แผนรักพันใจ

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 10

ธนินในชุดนอนสีเข้มนั่งพิงหัวเตียง กอดอกเหมือนมองไปเบื้องหน้าหากไม่จับจ้องสิ่งใด ภาพในใจกลับชัดเจนกว่าสิ่งที่อยู่ในระยะสายตา ภาพหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตติดลูกไม้ที่สาบกระดุมกระโปรงบานดำยาวแทบจะคลุมตาตุ่ม ผมดำยาวเกล้าเป็นมวย ใส่แว่นตากรอบหนา เธอกำลังก้มหน้าก้มตาเช็ดล้างทำความสะอาดแผลที่อุ้งมือของเขา ชั่วขณะที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้น สายตาของทั้งคู่สอดประสานกัน

ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูเหมือนเรียกให้สายตาของชายหนุ่มมองเห็นภาพตรงหน้า ประจักษ์ว่าตนกำลังอยู่ในห้องนอน ไม่ใช่ภายในซุปเปอร์มาร์เก็ตของห้างสรรพสินค้าเดอะเบสท์

"นิน นอนรึยังลูก"

ธนินผุดลุกขึ้นจากเตียงทันทีที่ได้ยินมารดาส่งเสียงเรียกจากหน้าประตูห้อง เมื่อลูกชายเปิดประตูให้คุณธนัญญาก้าวเข้ามาในห้อง

"ยังเจ็บแผลอยู่ไหมลูก"

"ก็นิดหน่อยครับ หมอให้ยากินแก้ปวดแล้วก็ดีขึ้น"

"โชคดีที่ไม่ต้องเย็บแผล"

คุณธนัญญายังดูไม่ค่อยสบอารมณ์กับกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับลูกชาย ยิ่งคนที่ขับรถมาส่งธนินที่บ้านคือนางแบบสาวเปรี้ยวเข็ดฟันที่คนเป็นแม่ไม่มีวันยอมให้มาเป็นภรรยาของลูกชายอย่างเด็ดขาด

"แม่นิกาอะไรนี่ก็เหลือเกิน เป็นต้นเหตุให้นินต้องเจ็บตัว"

"ผมไม่ทันระวังด้วยครับคุณแม่"

ชายหนุ่มตอบแล้วลอบถอนใจ หลังจากชนิกาขับรถไปส่งเข้าที่โรงพยาบาลและพามาส่งบ้านก็ตามเข้ามา ผู้เป็นมารดาก็ซักลูกชายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชนิกาพยายามจะตอบคำถามแทนธนินอยู่ตลอดแต่คุณธนัญญาไม่ยอมฟังคำจากปากคนอื่น เมื่อฟังเรื่องแล้วรับรู้ว่าชนิกาเป็นคนทำให้เขาเจ็บตัว ตาของคนเป็นแม่ก็แข็งและขวางขึ้นเป็นลำดับจนเป็นเหตุให้นางแบบสาวต้องรีบชิ่งหนีกลับบ้านไป

คุณธนัญญายังบ่นชนิกาต่ออีกนาน ธนินต้องแสร้งทำเป็นปวดแผลมารดาจึงเลิกขุ่นเคืองต้นเหตุหันมาสนใจผลแทน รีบให้ชายหนุ่มรับประทานอาหารเย็นตามด้วยยาแก้ปวดที่ได้รับมาจากโรงพยาบาล

"แม่เพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้"

"นินเล่าให้แม่ฟังว่ากำลังหยิบขวดซอสจากชั้นวางของ"

ธนินใจหายวาบเพราะจำได้ว่าเล่าให้มารดาฟังเพียงเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าเขากำลังช่วยจารุดาหยิบของและลืมนึกไปเสียสนิทว่าการที่เขาจะเข้าไปอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต หยิบขวดซอสจากชั้นวางนั้นไม่ใช่เรื่องปกติ

"นินไปทำอะไร"

"เอ่อ...คือ"

"อย่าคิดโกหกแม่เชียวนะ ไปยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนไหนอีกใช่ไหม อย่าโกหกแม่เชียวนะ"

"โธ่! แม่ครับ" ชายหนุ่มร้องท้วงถ่วงเวลาให้สมองได้คิดใคร่ครวญหาข้อแก้ตัว "เห็นผมเป็นคนยังไงไปได้ครับเนี่ย พอดีวันนี้ผมเจอเพื่อนสมัยเรียนเขาจะมาซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต ก็เลยเดินคุยกันไปด้วยช่วยเขาหยิบของไปด้วยน่ะครับ ไม่มีอะไรในกอไผ่"

"ก็อย่าให้ไปมีในกออื่นก็แล้วกันนะตานิน" คุณธนัญญายังคงมองลูกชายอย่างไม่วางใจนัก "แล้วนี่โทร.ไปหาหนูจินนี่บ้างรึเปล่า ตั้งแต่ที่แม่พาไปเจอน้องคราวก่อน"

"เอ่อ..."

"นี่อย่าบอกนะ ว่าหลังจากนั้นยังไม่เคยสานความสัมพันธ์อะไรกันต่อเลย"

"ผมยุ่งน่ะครับแม่ ไม่ค่อยมีเวลา"

"ตอนนี้มีแล้ว แล้วก็ยังไม่ดึกเกินไป หนูจินนี่น่าจะยังไม่นอน โทร.ไปนัดน้องกินข้าวซะนะ พรุ่งนี้เย็น ไม่ต้องกลัวเรื่องไม่ได้ดูแลงานแม่จอง ร้านอาหารฝรั่งเศสในห้างไว้ให้แล้ว"

"แม่ครับ"

คุณธนัญญาเดินไปคว้าโทรศัพท์ของลูกชายที่วางอยู่บนตู้หัวเตียง

"จะกดไปเองหรือจะให้แม่ต่อสายให้"

"เอาไว้เดี๋ยวผมค่อยโทร.หาน้องจินนี่เขาดีไหมครับ"

"เดี๋ยวนี้เลย แม่จะได้รอฟังด้วยว่าเรานัดน้องเขาแน่รึเปล่า"

ธนินจนปัญญาจะหลบเลี่ยงต้องต่อสายไปยังหมายเลขที่เขายังไม่เคยติดต่อไปเลยนับตั้งแต่ได้รับมาในวันที่สองครอบครัวมีนัดรับประทานอาหารเย็นที่แฝงเจตนาดูตัวว่าที่ลูกเขยลูกสะใภ้ในครั้งนั้น

คุณธนัญญาคอยกำกับจนแน่ใจว่าได้สิ่งที่ต้องการแล้วจึงบอกราตรีสวัสดิ์กับลูกชายคนเล็ก ชายหนุ่มถอนใจออกมาทันทีที่มารดาปิดประตูห้อง เขาจะมีแก่ใจไปดินเนอร์กับสุจิราได้อย่างไรในเมื่อ...

ในเมื่อเขายังต้องทำตามแผนที่จะได้เจรจากับจารุดาเรื่องที่ดิน แต่ตอนนี้ธนินยังมองไม่เห็นทางที่จะไปถึงจุดนั้น แม้จะคุยกันดี ๆ เธอยังไม่ยอม ขืนไปโพล่งเรื่องจะขอซื้อที่ดินขึ้นมา ทุกอย่างที่เขาวาดหวังไว้คงพังพาบไปเสียหมด

ธนินคิดวนเวียนไปมา และแทบไม่รู้ตัวเลยว่าบางครั้งเขาหวังที่จะได้ใกล้ชิด ได้ทำความรู้จักกับจารุดามากขึ้นยิ่งกว่าหวังจะดำเนินการให้ลุล่วงตามแผนของคุณบัณฑิตเสียอีก



สุจิรากดวางสายโทรศัพท์ทั้งที่มือไม้ยังสั่นด้วยความตื่นเต้น คุณสโรชามองท่าทีของลูกสาวแล้วยิ้มแย้มยินดีไม่แพ้กัน สองแม่ลูกจับมือกันเขย่าตัวโยน

"พี่นินโทร.หาจินนี่แล้วค่ะ นัดไปทานมื้อเย็นพรุ่งนี้"

"เห็นไหมจ๊ะ แม่บอกแล้วว่าพี่เขาคงแค่งานยุ่ง พอเขาว่างเขาก็โทร.มาทันที"

"จินนี่ดีใจที่สุดเลยค่ะ ผู้ชายอย่างพี่นินนี่แหละเหมาะกับจินนี่ เหมาะจะเป็นลูกเขยของคุณแม่ที่สุด ทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ" หญิงสาวกรอกตาขึ้นอย่างวาดหวัง "จินนี่จะทำให้พี่นินประทับใจกับมื้อเย็นสองต่อสองครั้งแรกให้ได้"

"แม่เชื่อจ๊ะ ว่าลูกทำได้ ลูกสาวของแม่เก่งที่สุด"

คุณสโรชายกมือขึ้นลูบศีรษะลูกสาวอย่างรักใคร่ ลูกสาวคนนี้เป็นแก้วตาดวงใจเพราะการถือกำเนิดของสุจิราทำให้เธอสามารถยึดสามีไว้ได้มั่น แม้คุณเอกอมรจะมารู้ภายหลังว่าอายุครรภ์ของเธอนั้นน้อยกว่าผู้หญิงอีกคนที่เขาทิ้งมาเพื่อรับผิดชอบเธอที่อ้างว่ามีเลือดเนื้อเชื้อไขให้เขาหลายเดือนก่อนหน้า แต่ทุกอย่างก็ล่วงเลยไปจนไม่อาจแก้ไขอะไรได้

สำหรับคุณสโรชาแล้ว สุจิราคือชัยชนะ คือสิ่งที่ทำให้เธอชนะและได้ครอบครองสามีแม้จะรู้ดีมาตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมาว่าสิ่งที่ตนได้มานั้นไม่ถูกต้อง ที่สำคัญไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ คุณเอกอมรอยู่กับเธอด้วยความรับผิดชอบ อยู่กินกันอย่างถูกต้องตามประเพณี กฎหมาย แต่เขาไม่ได้ให้สิ่งที่สำคัญที่สุดกับภรรยาอย่างถูกต้องคนนี้เลยแม้แต่น้อย

ใจของคุณเอกอมรนั้นอยู่กับมารดาของจารุดามาตลอดและเหมือนจะตายไปพร้อมกันกับการสิ้นลมหายใจของผู้หญิงบ้านสวนคนนั้น

ชั่ววูบหนึ่งที่รสชาติเฝื่อนของชัยชนะนั้น ทำให้ดวงตาของคุณสโรชาหม่นลง หากรอยยิ้มยินดีบนใบหน้าของลูกสาวทำให้เธอโยนอารมณ์นั้นทิ้งไปแทบจะทันที

"ลูกต้องได้ในทุกอย่างที่ลูกต้องการ ลูกได้มาตลอดและแม่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกสมหวัง แม่จะไม่ยอมให้ลูกสาวสุดที่รักของแม่ต้องเสียใจเด็ดขาด"

"ขอบคุณค่ะแม่"

สุจิราสวมกอดคุณสโรชาแนบแน่น ทั้งสองวาดหวังถึงอนาคต ต่างไม่คิดเผื่อใจถึงความผิดหวัง เพราะสำหรับสองแม่ลูกแล้วพวกเธอต้องชนะ และได้ทุกอย่าง มันเป็นเช่นนั้นมาตลอดและจะเป็นตลอดไป

ความสุขสมใจของคุณสโรชานั้นดำเนินอยู่เพียงแค่ช่วงระยะสั้น อารมณ์นั้นเหือดหายและปะทุจนแปรไปเป็นเป็นขุ่นเคืองเพียงแค่ชั่วขณะหลังจากที่เธอกลับห้อง รายงานความสำเร็จให้สามีได้รับรู้ และปฏิกิริยาที่ตอบรับจากผู้ที่นอนอยู่บนเตียงนั้นเป็นเพียงแค่พยักหน้ารับรู้อย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าที่ผู้เป็นภรรยาหวัง น้ำเสียงในประโยคหลังจากที่เลิกผ้าห่มสอดตัวเข้าไปใต้ผืนผ้าอันอบอุ่นนั้นจึงกระด้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

"ดูคุณจะไม่สนใจเรื่องยัยจินนี่เลยนะคะ"

เสียงระบายลมหายใจยาวแทนการตอบคำถามของคุณเอกอมรยิ่งเติมเชื้อไฟให้กับอารมณ์ที่กำลังเดือดดาล

"คุณหนึ่ง"

"คุณบอกให้ผมรับรู้ ผมก็รับรู้แล้ว คุณยังอยากจะให้ผมทำยังไงอีก"

อารมณ์ฉุนเฉียวกระตุ้นให้คุณสโรชา สะบัดผ้าห่มที่คลุมตัวทั้งคู่ไปกองอยู่ที่ปลายเตียง คุณเอกอมรผุดลุกขึ้นนั่งทันที

"นี่มันอะไรกันคุณบัว"

"อะไร..." หญิงกลางคนทวนคำเสียงกร้าว "จะอะไรเสียอีกล่ะค่ะ ถ้าไม่ใช่ความเฉยชาของคุณ ฉันกำลังพูดเรื่องลูกสาวเราอยู่นะคะ หรือคุณคิดว่าคุณมีลูกสาวคนเดียว"

"อย่านะคุณบัว เราเคยคุยกันแล้วเรื่องนี้"

"แตะต้องไม่ได้เลยสินะคะ ลูกสาวคุณน่ะ"

คุณเอกอมรส่ายหน้า ไม่ตอบโต้ ทว่าลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้อง

"นี่คุณจะไปไหน"

"ผมว่าเราพูดกันไม่รู้เรื่องแล้วล่ะคืนนี้ ผมจะไปนอนห้องนอนเล็ก"

"คุณหนึ่ง กลับมาเดี๋ยวนี้นะ คุณหนึ่งอย่าหนีฉันแบบนี้"

คุณสโรชาตวาดเรียกสามี หากอีกฝ่ายไม่สนใจเปิดประตูเดินออกจากห้องไป และความทะนงในตัวเองก็ตรึงให้นั่งปักหลักอยู่บนเตียงแทนที่จะเดินตามไปพูดคุยให้รู้ความ สำนึกส่วนหนึ่งสะกิดเตือนว่าเธอเป็นฝ่ายเริ่ม หากก็เป็นสำนึกส่วนเล็กน้อยที่ไม่อาจเอาชนะความต้องการที่ให้สามีสนอกสนใจเรื่องของตนและลูกสาว

อีกครั้งที่จิตใจของผู้ชนะถูกกัดกร่อน

ความเจ็บปวดนั้นไม่ได้สอนบทเรียนใดกับเธอแม้แต่น้อย หากกลับยิ่งสร้างความเจ็บแค้นรุนแรงขึ้นในใจ เมื่อเธอไม่มีความสุขใจ ก็จะไม่ปล่อยให้คนอื่นมี เมื่อใดมีโอกาสคุณสโรชาจึงมักพูดจาเหน็บแนม พยายามทำร้ายจิตใจคนอื่นอยู่เสมอ โดยอย่างยิ่งหากใครคนนั้นคือจารุดา สายเลือดของผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับเธอ



ห้างสรรพสินค้าเดอะเบสท์มีสินค้าแบรนด์ดังมากมาย ในส่วนของศูนย์การค้าก็มีร้านอาหารเลื่องชื่อหลากหลาย ที่สำคัญสำหรับนิคมอีกอย่างก็คือเป็นศูนย์รวมของชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดี เมื่อไปตามตัวจารุดาให้มาเดินเที่ยวเป็นเพื่อนและรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน หญิงสาวในร่างชายหนุ่มจึงคอยแต่ชายตามองคนโน้นคนนี้ที่เดินผ่าน

"นี่...ตกลงจะมาเดินดูเสื้อผ้าหรือว่าจะดูผู้ชายกันแน่ยัยนิกกี้"

"แหม ก็ดูทั้งสองอย่างแหละ ผู้ชายที่ฉันดูก็ใส่เสื้อผ้าทุกคนนะยัยจา ไม่เห็นมีใครแก้ผ้าเดินโทง ๆ สักคน"

จารุดาส่ายหน้า ยิ้มขันกับคำของเพื่อนสนิท

"แล้วไหนบอกว่าจะไปงานปาร์ตี้อะไรไม่ใช่เหรอ จะมาซื้อเสื้อใหม่ แล้วเดินดูคนมากกว่าดูเสื้อแบบนี้เมื่อไหร่จะเลือกได้สักที"

"เล็ง ๆ ไว้แล้ว หูตาฉันไวนะยะ ไม่ได้ต้องซ่อนความสวยเฉี่ยวไว้ใต้กรอบกระจกแบบเธอ"

"รีบหน่อยก็ดีนะ ทิ้งน้าขวัญไว้นานน้าขวัญจะเหนื่อย"

"โอเค ๆ เล็งเสื้อไว้แล้ว แต่เดี๋ยวไปหาร้านอาหารอร่อย ๆ กินกันก่อน จะได้รู้ว่าเวลากินพุงป่องแล้วจะใส่สวยรึเปล่า"

"งั้นเธอก็เลือกร้านก็แล้วกัน"

นิคมกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างเหนื่อยหน่าย "โยนหน้าที่เลือกร้านให้คนสวยอีกแล้ว เบื่อจริง ช่วยคิดหน่อยสิยะแม่คุณ"

"ไม่เอาล่ะ เลือกแล้วไม่ถูกใจขี้เกียจโดนบ่น เธออยากกินอะไรก็เลือกแล้วกัน"

"แล้วก็อย่ามาบ่นบ้างก็แล้วกันนะยะ"

จารุดาขยับจะเดินตามหลังนิคมที่ปากบ่นแต่เท้าก้าวฉับผ่านร้านอาหาร พิจารณาทั้งร้านและบุรุษเพศที่ผ่านเข้ามาในระยะสายตา แต่แล้วก็มีใครอีกคนเดินเข้ามาสะกิดบ่าจากด้านหลัง เมื่อหันไปดูก็พบเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนมัธยมปลายส่งยิ้มกว้างมาให้มือไหว้เธอ

"พี่จา"

"โจ มาได้ยังไง"

เด็กหนุ่มที่สวมเสื้อขาวมีด้ายสีน้ำเงินปักอักษรชื่อ 'สุรกุล ซื่อสัตย์ตระกูล' อยู่บนอกทำหน้าเมื่อย

"คุณแม่น่ะสิพี่จา บอกจะพามากินอาหารจีนร้านนี้" สุรกุลชี้ไปร้านอาหารจีนร้านหนึ่งที่อยู่ถัดจากร้านอาหารฝรั่งเศสมีทางเดินไปห้องสุขาด้านหลังคั่นกลาง "ได้ยินว่าพี่จินนี่จะมากินข้าวกับหนุ่มที่ร้านอาหารฝรั่งเศสร้านติดกันนี่แหละ สงสัยคุณแม่คงอยากมาสังเกตการณ์ล่ะมั้ง เห็นคุณแม่คุยให้พ่อฟังอยู่ว่าหาผู้ชายดี ๆ เหมาะกับพี่จินนี่ได้แล้ว คนนี้ถึงขั้นอยากให้หมั้นหมายกันเลยท่าทางจะเอาจริง ถ้าฟังไม่ผิดเหมือนจะเป็นทายาทเจ้าของห้างนี้ด้วยนะพี่จา ท่าทางจะรวยน่าดู"

จารุดานิ่งฟังน้องชายถึงตอนที่สุรกุลบอกว่าผู้ชายที่คุณสโรชาหมายหมั้นให้ลูกสาวเป็นทายาทเจ้าของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้แล้วรู้สึกตัวชาวูบขึ้นมาทันที หญิงสาวต้องพยายามระงับอารมณ์ที่เกิดขึ้นโดนฉับพลันนั้นก่อนจะส่งสายตามองซ้ายมองขวา

สุรกุลสังเกตเห็นอาการแล้วยิ้มแหยเหมือนจะรู้ว่า พี่สาวต่างมารดาไม่ต้องการเจอมารดาและพี่สาวของตนจึงรีบบอก

"แม่เจอเพื่อนคุยเก่าเลยยืนกันอยู่ พี่จินนี่เกาะคุณแม่แจเห็นว่าจะให้คุณแม่เดินมาส่งที่ร้าน พยายามทำตัวเป็นคุณหนูน่าดู" เด็กหนุ่มช่างพูดเอ่ยอย่างรู้นิสัยพี่สาวแท้ ๆ ดี "ผมขี้เกียจรอก็เลยเดินมาก่อน คงคุยกันอีกนาน"

"พี่ว่าพี่ไปก่อนดีกว่า"

หญิงสาวรีบเดินตรงไปหานิคมที่กำลังจะหันหลังเดินกลับมา รายหลังเอียงซ้ายเอียงขวาพยายามมองผ่านจารุดาไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ทางด้านหลังเพื่อนสนิท

"นั่นน้องโจ น้องชายเธอใช่ไหมเนี่ย อุ๊ยตายละ...เคยเห็นตอนเด็ก ๆ ไม่คิดว่าโตเป็นหนุ่มแล้วจะหล่อขนาดนี้ คมเข้มแบบไทย ๆ สูงล่ำ กล้ามเป็นมัด หายากนะเนี่ยเด็กสมัยนี้"

"เว้นน้องชายฉันไว้สักคนเถอะจ๊ะ แม่นิกกี้ผู้ทรงเสน่ห์" จารุดาเอ่ยพลางจูงมือเพื่อนให้เดินไปอีกทาง "ไปกันเถอะ โจบอกว่าสองแม่ลูกนั่นกำลังจะเดินมาตรงนี้"

"แหม...ยัยจา ฉันไม่งาบน้องเพื่อนหรอกนะจ๊ะ แล้วฉันก็ไม่พิศวาสเมียพ่อเธอด้วย ขืนไปยุ่งกับลูกชายเขามีหวังโดนตะปบหัวกระจุยซะเปล่า ฉันยังรักชีวิตย่ะ"

"นิกกี้"

น้ำเสียงและการหยุดยืนนิ่งของจารุดาเตือนให้นิคมระงับคำพูดเมื่อมองไปเบื้องหน้าก็เห็นคุณสโรชาและสุจิรากำลังเดินตรงเข้ามา เขาทำหน้าเบื่อหน่ายเมื่อเห็นเพื่อนสาวกระพุ่มมือไหว้หญิงวัยกลางคนกระนั้นก็ยังยกมือไหว้ตามมารยาทเช่นเดียวกับเธอหากไม่วายบ่นพำ

"น้องโจอุตส่าห์เตือนแล้ว พยายามหนีแล้วยังโผล่มาเจอทางนี้จนได้ เฮี้ยนจริง ๆ นะ"

หญิงสาวต้องกระตุกแขนเตือนเพื่อนไม่ให้แสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกไป

"เป็นยังไงบ้างล่ะ จารุดา"

กริยาท่าทาง ซุ้มเสียงที่คุณสโรชาเอ่ยถามนั้นไม่เหมือนคนที่รักใคร่ชอบพอกันไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ หากเต็มไปด้วยนัยของการเหยียดหยันอย่างชัดเจนและสายตาของสุจิราที่มองมาทางผู้ที่ร่วมสายเลือดบิดาเดียวกันก็ไม่ต่างกันนัก

"สบายดีค่ะ"

"กระทั่งตอนนี้"

คนที่ยืนอยู่ข้างหลังส่งเสียงแผ่วเบา แต่ก็ดังพอให้สองแม่ลูกได้ยิน แววตาที่ไม่เป็นมิตรนั้นจึงกระด้างขึ้นอีก จารุดาต้องหันไปมองนิคมอย่างจะห้ามปราม รายนั้นสะบัดหน้าอย่างไม่พอใจ

"ฉันไปรอตรงโน้นก็แล้วกันนะ"

คุณสโรชามองตามนิคมด้วยสายตาหมิ่นหยามก่อนจะหันมาสนใจกับลูกสาวของสามี

"คงมาทำงานเทศกาลอาหารอะไรนั่นสินะ เห็นพอเธอเขาเล่าให้ฟังอยู่เหมือนกัน"

"ค่ะ"

จารุดารู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการแสดงความเหนือกว่า ต้องการให้ลูกสาวนอกสมรสอย่างเธอรู้สึกต่ำต้อย หวั่นกลัว และหญิงสาวก็ไม่คิดจะยอมให้คุณสโรชาได้สมใจ จึงวางทีนิ่งเฉยรับคำและสบตา

เธออาจเป็นลูกนอกสมรส แต่ก็ไม่ได้มีความผิดใด กำเนิดของเธอนั้นมาจากความรักของพ่อกับแม่

คุณสโรชานิ่งงันไปเหมือนไม่รู้จะทำอย่างไร หากเพียงชั่วครู่ก็คลี่ยิ้มเย็น ยกมือขึ้นสัมผัสบ่าของจารุดาแผ่วเบา

"น่าเห็นใจนะจ้ะ วัน ๆ ถ้าไม่อยู่ที่บ้านสวน งก ๆ อยู่ในตัวก็ออกมาทำแต่งานแบบนี้ คงไม่มีเวลาคิดเรื่องคู่ครองเหมือนคนอื่นเขา"

"ดิฉันไม่คิดว่าเรื่องนั้นสำคัญอยู่แล้วค่ะ" หญิงสาวตอบหนักแน่น แม้จะยังไม่แน่ใจนักว่าคู่สนทนามีจุดประสงค์อะไร "ดิฉันมาพักรับประทานอาหาร เดี๋ยวต้องขึ้นไปช่วยน้าขวัญแล้ว ถ้าคุณสโรชาไม่มีธุระอะไร ดิฉันขอตัวนะคะ"

"เดี๋ยวสิ...จารุดา"

จารุดาชะงักมือที่จะยกขึ้นประนมไหว้ลา ยังคงสบตาคุณสโรชาไม่หวั่นไหว

"ฉันอาจจะมีงานมงคลที่บ้านเร็ว ๆ นี้ ถ้าไม่รบกวนจนเกินไปอยากให้เธอช่วยเตรียมอาหารถวายพระ"

"ได้ค่ะ แต่คงให้ยายทราบไม่ได้ ยังไงคุณฝากบอกกับคุณพ่อมาก็ได้นะคะ แล้วดิฉันจะหาทางจัดการให้"

"แล้วไม่อยากรู้เหรอว่างานอะไร"

น้ำเสียงของคุณสโรชาเริ่มแกว่งจากที่แสร้งพูดจาเสียงหวานมาตลอด จารุดายิ้มเล็กน้อยหากมั่นใจว่าหญิงกลางคนรู้นัยของรอยยิ้มนั้นดี เธอหมายใจจะบอกว่า ไม่สะท้านกับเรื่องใดก็ตามที่ออกจากปากผู้อาวุโสกว่า

สุจิราซึ่งยืนนิ่งมานานปั้นยิ้มเอ่ยน้ำเสียงภาคภูมิเต็มเปี่ยม

"งานหมั้นของจินนี่ พี่จาอาจจะต้องมาร่วมงานด้วยนะคะ"

"ได้สิ" หญิงสาวรับคำก่อนหันไปถามคุณสโรชา "ตกลง...เรื่องที่จะคุยกับดิฉันมีเท่านี้ใช่ไหมคะ"

จารุดายังคงรักษาความสงบเอาไว้ได้ หากแววตาของเธอนั้นเหมือนจะบอกย้ำ เธอไม่แสแยเรื่องใดของสองแม่ลูกแม้แต่น้อย ไม่เคยคิดเรื่องแพ้ชนะ ไม่เคยสนว่าใครจะเหนือกว่าใคร ต่างฝ่ายต่างอยู่ไม่เกี่ยวข้องกัน

สายตาของคุณสโรชาแปรไปเป็นอีกอารมณ์หนึ่ง ความโกรธเคืองขุ่นแค้นดูจะปะทุมากขึ้นจนไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้

"เธอเองก็อย่าทำแต่งานมากนักก็แล้วกัน แล้วถ้าจะให้ดีก็น่าจะลองแข็งข้อกับยายของเธอบ้าง ไม่อย่างนั้นอาจจะลงเอยอย่างโดดเดี่ยว ช้ำใจเหมือนแม่ของเธอก็ได้"

"คุณสโรชา"

จารุดากำมือแน่นอย่างจะระงับอารมณ์ เธอยอมลงให้คุณสโรชาในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่ง ทนฟังคำพูดเย้ยหยัน ถากถางมาโดยตลอด หากเมื่อถูกก้าวล่วงถึงผู้ให้กำเนิด เห็นสายตาเย้ยหยันของสองแม่ลูกเมื่อวาจาก้าวล่วงมารดาของเธอเปล่งออกมาจากปากของคุณสโรชา ความโกรธเคืองก็ปะทุขึ้นมารุนแรงหนักหน่วง บางทีการนิ่งเฉยคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเสมอไป ถึงเวลาที่เธอต้องตอบโต้บ้างแล้ว

ความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในสมอง จารุดาจึงแสร้งคลี่กว้างขึ้นอีกเมื่อเอ่ยตอบคำ

"ในฐานะลูกสาวของคุณพ่อ ดิฉันยินดีช่วยงานท่านค่ะ แต่ขอแค่ให้แน่ใจว่าจะมีงานมงคลขึ้นจริง ๆ นะคะ ถึงเราจะคนละแม่กันแต่ดิฉันก็ไม่อย่างให้จินนี่ผิดหวังจนไม่เป็นผู้เป็นคนเหมือนกัน"

ครั้งนี้หญิงสาวไม่รอให้คุณสโรชาเรียกเอาไว้ได้อีก รีบยกมือไหว้ลาแล้วเดินผละออกมาทันที แม้จะได้ยินเสียงแว่วตามหลังมา หากดูเหมือนว่าคราวนี้สองแม่ลูกจะไม่แสร้งทำเสียงอ่อนหวานกับเธอแต่อย่างใด

"เธอหมายความว่ายังไงกันจารุดา"

"กลับมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อนสิพี่จา...จารุดา"

นิคมที่ยืนรออยู่ขมวดคิ้วมองเพื่อนสนิทแล้วเอียงตัวมองผ่านไปทางหญิงสองวัยที่อยู่เบื้องหลัง

"สองแม่ลูกนั่นเค้าเป็นอะไรน่ะ นี่อย่าบอกนะว่า...เธอประกาศอิสรภาพไม่ทนให้พูดจาจิกกัดแล้วเขาเลยโวยวายใหญ่โต"

"ก็ทำนองนั้น"

"มันต้องอย่างนี้สิ ถึงจะสมเป็นเพื่อนนิกกี้ประจัญบาน มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะจ้ะเพื่อนรัก ฉันยินดีเป็นกองหนุนช่วยเธอทำศึกกับสองแม่ลูกนั่นเต็มที่ ไป...หาร้านอะไรอร่อย ๆ คุยกันแล้วเล่ามาให้หมดด้วยนะว่าเมื่อกี้คุยอะไรกันบ้าง เรื่องชาวบ้านฉันชอบฟัง"

หญิงสาวหัวเราะขันกับคำพูดของเพื่อน หากเมื่อนึกถึงคำพูดของคุณสโรชาเมื่อครู่แล้วสีหน้าของจารุดาก็เคร่งขึ้นมาเล็กน้อย

"ก่อนอื่นเธอโทร.หาคุณธนินให้ฉันที เธอมีเบอร์เขาในเครื่องใช่ไหม"

"ตาย...นี่ตกลงจะตอบรับสานสัมพันธ์กับหนุ่มทรงเสน่ห์ของฉันแล้วเหรอยะ"

จารุดาส่ายหน้าปฏิเสธ หากยิ้มกว้างให้กับนิคม หนุ่มกิริยาหญิงสาวมองเพื่อนสนิทอย่างสงสัยใคร่รู้ ก่อนจะทำเบิกตากว้าง ยกมือทาบอก อุทานอย่างตกใจเมื่อจารุดาบอกความจริงเรื่องคู่หมายของสุจิราให้ฟัง




กมลภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ธ.ค. 2555, 11:55:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ธ.ค. 2555, 11:55:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 3002





<< ตอนที่ 9   ตอนที่ 11 >>
กมลภัทร 21 ธ.ค. 2555, 11:59:46 น.
lovemuay >>>> ต้องมีผู้ช่วยเขี่ยนะครับงานนี้

แล่นแต๊ >>>> อย่างน้อยผู้หญิงหึงก็แสดงว่ามีใจไงครับ

panon >>>> ยอร์ชมีแผนอะไร แล้วจะสำเร็จหรือเหลวต้องติดตามครับ

nunoi >>>> ^_^

ของขวัญ >>>> ประมาณนั้นอ่ะจ้า

เพียงพลอย >>>> จะว่าลบก็ไม่เชิงนะ ก็อยากที่บอกถ้าไม่ชอบก็คงเฉย ๆ ^_^

nasa >>>> คุณนินมีตัวพันแข้งพันขาเยอะซะด้วยสิครับ

wane >>>> รอตามต่อนะครับว่าหนูจาจะทำยังไง


panon 21 ธ.ค. 2555, 14:26:13 น.
เอ้าๆๆๆหนูจาก้อแผนสูงนะเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยย


แล่นแต๊ 21 ธ.ค. 2555, 16:34:14 น.
จัดการยายสองแม่ลูกนั่นไปซักดอกนะหนูจา


nunoi 21 ธ.ค. 2555, 17:39:41 น.
หนูจา นี่ได้ใจจริงๆ ชอบจังนางเอกแบบนี้


lovemuay 21 ธ.ค. 2555, 20:37:07 น.
เอาเลยยัยจาแก้แค้นยัยป้านั่น หันไปซบอกหนุ่มหล่อเลยสิ 555


ของขวัญ 24 ธ.ค. 2555, 00:02:28 น.
ขอให้หนูจาขัดขวางจินนี่สำเร็จทีเถอะ 5555


น้องอุด้ง 24 ธ.ค. 2555, 10:39:00 น.
หนูจาสู้ๆๆๆๆๆๆๆๆ จัดการยัยป้าเล้ยยย ๕๕๕+


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account