มนตรากระดังงา
นางพริมา กีรติอนันต์ พัฒนภิรมย์ กับ นายภัทร์ พัฒนภิรมย์ คู่สามีภรรยาที่ครองรักกันมากว่า 6 ปี และมีพยานรักเป็นเด็กชายน่ารัก 2 คน ต้องจบชีวิตคู่ที่เริ่มจากรั้วมหาวิทยาลัยลงเพราะฝ่ายชายไปมีเมียน้อยซึ่งกำลังจะมีลูกสาวด้วยกัน หญิงสาวยอมหย่าให้และยอมเป็นแม่หม้ายในวัยเพียง 30 ปี ชีวิตคู่ที่พังทลายกลับสร้างพริมาคนใหม่ให้แกร่งกว่าเดิม เธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวขึ้น กระดังงาลนไฟดอกนี้จึงกลายเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งหลาย รวมทั้งภัทร์ พัฒนภิรมย์ ที่เพิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอดีตภรรยา จนทำให้ความรักที่เขาคิดว่าได้มอดเชื้อไปแล้วนั้นปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
รักครั้งใหม่กับคนเดิมจะสมหวังได้หรือไม่ เพราะฝ่ายชายก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงก็มีชายหนุ่มมากมายมาเข้าแถวให้เลือก อานุภาพของความรักจะประสานรอยร้าวของหัวใจสองดวงให้กลับมาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดติดตาม......อาทิตา

Tags: รักร้าว มีเมียน้อย คืนดี

ตอน: ตอนที่ 17 ครบ 100 แล้วจ้า

ตอนที่ 17

“คุณปริม......โอเคไหมครับ” ราเมศวรถามพริมาเมื่อออกรถมานอกโครงการหมู่บ้านหรูได้สักครู่หนึ่งแล้ว พริมาที่นั่งมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างรถหันมามองหน้าเพื่อนร่วมทางอย่างฉงน
“อะไรนะคะ” พริมาถามอย่างงงงวย ก่อนที่จะนึกบางอย่างขึ้นได้
“อ๋อ! บ้านหลังนั้นน่ะเหรอคะ ปริมว่าก็สวยดีนะคะ ทำเลก็ใช้ได้ ตัวบ้านก็เล่นระดับและแบ่งเป็นสัดส่วนดี น้องสาวคุณรามน่าจะชอบน้ำตกข้างบ้านนั่นเหมือนกับปริม ดูแล้วสดชื่นดีนะคะ” พริมาที่ถูกราเมศวรชวนให้มาเป็นเพื่อนดูบ้านให้กับน้องสาวของเขา ที่แต่งงานและย้ายไปอยู่ที่ฮ่องกงกับครอบครัวของสามี แต่ต้องการได้บ้านไว้พำนักในเวลาที่มาเยี่ยมญาติพี่น้องในเมืองไทยสักหลัง
“พูดถึงน้ำตกแล้วก็นึกถึงสวนที่บ้าน พอย้ายมาอยู่คอนโด ลูก ๆ เลยไม่ได้วิ่งเล่นเหมือนเมื่อก่อน” พริมาเปรยต่อโดยไม่ได้สังเกตสีหน้าของผู้ฟัง
“อันที่จริง....ผมหมายถึงคุณปริมโอเคไหมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่ะครับ” ราเมศวรพูดเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม สายตาของพริมาที่มองภัทร์อย่างเจ็บปวดในนาทีแรกที่เห็นภัทร์กับภรรยาใหม่นั้นช่างน่าสงสารเหลือเกิน คุณแม่ลูกสองคงไม่รู้ตัวว่าเขาแอบมองดูเธออยู่ตลอดเวลา.....พริมายังรักภัทร์อยู่เต็มหัวใจ เขายังไม่ที่ว่างที่จะแทรกซึมเข้าไปแทนได้เลย
“ไม่รู้สิคะว่าโอเคไหม บอกตรง ๆ นะคะ มันไม่ได้เจ็บปวดทุรนทุรายเหมือนตอนแรก ๆ ที่ทราบเรื่อง แต่มัน.....มันก็ยังเจ็บยังแปลบที่หัวใจ สิบกว่าปีที่ผ่านมาปริมคงไม่มีค่ามากพอ” พริมาพูดเสร็จก็ถอนหายใจ
“คุณปริมยังรักเขามากใช่ไหมครับ” ราเมศวรโพล่งถามออกไป ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากได้ยินคำตอบ
“อย่าพูดถึงมันเลยค่ะ เสียบรรยากาศเปล่า ๆ”
“แต่ผมอยากรับรู้ทุกความรู้สึกของคุณปริมนี่ครับ ผมอยากร่วมทั้งทุกข์และสุขกับคุณ ผมอยากแชร์ทั้งอดีตและอนาคตกับคุณ” ราเมศวรพูดจากใจจริงอย่างหนักแน่น
“ขอบคุณมากนะคะ ปริมขอขอบคุณคุณรามจริง ๆ แต่ปริม.....ปริมไม่อยากให้คุณคิดว่าปริมกำลังให้ความหวังกับคุณ เพราะปริมอาจต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะลืม ไม่ใช่สิ.....กว่าจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ อย่ารอปริมเลยค่ะ”
“แต่ผมเต็มใจที่จะรอ”
“มันอาจจะใช้เวลานานนะคะ อาจเป็นปี......หรือหลายปี ปริมก็ยังไม่รู้เลย อย่ามัวมาเสียเวลากับปริมเลยค่ะ คุณอาจจะพลาดอะไรดี ๆ ในชีวิตไปนะคะ” พริมาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของราเมศวรเพื่อยืนยันความจริงใจ
“ผมไม่เคยคิดว่านี่ คือ เรื่องเสียเวลา และผมก็ไม่คิดที่จะคบกับคุณเพื่อฆ่าเวลา ไม่ว่านานแค่ไหนผมก็จะรอ”
“ยังมีคนดี ๆ คนที่เหมาะสมกับคุณอีกมากมายนะคะ”
“เหมาะไม่เหมาะ ต้องใช้ใจวัดนะครับ อย่าใช้ปัจจัยอื่น ๆ” ราเมศวรตอบ
“แต่...แต่คุณอาจจะต้องรอไปตลอดก็ได้นะคะ” พริมาพูดออกมาจากใจจริงแต่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย
“ผมไม่รีบนี่ครับ” ราเมศวรบอก
“ผมมีทุกอย่างพร้อมแล้วเลยไม่ต้องรีบร้อนเหมือนกับคนอื่น ๆ เขา” พริมาทำหน้างงกับคำพูดกำกวมของราเมศวร เขาจึงเฉลยต่อว่า
“ผมไม่จำเป็นต้องรีบแต่งงานเพื่อให้มีลูกทันใช้ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีลูกตอนแก่ด้วย เพราะลูก ๆ ก็โตกันแล้ว คนโต 5 ขวบกว่า คนเล็กก็ 2 ขวบครึ่งแล้ว” ราเมศวรหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้พริมาอย่างทะเล้น
“คุณรามนี่เซี้ยวจริงเชียว” หัวใจที่กำลังแห้งแล้งของพริมาค่อย ๆ สดใสเมื่อได้น้ำฝนชุ่มฉ่ำมาหล่อเลี้ยง พริมาหันมามองหน้าราเมศวรอีกครั้ง ก่อนที่จะพูดว่า
“ปริมขอเวลาสักพักนะคะ......แต่ถ้าคุณพบคุณเจอคนที่ใช่เมื่อไร ก็บอกปริมได้เสมอ ปริมเข้าใจและไม่โกรธคุณแม้แต่สักนิดเลยนะคะ ขอแค่อย่าหลอก อย่าโกหกกันนะคะ” พริมายิ้มหวานให้กับคนฟัง
“ผมให้เวลาคุณได้เสมอ และผมให้สัญญาว่าจะไม่มีวันโกหกหลอกลวงคุณอย่างเด็ดขาด คุณปริมเชื่อคำพูดผมได้เลยนะครับ” ราเมศวรเอื้อมมือมาบีบมือนุ่มของพริมาอย่างถือวิสาสะ แต่ไม่จาบจ้วง
“ผมขอแค่.....ขอแค่คุณปริมให้โอกาสผมบ้างนะครับ” พริมาไม่มีคำตอบใด ๆ ให้กับชายหนุ่มที่ยังคงจับมือเธอแน่นอย่างอบอุ่น เธอไม่กล้าให้คำมั่นสัญญากับใครได้อีก จนกว่า.......หัวใจของเธอจะไร้ซึ่งพันธนาการ

************************

2 สัปดาห์ต่อมา
ขณะที่ภัทร์กำลังนั่งทำงานอยู่นั้น ก็ถูกดึงความสนใจด้วยเสียงสัญญาณเตือนว่ามีข้อความใหม่เข้ามาในมือถือของเขา ชายหนุ่มจึงล้วงหยิบเครื่องมือสื่อสารขนาดฝ่ามือออกมา
‘ศุกร์นี้ปริมขอไม่ส่งลูก ๆ กลับบ้านนะคะ เพราะจะพาเด็ก ๆ ไปหัวหินค่ะ’
“ไปหัวหิน ไปทำไมและไปกับใคร....สงสัยคงต้องโทรถามยายปั๊ปซะแล้ว” ภัทร์ตั้งคำถามด้วยอารมณ์ขุ่นมัวที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มจึงต้องหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองคลายข้อสงสัยนี้ให้ได้ นายธนาคารวางปากกาที่มีชื่อของเขาสลักอยู่บนด้ามลงบนโต๊ะทำงาน แล้วจึงใช้มือเดียวกันนั้นเคาะโต๊ะเป็นจังหวะอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด อีกมือก็เลื่อนไปมาบนหน้าจอมือถือระบบสัมผัส พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นข้อความที่อยู่ทางริมซ้ายของหน้าจอ ข้อความที่น่าจะเป็นจากตัวเขาส่งให้กับพริมาเมื่อ 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา ข้อความนั้นอยู่ด้านบนของข้อความที่เขาเพิ่งได้รับเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาจากอดีตภรรยา เมื่ออ่านข้อความนั้นแล้วภัทร์รู้สึกงงงวยไปหมด ชายหนุ่มจึงยกมือถือขึ้นมาระดับสายตาเพื่ออ่านข้อความนั้นให้แน่ใจอีกครั้ง ข้อความที่เขาไม่ได้เป็นคนส่ง แต่ทำไมมันถึงอยู่ในเครื่องเขา
‘กลับวันนี้ใช่ไหม เดี๋ยวพี่ไปรับนะ อยากคุยเรื่องหย่าให้เรียบร้อย’
ภัทร์มั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนที่ส่งข้อความนี้ไปหาพริมา ชายหนุ่มจ้องนิ่งไปยังวันที่ที่ส่งข้อความนั้นไปหาผู้รับ ข้อความที่ทำให้เขาและพริมาเดินมาถึงจุดแตกหักอย่างรวดเร็วขึ้น เขาใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อทบทวนความทรงจำจนหน้านิ่วคิ้วขมวด ภัทร์คร่ำเคร่งกับความคิดอยู่ไม่นานก็สามารถรื้อฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้
“วันนั้นเป็นวันที่เราไปรับปริมที่สนามบินนี่นา” ภัทร์ค่อย ๆ ระลึกเหตุการณ์ที่ผ่านมาตามลำดับอย่างช้า ๆ
“แล้วก่อนหน้านั้น เราก็พาวิไปหาหมอที่คลินิก” ภัทร์เริ่มฉุนเมื่อนึกเรื่องราวออกและสามารถปะติดปะต่อเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างต่อเนื่อง
“คงเป็นตอนที่เราลุกไปห้องน้ำแล้วฝากมือถือไว้กับวิสินะ วินะวิ คงต้องคุยให้กันรู้เรื่องแล้ว ปากบอกจะไม่เรียกร้องอะไร ผู้หญิงนี่ทำไมเข้าใจยากจริงวะ มิน่าละ ปริมถึงทำท่าโกรธเราตั้งแต่ลงเครื่องมา แถมมาถึงก็รีบถามถึงเรื่องหย่าแทบจะทันที เฮ้อ! เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง ถ้าไม่มีข้อความนี้ ปริมอาจจะไม่ขอหย่าจากเราก็เป็นได้” ภัทร์เพิ่งจะถึงบางอ้อ ชายหนุ่มส่ายหัวไปมาอย่างเอือมระอาพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเคยคิดว่าวิภาวีจะพึงพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่และสิ่งที่ได้รับ ทั้งชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น งานไม่ต้องทำแต่มีเงินใช้ไม่ขาดมือ เธอยังจะต้องการอะไรอีก ภัทร์แน่ใจว่าจนทุกวันนี้เขาก็ยังไม่ได้รักวิภาวี มันเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบและความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น ซึ่งเกิดจากความร่วมมือและร่วมใจของทั้งสองฝ่าย เพราะที่ผ่านมาเขาก็มีลูกน้องเป็นผู้หญิงหน้าตาสดสวยมากมาย แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาจเป็นเพราะพวกเธอเหล่านั้นมีศีลธรรม ไม่แย่งของของคนอื่น หรือเพราะก่อนหน้านั้นเขายังไม่รู้สึกว่าเหงา ไม่ได้ต้องการคนดูแลเอาใจใส่ เขาจึงไม่ยื่นมือไปคว้าใครมาแนบกายทดแทนไออุ่นที่ขาดหายไป แต่เมื่อมาพบกับวิภาวี มันเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างระหว่างคน 2 คน เขาจึงเป็นคนยื่นมือไปรับมือเธอและดึงเธอเข้ามาในชีวิตเสียเอง…..ชีวิตครอบครัวที่เคยสงบสุขและพร้อมหน้าพร้อมตาเลยพังทลายลงในพริบตา
“โธ่เว้ย! ให้มันได้อย่างนี้สิโว้ย!” ภัทร์สบถอย่างอารมณ์เสีย นาทีต่อมาเขาจึงตัดสินใจโทรไปหาวิภาวีเพื่อต้องการบอกให้เธออยู่ในที่ของเธอ อย่ามาล้ำเส้นเขาอีกเป็นอันขาด! ภัทร์รอสายไม่นานเสียงของวิภาวีก็พูดมาอย่างตื่นตระหนกว่า
“คุณภัทร์! รีบมารับวิที่คอนโดหน่อยนะคะ วิน้ำเดินแล้วค่ะ มาเร็ว ๆ นะคะ วิปวดท้องจนจะทนไม่ไหวแล้วค่ะ รีบมานะคะ วิไม่กล้าลงลิฟต์คนเดียว โอ๊ย! ปวดท้องจังเลย คุณภัทร์รีบมานะคะ” ภัทร์ที่มัวตกตะลึงและตื่นเต้นที่จะได้ลูกสาว จึงลืมความตั้งใจเดิมของตนเองอย่างหมดสิ้น
“ได้ ๆ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ คุณโทรแจ้งคุณหมอไว้ด้วยเลยนะ ทางโรงพยาบาลจะได้เตรียมตัวไว้เหมือนกัน คุณโทรไหวไหมวิ” ภัทร์ที่มีประสบการณ์มาจากลูกชายทั้งสองสั่งวิภาวี พลางเปิดประตูห้องทำงานอย่างรีบร้อน เขาหันไปบอกกับเลขาฯหน้าห้องที่นอกจากจะเป็นคนเก่าคนแก่ตั้งแต่สมัยพ่อเขานั่งแท่นผู้บริหารแล้ว คุณชวนพิศยังคอยเป็นหูเป็นตาให้กับมารดาของเขาอีกด้วย
“วิกำลังจะคลอดลูก ผมคงไม่กลับเข้ามาแล้ว พรุ่งนี้อาจจะไม่มาทำงานด้วยนะ” ภัทร์พูดเสร็จก็รีบก้าวตรงไปยังลิฟต์ ชายหนุ่มเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่ไหว เพราะเขากำลังจะได้ลูกสาวคนแรกมาเชยชม เขาจึงโทรไปบอกกับมารดาของตนเองว่า
“คุณแม่ครับ วิกำลังจะคลอดลูก นี่ผมกำลังจะกลับไปรับวิแล้วพาไปโรงพยาบาลครับ” แต่แล้วอาการดีใจจนเนื้อเต้นก็ต้องถูกสกัดด้วยคำพูดของคุณหญิงพิจิตราที่ว่า
“มาบอกฉันทำไมยะ ไม่ใช่ลูกใช่หลานฉันสักหน่อย ออกมาแล้วก็อย่าลืมตรวจดีเอ็นเอเสียด้วยล่ะ”

************************

เช้าวันเสาร์ ณ นิมมานรดีหัวหิน พริมาที่หอบหิ้วเอาลูกชายทั้งสองมาเที่ยวหัวหินโดยขับรถกันมาตามลำพัง เพราะวรปรัชญ์ที่ตอนแรกรับปากว่าจะมาด้วยกันนั้น ชิงเดินทางล่วงหน้ามาตั้งแต่เช้าวันพฤหัสบดีแล้ว
“ปริม ไปพักบ้างเถอะ เดี๋ยวฉันเฝ้าหลานให้เอง” วรปรัชญ์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ชายหาดสีขาวที่มีเบาะนอนสีเหลืองสะอาดตาพร้อมโลโก้ของโรงแรม ณ นิมมานรดีหัวหิน ติดหราอยู่อย่างเห็นได้ชัด เขาบอกกับพริมาที่นั่งเฝ้าลูกชายทั้งสองของเธอและลูกชายหญิงอีก 2 คนของพิชญธิดาที่นั่งเล่นทรายกันมาตั้งแต่หลังอาหารเช้าและยังไม่ทีท่าว่าจะยอมเลิกหรือหยุดพักกันเลย อันที่จริงต้องบอกว่าพริมาเป็นหลักในการดูแลเด็ก ๆ มาตั้งแต่เย็นวันศุกร์แล้ว
การมาพักผ่อนครั้งนี้พริมาไม่ได้พาบัวพี่เลี้ยงของลูก ๆ มาด้วยเพราะหญิงสาวขอลากลับไปเยี่ยมบ้านเกิด เนื่องจากยายของเธอไม่สบายมาก เธอจึงรับหน้าที่ดูแลทั้งลูกของตัวเองและลูกของเพื่อนโดยมีวรปรัชญ์เป็นผู้ช่วยมือสำรอง พิชญธิดาที่ขึ้นไปให้นมลูกคนเล็กอยู่นั้น ก็สั่งให้พนักงานโรงแรมมาช่วยดูแลลูก ๆ ของเธอรวมทั้งลูก ๆ ของพริมาด้วย เพราะรู้ฤทธิ์เดชของเด็ก ๆ ทั้งสี่คนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพวกหนุ่มน้อยจอมซนทั้งสามคนนั้นไม่ว่าจะเป็นหนุ่มป๊อป หนุ่มปิ๊ปและหนุ่มวิน เพราะเมื่อรวมตัวกันได้อย่างเข้าขาแล้วก็ไม่แตกต่างจากฝูงลิงทโมนดี ๆ นี่เอง แต่อย่างไรก็ตามพริมาก็ยังไม่ยอมลุกไปไหน เธอบอกให้พนักงานของโรงแรมกลับไปทำงานตามหน้าที่ปกติแทน ม่ายสาวทรงเสน่ห์ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ชายหาดของโรงแรมดังที่ขึ้นชื่อว่ามีชายหาดที่สวยที่สุดในหัวหิน เธอเฝ้ามองดูเด็ก ๆ ที่นั่งเล่นกันบนชายหาดอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลนักด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
“ไม่เป็นไรหรอกปรัชญ์ ถ้าแกร้อนก็กลับไปนั่งด้านในก็ได้นะ” เธอตอบกลับ พลางขยับหมวกสานใบโตและแว่นตาดำที่ช่วยลดทอนแสงแดดจ้าให้กับดวงตาคู่สวย
“ร้อนน่ะไม่เท่าไร แต่เบื่อ ๆ น่ะ เด็กพวกนี้ก็อะไร เล่นมาเป็นชั่วโมงแล้วยังไม่ยอมเลิกเสียที” วรปรัชญ์บ่นเป็นหมีกินผึ้ง
“อ้าว! แกนี่ จะมาบ่นทำไมฮะ ถ้าเบื่อหรือรำคาญหลานก็ไปที่อื่นสิ บอกแล้วนี่นาว่าฉันดูแลได้ นาน ๆ เด็ก ๆ พวกนี้จะได้เล่นทรายกลางชายหาดสวย ๆ แบบนี้ พวกแกก็ต้องสนุกกันตามประสาเด็กบ้างน่ะสิ เจ้าสองตัวของฉันก็เด็กกรุง ส่วนของยายอัณณ์ก็เด็กดอย พอมาเจอผืนทรายกะน้ำทะเลเข้าหน่อยก็ต้องถูกใจเป็นธรรมดา ฉันเองนั่งมองท้องทะเลกะท้องฟ้ายังเพลินตาเพลินใจเลย” พริมาต่อว่าผู้ช่วยพร้อมทั้งอธิบายเหตุผล
“ก็ดี แกเพลินตาเพลินใจ สำราญสุขขึ้นมาบ้างแบบนี้ก็ดี” วรปรัชญ์ซ่อนความนัยเอาไว้
“ฉันดูทุกข์ตลอดเวลาเลยหรือปรัชญ์” พริมาหันมามองหน้าเพื่อนรัก
“ให้ตอบจริง ๆ ใช่ไหม รับได้แน่ใช่ไหม” วรปรัชญ์ถามกลับแทบจะทันที
“รับได้สิ ว่ามาเลย”
“แกน่ะ หน้าตาก็ยิ้มแย้มดีอยู่หรอกนะ แต่นัยน์ตาแกอะ ไม่ยิ้มเลย จะสว่างสดใสขึ้นมาบ้างก็ตอนที่มองดูลูก ๆ หรือตอนที่พูดคุยหยอกล้อกับพวกเด็ก ๆ นั่นแหละ ถ้าไม่งั้นก็เศร้าสร้อย แทบจะเรียกว่าตาโศกได้แล้วนะเนี่ย” วรปรัชญ์สาธยายจนคนฟังเห็นภาพ
“ก่อนหน้านั้น ก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น ฉันบอกแกตรง ๆ นะ ฉันเคยแอบคิดว่าถ้าพี่โป๊ปมีคนอื่น ฉันจะให้อภัยเขาได้ไหม ฉันจะทนเพื่อลูก ๆ ได้ไหม เมื่อก่อนฉันได้แต่บอกว่าไม่มีทาง ฉันจะไม่ทน แต่พอเอาเข้าจริง ตอนที่เกิดเรื่องใหม่ ๆ นะ ฉันสงสารลูก ฉันแอบคิดนะ.....ฉันแอบหวังอยู่ลึก ๆ ว่าสักวันฉันกับเขาอาจจะกลับมาคืนดีกันได้ ถ้าเขาเลือกฉัน แต่เมื่อ......เมื่อมันเลยเถิดมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันคงต้องทิ้งความหวังลมแล้ง ๆ นั้นเสียแล้วล่ะ” พริมาบอกความในใจออกไปด้วยน้ำเสียงที่หมดหวัง
“แต่เด็กอาจจะไม่ใช่ลูกพี่โป๊ปก็ได้นะ เราต้องรอดูผลดีเอ็นเอก่อนสิ อีกสองอาทิตย์เองไม่ใช่เหรอ” วรปรัชญ์พยายามให้ความหวัง
“ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะใช่ลูกของพี่โป๊ปหรือไม่ มันก็ไม่มีผลอะไรกับฉันแล้วล่ะ เพราะเราหย่ากันแล้ว”
“หย่าได้ ก็จดใหม่ได้นะแก” วรปรัชญ์แย้ง
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกปรัชญ์ ความรู้สึกตอนนี้ มันไม่ใช่แค่ถูกหลอก ถูกทรยศ มันมีความรู้สึกอื่นเข้ามาปนเปด้วย ฉันรู้สึกสงสารเด็กคนนั้นนะ ยิ่งเป็นเด็กผู้หญิงด้วยยิ่งน่าสงสาร” พริมาทอดสายตาไปที่ลูก ๆ ทั้งสองคนของเธอ แล้วจึงพูดต่อว่า
“ถ้าใช่ลูกของพี่โป๊ปจริง ๆ เขาคงดีใจมาก เขาอยากได้ลูกสาวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“ถ้าใช่จริง แกจะทำใจได้เหรอ” วรปรัชญ์ถามอีกครั้ง
“ทำได้หรือไม่ ก็ไม่มีผลอะไรทั้งนั้นแล้วล่ะ ฉันถอยออกมาแล้ว มันจบลงแล้ว” พริมาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วกระพริบตาถี่ ๆ หลายครั้ง
“ปริม” วรปรัชญ์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ชายหาดของตนมานั่งลงบนตัวเดียวกันกับพริมา ก่อนที่จะเอื้อมมือมาโอบไหล่ของพริมา แล้วพูดเบา ๆ ว่า
“แกร้องไห้กับฉันได้เสมอนะ อย่ากั้นมันไว้อีกเลย ปล่อยมันออกมาเสียบ้างเถอะ อะไร ๆ จะได้ดีขึ้น” วรปรัชญ์ปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่ทว่าจริงใจและหนักแน่น
“.........” ไม่มีคำพูดหรือเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมาจากปากของพริมา มีเพียงหยาดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย ม่ายสาวเอียงศีรษะไปซบลงบนบ่าหนาของเพื่อนสนิทอีกครั้งแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาชะล้างบาดแผลในใจ.....แผลที่เธอไม่คิดว่าจะมีวันรักษาให้หายขาดได้

************************

“อ้าว! พี่ติน สวัสดีค่ะ ไปยังไงมายังไงคะเนี่ย” พริมาที่กำลังจะเดินผ่านโต๊ะอาหารที่คณิตินนั่งรับประทานอยู่ตามลำพัง หยุดทักทายเพื่อนของพี่ชาย คุณหมอหนุ่มนั่งอยู่ในมุมลับตาคนซึ่งมีแสงไฟเพียงสลัว ๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่พริมาจะเดินผ่านโต๊ะของชายหนุ่มเพื่อไปเข้าห้องน้ำโดยไม่สังเกตเห็นเขาในรอบแรก
วันนี้พริมา วรปรัชญ์ และพิชญธิดา มานั่งรำลึกความหวังในวัยเรียนกันที่ร้านอาหารเลื่องชื่อแห่งนี้ โดยทิ้งให้วิชญ์และบอดี้การ์ดประจำตัวอีก 2 นายรับหน้าที่พี่เลี้ยงเด็ก ๆ ทั้ง 5 คนอยู่ที่โรงแรม
“น้องปริม” หมอหนุ่มทักทายตอบด้วยใบหน้าสีเลือดฝาดซึ่งผลมาจากฤทธิ์น้ำเมาที่อยู่ในมือ
“พี่ติน มาคนเดียวเหรอคะ” พริมาถามต่อ
“ครับ พอดีพี่มาช่วยดูคลินิกที่จะเปิดใหม่ของพรรคพวกเพื่อนฝูงนะ แล้วก็ขี้เกียจขับรถกลับกรุงเทพฯ ก็เลยแวะทานข้าวก่อน แต่นี่สงสัยคงต้องนอนค้างแถว ๆ นี้แล้วล่ะ คงขับกลับไม่ไหวแล้ว” คณิตินอธิบาย ซึ่งพริมาก็เห็นพ้องต้องตามเพราะขวดเบียร์ 4 – 5 ขวดที่วางเรียงรายบนโต๊ะเป็นเครื่องยืนยันคำพูดของคุณหมอ
“โห! นี่ดื่มคนเดียวหมดนี่เลยเหรอคะ” พริมาแซว
“ครับ แต่พี่ไม่ได้เมานะ นั่งเพลิน ๆ กินทั้งบรรยากาศและอาหาร ก็เลยปล่อยเลยตามเลย แล้วน้องปริมล่ะมากับใครครับ” คณิตินพูดคุยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หลังจากที่นั่งดื่มหน้าดำคร่ำเครียดมานานสองนาน
“มากับปรัชญ์กับอัณณ์น่ะค่ะ”
“น้องปริมรีบไหม ถ้ายังไงนั่งคุยกับพี่สักพักได้ไหม” คณิตินถามด้วยน้ำเสียงเว้าวอน
“ได้ค่ะ แต่ปริมขอตัวไปบอกปรัชญ์กับอัณณ์ก่อนนะคะ เดี๋ยวสองคนโน้นจะเป็นห่วงเอา”
“ครับ พี่รออยู่ที่โต๊ะนี้แหละ” คุณหมอหนุ่มกล่าว
เพียงไม่นานพริมาก็กลับมานั่งคุยกับชายหนุ่มที่โต๊ะ เธอบอกกับเพื่อนสนิททั้งสองว่าคงใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง วรปรัชญ์ที่กำลังติดใจเสียงและตัวของนักร้องหนุ่มประจำร้านอยู่ รีบสนับสนุนอย่างไม่อิดออด
‘ตามสบายเลยนะแก ไม่ต้องรีบหรอก ฉันกะนังอัณณ์นั่งฟังเพลงกันตรงนี้แหละ นาน ๆ จะได้ดริ้งค์คลายสมองบ้างเนอะอัณณ์เนอะ’
“ปริมเป็นไงบ้าง” คณิตินถามอย่างใคร่รู้
“ก็สบายดีค่ะ เรื่อย ๆ ตอนนี้ลูกคนเล็กไปโรงเรียนแล้ว ปริมก็เริ่มว่างมากขึ้น กำลังคุยกะอัณณ์กะปรัชญ์อยู่เลยว่าจะหาอะไรทำดี”
“ปริมอยากทำงานเหรอ พี่กำลังต้องการคนมาช่วยที่คลินิกอยู่พอดี” คณิตินไม่อ้อมค้อม
“ปริมไม่อยากทำงานประจำหรอกค่ะ เพราะยังไงก็ต้องดูแลลูก ๆ อีก นี่กำลังคิดว่าจะเปิดร้านอาหารดีไหมอะค่ะ” พริมาบอก
“อ๋อ อย่างนั้นเองเหรอ พี่ก็นึกว่าอยากได้งานประจำ จะว่าไปแล้ว งานที่พี่บอกก็ใช้เวลาแค่ช่วงเย็น ๆ เท่านั้นเองนะ” คณิตินไม่ละความพยายาม
“ปริมว่าอย่าดีกว่าค่ะ ปริมไม่ได้จบมาทางนั้น คงช่วยอะไรไม่ได้มาก อีกอย่างภรรยาของพี่ก็ช่วยอยู่แล้ว ไม่ใช่เหรอคะ” พริมาหมายถึงคุณหมอทางด้านผิวหนังและความงามที่เป็นภรรยาสาวของหมอคณิติน เธอไม่อยากชื่อว่าเป็นมือที่สามไปทำลายครอบครัวคนอื่น แค่ขึ้นชื่อว่า ‘แม่ม่ายป้ายแดง’ ก็เหลือบ่ากว่าแรงแล้ว
“อย่าไปพูดถึงเขาเลย เขามัวแต่ทำงาน มัวแต่ขยายสาขาคลินิกความงามของเขา จนไม่มีเวลามาช่วยพี่ที่คลินิกเด็กของพี่แล้วละ” คณิตินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะหยิบแก้วเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดแก้วในรวดเดียว นอกจากเรื่องที่พูดออกไป ปัญหาใหญ่อีกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขาที่เขาไม่สามารถพูดหรือบอกกับใครได้ก็คือภรรยาสาวของเขายังไม่อยากมีลูก เธออ้างว่ายังสนุกกับงาน ในขณะที่ตัวเขาซึ่งเป็นหมอเด็กเพราะรักเด็กเป็นทุนเดิมอยู่แล้วอยากจะมีโอกาสได้เป็นพ่อคนเหมือนกับคนอื่น ๆ บ้าง อยากให้ครอบครัวสมบูรณ์มีทั้งพ่อ แม่และลูก ส่วนสาเหตุที่เขาไม่สามารถพูดคุยกับใคร ๆ ถึงเรื่องนี้ได้เพราะตัวเขาไม่ใช่คนอุ้มท้อง ไม่ใช่คนที่ต้องเสียสละความสุขสบายเพื่ออีกหนึ่งชีวิตอย่างที่ภรรยาของเขาได้เคยเปิดอกพูดออกมาเมื่อหลายเดือนก่อน
‘พี่ตินเป็นผู้ชายนี่ พูดได้ง่าย ๆ น่ะสิ พี่ตินก็รู้ว่าตอนท้องน่ะผู้หญิงเราต้องเสียสละ ต้องอดทนขนาดไหน ต้องกินของที่ไม่ชอบ ส่วนไอ้ของที่ชอบก็ต้องอดกิน สุยังไม่พร้อม ถ้าพร้อมเมื่อไรสุจะบอกพี่ตินเอง ตอนนี้ไหนจะคลินิกที่ต้องดูแล ไหนจะงานที่โรงพยาบาล สุไม่มีเวลามาอุ้มท้อง 9 เดือน 10 เดือนอยู่หรอกค่ะ ไหนจะหลังคลอดอีก มันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ นะคะพี่ติน คนท้องก็คือสุ คนให้นมก็คือสุ พี่ตินไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะฉะนั้นอย่ามาบังคับสุเลยนะคะ และอีกอย่างสุเพิ่งจะ 28 ปีเอง ยังมีเวลาอีกถมเถไปที่จะตั้งท้อง ตอนนี้สุอยากให้คลินิกมันเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้ก่อน คลินิกที่ 3 ก็กำลังจะเปิดเดือนหน้าแล้วด้วย สุขอโฟกัสทีละเรื่องนะคะ’ คุณหมอสุชาดาบอกกับสามีในวัย 33 อย่างไม่ถนอมน้ำใจผู้ฟังเลยสักนิด เพราะถือดีว่าตนเองก็มีความรู้ความสามารถไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าช้างเท้าหน้า แถมกิจการคลินิกความงามที่กำลังรุ่งเรืองก็ทำท่าว่าจะสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำมากกว่าคลินิกเด็กของสามีหลายเท่าตัวนัก เธอจึงไม่สนใจว่าคำพูดของเธอนั้นจะสร้างความเสียใจให้แก่ใครบ้าง
“มีอะไรก็ค่อย ๆ คุยกันสิคะ สู้ ๆ นะคะพี่ติน” พริมาให้กำลังใจ
“มันไม่มีอะไรจะคุยกันแล้ว ทุกวันนี้ต่างคนต่างอยู่ พี่ว่าบางทีอาจจะเป็นโชคดีของเราก็ได้ที่เราไม่มีลูกด้วยกัน ไม่อย่างนั้นคงต้องก้มหน้าก้มตาทนกันต่อไป” คณิตินพูดจากำกวม แต่พริมาก็ไม่เสียมารยาทพอที่จะถามเรื่องซอกแซกของเขา ยิ่งเห็นว่าคู่สนทนาเริ่มจะควบคุมสติตัวเองไม่ได้ เธอยิ่งต้องระวังคำพูดคำจาของตนเองมากขึ้นไปอีก
“แต่ก็ช่างมันเหอะ อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย อีกไม่นานก็คงจบ ต่างคนต่างไป อีกไม่นาน....ไม่นานแล้ว เฮ้อ! ดูสิแทนที่พี่จะปลอบใจปริม กับมานั่งพูดเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ ให้ปริมฟังอยู่ได้”
“พี่ตินคะ อย่าหาว่าปริมยุ่งเรื่องของพี่เลยนะ สามีภรรยากัน ถ้ามีเรื่องไม่เข้าใจกัน อย่าปล่อยเอาไว้เลยค่ะ เดี๋ยวมันจะเลยเถิดกันไปใหญ่ มีอะไรก็ควรจะหันหน้าพูดคุยกันเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ อย่าปล่อยให้มันคาราคาซัง เพราะมันจะทบต้นทบดอก เรื่องโน้นปนเรื่องนี้ จนในที่สุดจะแยกไม่ออกว่าอันไหนปมอันไหนปลาย มันจะพันกันอีรุงตุงนังไปหมดนะคะ....... ถ้าพี่ตินนึกภาพไม่ออกแล้วล่ะก็ จะดูชีวิตคู่ของปริมเป็นตัวอย่างก็ได้นะคะ” พริมาอยากให้บทเรียนของเธอมีประโยชน์กับคู่อื่น ๆ บ้าง หญิงสาวพูดออกไปทั้ง ๆ ที่ยังรู้สึกเจ็บแปลบไม่หาย
“ปริม” คณิตินเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาวางบนหลังมือของพริมาเพื่อส่งผ่านกำลังใจให้กับหญิงสาวตรงหน้า หญิงสาวที่เขายังคงเก็บเธอไว้ข้างในหัวใจตั้งแต่วันที่ได้เห็นรูปถ่ายของเธอที่คอนโดฯของเพื่อนสนิทจวบจนถึงวันนี้
“ปริมยังมีพี่เสมอนะ” เพราะสติที่เริ่มจะขาดการควบคุม คณิตินจึงเปิดเผยความในใจออกมาอย่างไม่คิดที่จะปิดบังไว้อีกต่อไป ชายหนุ่มกุมมือของพริมาไว้ไม่ยอมปล่อย
“พี่รอปริมอยู่เสมอนะ รอมาตลอด ปริมรู้ไหมว่าพี่รอปริมมาตลอดนะ พี่รักปริมมาตลอด พี่....” พริมาตกตะลึงกับคำสารภาพรักของคุณหมอที่พรั่งพรูออกมาอย่างที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว แต่นั่นก็ไม่น่าหวาดหวั่นเท่าเสียงที่แผดร้องดังแทรกขึ้นว่า
“เธอเองเหรอที่ชื่อปริม! เธอรู้ตัวบ้างไหมว่าเป็นคนทำลายชีวิตครอบครัวคนอื่นเขาน่ะ รู้ตัวไหมว่าทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนน่ะ ตัวเองหย่าสามีได้ไม่ทันไรก็รีบจะหาใหม่เสียแล้ว แต่ที่จริง ๆ ใคร ๆ เขาก็ไม่เธอว่าหรอกนะ ถ้าแม่ม่ายอย่างเธออยากจะมีผัวใหม่น่ะ เพราะขึ้นชื่อว่าแม่ม่าย ใคร ๆ ก็เข้าใจว่าคงอดอยากปากแห้งได้ไม่นาน แต่เธอก็ควรจะไปหาคนที่ไม่มีเจ้าของสิ ไม่ใช่มาแย่งของของคนอื่นเขาแบบนี้ หน้าด้าน!” พริมารู้สึกหน้าชายิ่งกว่าถูกตบด้วยฝ่ามือเสียอีก

************************
ขอโทษที่มาช้านะคะ เจอเรื่องราวเข้ามาในชีวิตมากมายในเดือนที่ผ่านมาลูกสาวป่วย ต่อด้วยงานลอยกระทง ตามมาด้วยนักเรียนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต (สติกระเจิงอยู่หลายวัน) ลูกสาวป่วยอีกครั้งจนต้องเข้าโรงพยาบาล กำหนดส่งผลการเรียน....เฮ้อออออ แค่ฟังยังเหนื่อยแทนใช่ไหมคะ 5555 ตอนนี้ภาระงานต่าง ๆ หมดแล้ว จะได้พัก 3 อาทิตย์ จะพยายามทยอยมาอัพต่อเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องนะคะ ขอบคุณมากมายสำหรับกำลังใจค่ะ
รอคอย ‘คอมเม้นต์’ ของทุกท่านอยู่นะคะ---จุ๊บ ๆ ๆ ขอบคุณมากค่ะ




อาทิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ธ.ค. 2555, 01:03:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ธ.ค. 2555, 01:03:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1975





<< ตอนที่ 17...75%   ตอนที่ 18....30% >>
violette 9 ธ.ค. 2555, 01:38:02 น.
โอ้ววว ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีนะคะ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ค่ะ
ขอให้ลูกสาวไรเตอร์หายไวๆค่ะ

โอ้คู่พี่ตินนีก็น่าสงสารผู้ชายอยู่เนอะ อยากให้ลงเอยด้วยดีค่ะ คู่ปริมก็เศร้าแย่แล้ว


Auuuu 9 ธ.ค. 2555, 01:49:16 น.
เพิ่งเริ่มอ่านตอนนี้ แต่น่าสนใจมากมายค่า เดี๋ยวจะไปตามอ่านย้อนหลังนะคะ
สู้ๆนะคะไรเตอร์ ^^


konhin 9 ธ.ค. 2555, 02:16:03 น.
เฮ้อ แบบนี้เรียกคราวซวยค่ะ


nunoi 9 ธ.ค. 2555, 13:18:44 น.
ขอให้ลูกสาวหายป่วยเร็วๆนะคะ ถึงจะช้าแค่ไหนก็ยังรอต่อไปค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account