพี่ชายธัญญ์คะ”

“พี่ขอกลับไปเตรียมตัวให้พร้อมกับหมายกำหนดการในช่วงบ่ายดีกว่า และหากเป็นไปได้พี่คงได้ร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นพร้อมกับหญิงและท่านลุงท่านป้า”

“แล้วหญิงจะแจ้งทางห้องเครื่องให้จัดเครื่องเสวยเผื่อพี่ชายทั้งสองคนของหญิงค่ะ”

“ขอบคุณครับ”



หนึ่งจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ธ.ค. 2555, 09:08:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ธ.ค. 2555, 09:08:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1386





<< บทที่ 4   บทที่ 6 >>
Auuuu 15 ธ.ค. 2555, 10:03:16 น.
พระเอกน่ารักเชียวววววววววว


icewinter 15 ธ.ค. 2555, 13:38:04 น.


Oleang 15 ธ.ค. 2555, 17:41:01 น.
ตอนใหม่ คลอดแล้ว ...


หมูอ้วน 16 ธ.ค. 2555, 16:01:06 น.
พี่ชายฟ้า จะจำได้มั้ยหนอ เจอกันหลายครั้งแย้วว หุหุ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account