เล่ห์รักเกมหัวใจ
มีน เขาถูกว่าจ้างให้หักอกเธอ "อลินา" ที่คนว่าจ้างบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงร้ายกาจ
อลินา ถูกว่าจ้างให้ดักหลังผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ อย่าง"มีน" ที่ไม่ยอมสยบให้หญิงใด
เมื่อ แผนถูกซ้อนเป็นชั้นๆเหมือนขนมที่แสนหวาน กับดักที่พันจนวุ่นวาย
หมายเหตุ เรื่องนี้เขียนสดๆ ดังนั้นอาจจะมีเนื้อหาที่จะมีการเปลี่ยนแปลงภายหลังค่ะ
อลินา ถูกว่าจ้างให้ดักหลังผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ อย่าง"มีน" ที่ไม่ยอมสยบให้หญิงใด
เมื่อ แผนถูกซ้อนเป็นชั้นๆเหมือนขนมที่แสนหวาน กับดักที่พันจนวุ่นวาย
หมายเหตุ เรื่องนี้เขียนสดๆ ดังนั้นอาจจะมีเนื้อหาที่จะมีการเปลี่ยนแปลงภายหลังค่ะ
Tags: เล่ห์รักเกมหัวใจ คีตา ณิชนิตา
ตอน: บทที่ ๑๖ แลกชีวิตกับเธอ
บทที่ ๑๖
แลกชีวิตกับเธอ
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นระหว่างที่หญิงสาวกำลังนอนลืมตาโพรงอยู่ในห้อง เธอไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะขยับกายออกไปไหน แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันทำงานแล้วแต่เธอยังรู้สึกเหมือนไม่อยากทำอะไรเลยสักอย่าง คงเป็นเพราะเรื่องที่สนต์และชารีนเล่าให้ฟังเมื่อวาน เธอพยายามแล้วที่จะไม่รู้สึกอะไรแต่ทำไม หัวใจถึงได้เจ็บ...เจ็บแปลบกับภาพที่เห็นบนหน้านิตยสาร
มือสวยกดรับสายทั้งๆที่ไม่ได้มองชื่อบนหน้าจอนั้นสักนิด ปลายสายนั้นเงียบไปเพียงอึดใจเดียวหลังจากที่เธอกล่าวสวัสดี
“พ่อเองนะลีน่า” นานแล้วที่เธอไม่ได้ยินเสียงนี้ อลินาลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ ก่อนจะตอบรับกลับไป
“คือ...ลีน่ามาพบพ่อที่บ้านได้ไหม คุณพิมเขาอยากเจอหนู”
“อะไรนะคะ”
“คุณพิมพิกาเขาอยากเจอลีน่า หนูมาหาพ่อที่บ้านได้ไหม เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“เรื่องอะไรเหรอคะ แล้วทำไมคุณพิมถึงได้รู้เรื่องหนูแล้ว”
“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน ดูเหมือนเขาจะจ้างนักสืบ เขารู้แล้วว่าหนูเป็นใคร จริงๆ พ่อเสียใจกับเรื่องนี้มากนะ อยากให้หนูได้คุยกับคุณพิม เธออยากให้ลีน่าไปอยู่ที่บ้าน อย่างน้อยก็ในฐานะลูกคนหนึ่งของพ่อ”
“ค่ะ ลีน่าจะเข้าไปหาพรุ่งนี้” เธอตอบรับแม้น้ำเสียงจะฟังดูแผ่วแต่มันก็ถือว่าได้สัญญาเรียบร้อยแล้ว เมื่อวางโทรศัพท์เครื่องจิ๋วนั้นลงบนเตียงอย่างหมดแรง สิ่งหนึ่งที่อลินาคิดได้คือ อนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แม่เลี้ยงเธอจะยินดีต้อนรับเหมือนอย่างที่พ่อพูดหรือเปล่า ถอนหายใจเพียงแผ่วเบา
เมื่อหญิงสาวลงมาที่ร้าน อาจจะยังไม่ถึงเวลาเปิดแต่พัชระก็นั่งจัดการตระเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นไว้แล้ว ทุกเช้าพี่ชายต่างแม่คนนี้จะทำอาหารง่ายๆ ไว้รอเธอและประวีย์บางครั้งอาจจะมีมีนร่วมโต๊ะในครัวด้วย วันนี้เธอเห็นหลังชายหนุ่มแวบๆ ก่อนจะโผล่หน้าออกมาเมื่อได้ยินเสียงเธอกล่าวทักทายพี่ชาย
“อลิส มากินข้าวต้มกุ้งพี่ลงมือเองนะ”
“มันกินได้แน่นะ” เธอกล่าวตอบสีหน้าหวั่นๆ ว่าชายหนุ่มทำกับข้าวได้แน่หรือ
“อะไรๆ พี่นี่แหละกุ๊กคนแรกของเรดคลับ”
“แต่ที่นี่ไม่ได้ขายกับข้าวนี่ มีแต่เครื่องดื่ม” เธอแย้งกลับ มันทำหน้าละเหี่ยใจ
“งั้นไม่ต้องกินล่ะ”
“โธ่ ทำงอน จริงๆ พี่มีนขับรถออกไปซื้อหน้าปากซอยนี่เอง ถ้าพี่มีนทำกับข้าวนะวันนั้นฝนตก” ประวีย์ได้ทีสำทับก่อนจะหัวเราะร่วน มีนเข่นเขี้ยวหันไปคว้าต้นหอมใกล้มือขว้างใส่เจ้าน้องตัวดีทำเอาเด็กหนุ่มหลบวุ่นวาย
“กินค่ะ ยังไงก็กินมันไม่มีอะไรกินนี่” เธอว่าทั้งอมยิ้มหันไปมองพัชระที่ยังคงทำหน้าที่เช็ดแก้วอยู่ที่บาร์ด้วยท่าทีเงียบขรึม
“พี่พัชมากินด้วยกันสิคะ”
“ไม่เป็นไร พี่จัดการกาแฟไปเรียบร้อยแล้วล่ะ” เขาตอบก่อนจะเดินไปที่มุมหนึ่งของร้าน คว้ากีตาร์โปร่งตัวเก่านั้นขึ้นแนบลำตัวแล้วเล่นเพลงช้าๆ อลินาค่อนข้างแปลกใจกับมุมนี้ของพี่ชาย เขาดูเหมือนคนที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่และดูเหมือนจะหนักหนาเอาการ
“พี่พัชเขาเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เธอหันกลับมาถามมีนเสียงเบา
“เรื่องที่บ้านน่ะ เวลากลับบ้านทีไรพัชจะมีอาการอย่างนี้เสมอ” มีนเล่าง่าย ๆ นั่นกลับทำให้อลินาเริ่มที่จะเข้าใจอะไรมากขึ้น หันกลับไปมองพี่ชายอีกครั้งสีหน้าเรียบมือเรียวยาวที่กำคอร์ดกีตาร์ดูมีเสน่ห์อย่างประหลาด ยิ่งเสียงเพลงที่เขาบรรเลงมาอย่างแผ่วพริ้วนั้นยิ่งทำให้เขาน่ามองเพิ่มขึ้น
“ผู้ชายหน้าตาดี เล่นดนตรีเก่ง ร้องเพลงเพราะ ดูดีทุกกระเบียดนิ้วแบบนี้ทำไมยังไม่มีแฟนน๊า” เสียงของประวีย์ดังขัดจังหวะทำให้หนุ่มสาวหันกลับไปมอง เด็กหนุ่มที่นั่งเท้าคางมองพัชระตาปรอย
“คนเรามันมีช่วงจังหวะของใครของมันนะ แล้วมองพัชตาปรอยแบบนั้นนี่คง...ไม่ได้ชอบมันหรอกนะ”
“เฮ้ย!! พี่มีนพูดอะไรแบบนั้นผมชอบผู้หญิงน่า”
“เหรอ” มีนทำน้ำเสียงเหมือนไม่ค่อยเชื่อยิ่งทำให้ประวีย์ทำท่าร้อนรน รีบชี้แจงเป็นการด่วน ส่วนอลินาได้แต่ลอบมองพี่ชายเป็นระยะ พัชระทำเหมือนไม่คิดอะไรแต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนคิดมาก
เมื่อมาถึงที่ทำงานช่างภาพหนุ่มปิดประตูรถได้สายตากลับเหลือบไปเห็นอดีตแม่เลี้ยงซึ่งยืนอยู่ข้างรถยนต์หรูของตัวเอง เขาเริ่มรับรู้แล้วว่ารตีมาหาเขา
“คุณรตีมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”
“ฉันอยากคุยกับเธอเรื่องลิษา ไปคุยกันที่ร้านใกล้ๆ แถวนี้ได้ไหม”
มีนตอบรับก่อนจะเดินตามเธอไปเพียงไม่ถึงสิบก้าวร้านกาแฟใกล้ๆ สำนักงานเขาที่ค่อนข้างสะอาดและกาแฟรสชาดดี รตีเลือกนั่งในมุมที่ไกลที่สุด มีนยิ้มมุมปากกับท่าทางของม่ายสาว
“อยากพูดเรื่องคุณลิษางั้นเหรอครับ”
“ใช่ ในเมื่อเธอก็รู้ดี ทำไมถึงยังทำอย่างนั้นอยู่อีก”
“ทำอย่างนั้น? หมายความว่ายังไงละครับผมจะได้ตอบถูก”
รตีจ้องชายหนุ่มเขม็ง ดวงตากร้าวด้วยความโกรธที่ยากที่ยับยั้งไว้ได้ “เธอหลอกษา เธอหลอกลูกสาวฉันให้รักเธอ”
“ผมเปล่านะครับ ผมไม่ได้หลอก” มีนตีหน้าตายหัวเราะในลำคอ
“แล้วทำไมยายษาถึงได้กลับบ้านมาบอกว่าคบกับเธอเล่า”
“ก็ไม่แปลกนี่ครับ เธอบอกว่าคบผม แล้วมีอะไรที่ต้องตื่นเต้นล่ะครับ ผมไม่ได้บอกสักคำนี่ว่าผมจะคบกับเธอ ผมแค่ถามความรู้สึกของเธอที่มีต่อผม ผมไม่ได้บอกว่าผมรักเธอ แค่ให้เธอมองผมในสิ่งที่เป็นอยู่แล้วเชื่อว่ายังก็แล้วแต่”
“เลว!!”
“ครับ ผมยอมรับว่าเลว คำนี้ผมได้ยินจนชินชาเสียแล้วครับ แล้วไง...มันคงเลวน้อยกว่าคนที่ทำให้พ่อผมตายอยู่หรอก”
“พ่อของเธอประสบอุบัติเหตุ ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว...คุณโกงจนพ่อผมหมดเนื้อหมดตัว คุณหลอกผม...เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ขาดแม่ เขาหวังว่าจะมีแม่เหมือนคนอื่น แต่สุดท้ายน้ำผึ้งที่หอมหวานกลับกลายเป็นยาพิษ” ปลายประโยคสั่นด้วยแรงอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ลึกๆ “แล้วผมผิดอะไรล่ะที่จะเอาเทคนิคการหลอกลวงชั้นเลิศของคุณไปหลอกคนอื่นบ้าง”
“เธอจะหลอกใครก็เรื่องของเธอ แต่คนๆ นั้นต้องไม่ใช่ลิษา”
“เสียใจนะครับ ผมทำตามสิ่งที่คุณพูดไม่ได้ เรื่องนี้คุณควรเตือนลูกสาวคุณเอง”
“ถ้าฉันทำได้ฉันจะมาบอกเธอหรือยังไง”
“งั้นผมก็ไม่มีอะไรจะพูด ขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”
“แล้วเธอจะเสียใจในสิ่งที่พูดออกมา เธอจะได้รู้จักคนอย่างฉันดีขึ้น ในเมื่อไม่ยอมเลิก ฉันก็จะทำให้เธอยอมในที่สุด หน้าตาดีๆ มีโอกาสที่จะเสียโฉมง่ายๆ เธอไม่กลัวขาดรายได้บ้างเหรอ” น้ำเสียงเยาะดวงตาดูถูกอย่างชัดเจน
ชายหนุ่มหัวเราะสั้นในลำคอดวงตาแข็ง ริมฝีปากเหยียดยิ้มด้วยความรู้สึกขยะแขยง “ก็เพราะหน้าตาอย่างนี้ถึงได้ทำให้ลูกสาวคุณติดบ่วงได้ ถ้าผมเป็นไอ้ตัว ลูกสาวคุณก็คงอยากใช้บริการจนตัวสั่น”
รตีควบคุมตัวเองไม่ได้จนต้องตวัดฝ่ามือไปที่ใบหน้าของมีน ทว่าชายหนุ่มมือไวกว่าคว้าข้อมือเธอกุมไว้แน่น “ระวังมือคุณด้วย มันสกปรก เดี๋ยวหน้าผมจะเป็นสิว”
“แก...ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ”
“ครับ ผมยินดีรอ...ไม่ว่าเกมนี้ผมจะแพ้หรือชนะ ผมก็ชอบที่จะเล่นเกม...เกมที่มีเดิมพันเป็นหายนะของคุณ”
ชายหนุ่มสะบัดมือของรตีออกทำเหมือนมันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดเท่าที่เคยเจอมาก่อนจะลุกขึ้นหันหลังเดินจากมา เขารู้ดีว่าไม่มีอะไรจะสู้กับรตีได้นอกจากเรื่องของลิษา เขายินดีที่จะจบเกมนี้ไปพร้อมทั้งความเจ็บปวดไม่ว่าใครจะชนะ เขาก็ยอมรับผลของมัน
“อะไรนะ?” เสียงที่ค่อนข้างดังของพิมพิกาทำให้ธนาดุลถึงกับสะดุ้ง เขาไม่เคยได้เห็นภาพแบบนี้ของภรรยานัก เธอมักทำตัวเงียบ สงวนท่าทีตัวเองเสมอ ทว่าหลังจากที่อลินาบอกความจำนงว่าจะไม่อยู่ที่บ้านพชรเทพ เธอกลับร้องขึ้นเสียงดัง
“คุณพิมพิกาได้ยินชัดแล้วนี่คะ หนูไม่คิดจะเข้ามาอยู่บ้านนี้หรอกค่ะ หนูอยากอยู่ที่ร้านเรดคลับค่ะ” อลินาอธิบายเพิ่มเติม หากเป็นอลินาคนก่อนหน้านี้คงก้มหน้ารับสิ่งที่พ่อและแม่เลี้ยงตัดสินใจให้
พิมพิกาจ้องลูกสาวของสามีด้วยความรู้สึกแค้นใจเหลือจะเอ่ย “คิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งขนาดนั้นเลยหรืออลินา เงินที่เธอใช้อยู่ทุกวันนี้ก็เงินฉันทั้งนั้น”
“หนูไม่ได้คิดกระด้างกระเดื่องอะไรเลยค่ะ เพียงแค่อยากให้เราไม่รู้สึกอึดอัดใจที่จะอยู่ร่วมกันมากกว่า คุณพิมเองก็คงตะขิดตะขวงใจที่จะอยู่กับหนู ส่วนหนูเองก็อึดอัดใจเช่นกันค่ะ”
“ฉันอุตส่าห์ยอมลดศักดิ์ศรีเพื่อมาขอให้เธอมาอยู่ร่วมบ้านนี่มันไม่มีประโยชน์เลยใช่ไหม สิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่นี่มันก็กล้ำกลืนมากพอ หากไม่คิดถึงเกียรติของพชรเทพละก็ ฉันคงไม่ยอมให้เธอเข้ามาอยู่ที่นี่หรอก ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลที่งสั่งสมมามันคงไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วเพราะเธออาจจะทำให้ชื่อเสียงเหล่านั้นมันสูญสิ้นไปในไม่ช้า”
“หนูไม่ได้ใช้นามสกุลพชรเทพดังนั้นคงไม่มีอะไรที่จะเสียหรอกค่ะคุณพิม”
“อลินา” เสียงคำรามทุ้มต่ำนั้นแสดงถึงความโกรธเกรี้ยวได้เป็นอย่างดี เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบเข้ามาในห้องรับแขกของบ้านพชรเทพทำให้ทุกคนหันไปจ้องแทบจะเป็นตาเดียวกัน มีนและพัชระเดินกึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่ง
“ขอโทษนะครับคุณแม่ ผมเคยบอกคุณแม่ไปแล้วว่าอลินาจะไม่อยู่ที่พชรเทพ”
“นี่อะไรกัน ถึงขนาดเข้ามาห้ามเองเลยหรือ การที่พ่อให้ลูกดูแลอลินามันทำให้ลูกปกป้องเด็กคนนี้ได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ผมไม่ได้ปกป้องนะครับ...”
“คนที่ลูกควรปกป้องคือแม่นะพัชระ ทำไมหรือแม่ดูเข้มแข็งมากขนาดที่ลูกไม่ยอมเข้าข้างเลยเชียวหรือ แล้วสิ่งที่แม่กำลังทำอยู่ก็เพื่อพชรเทพทั้งนั้น นึกว่าแม่จะทำอะไรเด็กนี่หรืออย่างไร”
พัชระมองหน้าแม่ด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในอก หันไปมองพ่อที่ไม่แม้แต่จะกล่าวอะไรออกมาเพื่อตัดสินเรื่องทั้งหมด เขาเกลียดความรู้สึกแบบนี้เสียจริง หากเป็นชายที่ไร้ซึ่งความเป็นผู้นำ...แล้วจะสร้างปัญหาขึ้นมาทำไมให้ทุกคนเจ็บปวด
“คุณป้าครับ ผมขออนุญาตแทรกนะครับ ผมเองรู้จักอลินามาก่อนที่พัชจะรู้จัก คุณลุงจะรับอลินากลับมาเมืองไทย ผมยืนยันได้ว่าอลินาเป็นคนที่รักศักดิ์ศรีตัวเองมากพอที่จะไม่ทำเรื่องเสื่อมเสียแม้อยู่ข้างนอก คุณป้าเคยสอนผมไม่ใช่หรือครับว่าเพชรแม้มันจะตกลงไปในโคลนตม อย่างไรเสียมันก็คือเพชรหาใช่ก้อนเม็ดกรวดทราย ผมจำขึ้นใจเสมอ ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตผม ผมก็ไม่เคยคิดทำอะไรให้ตัวเองตกต่ำ”
“เธอจะเอาตัวเองไปเทียบกับอลินาได้อย่างไรมีน เธอเป็นลูกของคุณอัจฉรา เป็นเชื้อสายเก่าแก่ แต่สำหรับอลินา...”
“เทียบได้สิครับ อลินาคือลูกสาวของคุณลุง เธอมีค่ามาก คุณป้าอาจจะมองว่าเธอไม่มีค่าถึงเพียงนั้น แต่สำหรับผม อลินามีค่ามาครับ”
หางตาของผู้สูงอายุถึงกับกระตุกเมื่อได้ยินท้ายประโยค “นี่...พวกเธอ”
“ครับ ผมกับอลินากำลังคบกันอยู่ ถ้าคุณป้าไม่เชื่อใจอลินา ก็เชื่อใจผมเถอะครับ คุณป้าดูแลผมมาน่าจะรู้จักผมดีกว่าใครอื่น”
พิมพิกาสายตาอ่อนลง เธอรักมีนดุจลูกชายคนหนึ่ง ตั้งแต่อัจฉราเสียชีวิตเธอก็คอยดูแลเด็กคนนี้เรื่อยมาจนเมื่อกิตติธรแต่งงานใหม่เธอจึงไม่ได้ช่วยดูแลเขาอย่างเช่นเคย ดังนั้นเมื่อมีนประสบปัญหาเธอจึงเป็นคนแรกที่ยื่นมือเข้าไปช่วยเขา
“ฉันเชื่อใจเธอมีน แต่สำหรับอลินา...”
“เชื่อใจเราเถอะครับ แล้วความเจ็บปวดที่คุณป้ามีในเรื่องแม่ของอลินา ผมเข้าใจดี คุณลุงเองก็คงกลัวคุณป้าเสียใจไม่เช่นนั้นก็คงไม่เอาอลินาหลบซ่อนจนถึงวันนี้หรอกครับ ทุกคนรักและเป็นห่วงคุณป้ามากนะครับ อย่ากังวล เสียใจ เคียดแค้นในเรื่องนี้เลยครับ ผมไม่อยากให้คุณป้าเจ็บอีกแล้ว ถ้าคุณป้าเอาอลินามาอยู่พชรเทพมันก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาความเจ็บปวดกลับมาสุมหัวใจ พอเถอะนะครับ”
พิมพิกาถอนใจก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนออกไป “ออกไปกันเถอะฉันจะพักผ่อน ฉันเหนื่อยมามากแล้ว”
มีนถึงกับยิ้มกว้างหันไปคว้ามือหญิงสาวมากุมไว้อย่างลืมตัว ดวงตาของพิมพิกาถึงกับตวัดเข้มจ้องการกระทำนั้นทันที มีนยิ้มแผล็บก่อนจะยกมือไหว้ลาจับจูงมือหญิงสาวออกมาจากบ้านพชรเทพ ส่วนพัชระลอบยิ้มอย่างพอใจหันไปมองแม่ที่เพิ่งเดินออกไปจากห้องรับแขก ส่วนพ่อได้แต่นั่งเอนหลังกับพนักโซฟาหรูนั้นเหมือนเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน ทว่าเมื่อเขากำลังจะก้าวออกไปเสียงทุ้มนุ่มที่เป็นเอกลักษณ์นั้นดังขึ้นขัดเสียก่อน
“พ่อขอโทษนะพัช” พัชระหันกลับมาสบตากับพ่อด้วยความรู้สึกเสียใจเช่นกันเขาส่ายหน้าแล้วเดินจากมา
มีนกุมมือหญิงสาวอีกมือกุมพวงมาลัยรถ หลังจากที่พัชระขอแยกตัวออกไปทำธุระที่บ้านสวนเพื่อเยี่ยมไข้คุณหญิงพิกุลซึ่งเริ่มมีอาการป่วยหลังจากอายุเข้าเลขเจ็ดแล้ว อลินานึกหมั่นไส้คนอารมณ์ดีข้างๆ เหลือเกิน เธอใช้มืออีกข้างตบเบาๆที่มือชายหนุ่ม
“ปล่อยได้แล้วขับรถไม่ใช่เหรอคะ อันตรายออก”
ยิ่งว่ามีนกลับยิ่งกุมมันแน่นขึ้น “อะไรกันพี่ไม่ได้จับมืออลิสเสียหน่อย นั่นๆ ยิ่งว่าอลิสยิ่งกุมแน่นเชียว ปล่อยๆ” เขาว่าอย่างสนุกปาก ทั้งกุมมือสวนนั้นแน่นขึ้นไปอีก อลินาอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“ผู้ชายอะไรขี้ตู่”
“เปล่าเสียหน่อย”
“เมื่อครู่พี่บอกคุณพิมได้อย่างไรว่าเราคบกัน อลิสไม่ได้บอกว่าจะคบพี่เสียหน่อย”
“อ้าว...ไม่ใช่หรอกหรือ พี่เข้าใจว่าเราคบกันนะเนี่ย แย่แล้ว มีวิธีแก้ไขทางเดียวเท่านั้นแหละอลิส คือเราต้องคบกันจริงๆ ไม่อย่างนั้นพี่ก็ผิดคำพูดกับคุณป้า” ตีขลุมเข้าตัวเองเสียหมดทุกอย่างจนอลินาหัวเราะเสียงใส
ดวงตาสวยนั้นมีความสุขกับสิ่งที่ชายหนุ่มทำให้ เธอจ้องชายหนุ่มจากด้านข้าง มีนดูคมเข้มขึ้นจากเมื่อก่อนนี้มาก ไม่แปลกหรอกที่สาว ๆ จะชื่นชอบและสนใจในตัวเขาถึงขนาดคลั่ง แต่สิ่งที่เหนือจากนั้นคือวิธีการพูด ดวงตา และความอ่อนโยน
ดวงตาหญิงสาวอ่อนแสงลงอย่างเห็นได้ชัด มันปรับเปลี่ยนไปตามความรู้สึกที่มี “ข่าว...” น้ำเสียงที่เริ่มแห้งลงเมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้
“อลิสว่าอะไรนะ เมื่อกี้พี่ได้ยินไม่ถนัด” เขาหันกลับมาถามแต่หญิงสาวกลับส่ายหน้า
“เปล่าค่ะ” เธอเป็นฝ่ายกุมมือชายหนุ่มแน่นขึ้น มีนยิ้มกว้างก่อนจะยกมือสวยขึ้นจดริมฝีปาก จูบแผ่วเบาแล้วเอามาแนบอกไว้
“รู้สึกถึงหัวใจพี่บ้างนะอลิส หัวใจพี่มันเต้นแรงเพราะเธอคนเดียว”
อลินาหน้านิ่ง เหมือนเขารู้ว่าเธอกำลังจะพูดอะไร...เขาล้วงรู้ความคิดของเธอได้อย่างไร แต่สิ่งที่เขายืนยันออกมานั้นเหมือนกับน้ำอุ่นที่ไหลวนเวียนอยู่ในหัวใจของเธอ
แลกชีวิตกับเธอ
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นระหว่างที่หญิงสาวกำลังนอนลืมตาโพรงอยู่ในห้อง เธอไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะขยับกายออกไปไหน แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันทำงานแล้วแต่เธอยังรู้สึกเหมือนไม่อยากทำอะไรเลยสักอย่าง คงเป็นเพราะเรื่องที่สนต์และชารีนเล่าให้ฟังเมื่อวาน เธอพยายามแล้วที่จะไม่รู้สึกอะไรแต่ทำไม หัวใจถึงได้เจ็บ...เจ็บแปลบกับภาพที่เห็นบนหน้านิตยสาร
มือสวยกดรับสายทั้งๆที่ไม่ได้มองชื่อบนหน้าจอนั้นสักนิด ปลายสายนั้นเงียบไปเพียงอึดใจเดียวหลังจากที่เธอกล่าวสวัสดี
“พ่อเองนะลีน่า” นานแล้วที่เธอไม่ได้ยินเสียงนี้ อลินาลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ ก่อนจะตอบรับกลับไป
“คือ...ลีน่ามาพบพ่อที่บ้านได้ไหม คุณพิมเขาอยากเจอหนู”
“อะไรนะคะ”
“คุณพิมพิกาเขาอยากเจอลีน่า หนูมาหาพ่อที่บ้านได้ไหม เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“เรื่องอะไรเหรอคะ แล้วทำไมคุณพิมถึงได้รู้เรื่องหนูแล้ว”
“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน ดูเหมือนเขาจะจ้างนักสืบ เขารู้แล้วว่าหนูเป็นใคร จริงๆ พ่อเสียใจกับเรื่องนี้มากนะ อยากให้หนูได้คุยกับคุณพิม เธออยากให้ลีน่าไปอยู่ที่บ้าน อย่างน้อยก็ในฐานะลูกคนหนึ่งของพ่อ”
“ค่ะ ลีน่าจะเข้าไปหาพรุ่งนี้” เธอตอบรับแม้น้ำเสียงจะฟังดูแผ่วแต่มันก็ถือว่าได้สัญญาเรียบร้อยแล้ว เมื่อวางโทรศัพท์เครื่องจิ๋วนั้นลงบนเตียงอย่างหมดแรง สิ่งหนึ่งที่อลินาคิดได้คือ อนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แม่เลี้ยงเธอจะยินดีต้อนรับเหมือนอย่างที่พ่อพูดหรือเปล่า ถอนหายใจเพียงแผ่วเบา
เมื่อหญิงสาวลงมาที่ร้าน อาจจะยังไม่ถึงเวลาเปิดแต่พัชระก็นั่งจัดการตระเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นไว้แล้ว ทุกเช้าพี่ชายต่างแม่คนนี้จะทำอาหารง่ายๆ ไว้รอเธอและประวีย์บางครั้งอาจจะมีมีนร่วมโต๊ะในครัวด้วย วันนี้เธอเห็นหลังชายหนุ่มแวบๆ ก่อนจะโผล่หน้าออกมาเมื่อได้ยินเสียงเธอกล่าวทักทายพี่ชาย
“อลิส มากินข้าวต้มกุ้งพี่ลงมือเองนะ”
“มันกินได้แน่นะ” เธอกล่าวตอบสีหน้าหวั่นๆ ว่าชายหนุ่มทำกับข้าวได้แน่หรือ
“อะไรๆ พี่นี่แหละกุ๊กคนแรกของเรดคลับ”
“แต่ที่นี่ไม่ได้ขายกับข้าวนี่ มีแต่เครื่องดื่ม” เธอแย้งกลับ มันทำหน้าละเหี่ยใจ
“งั้นไม่ต้องกินล่ะ”
“โธ่ ทำงอน จริงๆ พี่มีนขับรถออกไปซื้อหน้าปากซอยนี่เอง ถ้าพี่มีนทำกับข้าวนะวันนั้นฝนตก” ประวีย์ได้ทีสำทับก่อนจะหัวเราะร่วน มีนเข่นเขี้ยวหันไปคว้าต้นหอมใกล้มือขว้างใส่เจ้าน้องตัวดีทำเอาเด็กหนุ่มหลบวุ่นวาย
“กินค่ะ ยังไงก็กินมันไม่มีอะไรกินนี่” เธอว่าทั้งอมยิ้มหันไปมองพัชระที่ยังคงทำหน้าที่เช็ดแก้วอยู่ที่บาร์ด้วยท่าทีเงียบขรึม
“พี่พัชมากินด้วยกันสิคะ”
“ไม่เป็นไร พี่จัดการกาแฟไปเรียบร้อยแล้วล่ะ” เขาตอบก่อนจะเดินไปที่มุมหนึ่งของร้าน คว้ากีตาร์โปร่งตัวเก่านั้นขึ้นแนบลำตัวแล้วเล่นเพลงช้าๆ อลินาค่อนข้างแปลกใจกับมุมนี้ของพี่ชาย เขาดูเหมือนคนที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่และดูเหมือนจะหนักหนาเอาการ
“พี่พัชเขาเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เธอหันกลับมาถามมีนเสียงเบา
“เรื่องที่บ้านน่ะ เวลากลับบ้านทีไรพัชจะมีอาการอย่างนี้เสมอ” มีนเล่าง่าย ๆ นั่นกลับทำให้อลินาเริ่มที่จะเข้าใจอะไรมากขึ้น หันกลับไปมองพี่ชายอีกครั้งสีหน้าเรียบมือเรียวยาวที่กำคอร์ดกีตาร์ดูมีเสน่ห์อย่างประหลาด ยิ่งเสียงเพลงที่เขาบรรเลงมาอย่างแผ่วพริ้วนั้นยิ่งทำให้เขาน่ามองเพิ่มขึ้น
“ผู้ชายหน้าตาดี เล่นดนตรีเก่ง ร้องเพลงเพราะ ดูดีทุกกระเบียดนิ้วแบบนี้ทำไมยังไม่มีแฟนน๊า” เสียงของประวีย์ดังขัดจังหวะทำให้หนุ่มสาวหันกลับไปมอง เด็กหนุ่มที่นั่งเท้าคางมองพัชระตาปรอย
“คนเรามันมีช่วงจังหวะของใครของมันนะ แล้วมองพัชตาปรอยแบบนั้นนี่คง...ไม่ได้ชอบมันหรอกนะ”
“เฮ้ย!! พี่มีนพูดอะไรแบบนั้นผมชอบผู้หญิงน่า”
“เหรอ” มีนทำน้ำเสียงเหมือนไม่ค่อยเชื่อยิ่งทำให้ประวีย์ทำท่าร้อนรน รีบชี้แจงเป็นการด่วน ส่วนอลินาได้แต่ลอบมองพี่ชายเป็นระยะ พัชระทำเหมือนไม่คิดอะไรแต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนคิดมาก
เมื่อมาถึงที่ทำงานช่างภาพหนุ่มปิดประตูรถได้สายตากลับเหลือบไปเห็นอดีตแม่เลี้ยงซึ่งยืนอยู่ข้างรถยนต์หรูของตัวเอง เขาเริ่มรับรู้แล้วว่ารตีมาหาเขา
“คุณรตีมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”
“ฉันอยากคุยกับเธอเรื่องลิษา ไปคุยกันที่ร้านใกล้ๆ แถวนี้ได้ไหม”
มีนตอบรับก่อนจะเดินตามเธอไปเพียงไม่ถึงสิบก้าวร้านกาแฟใกล้ๆ สำนักงานเขาที่ค่อนข้างสะอาดและกาแฟรสชาดดี รตีเลือกนั่งในมุมที่ไกลที่สุด มีนยิ้มมุมปากกับท่าทางของม่ายสาว
“อยากพูดเรื่องคุณลิษางั้นเหรอครับ”
“ใช่ ในเมื่อเธอก็รู้ดี ทำไมถึงยังทำอย่างนั้นอยู่อีก”
“ทำอย่างนั้น? หมายความว่ายังไงละครับผมจะได้ตอบถูก”
รตีจ้องชายหนุ่มเขม็ง ดวงตากร้าวด้วยความโกรธที่ยากที่ยับยั้งไว้ได้ “เธอหลอกษา เธอหลอกลูกสาวฉันให้รักเธอ”
“ผมเปล่านะครับ ผมไม่ได้หลอก” มีนตีหน้าตายหัวเราะในลำคอ
“แล้วทำไมยายษาถึงได้กลับบ้านมาบอกว่าคบกับเธอเล่า”
“ก็ไม่แปลกนี่ครับ เธอบอกว่าคบผม แล้วมีอะไรที่ต้องตื่นเต้นล่ะครับ ผมไม่ได้บอกสักคำนี่ว่าผมจะคบกับเธอ ผมแค่ถามความรู้สึกของเธอที่มีต่อผม ผมไม่ได้บอกว่าผมรักเธอ แค่ให้เธอมองผมในสิ่งที่เป็นอยู่แล้วเชื่อว่ายังก็แล้วแต่”
“เลว!!”
“ครับ ผมยอมรับว่าเลว คำนี้ผมได้ยินจนชินชาเสียแล้วครับ แล้วไง...มันคงเลวน้อยกว่าคนที่ทำให้พ่อผมตายอยู่หรอก”
“พ่อของเธอประสบอุบัติเหตุ ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว...คุณโกงจนพ่อผมหมดเนื้อหมดตัว คุณหลอกผม...เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ขาดแม่ เขาหวังว่าจะมีแม่เหมือนคนอื่น แต่สุดท้ายน้ำผึ้งที่หอมหวานกลับกลายเป็นยาพิษ” ปลายประโยคสั่นด้วยแรงอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ลึกๆ “แล้วผมผิดอะไรล่ะที่จะเอาเทคนิคการหลอกลวงชั้นเลิศของคุณไปหลอกคนอื่นบ้าง”
“เธอจะหลอกใครก็เรื่องของเธอ แต่คนๆ นั้นต้องไม่ใช่ลิษา”
“เสียใจนะครับ ผมทำตามสิ่งที่คุณพูดไม่ได้ เรื่องนี้คุณควรเตือนลูกสาวคุณเอง”
“ถ้าฉันทำได้ฉันจะมาบอกเธอหรือยังไง”
“งั้นผมก็ไม่มีอะไรจะพูด ขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”
“แล้วเธอจะเสียใจในสิ่งที่พูดออกมา เธอจะได้รู้จักคนอย่างฉันดีขึ้น ในเมื่อไม่ยอมเลิก ฉันก็จะทำให้เธอยอมในที่สุด หน้าตาดีๆ มีโอกาสที่จะเสียโฉมง่ายๆ เธอไม่กลัวขาดรายได้บ้างเหรอ” น้ำเสียงเยาะดวงตาดูถูกอย่างชัดเจน
ชายหนุ่มหัวเราะสั้นในลำคอดวงตาแข็ง ริมฝีปากเหยียดยิ้มด้วยความรู้สึกขยะแขยง “ก็เพราะหน้าตาอย่างนี้ถึงได้ทำให้ลูกสาวคุณติดบ่วงได้ ถ้าผมเป็นไอ้ตัว ลูกสาวคุณก็คงอยากใช้บริการจนตัวสั่น”
รตีควบคุมตัวเองไม่ได้จนต้องตวัดฝ่ามือไปที่ใบหน้าของมีน ทว่าชายหนุ่มมือไวกว่าคว้าข้อมือเธอกุมไว้แน่น “ระวังมือคุณด้วย มันสกปรก เดี๋ยวหน้าผมจะเป็นสิว”
“แก...ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ”
“ครับ ผมยินดีรอ...ไม่ว่าเกมนี้ผมจะแพ้หรือชนะ ผมก็ชอบที่จะเล่นเกม...เกมที่มีเดิมพันเป็นหายนะของคุณ”
ชายหนุ่มสะบัดมือของรตีออกทำเหมือนมันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดเท่าที่เคยเจอมาก่อนจะลุกขึ้นหันหลังเดินจากมา เขารู้ดีว่าไม่มีอะไรจะสู้กับรตีได้นอกจากเรื่องของลิษา เขายินดีที่จะจบเกมนี้ไปพร้อมทั้งความเจ็บปวดไม่ว่าใครจะชนะ เขาก็ยอมรับผลของมัน
“อะไรนะ?” เสียงที่ค่อนข้างดังของพิมพิกาทำให้ธนาดุลถึงกับสะดุ้ง เขาไม่เคยได้เห็นภาพแบบนี้ของภรรยานัก เธอมักทำตัวเงียบ สงวนท่าทีตัวเองเสมอ ทว่าหลังจากที่อลินาบอกความจำนงว่าจะไม่อยู่ที่บ้านพชรเทพ เธอกลับร้องขึ้นเสียงดัง
“คุณพิมพิกาได้ยินชัดแล้วนี่คะ หนูไม่คิดจะเข้ามาอยู่บ้านนี้หรอกค่ะ หนูอยากอยู่ที่ร้านเรดคลับค่ะ” อลินาอธิบายเพิ่มเติม หากเป็นอลินาคนก่อนหน้านี้คงก้มหน้ารับสิ่งที่พ่อและแม่เลี้ยงตัดสินใจให้
พิมพิกาจ้องลูกสาวของสามีด้วยความรู้สึกแค้นใจเหลือจะเอ่ย “คิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งขนาดนั้นเลยหรืออลินา เงินที่เธอใช้อยู่ทุกวันนี้ก็เงินฉันทั้งนั้น”
“หนูไม่ได้คิดกระด้างกระเดื่องอะไรเลยค่ะ เพียงแค่อยากให้เราไม่รู้สึกอึดอัดใจที่จะอยู่ร่วมกันมากกว่า คุณพิมเองก็คงตะขิดตะขวงใจที่จะอยู่กับหนู ส่วนหนูเองก็อึดอัดใจเช่นกันค่ะ”
“ฉันอุตส่าห์ยอมลดศักดิ์ศรีเพื่อมาขอให้เธอมาอยู่ร่วมบ้านนี่มันไม่มีประโยชน์เลยใช่ไหม สิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่นี่มันก็กล้ำกลืนมากพอ หากไม่คิดถึงเกียรติของพชรเทพละก็ ฉันคงไม่ยอมให้เธอเข้ามาอยู่ที่นี่หรอก ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลที่งสั่งสมมามันคงไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วเพราะเธออาจจะทำให้ชื่อเสียงเหล่านั้นมันสูญสิ้นไปในไม่ช้า”
“หนูไม่ได้ใช้นามสกุลพชรเทพดังนั้นคงไม่มีอะไรที่จะเสียหรอกค่ะคุณพิม”
“อลินา” เสียงคำรามทุ้มต่ำนั้นแสดงถึงความโกรธเกรี้ยวได้เป็นอย่างดี เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบเข้ามาในห้องรับแขกของบ้านพชรเทพทำให้ทุกคนหันไปจ้องแทบจะเป็นตาเดียวกัน มีนและพัชระเดินกึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่ง
“ขอโทษนะครับคุณแม่ ผมเคยบอกคุณแม่ไปแล้วว่าอลินาจะไม่อยู่ที่พชรเทพ”
“นี่อะไรกัน ถึงขนาดเข้ามาห้ามเองเลยหรือ การที่พ่อให้ลูกดูแลอลินามันทำให้ลูกปกป้องเด็กคนนี้ได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ผมไม่ได้ปกป้องนะครับ...”
“คนที่ลูกควรปกป้องคือแม่นะพัชระ ทำไมหรือแม่ดูเข้มแข็งมากขนาดที่ลูกไม่ยอมเข้าข้างเลยเชียวหรือ แล้วสิ่งที่แม่กำลังทำอยู่ก็เพื่อพชรเทพทั้งนั้น นึกว่าแม่จะทำอะไรเด็กนี่หรืออย่างไร”
พัชระมองหน้าแม่ด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในอก หันไปมองพ่อที่ไม่แม้แต่จะกล่าวอะไรออกมาเพื่อตัดสินเรื่องทั้งหมด เขาเกลียดความรู้สึกแบบนี้เสียจริง หากเป็นชายที่ไร้ซึ่งความเป็นผู้นำ...แล้วจะสร้างปัญหาขึ้นมาทำไมให้ทุกคนเจ็บปวด
“คุณป้าครับ ผมขออนุญาตแทรกนะครับ ผมเองรู้จักอลินามาก่อนที่พัชจะรู้จัก คุณลุงจะรับอลินากลับมาเมืองไทย ผมยืนยันได้ว่าอลินาเป็นคนที่รักศักดิ์ศรีตัวเองมากพอที่จะไม่ทำเรื่องเสื่อมเสียแม้อยู่ข้างนอก คุณป้าเคยสอนผมไม่ใช่หรือครับว่าเพชรแม้มันจะตกลงไปในโคลนตม อย่างไรเสียมันก็คือเพชรหาใช่ก้อนเม็ดกรวดทราย ผมจำขึ้นใจเสมอ ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตผม ผมก็ไม่เคยคิดทำอะไรให้ตัวเองตกต่ำ”
“เธอจะเอาตัวเองไปเทียบกับอลินาได้อย่างไรมีน เธอเป็นลูกของคุณอัจฉรา เป็นเชื้อสายเก่าแก่ แต่สำหรับอลินา...”
“เทียบได้สิครับ อลินาคือลูกสาวของคุณลุง เธอมีค่ามาก คุณป้าอาจจะมองว่าเธอไม่มีค่าถึงเพียงนั้น แต่สำหรับผม อลินามีค่ามาครับ”
หางตาของผู้สูงอายุถึงกับกระตุกเมื่อได้ยินท้ายประโยค “นี่...พวกเธอ”
“ครับ ผมกับอลินากำลังคบกันอยู่ ถ้าคุณป้าไม่เชื่อใจอลินา ก็เชื่อใจผมเถอะครับ คุณป้าดูแลผมมาน่าจะรู้จักผมดีกว่าใครอื่น”
พิมพิกาสายตาอ่อนลง เธอรักมีนดุจลูกชายคนหนึ่ง ตั้งแต่อัจฉราเสียชีวิตเธอก็คอยดูแลเด็กคนนี้เรื่อยมาจนเมื่อกิตติธรแต่งงานใหม่เธอจึงไม่ได้ช่วยดูแลเขาอย่างเช่นเคย ดังนั้นเมื่อมีนประสบปัญหาเธอจึงเป็นคนแรกที่ยื่นมือเข้าไปช่วยเขา
“ฉันเชื่อใจเธอมีน แต่สำหรับอลินา...”
“เชื่อใจเราเถอะครับ แล้วความเจ็บปวดที่คุณป้ามีในเรื่องแม่ของอลินา ผมเข้าใจดี คุณลุงเองก็คงกลัวคุณป้าเสียใจไม่เช่นนั้นก็คงไม่เอาอลินาหลบซ่อนจนถึงวันนี้หรอกครับ ทุกคนรักและเป็นห่วงคุณป้ามากนะครับ อย่ากังวล เสียใจ เคียดแค้นในเรื่องนี้เลยครับ ผมไม่อยากให้คุณป้าเจ็บอีกแล้ว ถ้าคุณป้าเอาอลินามาอยู่พชรเทพมันก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาความเจ็บปวดกลับมาสุมหัวใจ พอเถอะนะครับ”
พิมพิกาถอนใจก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนออกไป “ออกไปกันเถอะฉันจะพักผ่อน ฉันเหนื่อยมามากแล้ว”
มีนถึงกับยิ้มกว้างหันไปคว้ามือหญิงสาวมากุมไว้อย่างลืมตัว ดวงตาของพิมพิกาถึงกับตวัดเข้มจ้องการกระทำนั้นทันที มีนยิ้มแผล็บก่อนจะยกมือไหว้ลาจับจูงมือหญิงสาวออกมาจากบ้านพชรเทพ ส่วนพัชระลอบยิ้มอย่างพอใจหันไปมองแม่ที่เพิ่งเดินออกไปจากห้องรับแขก ส่วนพ่อได้แต่นั่งเอนหลังกับพนักโซฟาหรูนั้นเหมือนเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน ทว่าเมื่อเขากำลังจะก้าวออกไปเสียงทุ้มนุ่มที่เป็นเอกลักษณ์นั้นดังขึ้นขัดเสียก่อน
“พ่อขอโทษนะพัช” พัชระหันกลับมาสบตากับพ่อด้วยความรู้สึกเสียใจเช่นกันเขาส่ายหน้าแล้วเดินจากมา
มีนกุมมือหญิงสาวอีกมือกุมพวงมาลัยรถ หลังจากที่พัชระขอแยกตัวออกไปทำธุระที่บ้านสวนเพื่อเยี่ยมไข้คุณหญิงพิกุลซึ่งเริ่มมีอาการป่วยหลังจากอายุเข้าเลขเจ็ดแล้ว อลินานึกหมั่นไส้คนอารมณ์ดีข้างๆ เหลือเกิน เธอใช้มืออีกข้างตบเบาๆที่มือชายหนุ่ม
“ปล่อยได้แล้วขับรถไม่ใช่เหรอคะ อันตรายออก”
ยิ่งว่ามีนกลับยิ่งกุมมันแน่นขึ้น “อะไรกันพี่ไม่ได้จับมืออลิสเสียหน่อย นั่นๆ ยิ่งว่าอลิสยิ่งกุมแน่นเชียว ปล่อยๆ” เขาว่าอย่างสนุกปาก ทั้งกุมมือสวนนั้นแน่นขึ้นไปอีก อลินาอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“ผู้ชายอะไรขี้ตู่”
“เปล่าเสียหน่อย”
“เมื่อครู่พี่บอกคุณพิมได้อย่างไรว่าเราคบกัน อลิสไม่ได้บอกว่าจะคบพี่เสียหน่อย”
“อ้าว...ไม่ใช่หรอกหรือ พี่เข้าใจว่าเราคบกันนะเนี่ย แย่แล้ว มีวิธีแก้ไขทางเดียวเท่านั้นแหละอลิส คือเราต้องคบกันจริงๆ ไม่อย่างนั้นพี่ก็ผิดคำพูดกับคุณป้า” ตีขลุมเข้าตัวเองเสียหมดทุกอย่างจนอลินาหัวเราะเสียงใส
ดวงตาสวยนั้นมีความสุขกับสิ่งที่ชายหนุ่มทำให้ เธอจ้องชายหนุ่มจากด้านข้าง มีนดูคมเข้มขึ้นจากเมื่อก่อนนี้มาก ไม่แปลกหรอกที่สาว ๆ จะชื่นชอบและสนใจในตัวเขาถึงขนาดคลั่ง แต่สิ่งที่เหนือจากนั้นคือวิธีการพูด ดวงตา และความอ่อนโยน
ดวงตาหญิงสาวอ่อนแสงลงอย่างเห็นได้ชัด มันปรับเปลี่ยนไปตามความรู้สึกที่มี “ข่าว...” น้ำเสียงที่เริ่มแห้งลงเมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้
“อลิสว่าอะไรนะ เมื่อกี้พี่ได้ยินไม่ถนัด” เขาหันกลับมาถามแต่หญิงสาวกลับส่ายหน้า
“เปล่าค่ะ” เธอเป็นฝ่ายกุมมือชายหนุ่มแน่นขึ้น มีนยิ้มกว้างก่อนจะยกมือสวยขึ้นจดริมฝีปาก จูบแผ่วเบาแล้วเอามาแนบอกไว้
“รู้สึกถึงหัวใจพี่บ้างนะอลิส หัวใจพี่มันเต้นแรงเพราะเธอคนเดียว”
อลินาหน้านิ่ง เหมือนเขารู้ว่าเธอกำลังจะพูดอะไร...เขาล้วงรู้ความคิดของเธอได้อย่างไร แต่สิ่งที่เขายืนยันออกมานั้นเหมือนกับน้ำอุ่นที่ไหลวนเวียนอยู่ในหัวใจของเธอ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ธ.ค. 2555, 10:46:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ธ.ค. 2555, 10:50:06 น.
จำนวนการเข้าชม : 1629
<< บทที่ ๑๕ หน้าที่ของพี่ชาย | บทที่ ๑๗ การต่อสู้ของเกมร้าย >> |