กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 3


3…


เง็กลั้งโอบอุ้มผักกาดขาวต้นใหญ่สองต้นด้วยความทะนุถนอม คิดในใจตามประสาเด็กๆว่า…วันนี้คงจะได้กินผัดผักกาดขาวกับข้าวต้ม ซึ่งต้องอร่อยกว่ากับข้าวมื้อผ่านๆมาเป็นแน่…แต่พอก้าวเข้าไปในบ้านที่คิดว่าแม่รออยู่ ก็พบแต่ความว่างเปล่า แม่กับยายซำไม่อยู่ มีแต่ป้าเง็กที่เพิ่งจะรู้จักกัน นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างโต๊ะไม้คนเดียว
เด็กหญิงใจหายวูบ ปล่อยมือจากผักที่โอบอุ้ม ผักกาดขาวสองต้นจึงหล่นลงสู่พื้น แล้ววิ่งถลาเข้าไปในบ้าน ร้องหาว่า
“แม่…แม่อยู่ไหน ?”
“เขากลับไปแล้ว” ป้าเง็กตอบเสียงเย็นชา
“แม่…” เด็กหญิงร้องไห้โฮ “เง็กลั้งจะหาแม่…” แล้วหันกายวิ่งไปทางประตูซึ่งลุงฮึงยืนอยู่
เขาจับต้นแขนของเด็กหญิงไว้ พลางย่อตัวลงมาโอบร่างน้อยๆ “ไม่ต้องร้องไห้ อยู่กับลุงกับป้านะ จะได้กินข้าวกับผักอร่อยๆไง” แล้วอุ้มร่างเด็กหญิงขึ้น พลางลุกขึ้นยืน
“ไม่…เง็กลั้งจะหาแม่” เด็กหญิงร้องไห้พลางพูดพลาง ร่างเล็กๆดิ้นรนจะให้หลุดจากการอุ้ม แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะกำลังต่างกันมาก
“น่ารำคาญ…” ป้าเง็กเอ่ย “แกรู้ไว้ด้วยนะ ว่าเขาขายแกให้อั๊วแล้ว นับแต่นี้ไป…เขาไม่ใช่แม่ของแก อั๊วต่างหากที่เป็นแม่ของแก หยุดร้องไห้น่ารำคาญซะที ไม่งั้นอั๊วจะตีแกด้วยไม้เรียว เอาให้ลายทั้งตัวเลย” ว่าแล้วนางก็หยิบไม้เรียวที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่สามีพาเด็กหญิงไปเก็บผักยังไม่กลับมา มาถือเอาไว้ หวังจะขู่ให้เด็กกลัวและเงียบ
แต่เด็กหญิงยังคงส่งเสียงร้องไห้ไม่ยอมหยุด
อาเง็กจึงสั่งสามี “อาฮึงวางมันลง”
อาฮึงรู้ว่าภรรยาจะตีเด็กก็ห้ามว่า “ไม่เอาน่าอาเง็ก เดี๋ยวเด็กก็หยุดเอง”
“อั๊วไม่ชอบให้มันขัดคำสั่งอั๊วตั้งแต่แรกยังงี้” เสียงอาเง็กห้วนจัด “วางมันลงเดี๋ยวนี้อาฮึง”
“เอาน่า…ใจเย็นๆน่าอาเง็ก” อาฮึงพยายามช่วยเด็กหญิง
“วางมันลง !”
เสียงอาเง็กแหวสามีดังลั่น จนอาฮึงสะดุ้ง เขามองตาภรรยา ก็รู้ว่านางกำลังโกรธจัด เขาจึงไม่กล้าขัด วางร่างในอ้อมแขนลงยืนกับพื้น และทันทีที่ร่างเง็กลั้งลงยืน อาเง็กก็ใช้มือข้างซ้ายที่ว่างจับต้นแขนของเด็กหญิงเอาไว้มั่น พร้อมกับหวดไม้เรียวไปที่ร่างน้อยๆอย่างแรง แบบไม่นับ
พลางออกคำสั่งว่า “เงียบเดี๋ยวนี้นะ”
เง็กลั้งถูกตีเจ็บก็ยิ่งร้องไห้ พอได้ยินเสียงเด็กร้องดังกว่าเก่า อาเง็กยิ่งเดือดดาลตีหนักยิ่งขึ้น
อาฮึงได้แต่ยืนมองตาปริบๆ ไม่กล้าห้ามปรามภรรยา เพราะรู้ดีว่านางเป็นคนแข็ง ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ จึงบอกแก่เง็กลั้งแทน
“อาหมวยรีบบอกเร็วว่าไม่กล้าแล้ว”
เง็กลั้งเจ็บไปทั้งตัว เด็กน้อยไร้ที่พึ่ง ได้ยินประโยคนั้น ก็วอนขอเมตตา
“หนูไม่กล้าแล้วๆ”
อาเง็กจึงหยุดตี นางเห็นเด็กยังร้องไห้เบาๆก็รำคาญ ตวาดว่า
“หยุดร้องไห้เดี๋ยวนี้นะ”
เง็กลั้งพยายามกลั้นสะอื้น เหลือเพียงเสียงฮืดๆเบาๆในลำคอ
“นับจากนี้ อั๊วคือแม่ลื้อ เข้าใจไหม ?”
เด็กน้อยยังคงพยายามกลั้นสะอื้นอยู่ จึงตอบไม่ทันใจนาง อาเง็กขัดใจก็หวดไม้เรียวขวับ อาฮึงสงสารเด็กจับใจ จึงรีบยื่นแขนไปรับไม้เรียวแทน เสียงไม้เรียวกระทบแขนอาฮึงดังเพี๊ยะ ปรากฏรอยแดงเป็นเส้นสายที่แขนซึ่งเขาพับแขนเสื้อขึ้น เขาเป็นผู้ใหญ่เนื้อหนังหนากว่าเด็กหญิงมากมายหลายเท่า ยังรู้สึกเจ็บแสบ แล้วเด็กตัวเล็กแค่นี้จะเจ็บปวดมากกว่าเขาขนาดไหน อาฮึงรีบแก้ไขสถานการณ์ด้วยการโอบร่างเด็กเอาไว้แล้วบอกว่า
“อาหมวยรีบตอบไปสิว่า เข้าใจแล้ว”
เง็กลั้งแม้อายุยังน้อย ไม่ค่อยเข้าใจผู้ใหญ่มากนัก แต่ก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ของตนเองในเวลานี้ว่า…อยู่ในอำนาจของป้าเง็ก ถ้าทำไม่ถูกใจนาง นางจะตีเอาเจ็บๆ และลุงฮึงที่ดูใจดีกว่า ก็กลัวป้าเง็กเช่นกัน จึงพยายามเอ่ยตามคำแนะนำของลุงฮึง
“หนู…ขะ…เข้าใจ…แล้ว”
“ดีๆๆ…”
อาฮึงเอ่ยขึ้นเพื่อจะตัดปัญหา แต่อาเง็กยังไม่พอใจแค่นั้น นางมีความคิดว่า จะต้องกำราบให้เด็กอยู่ในโอวาทตั้งแต่แรก เด็กจะได้ไม่ดื้อดึงเอาแต่ใจภายหลัง นางจึงถามเด็กต่อไปว่า “ลื้อเข้าใจว่ายังไงหา ?”
ซึ่งเง็กลั้งตอบไม่ถูก เพราะเกินกว่าสมองอายุเยาว์เพียงแค่นี้จะคิดหาคำตอบออกมาได้ และยิ่งกลัวว่าถ้าตอบไม่ถูกใจนาง จะถูกตีอีก
“ว่า…ว่า…ว่า…”
“ว่าอะไรหา ?”
อาเง็กกระชากเสียงอย่างรำคาญ เด็กหญิงสะดุ้งเฮือกทั้งตัว แต่ก็ตอบอะไรไม่ได้
“อาหมวยจะบอกว่า จะเชื่อฟังไม่ดื้อไม่ซน” อาฮึงรีบตอบแทน
“อั๊วไม่ได้ถามลื้อ” อาเง็กค้อนสามี
อาฮึงใช้มือเขย่าร่างเล็กๆเบาๆ เป็นการเตือนให้เด็กหญิงพูด หากแต่เด็กหญิงไม่เข้าใจ เพราะเป็นเด็กซื่อ จึงยืนนิ่งอึ้ง จนอาเง็กเงื้อมไม้ขึ้นจะตีอีก อาฮึงจึงรีบลุกขึ้นจับมือภรรยาเอาไว้ พลางห้าม “ไม่เอาน่าอาเง็ก เด็กยังเล็กเกินไป ไม่ค่อยเข้าใจอะไรที่ผู้ใหญ่พูดหรอก ค่อยๆสั่งค่อยๆสอนไปดีกว่า ตีมากๆเดี๋ยวไม่สบายไปก็จะลำบากลื้อเปล่าๆ”
อาเง็กเห็นด้วยกับคำพูดประโยคหลังของสามี นางจึงถอนหายใจเฮือก ทิ้งไม้เสีย แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ สั่งเด็กหญิงว่า
“อาลั้งคุกเข่าลง” เง็กลั้งมองนางตาปริบๆ ไม่รู้ว่านางเรียกตน
“อาลั้งลื้อไม่ได้ยินที่อั๊วสั่งเหรอ” เสียงอาเง็กห้วนอยู่แล้วยิ่งห้วนจัด
เง็กลั้งเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อไม่เห็นมีคนอื่น ประกอบกับสายตาของป้าเง็กที่จ้องเขม็งตรงมา เด็กหญิงจึงถามอย่างหวาดๆว่า
“หนูเหรอคะ ?”
“ก็แกน่ะสิ จะมีใคร” อาเง็กตอบด้วยความหงุดหงิด
“หนูชื่อเง็กลั้งค่ะ…ไม่ใช่อาลั้ง” เง็กลั้งคิดว่าอีกฝ่ายจำชื่อตนผิด
“แกต้องชื่ออาลั้ง จะชื่อเง็กลั้งไม่ได้” อาเง็กแทบจะพูดรอดไรฟันออกมา นี่นางนับว่าข่มใจอย่างสูงแล้วนะ
“เพราะอะไรคะ ?” เด็กหญิงถามเสียงสั่นๆ
“เพราะอั๊วชื่อเง็ก ลื้อมาเป็นลูกของอั๊วแล้ว จะชื่อเง็กซ้ำกับอั๊วไม่ได้ อั๊วเลยให้ชื่อลื้อว่า “ลั้ง” (กล้วยไม้) เฉยๆ เข้าใจหรือยัง…อาลั้ง ?” อาเง็กพยายามอธิบายอย่างใจเย็นเป็นที่สุดสำหรับนาง
“ค่ะ”
เง็กลั้ง…กล้วยไม้หยกที่ถูกปลดลงมาเป็นเพียงกล้วยไม้ธรรมดารับคำเสียงเบา คราบน้ำตายังเปียกอยู่สองข้างแก้มหนูน้อยไร้เดียงสา
ตอนแรกอาเง็กตั้งใจจะให้ลูกสาวที่ซื้อมาเรียกตนกับสามีว่า…แม่กับพ่อ…แต่อาฮึงกลับเห็นว่า…การที่เขากับอาเง็กซึ่งแต่งงานกันมานานสิบกว่าปีแต่กลับไม่มีลูกสักคน อาจเป็นเพราะชะตาชีวิตกำหนด…ดังนั้นจึงไม่ต้องการให้เด็กเรียกตนว่าพ่อ แต่ให้เรียกลุงแทน จะได้ฟังห่างกันหน่อย เป็นเคล็ดให้เด็กเลี้ยงง่ายโตไว ตามความเชื่อของคนโบราณ แต่เขาก็ยังไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายขอความเห็นจากอาเง็กว่า
“ลื้อว่าดีไหม ?”
“อืมม์…อั๊วก็ว่าดี” อาเง็กพยักหน้า “ให้อาลั้งเรียกพวกเราว่าลุงกับป้าก็แล้วกัน มันจะได้ไม่ต้องถามโน่นถามนี่ให้อั๊วรำคาญอีก”
สำหรับปัญหาการเรียกหาก็ได้ผลสรุปที่ลงตัว แต่ปัญหาทางด้านจิตใจของอาลั้งนั้น เด็กหญิงเฝ้าคอยแต่คิดถึงพ่อกับแม่แท้ๆของตน แม้บ้านใหม่จะมีให้กินอิ่ม ไม่ต้องอดๆอยากๆ แต่เด็กหญิงก็ไม่มีความสุขเหมือนอยู่กับพ่อแม่ เด็กหญิงยังจำได้ถึงพ่อที่คายข้าวออกจากปากมาป้อนตนได้อย่างแม่นยำ แม้ลุงฮึงจะให้ความรักความเมตตาตนมากแค่ไหน ก็มาแทนที่พ่อไม่ได้ ยิ่งป้าเง็กแล้วอาลั้งกลัวนางจับใจ
อาลั้งซึ่งฝึกล้างถ้วยล้างจานชามอยู่ พอได้ยินเสียงป้าเง็กเรียกชื่อตน เด็กหญิงก็สะดุ้งจนทำชามตกแตก
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่อาลั้งจะต้องถูกตี
อาฮึงนั้นจะคอยห้ามไม่ให้อาเง็กตีลูกสาวบุญธรรมอาลั้ง จึงยิ่งทำให้อาเง็กตีอาลั้งทุกครั้งที่ไม่พอใจสามีด้วย
อาลั้งเฝ้าคอยอยากได้พบหน้าแม่ จนฝันถึงแม่บ่อยๆ พอฝันถึงแม่…เด็กหญิงก็จะร้องไห้จนตื่น แล้วรู้ว่านั่นคือความฝันเท่านั้น
แล้ววันหนึ่ง…แม่ก็มาหาอาลั้งจริงๆ แต่มาพร้อมกับข่าวร้าย
“เตี่ยตายแล้ว !”
อาลั้งได้ยินก็ร้องไห้โฮ
“เงียบ !” อาเง็กตวาดเสียงดัง
อาลั้งตกใจ รีบยกสองมือขึ้นปิดปากตนเอง แต่ไม่สามารถจะหยุดร้องไห้ได้ในทันทีอย่างที่อาเง็กต้องการ เด็กหญิงสะอื้นจนตัวโยน
อาฮึงเข้ามาโอบกอดเด็กหญิงด้วยความสงสาร ตบหลังเด็กหญิงเบาๆอย่างปลอบโยน พลางถามอาซิ่วว่า “มีอะไรจะให้ช่วยหรือเปล่า ?”
“อากิมตายแล้ว…ที่บ้านไม่มีเงินจะซื้อโลงและฝังศพ อั๊วเลย…”
อาซิ่วเอ่ยไม่ทันจบ อาเง็กก็ขัดขึ้นว่า
“จะมาขอเงินละสิ”
อาซิ่วยกมือปาดเช็ดน้ำตาที่หลั่งลงมาไม่ขาดสาย บอกเสียงเครือว่า “อั๊วจะมาขอยืมเงินก่อน มีเมื่อไหร่…อั๊วจะเอามาคืนทันที”
“ให้ลื้อยืม ก็เหมือนกับเอาเงินไปทิ้งทะเล” อาเง็กว่าอย่างไม่เห็นทางที่จะได้เงินคืนแน่ๆ
อาซิ่วคุกเข่าลงต่อหน้าอาฮึงกับอาเง็ก “อั๊วกราบขอร้องละ ช่วยอั๊วสักครั้งเถิด นึกว่าสงสารคนยากไร้อย่างอั๊ว แล้วตอนนี้อั๊วก็เป็นหญิงม่ายไร้ที่พึ่งแล้ว”
อาลั้งสะบัดตัวหลุดจากมืออาฮึง ไปคุกเข่าข้างๆแม่ พลางโขกศีรษะ “ช่วยแม่ด้วยเถอะค่ะ คุณลุงคุณป้า”
“ลุกขึ้นๆ” อาฮึงเอ่ย “ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก อั๊วจะช่วยเท่าที่ช่วยได้ ลื้อบอกมาว่าจะใช้ประมาณเท่าไหร่ ?”
“อย่างประหยัดที่สุดก็ต้องใช้ประมาณ 10 เหรียญค่ะ”
อาซิ่วตอบยังไม่ยอมลุกขึ้นยืน
“หา…10 เหรียญ” อาเง็กอุทาน “อย่างนี้ปล้นกันชัดๆ”
“อาเง็ก…ลื้อก็พูดเกินไป” อาฮึงปรามภรรยา “งานศพค่าใช้จ่ายมาก ก็รู้ๆกันอยู่…แล้วอีกอย่างอั๊วจะให้ยืมเงินส่วนตัวอั๊วก็แล้วกัน”
“เงินส่วนตัวลื้อก็เหมือนเป็นของอั๊วเหมือนกัน” อาเง็กเอ่ยอย่างไม่พอใจสักเท่าไหร่
“เอาน่าๆ…” อาฮึงเอ่ยพลางล้วงเอาเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “คิดว่าช่วยเหลือคนกำลังลำบากก็แล้วกัน”
“เออๆ…ลื้อมันคนใจบุญ” อาเง็กประชดประชันสามี
อาฮึงทำเป็นไม่ได้ยินเสีย แล้วเข้าห้องไปรวบรวมเงินส่วนตัวจนครบ 10 เหรียญ นำใส่ถุงผ้าใบไม่ใหญ่นักมาส่งให้อาซิ่ว พลางบอกว่า
“ลื้อรีบกลับไปจัดการงานศพเถอะ ส่วนอาหมวย อั๊วดูแลเอง”
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณเหลือเกิน” อาซิ่วคำนับแล้วคำนับอีก
“ไม่ต้องทำอย่างนี้ รีบไปเถอะ” อาฮึงบอกอีกครั้งด้วยสีหน้าเห็นใจหญิงตรงหน้า
อาซิ่วจึงหันไปจับไหล่ลูกสาวบอกว่า “แม่ไปก่อนนะ”
อาลั้งโผเข้ากอดแม่แล้วร้องไห้ “หนูไปด้วย”
“ไม่ได้หรอก…หนูต้องอยู่ที่นี่” อาซิ่วบอกลูก แล้วใช้มือดันร่างเล็กๆนั้นออกห่าง อาฮึงเข้าใจกิริยานั้นจึงจับตัวอาลั้งไว้ เพื่อให้อาซิ่วรีบจากไป
“แม่…แม่จ๋า”
อาลั้งร้องไห้เสียงดัง แล้วโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ไม้เรียวก็หวดขวับใส่หลังไหล่ เด็กหญิงสะดุ้งโหยง ทั้งเจ็บทั้งตกใจ ร้องไห้จ้า ไม้เรียวก็หวดลงอย่างไม่นับ จนกระทั่งอาฮึงต้องเอาตัวกันไว้ พร้อมกับถามคนหวดซึ่งก็คืออาเง็กว่า
“ลื้อจะตีเด็กทำไม ?”
“มันอยากร้องก็ให้มันร้องจนพอไปเลย” อาเง็กตอบอย่างขุ่นเคือง
อาลั้งกลัวจนเนื้อตัวสั่นระริก พยายามกลั้นสะอื้นและระงับเสียงร้องไห้ หากแต่ระงับได้ยากเย็น ถึงไม่ร้องเป็นเสียงออกมาจากลำคอ เสียงสะอื้นยังคงอยู่ในลำคอ จนอกกระเพื่อมเป็นระยะๆ
“ไม่เอาน่าอาเง็ก เตี่ยอาลั้งตาย อาลั้งก็เสียใจเป็นธรรมดา” อาฮึงพยายามห้ามปรามภรรยา
เลยถูกอาเง็กตอกกลับว่า
“เตี่ยของอาลั้งเวลานี้คือลื้อต่างหาก ครอบครัวนั้นขายอาลั้งให้พวกเราแล้ว ก็ไม่ใช่เตี่ย ไม่ใช่แม่ของอาลั้งอีกแล้ว จำเอาไว้ใส่หัวด้วยอาลั้ง” พร้อมๆกับคำพูดนั้น อาเง็กก็ใช้ไม้เรียวเคาะหัวเด็กหญิงถี่ๆ
หลังงานศพอากิม…อาซิ่วก็ลอบมาที่บ้านที่นางขายเง็กลั้งให้ ตลอดเวลาที่ผ่านมานางต้องคอยดูแลอากิมที่ป่วยหนักจนไม่มีเวลามาหาเง็กลั้ง หลังจากอากิมตาย อาซิ่วก็อาศัยลูกชายที่ยังไม่ทันโต ไปทำงานรับจ้างเป็นเด็กเลี้ยงวัว ขอปันอาหารมาให้นางบ้าง ตนเองออกไปรับจ้างซักผ้าทำความสะอาดบ้านแลกอาหารมายังชีพบ้าง พอมีเวลาคิด นางก็คิดถึงเง็กลั้ง ลูกสาวที่นางขายไปอย่างมาก เพราะจากการสังเกตของนางสองครั้งที่ได้เจอกับอาเง็ก ดูแล้วเป็นคนดุ จึงลอบมาเพื่อจะสอบถามความเป็นอยู่ของเง็กลั้งจากเพื่อนบ้านของอาเง็ก




คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ธ.ค. 2555, 11:56:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ธ.ค. 2555, 11:56:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1477





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 4 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account