มนตรากระดังงา
นางพริมา กีรติอนันต์ พัฒนภิรมย์ กับ นายภัทร์ พัฒนภิรมย์ คู่สามีภรรยาที่ครองรักกันมากว่า 6 ปี และมีพยานรักเป็นเด็กชายน่ารัก 2 คน ต้องจบชีวิตคู่ที่เริ่มจากรั้วมหาวิทยาลัยลงเพราะฝ่ายชายไปมีเมียน้อยซึ่งกำลังจะมีลูกสาวด้วยกัน หญิงสาวยอมหย่าให้และยอมเป็นแม่หม้ายในวัยเพียง 30 ปี ชีวิตคู่ที่พังทลายกลับสร้างพริมาคนใหม่ให้แกร่งกว่าเดิม เธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวขึ้น กระดังงาลนไฟดอกนี้จึงกลายเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งหลาย รวมทั้งภัทร์ พัฒนภิรมย์ ที่เพิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอดีตภรรยา จนทำให้ความรักที่เขาคิดว่าได้มอดเชื้อไปแล้วนั้นปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
รักครั้งใหม่กับคนเดิมจะสมหวังได้หรือไม่ เพราะฝ่ายชายก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงก็มีชายหนุ่มมากมายมาเข้าแถวให้เลือก อานุภาพของความรักจะประสานรอยร้าวของหัวใจสองดวงให้กลับมาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดติดตาม......อาทิตา
รักครั้งใหม่กับคนเดิมจะสมหวังได้หรือไม่ เพราะฝ่ายชายก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงก็มีชายหนุ่มมากมายมาเข้าแถวให้เลือก อานุภาพของความรักจะประสานรอยร้าวของหัวใจสองดวงให้กลับมาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดติดตาม......อาทิตา
Tags: รักร้าว มีเมียน้อย คืนดี
ตอน: ตอนที่ 18....100% แล้วจ้าาาาา (แก้ไข)
ตอนที่ 18
“ปากคอเราะร้ายจริง ๆ เป็นถึงหมอนะนั่น ปากยิ่งกว่ากรรไกรผ่าตัดแปลงเพศเสียอีก มิน่าผัวถึงขอหย่า ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าพวกฉันเข้าไปไม่ทันนี่ แกจะโดนนังคุณหมอโบท็อกซ์นั่นจัดการยังไงต่อ อีพี่ตินนี่ก็อีกคน หาความซวยมาให้แกแท้ ๆ ร้อยวันพันปีไม่เมา ดันมาเมาเอาวันที่เมียสะกดรอยตามมาพอดี ส่วนแกก็ช่างดวงจู๋ อุตส่าห์หนีมาเที่ยวถึงหัวหินดันมาเจอแจ๊คพ็อตแตกใส่ อยู่ดีไม่ว่าดีถูกหาว่าเป็นมือที่ 3 ไปทำลายครอบครัวคนอื่นเขาแบบนี้ แถมยังเกือบจะโดนรุมตบอีกนะนั่น แบบนี้ไม่เรียกว่าซวยก็ไม่รู้จะเรียกยังไงแล้ว” วรปรัชญ์บ่นยืดยาวอย่างอารมณ์เสีย เพราะถ้าเขาและพิชญธิดาไม่ลุกไปตามพริมาที่โต๊ะ คงไม่ได้ช่วยพริมาให้รอดพ้นอุ้งมือมารมาได้ทันเส้นยาแดงผ่าแปดแบบนี้ เพราะตอนที่ไปถึงนั้นคุณหมอสุชาดาภรรยาของหมอคณิตินกำลังกระชากมือของสามีที่กำลังกุมมือของพริมาอยู่พอดี ขวดเบียร์บนโต๊ะเลยหล่นแตกกระจายเต็มพื้นไปทั่ว
“นึกแล้วยังเสียวแทนแกไม่หาย ถ้าแม่นั่นคว้าขวดเบียร์แทนคว้ามือสามี แกคงเสียโฉมแน่ ๆ เพราะยังไงเขาคงไม่ตีหัวสามีก่อน ต้องหัวแกหน้าแกแน่ ๆ ที่ต้องอาบเลือดน่ะปริม” วรปรัชญ์ทำท่าขนพองสยองเกล้าประกอบคำพูด
“แกก็พูดเกินไปนังปรัชญ์ ฉันไม่เห็นว่าเขาจะคิดลงมือลงไม้ทำอะไรปริมมันสักนิดเลย พูดเว่อร์ไปแล้ว” พิชญธิดาท้วงติง
“ย่ะ! เว่อร์ไม่เว่อร์ก็คิดดูเอาเองก็แล้วกันว่าอีคุณหมอโบท็อกซ์จะเอาเพื่อนมาด้วยทำไมตั้ง 2 คนฮะ ถ้าเราเข้าไปไม่ทันเพื่อนมันคงจะช่วยกันจับนังปริมให้อีคุณหมอนั่นตบซ้ายตบขวาแน่ ๆ” วรปรัชญ์สะบัดหน้าไปซ้ายทีขวาทีเหมือนกำลังถูกประทุษร้ายเสียเอง
“เขาเป็นหมอนะแก เขาคงไม่ขาดสติทำอะไรไม่ยั้งคิดขนาดนั้นหรอก” พิชญธิดาแย้งอีกครั้ง
“แล้วที่มันมายืนด่านังปริมปาว ๆ ๆ น่ะ มันมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนล่ะสิ ใช่ไหมยะคุณพิชญธิดา” วรปรัชญ์ยื่นหน้าเข้าไปถามเพื่อนสาว
“ถ้าฉันเป็นเขา ฉันก็อาจจะทำเหมือนที่เขาทำกับฉันก็ได้นะ คุณสุชาดาเขาเข้าใจผิดไปเองเพราะภาพที่เห็นมันฟ้องเสียขนาดนั้น เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอก พอดีพวกเขามีปัญหากันอยู่น่ะ พอมาเจอสถานการณ์แบบนี้เข้าไปอีก สติก็เลยขาดผึง เป็นเรื่องธรรมดาของผู้หญิงทุกคนนะฉันว่า” พริมาที่นิ่งเงียบมานานตั้งแต่กลับจากร้านอาหารที่เกิดเรื่องจนมาถึงห้องพักประเภทที่มีสระว่ายน้ำในตัว ซึ่งเธอและลูก ๆ พักร่วมกันกับวรปรัชญ์
“นี่ขนาดไม่ได้ตั้งใจนะเนี่ย ถ้าตั้งใจจะขนาดไหนกัน” วรปรัชญ์ไม่เห็นด้วย ก่อนที่จะพูดต่อว่า
“งั้นขอถามหน่อยว่าทำไมแกไม่เคยสติขาดผึงแบบนั้นบ้างละ เจอกันจะ ๆ กับนังเมียน้อยนั่นมาแล้ว ฉันไม่เห็นแกจะทำอะไรเขาบ้างเลย” วรปรัชญ์ตั้งข้อสงสัย
“เพราะฉันมาเจอในวันที่ฉันไม่มีสิทธิ์ในตัวเขาอีกแล้วไงล่ะ แต่นี่ คุณสุชาดากับพี่ตินเขายังไม่ได้หย่าขาดจากกัน เพราะฉะนั้นเขาจึงมีสิทธิ์อย่างถูกต้อง” พริมาอธิบาย แต่วรปรัชญ์ก็ยังไม่วายถามต่อ
“อ้าว! ถ้าอย่างนั้น ทำไมแกไม่ด่านังวิภาวีในวันที่พี่โป๊ปพาเข้าบ้านบ้างล่ะ”
“.......” พริมาจนด้วยคำตอบ ก่อนที่จะเอ่ยออกมาว่า
“เพราะวันนั้น ฉันไม่ได้โกรธแค้นวิภาวีน่ะสิ เขาไม่เคยให้สัญญากับฉัน เขาไม่ใช่คนที่ผิดสัญญากับฉัน” พริมาพูดด้วยอารมณ์เศร้าหมองและสีหน้าที่เคร่งเครียด
“พอเถอะ หยุดพูดเรื่องนี้กันเถอะ ปรัชญ์แกก็หยุดซักหยุดถามเสียที แยกย้ายกันไปหลับไปนอนดีกว่า เรื่องของคู่คุณหมอก็ให้พวกเขาหาทางออกกันเอง มันเป็นปัญหาของเขา ไม่ใช่ของพวกเราแล้ว เพราะเมียเขาก็รับรู้แล้วเขาเข้าใจผิด ปริมไม่ได้มากับพี่ติน ส่วนที่พี่ตินสารภาพออกมานั่นก็ให้เขานั่นแหละรับผิดชอบคำพูดของตัวเอง เขาจะอยู่หรือจะหย่ากันก็สุดแล้วแต่กรรมแต่บุญที่ทำร่วมกันมา คนจะรักจะเลิกกัน ไม่ได้เกี่ยวกับมือที่ 3 4 5 หรอก มันอยู่ที่คนสองคนเท่านั้นแหละ เชื่อฉันสิ” พิชญธิดาพูดอย่างคนที่มีประสบการณ์ตรงมาก่อน
“จ้า แม่นางพิชญธิดาผู้มีประสบการณ์อย่างโชกโชน” วรปรัชญ์แกล้งแซวเล่นแต่กลับโดนถลึงตาใส่
“ปริม ฉันไปนอนละนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้ ไม่ต้องคิดมากอีกล่ะ จำเอาไว้ว่าเขามีปัญหากันมาก่อนที่จะมาเจอกับแก แกไม่ต้องไปซีเรียสกับเรื่องที่ไม่ได้ทำ แต่พูดก็พูดเถอะนะ ฉันเองก็อดตกใจไม่ได้ที่เห็นคุณหมอนั่นมายืนชี้หน้าด่าคนอื่นแบบนี้ เสียดายเรียนมาเสียสูง” พิชญธิดาส่ายหัวไปมา
“ไม่งั้นเขาจะมีสำนวนสุภาษิตว่าไว้เหรอจ๊ะ เสียทองเท่าหัว แต่ไม่ยอมเสียผัวให้ใครน่ะ ไม่เคยได้ยินกันเหรอคะคุณนายทั้งสอง” วรปรัชญ์ปิดท้ายด้วยคำคม ก่อนที่จะหันไปบอกกับพิชญธิดาว่า
“แกก็รีบกลับบังกะโลแกไปเถอะ เดี๋ยวคุณวิชญ์จะคอยนาน ไปเถอะ เดี๋ยวฉันกับปริมคุยกันอีกสักพักก็จะเข้านอนเหมือนกัน โชคดีนะที่คืนนี้พวกเด็ก ๆ นอนที่โน่นกันหมด”
“โอเค งั้นฉันไปละนะ เจอกันพรุ่งนี้” พิชญธิดาโบกมือลา แล้วพูดกับพริมาอีกครั้งว่า
“ปริม ถ้านังปรัชญ์มันยังไม่เลิกกวนประสาทแก แกไปนอนกับฉันก็ได้นะ ที่โน่นยังมีห้องว่าง” พิชญธิดาพูดพลางลอยหน้าลอยตาไปมาเพื่อเย้าวรปรัชญ์คืน
“แกนั่นแหละ ไปเลยไป ชิ่ว ๆๆๆ” วรปรัชญ์ทำท่าไล่เพื่อนสาว เมื่อพิชญธิดากลับไปแล้ว เขาก็หันมาถามพริมาว่า
“ปริมแกมีอะไรจะคุยอีกไหม ถ้าไม่มีก็ไปนอนเถอะ เหนื่อยกับลูก ๆ มาตั้งแต่เช้าแล้ว ไหนจะมาเจอแจ๊คพ็อตจากคุณหมอโบท็อกซ์นั่นอีก ไปพักเถอะไป” วรปรัชญ์ไล่พริมาก่อนที่จะล้มตัวลงนอนบนโซฟาหวายพลางบิดขี้เกียจอย่างเมื่อยล้า ก่อนที่จะพูดต่อว่า
“แต่ถ้าแกมีอะไรจะพูด จะระบายออกมา ฉันก็พร้อมรับฟังเสมอนะ แต่ฉันก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่ามุมมองของคนแบบฉัน คนที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก จะช่วยอะไรแกได้แค่ไหน” วรปรัชญ์ทิ้งท้ายได้อย่างซาบซึ้งใจคนฟัง
“แค่แกรับฟังก็มีค่ามากมายแล้วล่ะปรัชญ์” พริมายิ้มหวานแทนคำขอบคุณ
“เฮ้อ! ชีวิตฉันช่วงนี้มันดูวุ่นวาย ยุ่งเหยิงไปหมดจริง ๆ คงต้องพักเรื่องที่จะทำร้านอาหารไว้ก่อน รอให้คุณแม่กลับมาจากอเมริกาค่อยปรึกษาท่านอีกที”
“ยุ่งเหยิงเรื่องอะไรฮะ” วรปรัชญ์ลืมตาขึ้นถาม
“ก็จากที่เคยเป็นเมียหลวงอยู่ดี ๆ ก็ต้องมาเป็นแม่ม่ายผัวหย่า แล้ววันนี้ยังเกือบจะได้ตำแหน่งเมียน้อยเข้ามาอีก ตลกดีไหมละแก” พริมามองเป็นเรื่องขำขัน
“ก็บอกแล้ว......ว่าให้แต่งกับคุณรามไปเสีย เรื่องยุ่ง ๆ จะได้หมดไป เหลือแต่เรื่องหวาน ๆ ให้ชื่นใจ” วรปรัชญ์พูดไปหาวไป
“พูดมันง่าย แต่ทำมันยากนะจ๊ะคุณเพื่อน”
“ยากตรงไหน” วรปรัชญ์ถาม
“......”
“อย่าบอกนะว่ายากที่ใจ” วรปรัชญ์เดาได้อย่างแม่นยำ
“ไปนอนดีกว่า ชักง่วงแล้ว” พริมาเลี่ยง แต่ก่อนที่เธอจะเดินไปถึงประตูห้องนอน เสียงของวรปรัชญ์ก็ดังขึ้นว่า
“ปิดเข้าไปเถอะหัวใจตัวเองน่ะ แทนที่จะหาความสุขใส่ตัวเหมือนกับคนอื่นเขาบ้างน่ะ คนเราเกิดมามีชีวิตเดียวนะแก มันต้องรู้จักหาความสุขใส่ตัวเองบ้างสิยะ” วรปรัชญ์ตะโกนไล่หลัง
“ย่ะคุณวรปรัชญ์ แล้วแกไม่เคยได้ยินบ้างเหรอที่เขาพูดกันว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์อะ” พริมาย้อนกลับ แล้วเพิ่มเติมว่า
“แล้วที่สำคัญนะ ความสุขของฉัน ก็คือ ลูก ๆ ทั้งสอง ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขตลอดกาล” พอพูดเสร็จพริมาก็เดินเข้าไปในห้องนอน ทิ้งให้วรปรัชญ์ตะโกนไล่หลังปาว ๆ ว่า
“เดี๋ยวพอลูก ๆ โตกันหมดแล้วแกจะรู้สึก เพราะต้องถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ลูกผู้ชายน่ะมันเห็นเมียดีกว่าแม่กันทั้งนั้นนะ หรือดีไม่ดีแกก็จะได้รู้ฤทธิ์ลูกสะใภ้เข้าไปอีก คราวนี้ละนังปริมเอ๋ย” ทันทีที่วรปรัชญ์พูดจบ พริมาก็โยนหมอนอิงสีสวยออกมาจากห้องนอน ซึ่งหล่นใส่หน้าวรปรัชญ์ที่กำลังหลับตาพริ้มอย่างพอดิบพอดี
“อ๊ายยย! อีนังปริมบ้า! คอยดูนะ จะแช่งให้แกได้ลูกสะใภ้แสบ ๆ คัน ๆ เลย”
************************
“คุณภัทร์คะ เมื่อไรเราจะได้ย้ายบ้านสักทีละคะ” วิภาวีที่เพิ่งชงนมให้ลูกสาวเสร็จ ยื่นขวดนมให้กับภัทร์ที่กำลังอุ้มลูกสาวตัวน้อยวัยเกือบ 1 เดือนอยู่ในอ้อมกอด เด็กหญิงหลับตาพริ้มแต่ปากยังขยับไปมา
“สิ้นเดือนนี้คงตกแต่งเสร็จน่ะ” ภัทร์หมายถึงบ้านหลังใหม่ราคาหลายล้านที่เขาตัดสินใจซื้อให้วิภาวีได้อาศัยอยู่กับลูกสาว ซึ่งมีทั้งแม่และน้องชายของเธอที่จะย้ายมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน และคงจะมีบรรดาญาติ ๆ หมุนเวียนกันไปมาหาสู่เมื่อรู้ว่าเธอ “ได้ดี” อย่างที่ได้ยกขบวนกันมาเยี่ยมตั้งแต่ได้รู้ว่าเธอคลอดลูกจนแน่นห้องพักวีไอพีมาแล้ว และระหว่างที่รอให้บ้านเสร็จ ภัทร์จึงต้องมาเช่าบ้านหลังนี้ให้วิภาวีได้อยู่ก่อน เพราะพื้นที่คอนโดฯหนึ่งห้องนอนของเธอนั้นคับแคบไปสำหรับ 5 ชีวิต
คุณพ่อป้ายแดง (อีกครั้ง) ป้อนนมให้ลูกสาวพร้อมมองด้วยสายตาที่อบอุ่นเต็มไปด้วยความรัก ชายหนุ่มยอมรับกับตัวเองว่า เขาหลงรักเด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มคนนี้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นหน้า..…ไม่ว่าเธอจะใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาหรือไม่ก็ตาม
‘ถึงหนูจะไม่ได้เกิดมาจากความรักของพ่อและแม่ แต่พ่อก็รักหนูนะครับ’
“ส่งลูกมาเถอะค่ะ วิจะพาแกไปนอนในเตียง” วิภาวีบอก พร้อมตั้งท่ารอรับลูกสาวจากภัทร์
เมื่อวิภาวีอุ้มลูกเข้าไปวางในเตียงในห้องนอนลูกที่อยู่ติดกัน โดยมีประตูเชื่อมสามารถเปิด-ปิดถึงกันได้ตลอดเวลาเรียบร้อยแล้ว ภัทร์ก็ลุกไปหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะรับแขกหน้าเตียงมาอ่านต่อที่เก้าอี้นวมตัวใหญ่ ชายหนุ่มพลิกไปยังหน้าที่อ่านค้างอยู่ แต่ยังไม่ทันได้ลงมืออ่าน เสียงของวิภาวีก็ถามแทรกขึ้นมาว่า
“ตกลงคุณจะให้นายเดชเข้าไปทำงานได้เมื่อไรคะ” วิภาวีหมายถึง ‘เรืองเดช’ น้องชายคนเดียวของเธอ ที่เพิ่งเรียนจบได้ไม่นานและยังตกงานอยู่ เธอจึงขอให้ภัทร์ช่วยรับเข้าทำงานที่ธนาคาร
“ก็ทางฝ่ายบุคคลเขาขอผลการเรียน กับพวกเอกสารต่าง ๆ น้องชายคุณก็ยังไม่เอามาให้สักที” ภัทร์เงยหน้าขึ้นตอบ จึงได้เห็นสีหน้าที่แสดงความไม่พอใจของวิภาวีอย่างชัดเจน
“อะไรกันคะ! น้องชายภรรยาเจ้าของธนาคารทั้งที ยังต้องใช้เอกสารอีกเหรอคะ” วิภาวีถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ของใครก็ต้องใช้ทั้งนั้นแหละ นี่ก็ไม่ต้องสัมภาษณ์ตามขั้นตอนแล้วนะ สบายกว่าคนอื่นแล้ว งานก็ได้ทำแน่ ๆ ขอแค่ให้เอาเอกสารมายื่นแค่นี้เอง” ภัทร์เริ่มออกอาการบ้าง เพราะนอกจากจะรู้สึกแปลก ๆ กับวลีที่ว่า ‘น้องชายภรรยาเจ้าของธนาคาร’ แล้ว เขาก็มีทุนเดิมที่ไม่ค่อยชอบบุคลิกท่าทางของเรืองเดชอยู่ด้วย เด็กหนุ่มรุ่นน้องกว่าเขาหลายปีคนนั้นไม่มีบุคลิกที่เหมาะสมกับงานธนาคารสักเท่าไร ทั้งผลการเรียนที่ไม่ค่อยดี ไหนจะรอยสักเต็มแผ่นหลังนั่นอีก แต่เพราะเห็นกับวิภาวีและมารดาของเธอที่เฝ้าขอร้องให้เขาช่วยรับลูกชายเข้าทำงาน เขาจึงขัดเสียไม่ได้
“ก็แกเพิ่งจบได้ไม่นานนี่คะ เอกสารยังไม่เรียบร้อยมั้งคะ” วิภาวีแก้ตัวแทน
“ถ้าเอกสารยังไม่ครบ ผมก็คงช่วยอะไรมากไม่ได้ ที่สำคัญตัวเขาเองก็ยังตอบไม่ได้ว่าอยากทำงานด้านไหน แผนกไหน ตกลงเขาจบบริหารแน่เหรอวิ” ภัทร์ถามด้วยความสงสัย เพราะเห็นความไม่เป็นโล้เป็นพายของน้องชายวิภาวีที่ต้องย้ายมหาวิทยาลัยถึง 3 ครั้ง แถมยังเปลี่ยนคณะเป็นว่าเล่น และเจ้าตัวเองก็ยังไม่ได้มีทีท่าว่าอยากจะทำงานเลย เพราะไม่เห็นจะดิ้นรนหางานทำเองเลย ตั้งแต่ที่วิภาวีย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ เธอก็ขออนุญาตไปรับแม่กับน้องชายมาอยู่ด้วย โดยอ้างว่าจะให้แม่ช่วยเลี้ยงหลานเพราะเธอไม่ไว้ใจพี่เลี้ยง ซึ่งภัทร์ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่กับน้องชายของเธอที่วัน ๆ เอาแต่นั่งกินนอนกิน ทั้ง ๆ ที่อายุอานามก็ไม่น้อยแล้วนั้น ทำให้เขารู้สึกขวางหูขวางตาทุกครั้งที่ได้พบเจอ
“แกยังไม่มีประสบการณ์ในการทำงานน่ะค่ะ จะให้แกบอกได้ยังไงว่าชอบทำอะไร” วิภาวีที่รักน้องชายคนเดียวของเธอมาก แก้ตัวแทนเป็นคำรบสอง
“ที่จริงในเมื่อจบบริหารมา งานอะไรก็น่าจะทำได้ ถ้าไม่ชอบงานธนาคาร ก็น่าจะลองหางานที่อื่นทำดูก่อน” ภัทร์แนะนำ
“อย่าเลยค่ะ ให้ทำงานที่ธนาคารของคุณนั่นแหละคะ จะได้ไม่ไกลหูไกลตา” วิภาวีบอกเหตุผลแฝง ส่วนสาเหตุที่แท้จริงก็คือ เธออยากให้น้องชายทำงานที่ธนาคารของภัทร์เพราะอยากให้น้องชายได้รับการยอมรับจากทุกคนเพราะมีพี่สาวเป็นถึงภรรยาของเจ้าของธนาคาร คงไม่ถูกหัวหน้างานกดขี่ข่มเหงเอา แถมยังช่วยเป็นหูเป็นตาคอยจับตามองภัทร์ให้เธอได้อีกด้วย
“ถ้าอย่างนั้นก็บอกน้องคุณให้รีบไปเอาเอกสารมาให้ครบเสียเร็ว ๆ สิ ดู ๆ ไปผมว่าเขาไม่ค่อยกระตือรือร้นเลยนะ นิสัยแบบนี้น่ะไม่เหมาะกับงานธนาคารหรอก เพราะเดี๋ยวนี้พวกพนักงานธนาคารน่ะต้องค่อนข้างแอ็คทีฟเพราะต้องหาลูกค้าให้ธนาคารด้วย ไม่ใช่แค่นั่งหน้าเคาน์เตอร์ ทำงานไปวัน ๆ” ภัทร์อธิบายเพิ่มด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ
“ค่ะ งั้นเดี๋ยววิจะย้ำกับแกอีกครั้ง” เมื่อรู้ว่าภัทร์เริ่มทำเสียงแข็ง วิภาวีจึงเลือกที่จะอ่อน พอพูดเสร็จเธอก็เดินไปหยิบเครื่องวิทยุตัวรับขนาดฝ่ามือจากบนหัวเตียง แล้วกดปุ่มเปิดสัญญาณเพื่อฟังเสียงร้องของลูกน้อย ‘เบบี้มอนิเตอร์’ เครื่องนี้มีเครื่องวิทยุตัวแม่คอยส่งสัญญาณจากเตียงนอนของลูกสาว ซึ่งเปรียบได้ดั่งพี่เลี้ยงคอยเฝ้าดูลูกน้อยให้คุณแม่ได้ตลอดเวลา หลังจากนั้นหญิงสาวก็หยิบเสื้อคลุมมาสวมทับชุดนอนแล้วจึงเปิดประตูเพื่อลงไปด้านล่าง
“วิลงไปคุยกับแม่กับเดชสักแป๊บนะคะ เดี๋ยววิขึ้นมา” พอวิภาวีปิดประตูให้หลัง ภัทร์ก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ เพียงไม่นานภัทร์ก็โยนหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นลงบนพื้นอย่างแรง ชายหนุ่มสบถด้วยความเดือดดาล
“โธ่โว้ย! เสน่ห์แรงจริงนะปริม” ภัทร์เดินก้าวข้ามหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นไปอย่างกรุ่นโกรธ เขาเดินไปหยิบมือถือแล้วกดโทรออกในทันที
“เฮ้ย! ไอ้ดล กูเองภัทร์ มึงช่วยเตือนลูกน้องมึงให้หน่อยสิวะ ให้เช็คข้อมูลให้ดีเสียก่อน ๆ ที่จะเขียนข่าวน่ะ นี่เล่นลงชื่อจริงนามสกุลจริงกันแบบนี้ คนเขาเสียหายนะโว้ย บอกมันด้วยอย่าถือว่ามีปากกาอยู่ในมือแล้วจะเขียนว่าใครยังไงก็ได้ ถ้าถูกฟ้องขึ้นมาแล้วมันไม่คุ้ม” ภัทร์พูดใส่อารมณ์เต็มที่
“เออ!.....ข่าวนั้นนั่นแหละ เออ!.....หย่าแล้ว หย่าแล้วทำไมวะ ก็กูไม่ชอบนี่หว่าที่เห็นเขาโดนเขียนถึงแบบนี้ จริงไม่จริง เขาก็เสียหายไปแล้ว มึงก็รู้จักปริมดี เขาไม่ทำตัวแบบนั้นหรอกน่ะ ยังไงช่วยเตือนลูกน้องมึงให้ด้วยก็แล้วกัน ถ้ามีคราวหน้าอีก กูจะฟ้องหนังสือพิมพ์มึงเอง เอาให้น่วมเลย” ภัทร์พูดด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง
“เออ!....กูพูดจริงสิวะ มึงไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย รักไม่รักไม่เกี่ยว ปริมเขาไม่ใช่คนแบบนั้น มึงก็รู้ ที่สำคัญถึงยังไงเขาก็ยังเป็นแม่ของลูกกูโว้ย กูทำเพื่อลูกกู เอาเป็นว่ามึงไปเตือนลูกน้องมึงด้วยก็แล้วกัน ถ้ามีอีกคราวหน้ากูจะให้ลูกน้องกูเข้าเงินเดือนบริษัทมึงให้ช้าไปสัก 1 อาทิตย์เลย........ฮ่า ๆๆ กูพูดจริงนะโว้ย ไม่เชื่อมึงลองดู......เออ! แค่นี้แหละ ขอบใจมาก มีอะไรให้กูช่วยก็บอกมานะ จะกู้ซื้อเครื่องพิมพ์ใหม่เมื่อไรก็บอกมา เดี๋ยวกูลดดอกเบี้ยให้เป็นพิเศษเอง......เออ! ให้แพงเป็นพิเศษอย่างที่มึงว่านั่นแหละ......โอเค เพื่อน ขอบใจมาก แค่นี้ล่ะ” ภัทร์วางสายอย่างอารมณ์ดี ผิดกันลิบลับกับตอนแรก ชายหนุ่มวางโทรศัพท์แล้ว จึงเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างกายก่อนนอน
เมื่อเสียงล็อคประตูห้องน้ำดังขึ้นแล้ว วิภาวีก็ค่อย ๆ เปิดประตูห้องนอนเดินเข้ามา หญิงสาวหน้าตาบูดบึ้งและทำตาลุกวาวด้วยความโกรธแค้น เธอเพิ่งลงไปกำชับน้องชายให้หาเอกสารมาให้ครบแล้วจึงรีบกลับขึ้นมาเพราะไม่อยากให้ภัทร์ต้องรอนาน ตั้งแต่แม่กับน้องมาอยู่ด้วยภัทร์ก็ไม่ได้มาค้างกับเธอทุกคืน ไม่เหมือนช่วงอาทิตย์ที่ลูกเกิดใหม่ ๆ เธอคิดว่าเขาคงรู้สึกอึดอัดกับการที่แม่และน้องชายของเธอมาอยู่ร่วมด้วย ดังนั้นทุกครั้งที่ภัทร์มาค้างด้วย เธอก็จะไม่ลงไปนั่งพูดคุยกับแม่และน้องให้นานนัก และไม่ปล่อยให้พี่เลี้ยงที่จ้างไว้มานอนเฝ้าลูกสาว เธอรู้ว่าภัทร์รักลูกสาวคนนี้มาก เธอจึงต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเธอดูแลลูกเป็นอย่างดี เธอพยายามบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่า อนาคตเป็นของไม่แน่นอน สักวันหนึ่งเธออาจกลายเป็นคนอื่นสำหรับเขา แต่สำหรับลูกสาวของเธอนั้น อย่างไรเสียก็ยังได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวของเขา ซึ่งคงเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีวันจะตัดขาด เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องใช้ลูกเป็นเครื่องมือในการผูกมัดภัทร์ไว้กับเธอให้ได้นานที่สุด ระหว่างที่เดินขึ้นบันไดขึ้นมานั้นวิภาวีได้ยินทุกคำพูดของภัทร์ตั้งแต่เริ่มต้น เนื่องจากเสียงของชายหนุ่มเล็ดลอดเข้าไปในเครื่อง ‘เบบี้มอนิเตอร์’ ของลูกรัก แต่เพราะเสียงเพลงที่เปิดกล่อมลูกสาวอยู่นั้นดังควบคู่กลบเสียงบทสนทนาจึงทำให้เธอได้ยินเสียงของภัทร์ไม่ชัดเจนนัก เธอจึงต้องรีบเร่งฝีเท้าเพื่อมายืนแอบฟังอยู่หน้าประตูห้องนอนแทน
“เมื่อไรแกจะไปให้พ้น ๆ จากชีวิตฉันเสียทีนะนังปริม” วิภาวีบ่นอย่างเหลืออด พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับเจ้าปัญหาวางอยู่บนพื้น หญิงสาวจึงรีบไปหยิบมันขึ้นมาอ่านในทันที เธอกวาดสายตาหาข่าวสำคัญอยู่ไม่นานก็เจอภาพข่าวพร้อมคำบรรยายใต้ภาพที่ว่า
‘แม่ม่ายทรงเสน่ห์ยุคนี้ พ.ศ. นี้คงไม่มีใครหอมหวานเกิน พริมา กีรติอนันต์ เพราะมีเหล่าภมรคอยบินวนเวียนไปมาหวังจะได้ชิมน้ำหวานของกระดังงาดอกนี้อยู่ไม่ขาดสาย ล่าสุดเมื่อช่วงปลาย 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีคนแอบเห็นว่า แม่ม่ายคนสวยควงคุณหมอจิตแพทย์เด็กชื่อดังของโรงพยาบาลย่านสุขุมวิท ไปดินเนอร์กันสองต่อสองถึงหัวหิน แต่โชคไม่ช่วยเพราะมีมือที่สามเข้ามาทำลายบรรยากาศโรแมนติคเสียก่อน ไม่ใช่ใครที่ไหน และไม่ใช่อดีตสามีคาสโนว่าหนุ่ม แต่กลับเป็นภรรยาสาวเจ้าของคลินิกความงามของคุณหมอหนุ่มนั่นเอง งานนี้ม่ายสาวพริมาเลยได้ฉายาใหม่ไปเต็ม ๆ ว่า ‘มุตา’ เคยเป็นหลวงมาแท้ ๆ ไฉนเลยถึงยอมลดระดับลงมาได้ละคะคุณขา’
“ฮึ! ฉาวออกอย่างนี้ยังคิดจะไปปิดข่าวให้มันอีก มันมีอะไรดีนักนะ” วิภาวีทำเสียงขึ้นจมูก หญิงสาวหมุนตัวไปทางตะกร้าถังขยะ เมื่อโยนหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นลงถังไปแล้ว เธอจึงมาหยุดยืนหมุนตัวไปมาอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่มีกระจกบานใหญ่ติดอยู่ หญิงสาวถอดเสื้อคลุมตัวยาวออกเมื่อได้ยินเสียงสายน้ำหยุดลง เธอหันไปมองกระจกอีกครั้ง พลางยิ้มหวานให้กระจก วิภาวีนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในเวลาเดียวกันกับที่ประตูห้องน้ำเปิดออก เธอหยิบกระปุกครีมทาผิวหน้าราคาหลายพันขึ้นมาลูบไล้ไปทั่วใบหน้า พลางลอบชำเลืองดูภัทร์ที่กำลังแต่งตัว วิภาวีหยิบแปรงขึ้นมาหวีผมยาวที่เป็นลอนสลวยของเธออย่างช้า ๆ นิ่มนวล คุณแม่ลูกอ่อนจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ
‘เธอยังสาวและสวยกว่าแม่ม่ายกระดังงาดอกนั้น เพราะฉะนั้นเธอต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ เธอจะทำให้เขาลืมนังเมียเก่าให้ได้ คอยดู!’
วิภาวีค่อย ๆ ชโลมทาผิวบำรุงแขนและขา ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากภัทร์ว่า
“คุณภัทร์คะ ช่วยทาครีมที่หลังให้วิหน่อยได้ไหมคะ” วิภาวียื่นกระปุกครีมให้กับภัทร์ที่พยักหน้าตอบและเดินเข้ามา
“ที่หลังเหรอวิ” ภัทร์ถาม
“ค่ะ”
ภัทร์ลูบไล้ครีมจนทั่วแผ่นหลังของวิภาวีซึ่งค่อย ๆ ใช้มารยาหญิงเอนตัวมาพิงกับอกของภัทร์อย่างช้า ๆ ในที่สุดเมื่อภัทร์ต้องหยุดทาครีมเพราะเธอเอนน้ำหนักทั้งหมดมาทิ้งไว้ที่บนตัวเขา คุณแม่ยังสาวก็เอียงหน้ามา
หาคนข้างหลังพร้อมทั้งพูดขึ้นเบา ๆว่า
“ขอบคุณมากนะคะ วิหายเหนื่อยจากการเลี้ยงลูกเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ” วิภาวีใช้ลูกเป็นเหยื่อล่อให้ภัทร์เข้ามาติดกับดักอีกแรง ภัทร์จ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สวยที่ช่างเย้ายวน ริมฝีปากอิ่มที่เผยอขึ้นเล็กน้อยอย่างเชื้อเชิญ แต่เพราะในหัวสมองยังคงมีเรื่องของพริมาคอยกวนใจอยู่ เขาจึงพูดกลับไปว่า
“นอนกันเถอะ ผมง่วงแล้ว วิก็รีบเข้านอนเถอะ เดี๋ยวลูกร้องจะกินนมกลางดึกขึ้นมาอีก รีบฉวยโอกาสงีบซะสิ” วิภาวีจึงต้องจำใจหยุด ‘อ่อยเหยื่อ’ ไว้เพียงเท่านี้
************************
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา ณ ห้องทำงานของกรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนทรัพย์
ภัทร์วางซองสีขาวที่มีสัญลักษณ์ของโรงพยาบาลอยู่ด้านหน้าลงบนโต๊ะทำงาน....โรงพยาบาลซึ่งลูกสาวเขาคลอดเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมานี้ ชายหนุ่มยังไม่ได้เปิดผนึกซองดังกล่าวเพื่อดูผลตรวจดีเอ็นเอของลูกสาว ด.ญ. พิมพ์ชนก พัฒนภิรมย์ หรือน้องแป้งร่ำที่อยู่ในซอง นักธนาคารหนุ่มกำลังคิดอย่างไตร่ตรองว่าผลที่อยู่ในซองนั้นจะส่งผลต่ออะไรบ้าง ขณะที่ใช้ความคิดอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานก็ดังขัดจังหวะขึ้น
“ครับ สวัสดีครับ ใช่ครับ ผมภัทร์ พัฒนภิรมย์ พูดสายอยู่ครับ” ภัทร์กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์
“เหรอครับ ได้ครับ งั้นผมจะไปรับพวกแกเดี๋ยวนี้เลยครับ” ภัทร์รีบผุดลุกขึ้นก่อนที่จะหันมาหยิบเสื้อสูทที่พาดไว้บนพนักพิงเก้าอี้ทำงาน เมื่อสวมเสื้อสูทอย่างรีบเร่งเสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็รีบคว้าโทรศัพท์มือถือ พลางกดโทรออกมาหมายเลขของพริมา และก่อนที่จะก้าวออกจากโต๊ะทำงานไปยังประตู ภัทร์ก็รีบคว้าซองจดหมายซองนั้นสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท ชายหนุ่มรีบตรงไปรับลูกชายทั้งสองที่โรงเรียน เพราะทางโรงเรียนโทรมาแจ้งว่าเด็ก ๆ ยังไม่มีใครมารับทั้ง ๆ ที่เลยเวลาเลิกเรียนมาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว แถมทางโรงเรียนก็ไม่สามารถติดต่อมารดาของเด็กชายทั้งสองได้เลย
ภัทร์พยายามติดต่อหาพริมาหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะโทรศัพท์ที่คอนโดฯ หรือแม้แต่มือถือของเธอต่างก็ไม่มีคนรับสาย ภัทร์รู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมากเพราะพริมาไม่เคยไม่รับสายของใคร ตั้งแต่ที่คบกันมาหากเธอมีธุระจำเป็นที่ต้องติดต่ออยู่นั้น เธอก็จะแค่ปิดเสียงโทรศัพท์แล้วเปลี่ยนเป็นระบบสั่นแทน หากรับสายไม่ได้ในตอนนั้น พริมาก็จะส่งข้อความอธิบายเหตุผลมาบอก และก็จะติดต่อกลับมาในทันทีที่เสร็จธุระ แต่นี่จะร่วม 15 นาทีแล้วที่เขาพยายามโทรหาเธอ ภัทร์ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะเดินทางมาถึงโรงเรียนของลูกชายทั้งสอง ด.ช.ภัทรดนัย และ ด.ช.พัทธดนย์ กำลังนั่งรอคนมารับอยู่ในห้องรับรองของทางโรงเรียนที่มีครูพี่เลี้ยงยังคงเฝ้าดูแลอยู่ด้วย ในทันทีที่เห็นหน้าผู้เป็นพ่อน้องป๊อปที่นั่งรอคนมารับอย่างใจจดใจจ่อก็รีบโผเข้าหาอ้อมแขนของพ่อทันที
“คุณพ่อ!!!” ลูกชายคนโตร้องเรียกด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ แต่มีท่าทางดีใจอย่างเห็นได้ชัด ส่วนลูกชายคนเล็กที่ยังง่วนอยู่กับของเล่นนั้น เมื่อได้ยินเสียงพี่ชายก็หันมาดูและวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นพ่อเช่นกัน
“คุณแม่อยู่ไหนครับ” ลูกชายคนเล็กถาม พลางจ้องมองหน้าพี่ชายที่เริ่มร้องไห้ออกมา
“ฮือ ๆๆๆ คุณแม่ไปไหนครับ ทำไมไม่มารับพี่ป๊อป ไม่มารับน้องปิ๊ปล่ะครับ” เสียงของ ด.ช. ภัทรดนัยถามผู้เป็นพ่อพลางเช็ดน้ำหูน้ำตาที่เริ่มไหลลงมาไม่ขาดสายเพราะขวัญเสียที่ถูกทิ้งให้อยู่โรงเรียนเย็นกว่าวันปกติ
“ไม่ต้องนะร้องครับคนเก่ง หยุดร้องนะลูก วันนี้คุณแม่เขาติดธุระน่ะครับ คุณแม่เลยมารับไม่ได้” ภัทร์ปดลูกชาย พลางหันไปกล่าวขอบคุณคุณครูที่ช่วยอยู่ดูแลลูกชายทั้งสองให้ หลังจากนั้นภัทร์ก็พาลูก ๆ ทั้งสองขึ้นรถ และมุ่งหน้าไปส่งที่คอนโดฯของอดีตภรรยา ระหว่างเดินทางเขาก็ยังคงพยายามติดต่อหาพริมาอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ภัทร์ชักใจไม่ดี เขาพยายามชวนลูก ๆ ทั้งสองพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่โรงเรียน หนูน้อยทั้งสองต่างแย่งกันเล่าผู้เป็นพ่ออย่างสนุกสนานถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้ทำไป จะมีก็แต่ผู้เป็นพ่อที่ยังคงหน้าตาเคร่งเครียด ภัทร์ใช้ตามองไปยังถนนเบื้องหน้าที่รถราต่างวิ่งกันขวักไขว่เต็มไปหมด พลางพยายามบังคับสมองไม่ให้คิดถึงเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับพริมา ชายหนุ่มเหลือบมองลูก ๆ จากทางกระจกมองหลังอยู่เป็นระยะ ๆ เขาต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการขับรถให้ถึงคอนโดฯของพริมาอย่างปลอดภัย เพราะหัวใจที่เริ่มกระวนกระวาย ร้อนรน เพียงแค่คิดว่า ถ้าพริมาเป็นอะไรไป เขาและลูก ๆ จะอยู่ได้อย่างไรกัน
************************
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ
“ปากคอเราะร้ายจริง ๆ เป็นถึงหมอนะนั่น ปากยิ่งกว่ากรรไกรผ่าตัดแปลงเพศเสียอีก มิน่าผัวถึงขอหย่า ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าพวกฉันเข้าไปไม่ทันนี่ แกจะโดนนังคุณหมอโบท็อกซ์นั่นจัดการยังไงต่อ อีพี่ตินนี่ก็อีกคน หาความซวยมาให้แกแท้ ๆ ร้อยวันพันปีไม่เมา ดันมาเมาเอาวันที่เมียสะกดรอยตามมาพอดี ส่วนแกก็ช่างดวงจู๋ อุตส่าห์หนีมาเที่ยวถึงหัวหินดันมาเจอแจ๊คพ็อตแตกใส่ อยู่ดีไม่ว่าดีถูกหาว่าเป็นมือที่ 3 ไปทำลายครอบครัวคนอื่นเขาแบบนี้ แถมยังเกือบจะโดนรุมตบอีกนะนั่น แบบนี้ไม่เรียกว่าซวยก็ไม่รู้จะเรียกยังไงแล้ว” วรปรัชญ์บ่นยืดยาวอย่างอารมณ์เสีย เพราะถ้าเขาและพิชญธิดาไม่ลุกไปตามพริมาที่โต๊ะ คงไม่ได้ช่วยพริมาให้รอดพ้นอุ้งมือมารมาได้ทันเส้นยาแดงผ่าแปดแบบนี้ เพราะตอนที่ไปถึงนั้นคุณหมอสุชาดาภรรยาของหมอคณิตินกำลังกระชากมือของสามีที่กำลังกุมมือของพริมาอยู่พอดี ขวดเบียร์บนโต๊ะเลยหล่นแตกกระจายเต็มพื้นไปทั่ว
“นึกแล้วยังเสียวแทนแกไม่หาย ถ้าแม่นั่นคว้าขวดเบียร์แทนคว้ามือสามี แกคงเสียโฉมแน่ ๆ เพราะยังไงเขาคงไม่ตีหัวสามีก่อน ต้องหัวแกหน้าแกแน่ ๆ ที่ต้องอาบเลือดน่ะปริม” วรปรัชญ์ทำท่าขนพองสยองเกล้าประกอบคำพูด
“แกก็พูดเกินไปนังปรัชญ์ ฉันไม่เห็นว่าเขาจะคิดลงมือลงไม้ทำอะไรปริมมันสักนิดเลย พูดเว่อร์ไปแล้ว” พิชญธิดาท้วงติง
“ย่ะ! เว่อร์ไม่เว่อร์ก็คิดดูเอาเองก็แล้วกันว่าอีคุณหมอโบท็อกซ์จะเอาเพื่อนมาด้วยทำไมตั้ง 2 คนฮะ ถ้าเราเข้าไปไม่ทันเพื่อนมันคงจะช่วยกันจับนังปริมให้อีคุณหมอนั่นตบซ้ายตบขวาแน่ ๆ” วรปรัชญ์สะบัดหน้าไปซ้ายทีขวาทีเหมือนกำลังถูกประทุษร้ายเสียเอง
“เขาเป็นหมอนะแก เขาคงไม่ขาดสติทำอะไรไม่ยั้งคิดขนาดนั้นหรอก” พิชญธิดาแย้งอีกครั้ง
“แล้วที่มันมายืนด่านังปริมปาว ๆ ๆ น่ะ มันมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนล่ะสิ ใช่ไหมยะคุณพิชญธิดา” วรปรัชญ์ยื่นหน้าเข้าไปถามเพื่อนสาว
“ถ้าฉันเป็นเขา ฉันก็อาจจะทำเหมือนที่เขาทำกับฉันก็ได้นะ คุณสุชาดาเขาเข้าใจผิดไปเองเพราะภาพที่เห็นมันฟ้องเสียขนาดนั้น เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอก พอดีพวกเขามีปัญหากันอยู่น่ะ พอมาเจอสถานการณ์แบบนี้เข้าไปอีก สติก็เลยขาดผึง เป็นเรื่องธรรมดาของผู้หญิงทุกคนนะฉันว่า” พริมาที่นิ่งเงียบมานานตั้งแต่กลับจากร้านอาหารที่เกิดเรื่องจนมาถึงห้องพักประเภทที่มีสระว่ายน้ำในตัว ซึ่งเธอและลูก ๆ พักร่วมกันกับวรปรัชญ์
“นี่ขนาดไม่ได้ตั้งใจนะเนี่ย ถ้าตั้งใจจะขนาดไหนกัน” วรปรัชญ์ไม่เห็นด้วย ก่อนที่จะพูดต่อว่า
“งั้นขอถามหน่อยว่าทำไมแกไม่เคยสติขาดผึงแบบนั้นบ้างละ เจอกันจะ ๆ กับนังเมียน้อยนั่นมาแล้ว ฉันไม่เห็นแกจะทำอะไรเขาบ้างเลย” วรปรัชญ์ตั้งข้อสงสัย
“เพราะฉันมาเจอในวันที่ฉันไม่มีสิทธิ์ในตัวเขาอีกแล้วไงล่ะ แต่นี่ คุณสุชาดากับพี่ตินเขายังไม่ได้หย่าขาดจากกัน เพราะฉะนั้นเขาจึงมีสิทธิ์อย่างถูกต้อง” พริมาอธิบาย แต่วรปรัชญ์ก็ยังไม่วายถามต่อ
“อ้าว! ถ้าอย่างนั้น ทำไมแกไม่ด่านังวิภาวีในวันที่พี่โป๊ปพาเข้าบ้านบ้างล่ะ”
“.......” พริมาจนด้วยคำตอบ ก่อนที่จะเอ่ยออกมาว่า
“เพราะวันนั้น ฉันไม่ได้โกรธแค้นวิภาวีน่ะสิ เขาไม่เคยให้สัญญากับฉัน เขาไม่ใช่คนที่ผิดสัญญากับฉัน” พริมาพูดด้วยอารมณ์เศร้าหมองและสีหน้าที่เคร่งเครียด
“พอเถอะ หยุดพูดเรื่องนี้กันเถอะ ปรัชญ์แกก็หยุดซักหยุดถามเสียที แยกย้ายกันไปหลับไปนอนดีกว่า เรื่องของคู่คุณหมอก็ให้พวกเขาหาทางออกกันเอง มันเป็นปัญหาของเขา ไม่ใช่ของพวกเราแล้ว เพราะเมียเขาก็รับรู้แล้วเขาเข้าใจผิด ปริมไม่ได้มากับพี่ติน ส่วนที่พี่ตินสารภาพออกมานั่นก็ให้เขานั่นแหละรับผิดชอบคำพูดของตัวเอง เขาจะอยู่หรือจะหย่ากันก็สุดแล้วแต่กรรมแต่บุญที่ทำร่วมกันมา คนจะรักจะเลิกกัน ไม่ได้เกี่ยวกับมือที่ 3 4 5 หรอก มันอยู่ที่คนสองคนเท่านั้นแหละ เชื่อฉันสิ” พิชญธิดาพูดอย่างคนที่มีประสบการณ์ตรงมาก่อน
“จ้า แม่นางพิชญธิดาผู้มีประสบการณ์อย่างโชกโชน” วรปรัชญ์แกล้งแซวเล่นแต่กลับโดนถลึงตาใส่
“ปริม ฉันไปนอนละนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้ ไม่ต้องคิดมากอีกล่ะ จำเอาไว้ว่าเขามีปัญหากันมาก่อนที่จะมาเจอกับแก แกไม่ต้องไปซีเรียสกับเรื่องที่ไม่ได้ทำ แต่พูดก็พูดเถอะนะ ฉันเองก็อดตกใจไม่ได้ที่เห็นคุณหมอนั่นมายืนชี้หน้าด่าคนอื่นแบบนี้ เสียดายเรียนมาเสียสูง” พิชญธิดาส่ายหัวไปมา
“ไม่งั้นเขาจะมีสำนวนสุภาษิตว่าไว้เหรอจ๊ะ เสียทองเท่าหัว แต่ไม่ยอมเสียผัวให้ใครน่ะ ไม่เคยได้ยินกันเหรอคะคุณนายทั้งสอง” วรปรัชญ์ปิดท้ายด้วยคำคม ก่อนที่จะหันไปบอกกับพิชญธิดาว่า
“แกก็รีบกลับบังกะโลแกไปเถอะ เดี๋ยวคุณวิชญ์จะคอยนาน ไปเถอะ เดี๋ยวฉันกับปริมคุยกันอีกสักพักก็จะเข้านอนเหมือนกัน โชคดีนะที่คืนนี้พวกเด็ก ๆ นอนที่โน่นกันหมด”
“โอเค งั้นฉันไปละนะ เจอกันพรุ่งนี้” พิชญธิดาโบกมือลา แล้วพูดกับพริมาอีกครั้งว่า
“ปริม ถ้านังปรัชญ์มันยังไม่เลิกกวนประสาทแก แกไปนอนกับฉันก็ได้นะ ที่โน่นยังมีห้องว่าง” พิชญธิดาพูดพลางลอยหน้าลอยตาไปมาเพื่อเย้าวรปรัชญ์คืน
“แกนั่นแหละ ไปเลยไป ชิ่ว ๆๆๆ” วรปรัชญ์ทำท่าไล่เพื่อนสาว เมื่อพิชญธิดากลับไปแล้ว เขาก็หันมาถามพริมาว่า
“ปริมแกมีอะไรจะคุยอีกไหม ถ้าไม่มีก็ไปนอนเถอะ เหนื่อยกับลูก ๆ มาตั้งแต่เช้าแล้ว ไหนจะมาเจอแจ๊คพ็อตจากคุณหมอโบท็อกซ์นั่นอีก ไปพักเถอะไป” วรปรัชญ์ไล่พริมาก่อนที่จะล้มตัวลงนอนบนโซฟาหวายพลางบิดขี้เกียจอย่างเมื่อยล้า ก่อนที่จะพูดต่อว่า
“แต่ถ้าแกมีอะไรจะพูด จะระบายออกมา ฉันก็พร้อมรับฟังเสมอนะ แต่ฉันก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่ามุมมองของคนแบบฉัน คนที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก จะช่วยอะไรแกได้แค่ไหน” วรปรัชญ์ทิ้งท้ายได้อย่างซาบซึ้งใจคนฟัง
“แค่แกรับฟังก็มีค่ามากมายแล้วล่ะปรัชญ์” พริมายิ้มหวานแทนคำขอบคุณ
“เฮ้อ! ชีวิตฉันช่วงนี้มันดูวุ่นวาย ยุ่งเหยิงไปหมดจริง ๆ คงต้องพักเรื่องที่จะทำร้านอาหารไว้ก่อน รอให้คุณแม่กลับมาจากอเมริกาค่อยปรึกษาท่านอีกที”
“ยุ่งเหยิงเรื่องอะไรฮะ” วรปรัชญ์ลืมตาขึ้นถาม
“ก็จากที่เคยเป็นเมียหลวงอยู่ดี ๆ ก็ต้องมาเป็นแม่ม่ายผัวหย่า แล้ววันนี้ยังเกือบจะได้ตำแหน่งเมียน้อยเข้ามาอีก ตลกดีไหมละแก” พริมามองเป็นเรื่องขำขัน
“ก็บอกแล้ว......ว่าให้แต่งกับคุณรามไปเสีย เรื่องยุ่ง ๆ จะได้หมดไป เหลือแต่เรื่องหวาน ๆ ให้ชื่นใจ” วรปรัชญ์พูดไปหาวไป
“พูดมันง่าย แต่ทำมันยากนะจ๊ะคุณเพื่อน”
“ยากตรงไหน” วรปรัชญ์ถาม
“......”
“อย่าบอกนะว่ายากที่ใจ” วรปรัชญ์เดาได้อย่างแม่นยำ
“ไปนอนดีกว่า ชักง่วงแล้ว” พริมาเลี่ยง แต่ก่อนที่เธอจะเดินไปถึงประตูห้องนอน เสียงของวรปรัชญ์ก็ดังขึ้นว่า
“ปิดเข้าไปเถอะหัวใจตัวเองน่ะ แทนที่จะหาความสุขใส่ตัวเหมือนกับคนอื่นเขาบ้างน่ะ คนเราเกิดมามีชีวิตเดียวนะแก มันต้องรู้จักหาความสุขใส่ตัวเองบ้างสิยะ” วรปรัชญ์ตะโกนไล่หลัง
“ย่ะคุณวรปรัชญ์ แล้วแกไม่เคยได้ยินบ้างเหรอที่เขาพูดกันว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์อะ” พริมาย้อนกลับ แล้วเพิ่มเติมว่า
“แล้วที่สำคัญนะ ความสุขของฉัน ก็คือ ลูก ๆ ทั้งสอง ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขตลอดกาล” พอพูดเสร็จพริมาก็เดินเข้าไปในห้องนอน ทิ้งให้วรปรัชญ์ตะโกนไล่หลังปาว ๆ ว่า
“เดี๋ยวพอลูก ๆ โตกันหมดแล้วแกจะรู้สึก เพราะต้องถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ลูกผู้ชายน่ะมันเห็นเมียดีกว่าแม่กันทั้งนั้นนะ หรือดีไม่ดีแกก็จะได้รู้ฤทธิ์ลูกสะใภ้เข้าไปอีก คราวนี้ละนังปริมเอ๋ย” ทันทีที่วรปรัชญ์พูดจบ พริมาก็โยนหมอนอิงสีสวยออกมาจากห้องนอน ซึ่งหล่นใส่หน้าวรปรัชญ์ที่กำลังหลับตาพริ้มอย่างพอดิบพอดี
“อ๊ายยย! อีนังปริมบ้า! คอยดูนะ จะแช่งให้แกได้ลูกสะใภ้แสบ ๆ คัน ๆ เลย”
************************
“คุณภัทร์คะ เมื่อไรเราจะได้ย้ายบ้านสักทีละคะ” วิภาวีที่เพิ่งชงนมให้ลูกสาวเสร็จ ยื่นขวดนมให้กับภัทร์ที่กำลังอุ้มลูกสาวตัวน้อยวัยเกือบ 1 เดือนอยู่ในอ้อมกอด เด็กหญิงหลับตาพริ้มแต่ปากยังขยับไปมา
“สิ้นเดือนนี้คงตกแต่งเสร็จน่ะ” ภัทร์หมายถึงบ้านหลังใหม่ราคาหลายล้านที่เขาตัดสินใจซื้อให้วิภาวีได้อาศัยอยู่กับลูกสาว ซึ่งมีทั้งแม่และน้องชายของเธอที่จะย้ายมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน และคงจะมีบรรดาญาติ ๆ หมุนเวียนกันไปมาหาสู่เมื่อรู้ว่าเธอ “ได้ดี” อย่างที่ได้ยกขบวนกันมาเยี่ยมตั้งแต่ได้รู้ว่าเธอคลอดลูกจนแน่นห้องพักวีไอพีมาแล้ว และระหว่างที่รอให้บ้านเสร็จ ภัทร์จึงต้องมาเช่าบ้านหลังนี้ให้วิภาวีได้อยู่ก่อน เพราะพื้นที่คอนโดฯหนึ่งห้องนอนของเธอนั้นคับแคบไปสำหรับ 5 ชีวิต
คุณพ่อป้ายแดง (อีกครั้ง) ป้อนนมให้ลูกสาวพร้อมมองด้วยสายตาที่อบอุ่นเต็มไปด้วยความรัก ชายหนุ่มยอมรับกับตัวเองว่า เขาหลงรักเด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มคนนี้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นหน้า..…ไม่ว่าเธอจะใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาหรือไม่ก็ตาม
‘ถึงหนูจะไม่ได้เกิดมาจากความรักของพ่อและแม่ แต่พ่อก็รักหนูนะครับ’
“ส่งลูกมาเถอะค่ะ วิจะพาแกไปนอนในเตียง” วิภาวีบอก พร้อมตั้งท่ารอรับลูกสาวจากภัทร์
เมื่อวิภาวีอุ้มลูกเข้าไปวางในเตียงในห้องนอนลูกที่อยู่ติดกัน โดยมีประตูเชื่อมสามารถเปิด-ปิดถึงกันได้ตลอดเวลาเรียบร้อยแล้ว ภัทร์ก็ลุกไปหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะรับแขกหน้าเตียงมาอ่านต่อที่เก้าอี้นวมตัวใหญ่ ชายหนุ่มพลิกไปยังหน้าที่อ่านค้างอยู่ แต่ยังไม่ทันได้ลงมืออ่าน เสียงของวิภาวีก็ถามแทรกขึ้นมาว่า
“ตกลงคุณจะให้นายเดชเข้าไปทำงานได้เมื่อไรคะ” วิภาวีหมายถึง ‘เรืองเดช’ น้องชายคนเดียวของเธอ ที่เพิ่งเรียนจบได้ไม่นานและยังตกงานอยู่ เธอจึงขอให้ภัทร์ช่วยรับเข้าทำงานที่ธนาคาร
“ก็ทางฝ่ายบุคคลเขาขอผลการเรียน กับพวกเอกสารต่าง ๆ น้องชายคุณก็ยังไม่เอามาให้สักที” ภัทร์เงยหน้าขึ้นตอบ จึงได้เห็นสีหน้าที่แสดงความไม่พอใจของวิภาวีอย่างชัดเจน
“อะไรกันคะ! น้องชายภรรยาเจ้าของธนาคารทั้งที ยังต้องใช้เอกสารอีกเหรอคะ” วิภาวีถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ของใครก็ต้องใช้ทั้งนั้นแหละ นี่ก็ไม่ต้องสัมภาษณ์ตามขั้นตอนแล้วนะ สบายกว่าคนอื่นแล้ว งานก็ได้ทำแน่ ๆ ขอแค่ให้เอาเอกสารมายื่นแค่นี้เอง” ภัทร์เริ่มออกอาการบ้าง เพราะนอกจากจะรู้สึกแปลก ๆ กับวลีที่ว่า ‘น้องชายภรรยาเจ้าของธนาคาร’ แล้ว เขาก็มีทุนเดิมที่ไม่ค่อยชอบบุคลิกท่าทางของเรืองเดชอยู่ด้วย เด็กหนุ่มรุ่นน้องกว่าเขาหลายปีคนนั้นไม่มีบุคลิกที่เหมาะสมกับงานธนาคารสักเท่าไร ทั้งผลการเรียนที่ไม่ค่อยดี ไหนจะรอยสักเต็มแผ่นหลังนั่นอีก แต่เพราะเห็นกับวิภาวีและมารดาของเธอที่เฝ้าขอร้องให้เขาช่วยรับลูกชายเข้าทำงาน เขาจึงขัดเสียไม่ได้
“ก็แกเพิ่งจบได้ไม่นานนี่คะ เอกสารยังไม่เรียบร้อยมั้งคะ” วิภาวีแก้ตัวแทน
“ถ้าเอกสารยังไม่ครบ ผมก็คงช่วยอะไรมากไม่ได้ ที่สำคัญตัวเขาเองก็ยังตอบไม่ได้ว่าอยากทำงานด้านไหน แผนกไหน ตกลงเขาจบบริหารแน่เหรอวิ” ภัทร์ถามด้วยความสงสัย เพราะเห็นความไม่เป็นโล้เป็นพายของน้องชายวิภาวีที่ต้องย้ายมหาวิทยาลัยถึง 3 ครั้ง แถมยังเปลี่ยนคณะเป็นว่าเล่น และเจ้าตัวเองก็ยังไม่ได้มีทีท่าว่าอยากจะทำงานเลย เพราะไม่เห็นจะดิ้นรนหางานทำเองเลย ตั้งแต่ที่วิภาวีย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ เธอก็ขออนุญาตไปรับแม่กับน้องชายมาอยู่ด้วย โดยอ้างว่าจะให้แม่ช่วยเลี้ยงหลานเพราะเธอไม่ไว้ใจพี่เลี้ยง ซึ่งภัทร์ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่กับน้องชายของเธอที่วัน ๆ เอาแต่นั่งกินนอนกิน ทั้ง ๆ ที่อายุอานามก็ไม่น้อยแล้วนั้น ทำให้เขารู้สึกขวางหูขวางตาทุกครั้งที่ได้พบเจอ
“แกยังไม่มีประสบการณ์ในการทำงานน่ะค่ะ จะให้แกบอกได้ยังไงว่าชอบทำอะไร” วิภาวีที่รักน้องชายคนเดียวของเธอมาก แก้ตัวแทนเป็นคำรบสอง
“ที่จริงในเมื่อจบบริหารมา งานอะไรก็น่าจะทำได้ ถ้าไม่ชอบงานธนาคาร ก็น่าจะลองหางานที่อื่นทำดูก่อน” ภัทร์แนะนำ
“อย่าเลยค่ะ ให้ทำงานที่ธนาคารของคุณนั่นแหละคะ จะได้ไม่ไกลหูไกลตา” วิภาวีบอกเหตุผลแฝง ส่วนสาเหตุที่แท้จริงก็คือ เธออยากให้น้องชายทำงานที่ธนาคารของภัทร์เพราะอยากให้น้องชายได้รับการยอมรับจากทุกคนเพราะมีพี่สาวเป็นถึงภรรยาของเจ้าของธนาคาร คงไม่ถูกหัวหน้างานกดขี่ข่มเหงเอา แถมยังช่วยเป็นหูเป็นตาคอยจับตามองภัทร์ให้เธอได้อีกด้วย
“ถ้าอย่างนั้นก็บอกน้องคุณให้รีบไปเอาเอกสารมาให้ครบเสียเร็ว ๆ สิ ดู ๆ ไปผมว่าเขาไม่ค่อยกระตือรือร้นเลยนะ นิสัยแบบนี้น่ะไม่เหมาะกับงานธนาคารหรอก เพราะเดี๋ยวนี้พวกพนักงานธนาคารน่ะต้องค่อนข้างแอ็คทีฟเพราะต้องหาลูกค้าให้ธนาคารด้วย ไม่ใช่แค่นั่งหน้าเคาน์เตอร์ ทำงานไปวัน ๆ” ภัทร์อธิบายเพิ่มด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ
“ค่ะ งั้นเดี๋ยววิจะย้ำกับแกอีกครั้ง” เมื่อรู้ว่าภัทร์เริ่มทำเสียงแข็ง วิภาวีจึงเลือกที่จะอ่อน พอพูดเสร็จเธอก็เดินไปหยิบเครื่องวิทยุตัวรับขนาดฝ่ามือจากบนหัวเตียง แล้วกดปุ่มเปิดสัญญาณเพื่อฟังเสียงร้องของลูกน้อย ‘เบบี้มอนิเตอร์’ เครื่องนี้มีเครื่องวิทยุตัวแม่คอยส่งสัญญาณจากเตียงนอนของลูกสาว ซึ่งเปรียบได้ดั่งพี่เลี้ยงคอยเฝ้าดูลูกน้อยให้คุณแม่ได้ตลอดเวลา หลังจากนั้นหญิงสาวก็หยิบเสื้อคลุมมาสวมทับชุดนอนแล้วจึงเปิดประตูเพื่อลงไปด้านล่าง
“วิลงไปคุยกับแม่กับเดชสักแป๊บนะคะ เดี๋ยววิขึ้นมา” พอวิภาวีปิดประตูให้หลัง ภัทร์ก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ เพียงไม่นานภัทร์ก็โยนหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นลงบนพื้นอย่างแรง ชายหนุ่มสบถด้วยความเดือดดาล
“โธ่โว้ย! เสน่ห์แรงจริงนะปริม” ภัทร์เดินก้าวข้ามหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นไปอย่างกรุ่นโกรธ เขาเดินไปหยิบมือถือแล้วกดโทรออกในทันที
“เฮ้ย! ไอ้ดล กูเองภัทร์ มึงช่วยเตือนลูกน้องมึงให้หน่อยสิวะ ให้เช็คข้อมูลให้ดีเสียก่อน ๆ ที่จะเขียนข่าวน่ะ นี่เล่นลงชื่อจริงนามสกุลจริงกันแบบนี้ คนเขาเสียหายนะโว้ย บอกมันด้วยอย่าถือว่ามีปากกาอยู่ในมือแล้วจะเขียนว่าใครยังไงก็ได้ ถ้าถูกฟ้องขึ้นมาแล้วมันไม่คุ้ม” ภัทร์พูดใส่อารมณ์เต็มที่
“เออ!.....ข่าวนั้นนั่นแหละ เออ!.....หย่าแล้ว หย่าแล้วทำไมวะ ก็กูไม่ชอบนี่หว่าที่เห็นเขาโดนเขียนถึงแบบนี้ จริงไม่จริง เขาก็เสียหายไปแล้ว มึงก็รู้จักปริมดี เขาไม่ทำตัวแบบนั้นหรอกน่ะ ยังไงช่วยเตือนลูกน้องมึงให้ด้วยก็แล้วกัน ถ้ามีคราวหน้าอีก กูจะฟ้องหนังสือพิมพ์มึงเอง เอาให้น่วมเลย” ภัทร์พูดด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง
“เออ!....กูพูดจริงสิวะ มึงไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย รักไม่รักไม่เกี่ยว ปริมเขาไม่ใช่คนแบบนั้น มึงก็รู้ ที่สำคัญถึงยังไงเขาก็ยังเป็นแม่ของลูกกูโว้ย กูทำเพื่อลูกกู เอาเป็นว่ามึงไปเตือนลูกน้องมึงด้วยก็แล้วกัน ถ้ามีอีกคราวหน้ากูจะให้ลูกน้องกูเข้าเงินเดือนบริษัทมึงให้ช้าไปสัก 1 อาทิตย์เลย........ฮ่า ๆๆ กูพูดจริงนะโว้ย ไม่เชื่อมึงลองดู......เออ! แค่นี้แหละ ขอบใจมาก มีอะไรให้กูช่วยก็บอกมานะ จะกู้ซื้อเครื่องพิมพ์ใหม่เมื่อไรก็บอกมา เดี๋ยวกูลดดอกเบี้ยให้เป็นพิเศษเอง......เออ! ให้แพงเป็นพิเศษอย่างที่มึงว่านั่นแหละ......โอเค เพื่อน ขอบใจมาก แค่นี้ล่ะ” ภัทร์วางสายอย่างอารมณ์ดี ผิดกันลิบลับกับตอนแรก ชายหนุ่มวางโทรศัพท์แล้ว จึงเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างกายก่อนนอน
เมื่อเสียงล็อคประตูห้องน้ำดังขึ้นแล้ว วิภาวีก็ค่อย ๆ เปิดประตูห้องนอนเดินเข้ามา หญิงสาวหน้าตาบูดบึ้งและทำตาลุกวาวด้วยความโกรธแค้น เธอเพิ่งลงไปกำชับน้องชายให้หาเอกสารมาให้ครบแล้วจึงรีบกลับขึ้นมาเพราะไม่อยากให้ภัทร์ต้องรอนาน ตั้งแต่แม่กับน้องมาอยู่ด้วยภัทร์ก็ไม่ได้มาค้างกับเธอทุกคืน ไม่เหมือนช่วงอาทิตย์ที่ลูกเกิดใหม่ ๆ เธอคิดว่าเขาคงรู้สึกอึดอัดกับการที่แม่และน้องชายของเธอมาอยู่ร่วมด้วย ดังนั้นทุกครั้งที่ภัทร์มาค้างด้วย เธอก็จะไม่ลงไปนั่งพูดคุยกับแม่และน้องให้นานนัก และไม่ปล่อยให้พี่เลี้ยงที่จ้างไว้มานอนเฝ้าลูกสาว เธอรู้ว่าภัทร์รักลูกสาวคนนี้มาก เธอจึงต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเธอดูแลลูกเป็นอย่างดี เธอพยายามบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่า อนาคตเป็นของไม่แน่นอน สักวันหนึ่งเธออาจกลายเป็นคนอื่นสำหรับเขา แต่สำหรับลูกสาวของเธอนั้น อย่างไรเสียก็ยังได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวของเขา ซึ่งคงเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีวันจะตัดขาด เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องใช้ลูกเป็นเครื่องมือในการผูกมัดภัทร์ไว้กับเธอให้ได้นานที่สุด ระหว่างที่เดินขึ้นบันไดขึ้นมานั้นวิภาวีได้ยินทุกคำพูดของภัทร์ตั้งแต่เริ่มต้น เนื่องจากเสียงของชายหนุ่มเล็ดลอดเข้าไปในเครื่อง ‘เบบี้มอนิเตอร์’ ของลูกรัก แต่เพราะเสียงเพลงที่เปิดกล่อมลูกสาวอยู่นั้นดังควบคู่กลบเสียงบทสนทนาจึงทำให้เธอได้ยินเสียงของภัทร์ไม่ชัดเจนนัก เธอจึงต้องรีบเร่งฝีเท้าเพื่อมายืนแอบฟังอยู่หน้าประตูห้องนอนแทน
“เมื่อไรแกจะไปให้พ้น ๆ จากชีวิตฉันเสียทีนะนังปริม” วิภาวีบ่นอย่างเหลืออด พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับเจ้าปัญหาวางอยู่บนพื้น หญิงสาวจึงรีบไปหยิบมันขึ้นมาอ่านในทันที เธอกวาดสายตาหาข่าวสำคัญอยู่ไม่นานก็เจอภาพข่าวพร้อมคำบรรยายใต้ภาพที่ว่า
‘แม่ม่ายทรงเสน่ห์ยุคนี้ พ.ศ. นี้คงไม่มีใครหอมหวานเกิน พริมา กีรติอนันต์ เพราะมีเหล่าภมรคอยบินวนเวียนไปมาหวังจะได้ชิมน้ำหวานของกระดังงาดอกนี้อยู่ไม่ขาดสาย ล่าสุดเมื่อช่วงปลาย 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีคนแอบเห็นว่า แม่ม่ายคนสวยควงคุณหมอจิตแพทย์เด็กชื่อดังของโรงพยาบาลย่านสุขุมวิท ไปดินเนอร์กันสองต่อสองถึงหัวหิน แต่โชคไม่ช่วยเพราะมีมือที่สามเข้ามาทำลายบรรยากาศโรแมนติคเสียก่อน ไม่ใช่ใครที่ไหน และไม่ใช่อดีตสามีคาสโนว่าหนุ่ม แต่กลับเป็นภรรยาสาวเจ้าของคลินิกความงามของคุณหมอหนุ่มนั่นเอง งานนี้ม่ายสาวพริมาเลยได้ฉายาใหม่ไปเต็ม ๆ ว่า ‘มุตา’ เคยเป็นหลวงมาแท้ ๆ ไฉนเลยถึงยอมลดระดับลงมาได้ละคะคุณขา’
“ฮึ! ฉาวออกอย่างนี้ยังคิดจะไปปิดข่าวให้มันอีก มันมีอะไรดีนักนะ” วิภาวีทำเสียงขึ้นจมูก หญิงสาวหมุนตัวไปทางตะกร้าถังขยะ เมื่อโยนหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นลงถังไปแล้ว เธอจึงมาหยุดยืนหมุนตัวไปมาอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่มีกระจกบานใหญ่ติดอยู่ หญิงสาวถอดเสื้อคลุมตัวยาวออกเมื่อได้ยินเสียงสายน้ำหยุดลง เธอหันไปมองกระจกอีกครั้ง พลางยิ้มหวานให้กระจก วิภาวีนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในเวลาเดียวกันกับที่ประตูห้องน้ำเปิดออก เธอหยิบกระปุกครีมทาผิวหน้าราคาหลายพันขึ้นมาลูบไล้ไปทั่วใบหน้า พลางลอบชำเลืองดูภัทร์ที่กำลังแต่งตัว วิภาวีหยิบแปรงขึ้นมาหวีผมยาวที่เป็นลอนสลวยของเธออย่างช้า ๆ นิ่มนวล คุณแม่ลูกอ่อนจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ
‘เธอยังสาวและสวยกว่าแม่ม่ายกระดังงาดอกนั้น เพราะฉะนั้นเธอต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ เธอจะทำให้เขาลืมนังเมียเก่าให้ได้ คอยดู!’
วิภาวีค่อย ๆ ชโลมทาผิวบำรุงแขนและขา ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากภัทร์ว่า
“คุณภัทร์คะ ช่วยทาครีมที่หลังให้วิหน่อยได้ไหมคะ” วิภาวียื่นกระปุกครีมให้กับภัทร์ที่พยักหน้าตอบและเดินเข้ามา
“ที่หลังเหรอวิ” ภัทร์ถาม
“ค่ะ”
ภัทร์ลูบไล้ครีมจนทั่วแผ่นหลังของวิภาวีซึ่งค่อย ๆ ใช้มารยาหญิงเอนตัวมาพิงกับอกของภัทร์อย่างช้า ๆ ในที่สุดเมื่อภัทร์ต้องหยุดทาครีมเพราะเธอเอนน้ำหนักทั้งหมดมาทิ้งไว้ที่บนตัวเขา คุณแม่ยังสาวก็เอียงหน้ามา
หาคนข้างหลังพร้อมทั้งพูดขึ้นเบา ๆว่า
“ขอบคุณมากนะคะ วิหายเหนื่อยจากการเลี้ยงลูกเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ” วิภาวีใช้ลูกเป็นเหยื่อล่อให้ภัทร์เข้ามาติดกับดักอีกแรง ภัทร์จ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สวยที่ช่างเย้ายวน ริมฝีปากอิ่มที่เผยอขึ้นเล็กน้อยอย่างเชื้อเชิญ แต่เพราะในหัวสมองยังคงมีเรื่องของพริมาคอยกวนใจอยู่ เขาจึงพูดกลับไปว่า
“นอนกันเถอะ ผมง่วงแล้ว วิก็รีบเข้านอนเถอะ เดี๋ยวลูกร้องจะกินนมกลางดึกขึ้นมาอีก รีบฉวยโอกาสงีบซะสิ” วิภาวีจึงต้องจำใจหยุด ‘อ่อยเหยื่อ’ ไว้เพียงเท่านี้
************************
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา ณ ห้องทำงานของกรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนทรัพย์
ภัทร์วางซองสีขาวที่มีสัญลักษณ์ของโรงพยาบาลอยู่ด้านหน้าลงบนโต๊ะทำงาน....โรงพยาบาลซึ่งลูกสาวเขาคลอดเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมานี้ ชายหนุ่มยังไม่ได้เปิดผนึกซองดังกล่าวเพื่อดูผลตรวจดีเอ็นเอของลูกสาว ด.ญ. พิมพ์ชนก พัฒนภิรมย์ หรือน้องแป้งร่ำที่อยู่ในซอง นักธนาคารหนุ่มกำลังคิดอย่างไตร่ตรองว่าผลที่อยู่ในซองนั้นจะส่งผลต่ออะไรบ้าง ขณะที่ใช้ความคิดอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานก็ดังขัดจังหวะขึ้น
“ครับ สวัสดีครับ ใช่ครับ ผมภัทร์ พัฒนภิรมย์ พูดสายอยู่ครับ” ภัทร์กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์
“เหรอครับ ได้ครับ งั้นผมจะไปรับพวกแกเดี๋ยวนี้เลยครับ” ภัทร์รีบผุดลุกขึ้นก่อนที่จะหันมาหยิบเสื้อสูทที่พาดไว้บนพนักพิงเก้าอี้ทำงาน เมื่อสวมเสื้อสูทอย่างรีบเร่งเสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็รีบคว้าโทรศัพท์มือถือ พลางกดโทรออกมาหมายเลขของพริมา และก่อนที่จะก้าวออกจากโต๊ะทำงานไปยังประตู ภัทร์ก็รีบคว้าซองจดหมายซองนั้นสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท ชายหนุ่มรีบตรงไปรับลูกชายทั้งสองที่โรงเรียน เพราะทางโรงเรียนโทรมาแจ้งว่าเด็ก ๆ ยังไม่มีใครมารับทั้ง ๆ ที่เลยเวลาเลิกเรียนมาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว แถมทางโรงเรียนก็ไม่สามารถติดต่อมารดาของเด็กชายทั้งสองได้เลย
ภัทร์พยายามติดต่อหาพริมาหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะโทรศัพท์ที่คอนโดฯ หรือแม้แต่มือถือของเธอต่างก็ไม่มีคนรับสาย ภัทร์รู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมากเพราะพริมาไม่เคยไม่รับสายของใคร ตั้งแต่ที่คบกันมาหากเธอมีธุระจำเป็นที่ต้องติดต่ออยู่นั้น เธอก็จะแค่ปิดเสียงโทรศัพท์แล้วเปลี่ยนเป็นระบบสั่นแทน หากรับสายไม่ได้ในตอนนั้น พริมาก็จะส่งข้อความอธิบายเหตุผลมาบอก และก็จะติดต่อกลับมาในทันทีที่เสร็จธุระ แต่นี่จะร่วม 15 นาทีแล้วที่เขาพยายามโทรหาเธอ ภัทร์ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะเดินทางมาถึงโรงเรียนของลูกชายทั้งสอง ด.ช.ภัทรดนัย และ ด.ช.พัทธดนย์ กำลังนั่งรอคนมารับอยู่ในห้องรับรองของทางโรงเรียนที่มีครูพี่เลี้ยงยังคงเฝ้าดูแลอยู่ด้วย ในทันทีที่เห็นหน้าผู้เป็นพ่อน้องป๊อปที่นั่งรอคนมารับอย่างใจจดใจจ่อก็รีบโผเข้าหาอ้อมแขนของพ่อทันที
“คุณพ่อ!!!” ลูกชายคนโตร้องเรียกด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ แต่มีท่าทางดีใจอย่างเห็นได้ชัด ส่วนลูกชายคนเล็กที่ยังง่วนอยู่กับของเล่นนั้น เมื่อได้ยินเสียงพี่ชายก็หันมาดูและวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นพ่อเช่นกัน
“คุณแม่อยู่ไหนครับ” ลูกชายคนเล็กถาม พลางจ้องมองหน้าพี่ชายที่เริ่มร้องไห้ออกมา
“ฮือ ๆๆๆ คุณแม่ไปไหนครับ ทำไมไม่มารับพี่ป๊อป ไม่มารับน้องปิ๊ปล่ะครับ” เสียงของ ด.ช. ภัทรดนัยถามผู้เป็นพ่อพลางเช็ดน้ำหูน้ำตาที่เริ่มไหลลงมาไม่ขาดสายเพราะขวัญเสียที่ถูกทิ้งให้อยู่โรงเรียนเย็นกว่าวันปกติ
“ไม่ต้องนะร้องครับคนเก่ง หยุดร้องนะลูก วันนี้คุณแม่เขาติดธุระน่ะครับ คุณแม่เลยมารับไม่ได้” ภัทร์ปดลูกชาย พลางหันไปกล่าวขอบคุณคุณครูที่ช่วยอยู่ดูแลลูกชายทั้งสองให้ หลังจากนั้นภัทร์ก็พาลูก ๆ ทั้งสองขึ้นรถ และมุ่งหน้าไปส่งที่คอนโดฯของอดีตภรรยา ระหว่างเดินทางเขาก็ยังคงพยายามติดต่อหาพริมาอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ภัทร์ชักใจไม่ดี เขาพยายามชวนลูก ๆ ทั้งสองพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่โรงเรียน หนูน้อยทั้งสองต่างแย่งกันเล่าผู้เป็นพ่ออย่างสนุกสนานถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้ทำไป จะมีก็แต่ผู้เป็นพ่อที่ยังคงหน้าตาเคร่งเครียด ภัทร์ใช้ตามองไปยังถนนเบื้องหน้าที่รถราต่างวิ่งกันขวักไขว่เต็มไปหมด พลางพยายามบังคับสมองไม่ให้คิดถึงเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับพริมา ชายหนุ่มเหลือบมองลูก ๆ จากทางกระจกมองหลังอยู่เป็นระยะ ๆ เขาต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการขับรถให้ถึงคอนโดฯของพริมาอย่างปลอดภัย เพราะหัวใจที่เริ่มกระวนกระวาย ร้อนรน เพียงแค่คิดว่า ถ้าพริมาเป็นอะไรไป เขาและลูก ๆ จะอยู่ได้อย่างไรกัน
************************
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ
อาทิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ธ.ค. 2555, 02:24:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ธ.ค. 2555, 10:20:53 น.
จำนวนการเข้าชม : 2683
<< ตอนที่ 18....30% | ตอนที่ 19......50% >> |
konhin 15 ธ.ค. 2555, 03:02:53 น.
เฮ้อ เกลียดผู้ชายแบบนี้ สาธุให้ปริมพ้นจากคนๆนี้ไปทีเถอะ
เฮ้อ เกลียดผู้ชายแบบนี้ สาธุให้ปริมพ้นจากคนๆนี้ไปทีเถอะ
Auuuu 15 ธ.ค. 2555, 09:48:50 น.
เอิ่ม... ไม่ไหวจะเคลียร์นะนายภัทร์
เอิ่ม... ไม่ไหวจะเคลียร์นะนายภัทร์
nunoi 15 ธ.ค. 2555, 11:24:13 น.
อ้าวทำไมไม่รีบเปิดซองดู จะได้รู้จริงๆซักที
อ้าวทำไมไม่รีบเปิดซองดู จะได้รู้จริงๆซักที
violette 15 ธ.ค. 2555, 12:59:17 น.
โอยยยยยย ชั้นเกลียแกจริงๆนายภัทร์
บอกรักลูกสาวแล้วลูชายสองคนที่เกิดจากเมียที่บอกว่ารัก พอมีแล้วก็ไม่ดูแล ไปหาเมียน้อย สันดานจริงๆ
โอยยยยยย ชั้นเกลียแกจริงๆนายภัทร์
บอกรักลูกสาวแล้วลูชายสองคนที่เกิดจากเมียที่บอกว่ารัก พอมีแล้วก็ไม่ดูแล ไปหาเมียน้อย สันดานจริงๆ
ปิศาจสัญจร 16 ธ.ค. 2555, 06:35:45 น.
เปิดให้รู้ไปเลยว่าไม่ใช่ลูก จะได้จบ
เปิดให้รู้ไปเลยว่าไม่ใช่ลูก จะได้จบ
omelate 16 ธ.ค. 2555, 10:52:46 น.
เซ็งนายภัทร
เซ็งนายภัทร
pretty 17 ธ.ค. 2555, 08:13:27 น.
เบื่อภัทรที่สุด
เบื่อภัทรที่สุด