บ่วงรักแรงอธิษฐาน
รักในปัจจุบันผูกพันกับรักที่ปวดร้าวในอดีตชาติ
คำอธิษฐานและบุพเพสันนิวาสนำเขาและเธอกลับมาพบกันอีกครั้ง
แต่จะทำเช่นไรเมื่อหนึ่งคือเพื่อนรักที่ยอมสละชีพเพื่อเราและหนึ่งคือยอดดวงใจที่เฝ้ารักเฝ้ารอมาหลายภพชาติ
Tags: ย้อนอดีต ระลึกชาติ บุพเพสันนิวาส

ตอน: ตอนที่ 9 ดอกไม้ในใจของใครคนอื่น


“มื้อค่ำแกงหน่อไม้อ่อนๆ เห็นทีจะอร่อยนะพุดซ้อน”
ยายเมี้ยนคนเดิมยังอยู่แต่ชรามากแล้ว ความภูมิใจในชีวิตที่หาได้ทุกวันอย่างง่ายๆ คือการได้ทำอาหารอร่อยๆ ให้ลูกๆ หลานๆ ในหมู่บ้านได้กินกัน แค่มีคนเอ่ยปากชมสักนิดนั่นก็สร้างรอยยิ้มแห่งความสุขให้หญิงชรามากมายแล้ว

“ก็ดีนะจ๊ะยาย พุดซ้อนกำลังอยากกินพอดีเลย” คนขี้น้อยใจคนเดิมเมื่อเช้านี้เห็นดีเห็นงามด้วยอันที่จริงเพราะอยากเห็นรอยยิ้มของคนแก่ด้วยนั่นแหละ ตั้งแต่เช้าจนบ่ายคล้อยยังไม่ยอมพูดหรือแม้แต่จะมองหน้าคนโง่เลย เหลือบไปมองคนที่นั่งทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่บนแคร่ใกล้ๆ ด้วยหางตาแว่บหนึ่ง เห็นแล้วมันชวนหงุดหงิดหัวใจยิ่งนัก ดูซิทำคนอื่นน้อยใจขนาดนี้แล้วยังไม่ง้อสักคำ รู้ตัวบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้

“นังกระถินก็ไม่รู้หายหัวไปไหนแต่เช้า เฮ้อ...หลานคนนี้นี่” บ่นให้หลานสาวคนเดียวที่หายออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา
“อ๋อ กระถินบอกให้ฟังตั้งแต่เมื่อวานว่าวันนี้จะไปช่วยป้านวลเก็บฟืนจ้ะยาย”
“อ้อรึ..อย่างนั้นก็แล้วไป”

“เดี๋ยวพุดซ้อนจะไปเก็บหน่อไม้อ่อนนะจ๊ะยาย เตรียมเครื่องแกงไว้รอได้เลยจ้ะพุดซ้อนไปไม่นาน”
“เอ้า ไอ้ทองไปช่วยแม่พุดซ้อนเขาถือตะกร้าไปเท้ายังไม่หายดี” จันรีบนำเสนอคนถือตะกร้าที่เห็นนั่งนิ่งมาตั้งแต่เช้าแล้วเช่นกัน ถ้าเมื่อเช้ามีอะไรก็อยากให้ได้ถือโอกาสนี้ปรับความเข้าใจ

“พุดซ้อนไปคนเดียวได้พี่จัน พี่ทองคงไม่ว่างดอกกระมัง” ฟาดด้วยหางตาหนึ่งเผียะ
“ไปสิไป นั่งเฉยๆ มันก็เบื่อ ไปกันพุดซ้อนเดี๋ยวจะช้า”

ยิ่งเห็นคนตัวโตทำไม่รู้ไม่ชี้มันก็ยิ่งน่าหมั่นไส้ คนหน้างอลุกขึ้นเดินปั้นปึ่งไปหยิบตะกร้าและเสียมเอาไว้ในมือ ก่อนจะเดินหน้าหงิกไปตามทางเล็กๆ ที่คุ้นเคยมุ่งสู่ป่าไผ่ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านพอเดินหอบเพื่อเก็บหน่อไม้อ่อน ทองผู้ไม่รู้ร้อนเดินตามแทบไม่ทัน

“สองคนนี้มันเป็นอะไรกัน ยายเห็นมันไม่พูดกันมาตั้งแต่เช้าแล้ว” ย้ายเมี้ยนตั้งข้อสังเกต
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะยาย เห็นบอกตกน้ำเมื่อเช้า”
“อ้าว ตกน้ำแล้วไปโกรธไอ้ทองมันทำไมล่ะ แปลกคน”
“นั่นสิยายหนูก็งง”
โป๊ก! กระบวยอันเล็กในมือยายเมี้ยนเคาะเบาๆ พอได้ยินเสียงที่กบาลขี้เลื่อยของจัน นักรบผู้กล้าผู้เรียกแทนตัวเองว่าหนูตลอดมา ชายหนุ่มมือกุมหัวลูบและซู้ดปากเบาๆ หันมามองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ดวงตามากประสบการณ์ของยายเมี้ยนฉายแววขี้เล่นยิ้มที่มุมมากอย่างเอ็นดูระคนหมั่นเขี้ยวถึงจะไม่มีเขี้ยวเหลือแล้วก็ตาม

“อ้าวยาย ตีหัวหนูทำไมเล่า”
“ยังไม่ได้ลงโทษที่เก็บฝ้ายข้ามาเล่น หึหึหึ”
“โอ้โห...ยาย ยังจำได้อีกหรือนี่ นั่นมันหลายปีมาแล้วนี่นา”
“นั่นเฉพาะต้น มามะ...เอาดอกเบี้ยมาด้วย” พูดพลางมือเหี่ยวย่นเงื้อกระบวยหวังเคาะอีกสักโป๊ก ออกแรงมากๆ รู้สึกเหนื่อยเหมือนกันแฮะแต่สนุกดี นักรบผู้กล้าแต่ยังคงเป็นเด็กตัวเล็กๆ ของยายเมี้ยนรีบลุกขึ้นมือยังลูบหัวไวไววิ่งหนีไปดูชาวบ้านฝึกดาบเหมือนเดิม



“รอพี่ด้วยสิพุดซ้อน”
“ก็เดินตามมาเร็วๆ เข้าสิ มัวชักช้าเดี๋ยวก็มืดค่ำกันพอดี” เวลาคนกำลังปั้นปึ่งอาการนั้นมักจะออกมาทางน้ำเสียงด้วย ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจผู้หญิงมากมายนักแต่ทองก็พอรู้สึกว่าคนตัวเล็กกำลังงอนเรื่องเมื่อเช้าอยู่ คนอะไรก็ไม่รู้ทำให้คนอื่นน้อยใจแล้วตัวเองกลับงอนเสียเอง

“ก็หยุดรอพี่ก่อนสิ หนักไหมล่ะนั่น เอามาพี่จะถือให้” เห็นทีน้อยใจต่อไปก็คงไม่มีใครมาปลอบใจ รังแต่จะงอนแล้วพาลหาเรื่องงอแงไม่เลิกรา จึงยอมเป็นคนเอ่ยปากก่อน คนขี้งอนจึงยอมหยุดรอแต่ยังมองด้วยหางตา ดวงหน้าซ่อนรอยยิ้มแห่งชัยชนะเอาไว้

“เอาไป!” แกล้งทำเสียงเข้มยื่นตะกร้าและเสียมให้จำเลยรักอย่างแข็งขัน
“โกรธพี่เรื่องอะไรรึ พุดซ้อนถึงปั้นปึ่งแบบนี้ พี่ว่าพี่ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยนี่นา”
“ไม่รู้ละ ตามมาเร็วๆ เข้า” พูดพลางเดินนำหน้าลิ่วๆ สลัดแขนเรียวด้วยความเมื่อยล้า
‘จริงๆ เล้ย’



“พุดซ้อนว่าเราได้มากเกินพอแล้วล่ะพี่ทอง ถ้าจะทำคราวหน้าค่อยมาเอาใหม่ดีกว่านะ” คนอาสาออกมาหาหน่อไม้ยืนตบยุงรออยู่ด้านนอกปล่อยให้คนรับหน้าที่ถือตะกร้าต้องมุดเข้าไปใต้กอไผ่ที่รกทึบพร้อมเสียมด้ามใหญ่ที่ถือมาเองกับมือ

“กำลังงามเลยพุดซ้อน เดี๋ยวพี่เอาอีกสองสามหน่อนี้ก็พอแล้วละ” พูดเสียงดังกึ่งตะโกนออกมาจากกอไผ่ พลางโยนหน่อไม้สดๆ อวบๆ ออกมาสมทบกับพวกอีกจำนวนหนึ่งที่กองรออยู่ด้านนอกแล้ว

“ทำไมยุงมันชุมอย่างนี้นะ” บ่นพลางขยับแข้งขยับขาให้เคลื่อนไหวไม่ให้เจ้ายุงร้ายกัดได้ถนัดนัก ลำพังควันจากกองไฟที่พี่ทองก่อเอาไว้ให้ไล่ยุงก็ไม่อาจไล่ได้ทั้งหมด ขาเรียวขาวผ่องต้องมีตุ่มยุงขึ้นเป็นจ้ำๆ

“เอาละ...พอแล้วละนะ เป็นอย่างไรบ้างเหนื่อยไหมพุดซ้อน” คนตัวโตมุดออกมาจากกอไผ่พร้อมหน่อไม้หน่อสุดท้ายและเสียมในมือ พลางเอ่ยถามคนที่กำลังทำตัวยุกยิกๆ ไล่ยุงยังกับกำลังออกกำลังกาย อันที่จริงพุดซ้อนควรต้องเป็นคนถามจึงจะถูก เพราะนอกจากยืนไล่ยุงแล้วอย่างอื่นก็เป็นหน้าที่ของพี่ทองทั้งหมดเลย

“เอ้า! ไปได้ พุดซ้อนเก็บใส่ตะกร้าให้เรียบร้อยแล้ว” บอกกับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงแจ่มใส ไม่มีร่องรอยของความขี้งอนอีกแล้ว ชายหนุ่มใช้ด้ามเสียงสอดเข้าที่งวงของตะกร้า นั่งหันหลังและพาดด้ามเสียมที่บ่า แขนกำยำรั้งด้ามเสียมเพื่อทานน้ำหนักของตะกร้าก่อนจะลุกขึ้นจัดศูนย์ถ่วงน้ำหนักให้พอดี
“กลับกันเถอะ”

“โอ้โห...พี่ทองโน่นรังมดแดง เราเอาไข่มดแดงไปด้วยดีไหมใส่แกงหน่อไม้ก็อร่อยดีนะ” นิ้วเรียวงามชี้ไปที่รังมดแดงบนต้นไม้สูงชะลูด นี่มันต้นอะไรกันทำไมกิ่งก้านสาขามันอยู่สูงจังคงจะปีนยากน่าดู แต่.. มันมีไข่มดแดงอยู่บนนั้นนะ
“พี่ว่าอย่าไปรังแกมันเลยดีกว่านะพุดซ้อน เราก็รักชีวิตมันก็รักชีวิตเหมือนเรานั่นแหละ”
“แต่พุดซ้อนอยากกินนี่นา มันเกิดมาเป็นอาหารของคนนะพี่ทอง”
“แต่เราไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยนะพุดซ้อน”
“น่า...นะ”

แล้วชายหนุ่มก็ต้องปล่อยยิ้มและเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะเทหน่อไม้กองเอาไว้บนพื้นหญ้าเตรียมแปรตะกร้าให้เป็นเครื่องมือร่อนไข่มดแดง ‘ให้ตายสิน่า ทำไมต้องยอมแพ้แววตาออดอ้อนแบบนี้ทุกครั้งไปก็ไม่รู้’

หลังจากผูกงวงตะกร้าติดเอวด้วยผ้าขาวม้าแล้ว ร่างกำยำค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนต้นไม้อย่างยากลำบาก ลำต้นสูงชะรูดไร้กิ่งก้านให้เกาะเกี่ยวจนเมื่อปีนขึ้นไปจนสูงแล้วจึงมีกิ่งให้พอได้นั่งหย่อนขาได้สบาย แต่คงจะสบายกว่านี้ถ้าต้นไม้นี้ไม่เต็มไปด้วยมดแดงตัวน้อยที่คอยปกป้องรังของมันจากผู้รุกราน ผ้าขาวม้าถูกผูกกับงวงของตะกร้าแบบเหลือชายเอาไว้ยาวๆ มือหนาเอื้อมไปหักกิ่งไม้เล็กๆ ที่เป็นที่ทำรังของเจ้ามดแดงและโยนลงตะกร้าอย่างรวดเร็วพร้อมปล่อยผ้าขาวม้าให้ยาวยึดไว้เพียงที่ปลายผ้าเล็กน้อยเท่านั้น พลางรีบปีนลงมาจากต้นไม้ให้เร็วที่สุดเพราะมดแดงนับร้อยกำลังกรูเข้าทำร้ายหวังกำจัดผู้รุกรานที่บังอาจมาขโมยไข่ของพวกมันให้สิ้นซาก

มือหนากระตุกปลายผ้าขาวม้าเป็นระยะเพื่อป้องกันกองทัพมดที่กำลังปีนป่ายตามชายผ้าขึ้นมาที่แขน แต่ก็มีบางส่วนที่กระเด็นกระดอนปีนป่ายขึ้นตามร่างกายได้แล้ว เขารีบใช้กิ่งไม้ใกล้ๆ จิ้มที่รังมดแดง ไข่ขนาดเท่าเม็ดถั่วลักษณะสีขาวขุ่นจำนวนมากร่วงลงที่ก้นตะกร้า ฝูงมดแดงแตกตื่นปีนป่ายออกมา กิ่งไม้เล็กๆ ถูกเคาะที่งวงและปากตะกร้าเป็นจังหวะถี่รัวไล่มดแดงให้จากไปทิ้งเพียงไข่เอาไว้ให้เป็นอาหารอันโอชะของคนสวยที่ยืนมองอยู่ไกลๆ อย่างตื่นเต้น

“โอ้โห ไข่เยอะแยะเลยพี่ทอง” พูดพลางเอื้อมมือปัดเจ้ามดแดงมากมายที่กำลังปีนป่ายอยู่บนร่างของคนตัวโต บ้างก็ลงมือทำโทษคนใจร้ายโดยการกัดให้รู้สำนึกเท่านั้นยังไม่พอมันต้องฉี่ใส่ด้วยถึงจะสาสมกัน
“โอ๊ย ๆ ปัดออกเร็วๆ เข้าพุดซ้อน”

แล้วไข่มดแดงก็ถูกห่อด้วยใบตองที่เด็ดมาจากบริเวณใกล้ๆ นั้น หน่อไม้ถูกเก็บลงตะกร้าชายหนุ่มสอดด้ามเสียมเข้าที่งวงของตะกร้าอีกครั้งเตรียมตัวเดินทางกลับ นี่ก็จวนเจียนจะค่ำแล้วเกรงยายเมี้ยนแกจะรอนาน

“เรานั่งกันสักพักก่อนได้ไหมพี่ทอง”
ตะวันต่ำคล้อยสาดแสงลอดทิวไผ่มาทางทิศตะวันตกฉาบผืนป่าเป็นสีทองอร่าม ถัดจากชายป่าเป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้างที่พลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่นตามแรงลม หญิงสาวจูงแขนพี่ทองไปนั่งที่ขอนไม้ข้างท้องร่อง ที่ตรงนี้เป็นที่ที่เคยมานั่งเล่นกันประจำเมื่อสมัยยังเด็ก อยากรับลมระลึกความหลังสักหน่อยหวังว่าคงไม่ทำให้มืดค่ำเท่าไรหรอกกระมัง

“จำได้ไหมพี่ทอง เมื่อก่อนเรามานั่งเล่นที่นี่บ่อยๆ” หันมาถามกระตุ้นความจำกับอีกคนที่เดินตามมานั่งลงข้างๆ ชายหนุ่มยิ้มตอบรับ
“พุดซ้อนเคยนั่งร้องไห้เพราะหิวข้าว จนพี่กับพี่จันต้องไปหาเห็ดมาย่างให้กิน”
“น่าอายนัก” ตางามหันมายิ้มพรายก่อนหันกลับไปสูดอากาศเต็มปอดอีกครั้ง พูดถึงเรื่องกินก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันใด มือเรียวลูบท้องป้อยๆ ชำเลืองมองเจ้าไข่มดแดงในห่อใบตองแล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ก้าวลงข้างท้องร่องเก็บเศษไม้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากองรวมๆ กัน
“ยายเมี้ยนจะไม่รอนานหรือพุดซ้อน ” พี่ทองถามอย่างกังวลขณะเตรียมก่อไฟย่างไข่มดแดงอย่างรู้หน้าที่
“ไม่เป็นไรดอกพี่ทอง สักประเดี๋ยวเอง”

เพียงชั่วครู่อาหารประทังชีวิตก็ถูกแกะออกจากห่อใบตองที่ถูกย่างไฟจนใบตองชั้นนอกไหม้กรอบเป็นสีดำ สองชีวิตนั่งสนทนารำลึกความหลังไปพลาง หยิบกินไข่มดแดงร้อนๆ ไปพลาง ในใจของพุดซ้อนนั้นเพียงอยากแสดงออกให้ทองรู้ว่า ไม่ว่าวันเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่พุดซ้อนก็ยังเป็นพุดซ้อนคนเดิมของพี่ทองอยู่เสมอ เมื่อเช้าเผลอไปทำร้ายความรู้สึกโดยไม่ตั้งใจ อยากใช้โอกาสนี้ปรับความรู้สึกนั้นให้กลับมาดีดังเดิม
กระทั่งบรรยากาศขมุกขมัวเลือนหายไปหมดสิ้นจึงชวนกันเก็บของกลับบ้าน ป่านนี้ยายเมี้ยนคงเฝ้าแต่ชะเง้อคอยหา

“เดินดีๆ นะพุดซ้อน เดี๋ยวได้หกล้มหัวร้างข้างแตกดอก” ทองร้องเตือนคนตัวเล็กที่ก้าวขึ้นจากท้องร่องที่ค่อนข้างชันฉับๆ ไม่ระวังว่าจะพลาดพลั้ง
“ไม่เป็นไรดอก อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กแล้ว หลับตาเดินยังได้เลยพี่ทอง ว้าย...”
พูดไม่ทันขาดคำผู้ชำนาญพื้นที่ก็เหยียบพลาดไถลลื่นลงไปก้นจ้ำเบ้าเสียแล้ว

“พุดซ้อน!...เป็นยังไงบ้างเจ็บตรงไหนรึเปล่า”
“โอย....สงสัยเท้าพุดซ้อนจะแพลงแล้วละพี่ทอง เจ็บจังเลย...” คนตัวโตทรุดลงนั่งข้างๆ เอื้อมมือจับที่ข้อเท้าเล็กเบาๆ
“ไหนดูซิ ทนเจ็บเอาหน่อยนะเดี๋ยวพี่จะนวดให้”
“โอ๊ย เบาๆ สิพี่ทอง นี่จะนวดให้หายหรือจะฆ่าให้ตายกันแน่” คนตัวเล็กตัดพ้อโวยวาย หน้านิ่วเมื่อพยายามลุกขึ้นเดินอีกครั้ง

“ขี่หลังพี่ไปก็แล้วกันกลับถึงบ้านนวดยาสักพักก็คงหาย” พูดพลางยื่นด้ามเสียมให้ก่อนจะย่อตัวลงหันไปบอกคนเจ็บที่กำลังมีท่าทีลังเล
“มาเถอะ ไม่ต้องคิดมากดอกพี่น่ะเห็นพุดซ้อนมาตั้งแต่ยังแบเบาะนะ”

เมื่อเห็นว่าคงไม่มีทางเลือกพุดซ้อนจึงยอมโน้มกายไปบนแผ่นหลังกว้างใหญ่กำยำอย่างแผ่วเบาด้วยความเขินอาย ชายหนุ่มเอื้อมแขนข้างหนึ่งมารั้งต้นขาและโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อรับน้ำหนัก มืออีกข้างหนึ่งต้องหิ้วตะกร้าหน่อไม้
“กอดคอพี่เอาไว้ด้วยพี่มีมือข้างเดียวระวังจะหล่นนะ” แขนเรียวค่อยๆ เอื้อมไปคล้องคอคนตัวสูงตามคำสั่งอย่างเกรงๆ

ถ้าพี่ทองหันมามองตอนนี้คงจะเห็นว่าคนเจ็บกำลังหน้าแดงเป็นลูกตำลึง รู้สึกวูบบาบไปทั้งตัว ตั้งแต่โตมาเคยต้องแนบชิดกับผู้ชายคนไหนขนาดนี้กันเล่านอกจากเมื่อเช้านี้ และ...ตอนนี้ วันนี้มันเป็นวันอะไรกันนะทำไมต้องมาใกล้ชิดกับพี่ทองถึงสองครั้งสองครา และพอคนตัวสูงลุกขึ้นยืนทั้งสองร่างก็เบียดชิดจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน

ตะวันลับขอบฟ้าหมู่นกกากำลังทยอยบินกลับสู่รวงรัง แสงอาทิตย์ยามเย็นทอทับไปบนภูเขาลูกใหญ่ส่งให้เกิดเงาทอดทับไปยังภูเขาที่ไกลออกไปลูกแล้วลูกเล่า เช่นเดียวกับร่มเงาของภูเขาลูกใหญ่เบื้องหลังที่ปกคลุมผืนป่าและทางเดินที่หนุ่มสาวกำลังมุ่งหน้ากลับไปยังหมู่บ้าน แม้เป็นระยะทางไม่ไกลนักแต่ก็ใช้เวลาค่อนข้างนานสำหรับการต้องเดินช้าๆ แถมยังต้องแบกคนเจ็บอีกหนึ่งคนมาบนหลัง

“พุดซ้อนตัวหนักไหมพี่ทอง”
กระซิบถามแผ่วเบาที่ข้างหู ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากชายหนุ่มมีเพียงการชำเลืองมามองและรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า สังเกตเห็นว่าต้นคอหนาเริ่มชื้นเพราะเม็ดเหงื่อ ภาพเก่าๆ ลอยมาในห้วงสำนึกให้รู้สึกถึงความอบอุ่นของแผ่นหลังที่คุ้นเคยอีกครั้ง นานแล้วที่ไมได้ขี่หลังพี่ทองคนนี้ แต่ความรู้สึกเมื่อครั้งเก่ายังคงฝังลึกในใจของหญิงสาวไม่เคยลืม เวลาที่ได้ขี่หลังแบบนี้เด็กหญิงตัวเล็กๆ ต้องพลอยเคลิ้มหลับเสียทุกครั้งไป แนบแก้มอิ่มที่หัวไหล่หนาช้าๆ ตางามหลับพริ้ม อยากมีชีวิตอยู่กับช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและสุขใจแบบนี้นาน

“อ้าว หลับไปแล้ว?”
ชายหนุ่มหันมายิ้มและพูดกับตัวเองเบาๆ รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่โรยรินรดต้นคอเป็นจังหวะยาวๆ บอกให้รู้ว่าคนตัวนุ่มนิ่มบนหลังได้หลับไปเรียบร้อยแล้ว
“พุดซ้อนง่วงจังเลยพี่ทอง” ภาพเด็กตัวเล็กๆ เมื่อหลายปีก่อนยังเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำ

“ง่วงก็นอนหลับเลยนะคนเก่ง เดี๋ยวถึงแล้วพี่จะปลุกเอง”
ภาพเก่าๆ ทำให้ความรู้สึกเดิมๆ ที่แต่งเติมกลิ่นไอรักแบบหนุ่มสาวกรุ่นๆ ขึ้นมาหลังจากถูกเก็บงำเอาไว้ภายใต้บุคลิกนุ่มนิ่ง และข้อจำกัดของคำว่าพี่ชาย กลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายอิ่มอุ่นสัมผัสจมูกแผ่วเบาชวนหลงใหล อยากหยุดเวลาเอาไว้เพียงเท่านี้ ให้มีเพียงเราสองคนบนโลกสวยงามกว้างใหญ่แบบนี้ไปนานๆ ทว่าเพียงชั่วครู่ความรู้สึกแห้งแล้งโดดเดี่ยวก็กลับเข้ามาแทนที่
‘พุดซ้อนคือคนรักของจัน.. ไม่ใช่เรา..’



“อ้าวไอ้ทองกับพุดซ้อนมาโน่นแล้ว แล้วทำไมเดินกะเผลกแบบนั้นเล่า”
จันรู้สึกแปลกใจระคนเป็นห่วงที่เห็นพุดซ้อนต้องเดินกะเผลกเกาะแขนเพื่อนรักมาไกลๆ คนตัวสูงรีบเดินกึ่งวิ่งออกไปรับ ทองต้องปล่อยให้คนเจ็บลงจากหลังและค่อยๆ พยุงตัวเดินมาเมื่อจะถึงทางเข้าหมู่บ้าน หากจะให้ขี่หลังเข้ามาถึงในหมู่บ้านเกรงจะไม่งามนักพุดซ้อนจะกลายเป็นที่ครหาได้

“ลื่นล้มเท้าแพลง เอ็งพาไปหายานวดทีนะไอ้จันข้าจะไปช่วยยายเมี้ยนเอง”
ทองบอกกับเพื่อนรักขณะส่งมอบคนเจ็บให้กับเจ้าของตัวจริงได้รับไปดูแลปฐมพยาบาล ก่อนจะถือเสียมไปเก็บและหิ้วตะกร้าหน่อไม้ตรงไปหายายเมี้ยนที่ยืนชะเง้อคอยอยู่ด้วยความเป็นห่วง โดยไม่ยอมหันมามองอีกเลย

การมึนตึงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในใจพุดซ้อนอีกครั้ง ตาสวยรื้นขึ้นด้วยน้ำตาจนต้องเงยหน้าเอาไว้ไม่ให้อีกคนจับได้ว่ากำลังจะร้องไห้
อาการเจ็บแปลบที่ข้อเท้ายังน้อยกว่าความเจ็บปวดที่หัวใจมากมายนัก เจ็บเพราะไม่รู้ว่าตนทำผิดอะไรทำไมคนที่เพิ่ง กระตือรือร้นทำตามที่ต้องการทุกอย่าง เอาใจใส่ดูแลเป็นห่วงเป็นใย ยอมให้ขี่หลังมาตั้งไกลทั้งๆ ที่ตัวพุดซ้อนเองก็หนักไม่ใช่น้อยถึงได้ปั้นปึ่งเย็นชาอีกแล้ว ความรู้สึกเหมือนเมื่ออยู่ในป่าหรือตลอดระยะทางที่ขี่หลังกลับมาหมู่บ้าน นั่นมันไม่มีจริงอย่างนั้นหรือ? แค่หลอกให้พุดซ้อนดีใจแล้วก็เฉยชาไม่ใยดี แบบนี้มันสนุกนักหรือไร

“เดินดีๆ นะพุดซ้อน มาเดี๋ยวพี่พาไป” จันเอื้อมแขนมารับพยุงต่อ ขาเจ้ากรรมดันรับน้ำหนักไม่ไหวร่างบางๆ จึงเซถลาเข้าสู่อ้อมอกของจัน ช่างเป็นโอกาสดีที่จะได้ปลดปล่อยทำนบน้ำตาให้พังครืนลงไปตอนนี้ ให้คนเขารู้ว่า แค่ขาที่เจ็บไม่ใช่หัวใจ ‘คนใจร้าย’

“พี่จัน.. .”
“เจ็บมากเลยรึพุดซ้อน ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวพี่พาไปทายาสักพักก็หายแล้วละไม่ต้องร้องนะไม่ต้องร้อง”

ความเป็นห่วงพุ่งพล่านสู่หัวใจ คนใจน้อยที่กำลังเดินถือตะกร้าหน่อไม้ต้องรีบหันมาตามเสียงร้องไห้ แต่...ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้ากลับทำให้ความน้อยใจที่กรุ่นๆ อยู่ก่อนแล้วถึงคราวพังทลาย ชายหนุ่มต้องรีบเบือนหน้าไปทางอื่นไม่อาจทนเห็นภาพบาดใจนี้ต่อไป มันยากเหลือเกินที่จะหลบเพื่อซ่อนน้ำตาลูกผู้ชายไม่ให้ใครได้เห็น รีบวางตะกร้าหน่อไม้ไว้ตรงหน้า ปักเสียมเอาไว้ใกล้ๆ และรีบเดินขึ้นเรือนหลบสายตาผู้คน



‘หลังจากวันนี้ลูกผู้ชายชาตินักรบ จะไม่ยอมเสียน้ำตาให้กับเรื่องเพียงเท่านี้อีกแล้ว ร้องเถิดทองร้องเสียให้พอให้น้ำตามันชะล้างความรู้สึกเจ็บร้าวออกมาให้สิ้น แต่...คำว่าเพื่อน และน้องสาว จะไม่มีสิ่งใดมาทำลายลงได้ จากนี้ไปเราต้องคิดกับพุดซ้อนเพียงแค่...น้องสาว...เท่านั้น’

++++++++++++++++++++++++++++



ไอรายา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 พ.ค. 2554, 07:22:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 พ.ค. 2554, 07:22:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1742





<< ตอนที่ 8 กรุ่นกลิ่นปิ่นปัทมา   ตอนที่ 10 คำมั่นสัญญา >>
ปิลันธน์ 22 พ.ค. 2554, 21:32:16 น.
สงสารคนแอบรัก..


ศศิริษา 23 พ.ค. 2554, 09:16:35 น.
ใช่ๆ แอบรักคนที่เขาไปรักคนอื่นเนี่ย เจ็บปวดน่าดูเลย ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account