มนตรากระดังงา
นางพริมา กีรติอนันต์ พัฒนภิรมย์ กับ นายภัทร์ พัฒนภิรมย์ คู่สามีภรรยาที่ครองรักกันมากว่า 6 ปี และมีพยานรักเป็นเด็กชายน่ารัก 2 คน ต้องจบชีวิตคู่ที่เริ่มจากรั้วมหาวิทยาลัยลงเพราะฝ่ายชายไปมีเมียน้อยซึ่งกำลังจะมีลูกสาวด้วยกัน หญิงสาวยอมหย่าให้และยอมเป็นแม่หม้ายในวัยเพียง 30 ปี ชีวิตคู่ที่พังทลายกลับสร้างพริมาคนใหม่ให้แกร่งกว่าเดิม เธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวขึ้น กระดังงาลนไฟดอกนี้จึงกลายเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งหลาย รวมทั้งภัทร์ พัฒนภิรมย์ ที่เพิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอดีตภรรยา จนทำให้ความรักที่เขาคิดว่าได้มอดเชื้อไปแล้วนั้นปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
รักครั้งใหม่กับคนเดิมจะสมหวังได้หรือไม่ เพราะฝ่ายชายก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงก็มีชายหนุ่มมากมายมาเข้าแถวให้เลือก อานุภาพของความรักจะประสานรอยร้าวของหัวใจสองดวงให้กลับมาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดติดตาม......อาทิตา

Tags: รักร้าว มีเมียน้อย คืนดี

ตอน: ตอนที่ 19.....ครบ 100 ค่ะ

เมื่อโลกไม่แตก ก็เลยมาอัพนิยายกันต่อ อิๆๆ ตอนนี้น่าจะเรียกน้ำตาได้น่าดู.เพราะค่อนข้างเศร้า สะเทือนอารมณ์...แต่ถ้าคนอ่านไม่ร้อง ก็ต้องเป็นคนเขียนแทนล่ะค่ะที่เขียนเรียกน้ำตาไม่ได้ 5555

ตอนที่ 19

ภัทร์ฝ่าการจราจรและกลับมายังคอนโดฯของพริมาในเวลาเกือบ 3 ทุ่ม ชายหนุ่มตรงไปยังห้องนอนใหญ่เพื่อเอาสิ่งของจำเป็นตามที่ได้รับ ‘คำสั่ง’ มาจากพริมา เขาเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อค้นหากระเป๋าเสื้อผ้าขนาดย่อมสีชมพูบานเย็นที่พริมาบอกว่าพับเก็บเอาไว้ในตู้ เมื่อหาเจอแล้ว ภัทร์ก็เริ่มจัดกระเป๋าให้อดีตภรรยาอย่างตั้งใจ ซึ่งนับว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับเขาเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้จัดกระเป๋าให้กับพริมา ไม่ใช่สิ เป็นครั้งแรกที่เขาต้องจัดกระเป๋าให้กับคนอื่น โดยปกติเขาจะจัดกระเป๋าเดินทางด้วยตัวเองเพราะรู้ดีว่าต้องไปทำธุระอะไร ที่ไหน และในโอกาสอะไร ยกเว้นว่าเมื่อต้องไปเที่ยวพักผ่อนกับพริมาในสมัยที่ยังอยู่ด้วยกัน พริมาก็จะเป็นคนจัดให้เอง โดยที่ตัวเขาอาจเลือกเสื้อผ้าที่ต้องการใส่วางไว้ให้เธอ ครั้งนี้เขาต้องมาทำหน้าที่สลับกับเธอ แต่ภัทร์กลับรู้สึกอิ่มเอมใจเพราะรู้สึกเหมือน ‘ชีวิตคู่’ ของเขาและเธอได้หวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อได้ข้าวของครบถ้วนตามที่พริมาสั่งมาแล้ว ชายหนุ่มก็กางกระเป๋าที่พับไว้ออกบนเตียงนอนแล้วจึงค่อย ๆ ทยอยวางเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นทั้งหลายลงไปในกระเป๋า ระหว่างที่กำลังจะรูดซิปปิดกระเป๋าอยู่นั้นพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นมุมของสมุดหนังสีส้มโผล่พ้นออกมาจากหมอนหนุนใบโต ภัทร์ดึงสมุดออกมาจากใต้หมอน และพบว่ามันคือสมุดไดอารี่เล่มที่พริมาเป็นคนเลือกซื้อด้วยตัวเองในตอนที่ไปหาซื้อของขวัญปีใหม่ให้กับเพื่อน ๆ ญาติ ๆ และลูกชายทั้งสองกับตัวเขาเมื่อปลายปีที่แล้ว พื้นสีส้มและมีลายวงกลมสีขาวเล็ก ๆ เต็มไปหมด ตัวสมุดมีความยาวประมาณฝ่ามือของภัทร์ ด้านขวาของตัวเล่มก็มีแถบหนังสีเขียวตองเช่นเดียวกันกับตัวอักษรติดอยู่กับกระดุมแม่เหล็กบนหน้าปก ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวล็อคและใช้เปิด-ปิดไดอารี่เล่มนี้ในคราวเดียวกัน นอกจากนั้น ตรงกลางของหน้าปกก็มีตัวอักษร ‘P’ สีเขียวตองนูนเด่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในตอนที่ซื้อนั้นพริมาบอกกับเขาว่า

‘พอดีเลยพี่โป๊ป นอกจากตัวอักษรพีนี่จะหมายถึงพริมาแล้ว ยังรวมถึงครอบครัวของเราได้ด้วยนะคะ โป๊ป ปริม ป๊อป และปิ๊ป ครบทุกคนเลย’

ภัทร์จึงมั่นใจว่าพริมาคงบันทึกทุกเรื่องราวสำคัญ ๆ ของชีวิตที่ผ่านเข้ามาในปีนี้ไว้ในไดอารี่เล่มนี้อย่างแน่นอน ชายหนุ่มค่อย ๆ เปิดไดอารี่ออกแล้วถือวิสาสะอ่านบันทึกข้างในด้วยความอยากรู้ จังหวะการเต้นของหัวใจของภัทร์ที่กำลังลอบอ่านความลับและเรื่องส่วนตัวของอดีตภรรยาเต้นถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เพราะลึก ๆ แล้วภัทร์เองก็แอบลุ้นว่าจะต้องมาอ่านเจอข้อความที่พริมาพาดพิงถึงเขาโดยเฉพาะเรื่องที่เขามีคนอื่น

หน้าแรก ๆ เป็นบันทึกทั่ว ๆ ไปโดยเน้นไปที่กิจกรรมของลูก ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมที่โรงเรียนของลูกชายคนโต และพัฒนาการของลูกคนเล็ก บางหน้าพริมาก็สอดแทรกการวาดรูปภาพเล็ก ๆ ประกอบการจดบันทึก อาทิเช่น รูปของเครื่องเล่นปีนป่ายที่เธอเป็นคนออกแบบด้วยตัวเองและไปสั่งร้านเฟอร์นิเจอร์ให้ทำเพื่อเป็นของขวัญให้ลูกทั้งสองเล่น หรือแม้แต่รูปภาพโมเดลของเลโก้ที่ลูกชายทั้งสองประกอบขึ้น ภัทร์เปิดอ่านไปเรื่อย ๆ พร้อมรอยยิ้มที่พราวอยู่บนใบหน้าเมื่อระลึกได้ถึงความทรงจำเหล่านั้นที่ผ่านมา รวมทั้งบางวีรกรรมของลูก ๆ ที่เขาพลาดไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ แทบทุกหน้าจะมีการบันทึกมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป แต่ถ้าไม่มีเหตุการณ์สำคัญ ๆ พริมาก็จะหมายเหตุเอาไว้แทน เช่น ไม่มีเวลามาเขียนเพราะลูกปิ๊ปไม่สบาย ไปเที่ยว – ลืมเอาสมุดไปด้วย เป็นต้น ภัทร์นั่งลงบนเตียงและเปิดอ่านไปจนกระทั่งพบว่าเกือบ 10 หน้าที่ไม่มีร่องรอยของการบันทึกใด ๆ อยู่เลย จะมีก็แต่เพียงรอยย่น ๆ ของกระดาษเหมือนโดนหยดน้ำ ถัดจากหน้าว่างเหล่านั้นภัทร์ก็เปิดมาเจอหน้าที่เขียนว่า

‘ร้องไห้จนแทบไม่มีน้ำตา เหนื่อย ล้า ท้อ ไม่รู้จะพูดกับใครดี สงสารลูก สงสารตัวเองที่โง่อยู่ตั้งนาน โง่ที่ไม่รู้อะไรเลย เจ็บ เจ็บมาก แต่ก็ยังหายใจได้อยู่ โชคดีที่ยังมีป๊อปกับปิ๊ป โชคดีที่เรายังเหลือลูก คนที่รักเราจริง เหนื่อย ร้องไห้จนเหนื่อย ไม่มีเรี่ยวแรงจะบันทึก ที่จริงไม่ต้อง (และไม่อยาก) เขียนเพราะมันถูกบันทึกลงในหัวใจหมดแล้ว ตราไว้อย่างไม่มีวันที่จะลบออกได้......ชาตินี้คงลืมไม่ลง’

ภัทร์หยุดนิ่งที่หน้านั้นแล้วอ่านข้อความเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ ความรู้สึกผิดจู่โจมเข้ากระแทกหัวใจอย่างจัง พริมาไม่เคยปริปากบ่นหรือต่อว่าเขาที่ทำให้เธอเสียใจขนาดนี้ เธอเก็บทุกสิ่งทุกอย่างไว้คนเดียว หญิงสาวยอมแบกรับมันไว้ตามลำพัง ภัทร์เพ่งมองที่ตัวหนังสือเหล่านั้นอยู่นาน ขอบตาของเขาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นพร้อมทั้งมีน้ำตารื้นอยู่เต็มทั้งสองข้าง เขารีบหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เหลือบไปเห็นที่บรรทัดสุดท้ายของหน้านั้นยังมีอีกหนึ่งประโยคที่เขายังไม่ได้อ่าน

‘ผู้ชายเริ่มต้นความรักด้วยคะแนนเต็มร้อย ในขณะที่ผู้หญิงเริ่มจากศูนย์และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนในที่สุดก็ครบร้อย…..เขามีเหลือให้เราเท่าไรนะ ที่แน่ ๆ คงไม่ใช่ร้อยแล้ว’

ภัทร์กล้ำกลืนความรู้สึกผิดที่ล้นขึ้นมาอย่างยากเย็น เขาก่นด่าตัวเองอยู่ในใจในความลุ่มหลงในกิเลสตัณหาที่นำพาให้ชีวิตของเขาเองและคนในครอบครัวต้องพบกับความทุกข์

ภัทร์เปิดไปอีกหน้า เขาพบตัวหนังสือเพียงบรรทัดเดียวอยู่กลางหน้ากระดาษทางซ้ายมือ ตัวหนังสือเหล่านั้นเขียนด้วยปากกาสีแดงว่า ‘ช่วงชดใช้กรรม’ ภัทร์คาดเดาเอาเองว่าพริมาคงจงใจตั้งหัวข้อนี้ขึ้น เมื่อภัทร์หันไปดูทางหน้าขวามือที่มีการจดบันทึกด้วยปากกาสีน้ำเงินอีกครั้ง และคราวนี้ข้อความในหน้านี้ก็ทำให้เขารู้สึกแย่มากขึ้นไปอีก น้ำตาที่คิดว่ากลั้นได้แล้วค่อย ๆ ไหลรินลงมาอย่างช้า ๆ

‘หากต้องใช้กรรมที่เคยก่อไว้ในชาติก่อนเพียงคนเดียวก็คงจะดี แต่นี่ยังมีเด็กอีก 2 คนที่ต้องมาทุกข์ทรมานกับเราด้วย สงสารลูกสุดหัวใจ วันนี้น้องป๊อปกลับมาจากโรงเรียนและบอกด้วยรอยยิ้มว่า แม่ครับวันนี้ป๊อปได้เพื่อนใหม่ด้วย ชื่อ ปอร์เช่ เราจำได้ว่าเป็นชื่อของเพื่อนเก่าที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่เนิสเซอรี่ เลยสอบถามลูกเพราะนึกว่ามีเด็กใหม่ชื่อซ้ำกัน ถามไปถามมาจนได้ความว่าไม่ใช่เพื่อนใหม่…’

ข้อความถัดมามีปากกาไฮไลท์สีส้มขีดเน้นบนตัวหนังสืออย่างจงใจว่า

‘แต่ที่ป๊อปดีใจและเรียกเขาว่าเพื่อนใหม่เพราะพ่อแม่ของปอร์เช่ก็เพิ่งแยกบ้านเหมือนป๊อป ป๊อปได้เพื่อนที่เป็นแบบป๊อปแล้วครับแม่’

ข้อความต่อมาคนเขียนเปลี่ยนไปใช้ปากกาสีดำแทน

‘หัวใจแทบสลาย พูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองหน้าลูก ลูกยังยิ้มอยู่ แต่ข้างในหัวใจของแม่กำลังร้องไห้ เขาจะรู้ไหมนะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง รู้ไหมว่าทำให้ใครเจ็บบ้าง เขาจะรู้ไหมว่าทำให้ลูกเป็นเด็กบ้านแตก!!!. ในที่สุดก็ได้ร้องไห้......คนเดียว.....อีกครั้ง...... เราผิดสัญญาที่ว่าจะไม่ร้องไห้อีก มีคนบอกว่าร้องไห้แล้วจะรู้สึกดีขึ้น.....ใช่ รู้สึกดีขึ้นจริง ๆ เพราะได้ระบายออกไปบ้าง ถ้าไม่ระบายออกไป ข้างในคงอัดแน่นและเต็มไปด้วยความทุกข์ ความเจ็บปวด ขอบคุณน้ำตาที่ทำให้คลายทุกข์ได้.....อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน....เป็นสัจธรรมจริง ๆ.....วันนี้เข้านอนดึกมาก พรุ่งนี้ต้องไปส่งลูกแต่เช้าอีก (อีก 3 ชั่วโมงกว่าต้องลุก – หน้าตาคงโทรม) ตอนไปรับค่อยแวะไปคุยกับครู ต้องถามว่าน้องป๊อปเป็นไงบ้าง.....ป๊อปกับปิ๊ปครับ แม่ขอโทษนะ ที่แม่อดทนไม่พอ แม่ไม่สามารถประคับประคองครอบครัวเราให้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันได้ แม่ได้แต่หวังให้หนูสองคนโตขึ้นอย่างเข้มแข็ง เป็นคนดี มีความรับผิดชอบ และมีรักแท้รักเดียว อย่าไปทำให้ผู้หญิงต้องเสียใจ แม่รักลูกทั้งสองมากที่สุดในโลกนะครับ’

ภัทร์ร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มวางไดอารี่ลงบนเตียงพร้อมซบหน้าลงบนฝ่ามือของตนเอง ภัทร์ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย เขารู้สึกละอายใจมาก ที่ผ่านมาถึงแม้จะรู้ตัวว่าทำผิดกับพริมาและลูกชายทั้งสอง แต่เขาก็เฝ้าบอกตนเองตลอดว่าเขายังรับผิดชอบและเลี้ยงดูทุกคนอย่างดี มาถึงวินาทีนี้เขาได้รู้แล้วว่า ความรับผิดชอบแค่นั้นไม่เพียงพอสำหรับคำว่า ‘พ่อ’ ที่เลวร้ายกว่านั้น คือ เขาเป็นคนที่ทำให้หัวใจดวงน้อย ๆ ทั้งสองดวงมีรอยร้าวเกิดขึ้นนอกจากทำให้คนที่ได้ชื่อว่าคู่ชีวิตต้องเจ็บปวดรวดร้าวกับสิ่งที่เขาได้ก่อขึ้น ภัทร์พยายามหยุดร้องไห้และเช็ดน้ำหูน้ำตาของตนเองด้วยกระดาษทิชชู่ที่วางอยู่ข้างเตียง ทันใดนั้นเองชายหนุ่มก็ต้องสะดุ้งผวาจนตัวโยนเมื่อเสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะหัวนอนร้องดังขึ้นมา ภัทร์รีบเอื้อมไปรับ แต่ไม่ทันได้พูดอะไร คู่สายก็กล่าวมาอย่างร้อนรนว่า

“คุณปริมหรือครับ ผมราเมศวรนะครับ คุณปริมเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ผมพยายามโทรเข้ามือถือตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีคนรับ คุณปริมปิดเสียงไว้หรือเปล่าครับ นี่ผมกำลังคิดอยู่เลยนะว่า ถ้าครั้งนี้โทรเข้าคอนโดแล้วคุณปริมไม่รับ ผมจะบุกมาหาถึงคอนโดแล้วนะครับ”

************************

รอคอย ‘คอมเม้นต์’ ของทุกท่านอยู่นะคะ---จุ๊บ ๆ ๆ ขอบคุณมากค่ะ



อาทิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ธ.ค. 2555, 02:10:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ธ.ค. 2555, 02:10:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 2657





<< ตอนที่ 19....70%   ตอนที่ 20....100% มาแล้วค่าาาา >>
konhin 22 ธ.ค. 2555, 03:02:37 น.
คนเรามันหาเหตุผลให้การกระทำของตัวเองเสมอ ไม่ผิดหรอกถ้าสิ่งที่ทำไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ผู้ชายชอบคิดว่าการนอกใจผิด"แต่"เค้ารักและดูแลพร้อมๆกันหลายๆคนได้ เหตุผลที่ทำให้ความรู้สึกผิดไม่ลงรากลึกจริงๆ หวังว่าโป๊บในท้ายที่สุดจะเข้าใจ ว่าสิ่งที่เขาทำ"ทำร้าย"ใครต่อใครไปบ้าง


tity 22 ธ.ค. 2555, 15:26:41 น.
มันเป็นเรื่องยากจริงๆ


violette 23 ธ.ค. 2555, 00:22:10 น.
ผู้ชายอย่างนายโป๊ป หาคนใหม่ดีกว่าจริงๆค่ะ
อ่านแล้วร้องไห้เพราะสงสารปริมและลูก
แต่อ่านแล้วเกลียดนายโป๊ปกว่าเดิมหลายพันล้านเท่าเลยค่ะ


น้องแสตมป์ 23 ธ.ค. 2555, 17:48:16 น.
สงสารเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ อ่านแล้วนึกย้อนไปสมัยตัวเองยังเด็ก ตอนที่พ่อแม่เลิกกันใหม่ๆ --"


pretty 24 ธ.ค. 2555, 07:57:49 น.
มาเสียใจตอนเรื่องมันเกิดไปแล้ว จะได้อะไร


อ้อย 26 ธ.ค. 2555, 20:08:41 น.
นั่นสิ จะมาเสียใจอะไรตอนนี้ เป็นเราก็ไม่เอาแล้ว ผช อย่างนี้


praneekpranee 31 ธ.ค. 2555, 18:36:46 น.
น้ำตาเล็ด ละ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account