ลิขิตรักในสายลม # จุฬามณี
รัก หวานๆ ขม ของสาวไทยกับหนุ่มมาเลย์
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 4.2

“รู้จักคุณยายหรือคะ” ก่อนหน้านั้น ขวัญชีวีรู้แต่ว่า คุณยายแน่งน้อยของตนนั้นได้มีโอกาสพบเพื่อนสมัยเรียนอยู่คอนแวนต์อีกครั้งเมื่องานศพของเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่ง และเพื่อนที่ปีนังก็ยังส่งผ้าและขนมผ่านหลานชายที่ไปติดต่อธุรกิจที่เมืองไทยไปให้ แต่ว่าก่อนที่เธอจะมาปีนังนั้นเธอไม่ได้บอกกับคุณยายหรอกว่าจะที่นี่ เพราะไม่อยากถือของฝากกลับมาให้คุณยายหลินซิ่วอินตรงหน้า แต่ขวัญชีวีก็ไม่คิดเลยว่า เรื่องมันจะบังเอิญได้ขนาดนี้

“รู้จักซิ รู้จักดีเสียด้วย แน่งน้อยไม่ได้พูดถึง ซิ่วอินคนนี้ให้ได้รับรู้บ้างเลยเหรอ”

“เคยพูดค่ะ ยายยังเล่าว่าเจอเพื่อนเก่าจากปีนังในงานศพเพื่อนคนหนึ่ง..เพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม”

“แล้วเล่าอะไรอีก”

“แค่นี้แหละค่ะ ช่วงนี้ ขวัญไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ทำแต่งาน เจอหน้ากันแต่ตอนเช้า บางวันขวัญก็รีบออกมาจากบ้าน กลับไปถึงบ้านคุณยายก็นอนแล้วค่ะ”

“แล้วหนูมาทำอะไรที่ปีนัง หนูเป็นดาราใช่ไหม...”

“ใช่ค่ะ ขวัญเป็นดารา ขวัญมาถ่ายแบบค่ะ มาตั้งแต่เมื่อวาน มะรืนขวัญก็จะกลับแล้วค่ะ ไฟล์เช้า แต่พอดีเพื่อนโทรมาบอกว่าน้องสาวเขามาเที่ยวปีนังแล้วไส้ติ่งอักเสบต้องผ่าตัดด่วน เขาวานให้ขวัญมาดูแลให้ก่อนที่เขาจะบินมาพรุ่งนี้”

“เป็นความบังเอิญที่ควรยินดีเป็นอย่างยิ่ง...แล้วนี่รู้จักกันได้อย่างไร” เจตนาของหลินซิ่วอินนั้นคืออยากจับคู่หลานชายคนเล็กกับหลานสาวของแน่งน้อยอยู่แล้ว และเห็นทีท่าคุยกันเหมือนรู้จักกันมาก่อนหลินซิ่วอินก็นึกสงสัย

“คะคะคือเราเคยเจอกันที่เมืองไทยแล้วครับ คุณขวัญเป็นเพื่อนของเพื่อนผม” หลินฮันหมิงรวบรัดตัดความ เพราะไม่อยากถูกซักไซ้...

“พรหมลิขิตแน่ ๆ” หลินซิ่วอินเปรยออกมา ขวัญชีวีแสร้งว่าไม่ได้ยิน หลินฮันหมิงเองก็นึกอยากจะเอามืออุดปากคุณย่าเล็กที่เหมือนคนแก่พูดเพ้อเจ้อ แต่เขาก็ทำได้เพียงเปลี่ยนเรื่องคุย

“เข็นเข้าห้องผ่าตัดไปนานแล้วครับคุณขวัญ อีกสักครู่หมอคงออกมา”

ระหว่างนั้นหลินซิ่วอินก็ลอบสังเกตอากัปกิริยาหนุ่มสาวทั้งคู่ ซึ่งพอยืนอยู่ใกล้ ๆ กันแบบนี้ก็เห็นถึงความเหมาะเจาะลงตัว หลินซิ่วอินก็นึกอยากจะทำหน้าที่แม่สื่อแม่ชักต่อไป

“นั่งก่อนดีกว่าไหม ยืนคอยแบบนี้มันเมื่อย” ว่าแล้วหลินซิ่วอินก็ดึงมือมิราเกลพนักงานกะกลางคืนที่ตามมาด้วยมานั่งบนเก้าอี้ที่มีอยู่สี่ที่ สองที่นั้นตนเองนั่งตัวที่สาม มิราเกลนั่งริมสุด จึงมีอีกสองที่ว่าง...

“หนูขวัญมานั่งคุยกันดีกว่าอย่ายืนรอเลยมันเมื่อย”

ขวัญชีวีจำต้องเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ทิ้งที่ว่างอีกหนึ่งที่ไว้ให้เขา

“อาหมิงก็มานั่งซี่ ยืนตรงนั้นมันเกะกะทางเดิน...”

หลินฮันหมิงพอรู้ว่าการที่คุณย่าเล็กจัดฉากนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร แต่ว่าเขานั้นมีความเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่ฉวยโอกาสเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้...และถ้าหากเขาเข้านั่งข้าง ๆ เธอจริง ๆ ขวัญชีวีก็ไม่คิดอะไรมากเพราะการนั่งใกล้ ๆ กันก็ใช่ว่าจะรักใคร่ชอบพอกันได้ในทันที แต่หญิงสาวก็คิดผิด เมื่อเขาไม่มานั่งตามความต้องการของผู้เป็นย่า ขวัญชีวีก็กลับเห็นสรีระของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น ขวัญชีวียอมรับว่าหุ่นก้านผิวพรรณของเขาดึงดูดสายตาของเธอไม่น้อย ทางเลี่ยงที่จะไม่ทำให้หัวใจหวั่นไหวนั่นก็คือหญิงสาวจึงต้องหันหน้ามาคุยกับหญิงชราแทน “เอ่อ..แล้วเรื่องเป็นอย่างไรมาอย่างไรคะ...”

“ก็เมื่อสัปดาห์ก่อน ลิขิตจากฟ้าทำให้ฉันไปเจอกับหนูเพียงออที่สิงคโปร์ เธอไปพักที่เกสเฮ้าส์ของพี่สาวฉัน พอรู้ว่าเขาเป็นคนไทยก็คุยกันถูกคอ เพียงออเขาบอกว่าเขาจะเขียนหนังสือท่องเที่ยว เขาถามอะไรฉันเยอะแยะเลย ฉันก็โม้ไปไม่น้อย แล้วที่ปีนังนี่ ฉันก็ทำเกสเฮ้าส์เหมือนกันก็เลยให้นามบัตรเพียงออเขาไว้ อันที่จริงนะ ฉันอยากให้เพียงออเขาไปพักที่บ้านด้วยกัน มันก็อยู่ใกล้ ๆ กันแหละ แต่เขาไม่ยอม เขาเกรงใจ แต่เขาก็พักที่โรงแรมของฉัน ที่นี้เมื่อตอนกลางดึก เขาเกิดปวดท้องอย่างรุนแรงจนทนไม่ไหว เขาขอให้มิราเกลพามาโรงพยาบาล แต่มิราเกลโทรหาฉัน เพราะรู้ว่า เพียงออเป็นแขกคนพิเศษของฉัน และฉันพักอยู่กับเขานี่ อาหมิง.. อาหมิงทำไมไม่มานั่งละ จะยืนอยู่ให้เมื่อยขาทำไม”

“คุณย่าเล็กก็เล่าไปซิครับผมรอฟังอยู่ด้วย”

ขวัญชีวีพยายามจะฝืนความง่วงนอนแล้วตั้งอกตั้งใจฟังคนแก่เล่าเรื่องผสมการชักนำหลานของตัวเองให้กับตน

“ค่ะ แล้วอย่างไรต่อคะ”

“เมื่อกี้เล่าถึงไหนนะ หนูขวัญคนเราอายุเจ็ดสิบขึ้นแล้วขี้หลงขี้ลืม”

“เมื่อกี้ย่าเล็กเล่าถึงตอนที่มิราเกลโทรมาหาย่าเล็กที่บ้าน” หลินฮันหมิงทวนความจำให้

“งั้นอาหมิงก็เล่าต่อ”

“ผมก็ถูกปลุกให้ตื่น แล้วก็ขับรถพาย่าเล็กมารับเพียงออพร้อมกับมิราเอลมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ครับ”

“สั้นไปหรือเปล่า หมิงพูดเยอะ ๆ ก็ได้นะ ย่าเล็กอยากให้พูดเยอะ ๆ”

“เป็นบุญของเพียงออเหมือนกันนะคะที่มาป่วยที่นี่” ขวัญชีวีพยายามไม่ถือสาหาความคนแก่ที่พยายามยัดเยียดหลานชายให้ตัวเองสนใจ

“เป็นบุญก็ใช่นะหนูขวัญ ฟังจากที่เพียงออเล่าแล้วเดินทางตั้งแต่บาหลียันปีนังนี่มันหลายวันอยู่นะ ถ้าป่วยที่เมืองอื่นคงแย่เหมือนกัน แต่ย่าเล็กว่าบางทีมันก็น่าจะเป็นลิขิตจากสวรรค์เสียมากกว่า...ถ้าเพียงออไม่มาป่วยที่นี่ หนูขวัญก็คงไม่ได้เจอกับย่าเล็กที่นี่...”

“ค่ะ...เป็นลิขิตค่ะ ดีใจนะคะที่ได้เจอย่าเล็กที่นี่”

“เจอกันแล้วก็คุ้นเคยกัน คุ้นเคยกันแล้วก็ไปมาหาสู่กัน เป็นมิตรต่อกัน ย่าชอบเมืองไทยนะ คิดว่าคงจะต้องไปอีกบ่อย ๆ ได้ไหม ไปเยี่ยมแน่งน้อย”

“ได้ค่ะ คุณยายหนูจะได้ไม่เหงา”

“เดี๋ยวให้อาหมิงพาไป”

“ผมต้องทำงานครับย่าเล็ก”

“เธอก็ไปเมืองไทยบ่อยอยู่แล้วนี่ เพียงแต่ไปคราวหน้ามีย่าเล็กติดไปด้วยเท่านั้นเอง...นะให้ย่าไปด้วยนะ เอาย่าไปทิ้งไว้กับแน่งน้อย เธอก็ไปทำงานของเธอ จะกลับก็รับย่ากลับมาด้วย”

พอเห็นว่าย่าเล็กพยายามเหลือเกิน หลินฮันหมิงจึงยิ้มอย่างเกรงใจให้กับขวัญชีวี หญิงสาวจึงต้องยิ้มบาง ๆ พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจให้กับเขา พอดีกับที่ประตูห้องผ่าตัดเปิดออก ขวัญชีวีจึงรู้สึกว่าตัวเองหายใจโล่งขึ้น...



“คุณย่าครับน้องปลอดภัยแล้ว อยู่ในความดูแลของแพทย์ผมว่าคุณย่ากลับบ้านไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ พรุ่งนี้เช้าเราค่อยว่ากันใหม่”

ขณะนั้นเป็นเวลาตีสี่กว่า ๆ ซึ่งหลินซิ่วอินก็รู้สึกว่าขวัญชีวีนั้นดูอิดโรยเป็นอย่างมาก พอหลานชายเอ่ยปากแบบนี้ นางจึงพยักหน้าเห็นด้วย

“ไปกลับก็กลับ...แล้วพรุ่งนี้ หมอเขาจะย้ายเพียงออไปอยู่ห้องพิเศษใช่ไหม”

“ใช่ครับ เพียงออมีแคร์การ์ดจากบริษัทประกันอันดับหนึ่งของโลกเลย ไม่ต้องห่วงเรื่องค่ารักษาพยาบาลหรอกครับ”

ก่อนที่จะพามาโรงพยาบาลเพียงออได้บอกกับเขาแบบนั้น ทำให้เขาพาเพียงออมาโรงพยาบาลเอกชนซึ่งไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกด้วยที่แขกของโรงแรมมีปัญหาด้านสุขภาพถึงกับต้องพาส่งโรงพยาบาลกลางดึก

“คุณขวัญกลับเถอะครับ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่” เมื่อมิราเกลพาคุณยายหลินซิ่วอินลุกขึ้นยืน เขาก็เอ่ยปากขวัญชีวีที่ตาปรือ ๆ เพราะฤทธิ์ง่วงนอนกับฤทธิ์ยาที่กินเข้าไปอีกรอบ

“ค่ะ..” ลุกขึ้นมาแล้วขวัญชีวีก็รู้สึกว่าพื้นนั้นโคลงเคลง หญิงสาวสลัดหัวตัวเองเบา ๆ ตั้งสติก่อนก้าวเดินแต่ว่าขวัญชีวีก็ซวนเซจนกระทั่งเขาต้องรีบเข้าไปประคอง

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“ไม่เป็นไรคะ คงง่วง” ขวัญชีวีรีบขืนตัวเองออกจากมือนุ่มของเขา และสัมผัสเมื่อครู่นี้ก็ทำให้ขวัญชีวีรู้สึกวาบหวิวขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หญิงสาวเดินเนือย ๆ พลางยกมือกอดอกเพราะรู้สึกหนาวขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เป็นไข้หรือเปล่า เหมือนคุณก็ไม่ค่อยสบาย”

ตอนนั้นหลินซิ่วอินกับมิราเกลรีบเดินนำไปยังลิฟท์เพราะอยากให้สองหนุ่มสาวให้คุยกันให้มากกว่าเดิม และหลินฮันหมิงก็พอเข้าใจว่าทำไมย่าเล็กของเขาถึงได้คล่องแคล่วผิดปกติ

“มีไข้นิดหน่อยค่ะ”

“พรุ่งนี้คุณจะทำงานไหวไหม...”

“ไหวค่ะ งานขวัญแค่ยืน ๆ นั่ง ๆ ยิ้ม ๆ โพสต์ท่า ถ่ายแบบไม่เหมือนถ่ายละครไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไรมากไม่ต้องใช้เสียง...”

“แล้วเริ่มงานกี่โมงครับ จะตื่นไหวหรือเปล่า”

“ก็สามโมงเช้าค่ะ รู้สึกว่า พรุ่งนี้จะเป็นภาพเซ็ทชายทะเล สามสี่ชั่วโมงก็จบแล้วค่ะ...ถ้าฝนไม่ตกอีกนะคะ”

“แต่พยากรณ์อากาศบอกว่าสองสามวันนี้ปีนังจะมีฝน”

“บางทีทีมงานอาจจะเปลี่ยนแผนก็ได้ค่ะ อาจจะเป็นการถ่ายทำในสถานที่ก็ได้ อย่างไรก็ได้ภาพไปไม่น้อยแล้ว ของแบบนี้มันปรับได้ค่ะ”

“มะรืนคุณจะกลับเมืองไทยเลยเหรอครับ”

ก่อนที่จะเดินออกมาจากหน้าห้องผ่าตัดนั้นขวัญชีวีได้โทรศัพท์ที่เปิดระบบโรมมิ่งโทรกลับไปหาปวุฒิเพื่อรายงานเรื่องของเพียงออให้เขาคลายความเป็นห่วง และเขาก็ได้ตั๋วเครื่องบินมาปีนังแล้วเช่นกัน พรุ่งนี้เขาจะมาปีนังพร้อมกับวุฒินารท โดยวันมะรืนนี้เขาจะกลับเมืองไทยพร้อมกับเธอเที่ยวบินเดียวกัน แต่ว่าวุฒินารทนั้นคงจะต้องรอดูอาการของเพียงอออีกสักวันสองวัน เพราะเวลานี้เป็นช่วงที่วุฒินารทไม่มีงานพอดี...แต่ว่า ปวุฒินั้นมีคิวถ่ายละครกับรับงานอีเว้นท์ไว้ “กลับค่ะ...”

“คุณขวัญได้เที่ยวปีนังหรือยัง เคยมาปีนังหรือยังครับ”

“หลายครั้งแล้วค่ะ..”

“แล้วเมืองอื่น ๆ ของประเทศนี้ละครับ”

“ลังกาวีก็เคยไปค่ะ ไปช็อปปิ้ง ไปนอนค้างมาหนึ่งคืน ไปเรือกลับเรือ แล้วขึ้นเครื่องกลับทางหาดใหญ่ พอดีมาทำงานที่หาดใหญ่ค่ะ...”

“แล้วปีนังกับลังกาวี ชอบที่ไหนมากกว่ากัน”

“ลังกาวีเพิ่งเจริญ มีความเป็นธรรมชาติมากกว่า ของล่อตาล่อใจเยอะกว่า ปีนังก็คลาสสิคดีค่ะ คนละแบบ”

“แล้วกัวลาลัมเปอร์ละครับเคยไปมาหรือยัง”

“เคยไปมาแล้วค่ะแต่เกนติ้งไฮแลนด์แดนกาสิโนยังไม่เคยไปค่ะ...”

“มีโอกาสต้องกลับมาเที่ยวนะครับ ผมยินดีพาเที่ยว” หลินฮันหมิงเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเขารู้สึกอาลัยการที่หญิงสาวจะจากเขาไปเสียเหลือเกิน เขาชอบเธออย่างที่วิศรุตต้องการอย่างนั้นหรือ...และประตูลิฟท์เปิดออกเขาก็ผายมือให้ขวัญชีวีเข้าไปก่อนพลางบอกว่า “คุณย่าเล็กไม่รอเราเลย ไม่รู้จะรีบไปไหน”

ขวัญชีวีก็พอดูออกว่าคุณยายซิ่วอินต้องการอะไร แต่พออยู่ในลิฟท์กับเขาสองคนขวัญชีวีก็รู้สึกว่าลิฟท์ตัวนี้ค่อนข้างคับแคบ...ความเงียบทำให้คนหนุ่มกับคนสาวใช้สายตามองไปคนละมุมของลิฟท์ แต่ด้วยลิฟท์ตัวนั้นติดกระจกทำให้อดที่จะมองเห็นกันอีกไม่ได้...

และขวัญชีวีก็ได้ยินเสียงลมหายใจของเขา พร้อมกับเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง และเพื่อทำให้ใจของตัวเองกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมขวัญชีวีจึงต้องชวนเขาคุยต่อ

“ดูท่าทางคุณย่าเล็กชอบเพียงออมากนะคะ พรุ่งนี้คงจะรีบมาแต่เช้าแน่ ๆ”

“คุณย่าท่านชอบคนไทยเป็นทุนอยู่แล้วครับ ท่านชอบไปหาดใหญ่ ไปเบตง เป็นอย่างมาก ชอบมากกว่าไปกัวลาลัมเปอร์เสียอีก”

“ไปไหนใกล้กว่ากันค่ะ” เมื่อมีเรื่องคุยขวัญชีวีขวัญชีวีก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอีกครั้ง...กระทั่งลิฟท์ถึงชั้นที่เป็นลานจอดรถ ประตูลิฟท์เปิดออกเขาก็ให้เธอเดินออกมาก่อน...และพอเดินออกมาแล้วขวัญชีวีก็ต้องหยุดรอเขา..

“ไปเบตงใกล้กว่าหาดใหญ่ แต่หาดใหญ่เจริญกว่าเบตง ว่าไปแล้วปีนัง หาดใหญ่ ก็บ้านพี่เมืองน้องกันเลยทีเดียว ทางนี้ครับ” เขาเดินนำขวัญชีวีไปทางรถยนต์ของเขาที่จอดไว้ ที่นั่นขวัญชีวีพบคุณย่าเล็กกับหญิงสาวที่คุณย่าเล็กบอกว่าเป็นชาวฟิลิปปินส์ยืนรออยู่ หลินฮันหมิงใช้กุญแจรีโมทปลดล็อคประตู...ขวัญชีวีมองรถของเขาด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ ยอมรับว่าชอบในดีไซด์และที่สำคัญแม้ไฟบนเพดานอาคารจอดรถจะไม่สว่างเท่าใดนักขวัญชีวีรับรู้ว่ารถคันนี้สีม่วงเข้ม และเหมือนว่าเขาจะอ่านความรู้สึกของขวัญชีวีได้..

“เปอโรดัว มายวี (Perodua Myvi) รถมาเลเซียครับ รู้สึกว่ายังไม่ได้เข้าไปทำตลาดที่เมืองไทยเหมือนโปรตอน...”



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ธ.ค. 2555, 12:20:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ธ.ค. 2555, 12:20:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1996





<< 4.1   5. >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 10 ธ.ค. 2555, 12:20:28 น.


golffee 10 ธ.ค. 2555, 13:18:29 น.
ชอบสำนวนภาษานะคะ... เห็นภาพดี ^^


Zephyr 10 ธ.ค. 2555, 14:44:52 น.
มียี่ห้อนี้ด้วย 555 รู้จักแต่โปรตตอนอ่ะค่า
ตอนอยู่หาดใหญ่เห็นเยอะ อิอิ


คิมหันตุ์ 10 ธ.ค. 2555, 19:41:10 น.
ไปเปิดดูในกุเกิ้ลดีกว่า อิอิ


loveleklek 11 ธ.ค. 2555, 20:42:52 น.
ตามมาอ่าน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account