กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 4

4...


อาซิ่วไปยืนหลบที่กำแพงอิฐซึ่งกั้นระหว่างบ้านของอาเง็กกับตรอกแคบๆ มีช่องให้เดินเข้าไปในลานบ้านซึ่งใช้ประโยชน์อเนกประสงค์ ได้ยินเสียงอาเง็กสั่งลูกสาวบุญธรรมว่า
“อาลั้ง...เก็บโต๊ะให้ดี เอาถ้วยชามไปล้างให้สะอาด อย่าทำแตกละ ไม่งั้นจะต้องถูกตี”
“ค่ะ” เสียงอาลั้งรับคำ ตามมาด้วยเสียงเก็บถ้วยชาม
อาซิ่วตั้งใจจะแอบดูเง็กลั้งล้างถ้วยชามอยู่ตรงมุมกำแพงนั้นอย่างเงียบๆ แต่ทว่า…เสียงอาฮึงสามีอาเง็กที่เดินมาจากด้านหลังของนางทักอย่างจำได้ว่า
“น้องสะใภ้เองหรือ? มาหาอาลั้งหรือ?”
อาซิ่วสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปเผชิญหน้าอาฮึง ยิ้มแสนจืดชืด ก่อนจะตอบว่า “ใช่ค่ะ…อั๊วคิดถึงอาลั้งเลยมาแอบดู ไม่ตั้งใจจะมารบกวนนะคะ”
“รบกวนอะไรกัน มาถึงบ้านแล้ว ก็เข้ามานั่งคุยกันให้หายคิดถึงซะสิ”
อาฮึงพูดยังไม่ทันจบประโยคดี อาเง็กก็โผล่หน้ามามอง แล้วร้อง “อ้าว…อาฮึงทำไมไม่เข้าบ้าน แล้วผู้หญิงคนนี้มาหาใคร?”
เพราะอาเง็กมัวแต่สนใจมองสามีของตนคนเดียว ไม่ได้มองผู้หญิงร่างผอมบางแต่งกายซอมซ่อที่สามียืนคุยด้วย เพราะคิดว่าคงเป็นพวกขอทานมากกว่า ส่วนอาซิ่วก็ก้มหน้างุด เพราะเกรงกลัวอาเง็กเป็นทุนอยู่แล้ว
“อาซิ่วแม่ของอาลั้งไง” อาฮึงตอบภรรยา
“แล้วมาทำไมอีกละ?” อาเง็กถามเสียงไม่ชอบใจนัก
“เขามาเยี่ยมอาลั้ง” อาฮึงตอบภรรยา แล้วหันมาทางอาซิ่ว “เชิญน้องสะใภ้เข้าบ้านก่อน”
อาเง็กอยากจะขัด แต่อาฮึงออกปากไปแล้ว นางมาขัดทีหลัง จะดูเป็นการไม่ให้เกียรติสามี จึงเงียบเสีย เม้มปากอย่างขัดใจ
อาฮึงเดินนำเข้าไปที่ลานอเนกประสงค์ก่อน ตามมาด้วยอาซิ่ว ขณะนั้นอาลั้งได้นำถ้วยชามที่ต้องล้างมาที่มุมล้างชามเรียบร้อยพอดี พอหางตามองเห็นแม่ อาลั้งก็หันมาเรียกอย่างดีใจเสียงดัง “แม่…แม่จริงๆ ด้วย” แล้วสายตาของเด็กน้อยก็สบเข้ากับตาแม่เสือของอาเง็กที่ตามเข้ามาหลังสุด ทำให้อาลั้งที่กำลังจะโผไปกอดแม่ ต้องชะงักกลางคัน
อาฮึงสังเกตเห็นกิริยานั้นจึงบอกว่า “เข้ามาหาแม่สิอาลั้ง”
“ค่ะคุณลุง” อาลั้งรับคำเสียงแผ่วเบา แล้วค่อยๆ ก้าวเข้าหาแม่ แต่ลอบเหลือบตามองอาเง็ก พอสบกับสายตาขุ่นๆ ของนางทีไร อาลั้งก็ต้องรีบหลบตาทีนั้น ในใจเด็กน้อยทั้งดีใจที่ได้พบแม่ ทั้งหวั่นหวาดเกรงกลัวมารดาเลี้ยงอย่างมาก แต่พอเข้าใกล้อาซิ่วพอเอื้อมมือถึง อาซิ่วก็ดึงตัวลูกสาวเข้ามากอดไว้แล้วร้องไห้ อาลั้งถูกแม่กอดก็พักความหวาดกลัวเอาไว้ก่อน กอดตอบแม่แล้วเอ่ยเสียงเจือสะอื้นว่า “แม่จ๋า หนูคิดถึงแม่เหลือเกิน”
“แม่ก็คิดถึงลูกจ้ะ” อาซิ่วตอบ พลางจูบกระหม่อม จูบหน้าผากของลูกสาวอย่างรักใคร่
“เชอะ…” อาเง็กทำเสียงรำคาญในลำคอ แล้วเอ่ยแทรก “อาฮึง อั๊วจะไปที่แปลงผักหน่อยนะ”
“เออๆ“ลื้อไปเถอะ แล้วดูผักมาเป็นของฝากด้วยละ” อาฮึงตอบภรรยา ซึ่งทำให้อาเง็กนั้นกัดริมฝีปากอย่างไม่พอใจหนัก ก่อนจะสะบัดหน้าผละจากไป
อาฮึงจึงเชื้อเชิญอาซิ่วเข้าไปนั่งในบ้าน พอนางนั่งลงเรียบร้อย ก็ถามตามธรรมเนียมว่า “มาแต่เช้ายังงี้ กินข้าวมารึยัง น้องสะใภ้?”
“กินแล้วจ้ะ” อาซิ่วตอบโกหก แต่กระเพาะของอาซิ่วไม่ยอมโกหกด้วย มันลั่นโครกครากจนใครๆ ก็ได้ยิน
อาฮึงยิ้มอย่างมีเมตตา เอ่ยว่า “เดินมาไกล กินข้าวต้มอีกสักชามหนึ่งก่อน” แล้วลุกเข้าครัวไป โดยไม่ฟังเสียงปฏิเสธของอาซิ่ว ไม่นานนักเขาก็กลับมาพร้อมชามใส่ข้าวต้มที่มีเนื้อข้าวมากกว่าน้ำ และมีกับข้าวเล็กๆ น้อยๆ เช่น ถั่วลิสงคั่ว กับหัวผักกาดดองหั่นชิ้นเล็กๆ ซึ่งสำหรับอาซิ่วแล้วมันดีจนนางน้ำตาปริ่ม
อาซิ่วกล่าวขอบคุณ ก่อนจะลงมือกิน แต่มือของนางก็สั่นเพราะความหิวโหย
อาฮึงจึงคิดจะหลบออกไปก่อน “อั๊วจะไปชงน้ำชามาให้นะ” แล้วเขาก็ลุกออกไป ปล่อยให้อาซิ่วกินตามลำพังกับลูกสองคน
อาซิ่วกินด้วยความหิวโหยจนอาลั้งเอ่ยเตือนด้วยความรักว่า “แม่ค่อยๆ กินค่ะ เดี๋ยวจะสำลัก”
“จ้ะๆ…” อาซิ่วรับคำแล้วกินช้าลง จนข้าวหมดชาม
“แม่อิ่มหรือยัง ถ้ายังหนูจะไปตักข้าวให้อีก” อาลั้งพูดด้วยความรักแม่ แม้รู้ดีว่าการไปตักข้าวต้มให้แม่เอง โดยยังไม่ได้รับอนุญาตจากป้าเง็กหรือลุงฮึง อาจจะต้องถูกตีก็ตาม
“อิ่มแล้วจ้ะ แม่ไม่เคยอิ่มขนาดนี้มาก่อน” อาซิ่วพูดตามความจริง ก่อนจะถามลูกสาวตัวน้อยว่า “คุณลุง คุณป้ารักหนูไหม?”
“รักค่ะ” เด็กหญิงตอบ ในความคิดของเด็กน้อย…คุณลุงคนเดียวที่รักตน แต่คุณป้าดุและชอบตีตน จนตนกลัวลาน แต่จะบอกแม่ไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะเป็นห่วง แต่ก็อดต่อท้ายไม่ได้ว่า “แต่หนูรักแม่มากกว่า”
อาซิ่วยิ้มทั้งน้ำตา “ถ้าแม่มีเงินเมื่อไหร่ แม่จะมาไถ่ตัวหนูกลับไปอยู่บ้านเรา”
“จริงหรือคะ?” แค่ได้ยิน อาลั้งก็ดีใจจนพูดไม่ถูก
“จริงจ้ะ” อาซิ่วรับคำกอดลูกไว้แน่นอีกครา
พอดีอาฮึงเดินกลับเข้ามา พร้อมกาน้ำชาและถ้วยเล็กๆ สองใบ เขามองชามข้าวต้มที่ว่างเปล่า แล้วถามว่า “อิ่มหรือเปล่า…น้องสะใภ้”
“อิ่มแล้วค่ะ ขอบคุณมากค่ะ” นางตอบเป็นพิธีรีตองมากขึ้น
อาฮึงจึงนั่งลงตรงข้าม แล้วรินชาให้นางถ้วยหนึ่ง ของตนเองถ้วยหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ขอโทษนะที่ไม่ได้ไปงานศพอากิม”
“ไม่เป็นไรค่ะ ที่ทำงานศพได้ก็ต้องขอบคุณคุณลุงมากที่ช่วยเหลือมาคราวนั้น ไม่เช่นนั้นอั๊วก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร” อาซิ่วยกมือเช็ดน้ำตาที่รินลงมาอีก
“เรื่องนั้นไม่ต้องพูดถึงมันแล้ว มาพูดถึงเด็กๆ ดีกว่า ตอนนี้เด็กๆ เป็นอย่างไรบ้าง” อาฮึงเปลี่ยนเรื่อง
“เด็กๆ ไปรับจ้างเลี้ยงวัวแลกข้าวแลกน้ำวันละมื้อสองมื้อ ก็พอประทังอยู่ไปได้ แต่ยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร” อาซิ่วตอบตามตรง
“อย่างนี้น้องสะใภ้ก็ลำบากแย่” อาฮึงเอ่ยพลางถอนหายใจ
“อั๊วก็ไปเที่ยวรับจ้างทำงานทุกอย่างที่เขามีให้ทำ จะตำข้าว ซักผ้า หรือทำความสะอาดบ้าน แต่งานพวกนี้ก็มีให้ทำไม่บ่อยนัก บางครั้ง…บางครั้ง…” อาซิ่วหยุดเพราะกระดากปากที่จะพูดถึงสิ่งที่ตนเองทำ
อาฮึงเข้าใจ จึงเอ่ยว่า “เราคนกันเอง มีอะไรก็พูดกันได้”
“พูดไปแล้ว อั๊วก็อับอายไม่หาย” อาซิ่วเอ่ย “บางครั้งอั๊วต้องไปหมู่บ้านอื่น เพื่อขอทานมาประทังชีวิตก็หลายครั้ง”
อาฮึงมองอีกฝ่ายอย่างเห็นใจ…ครอบครัวที่ขาดหัวหน้าครอบครัว มีเพียงผู้หญิงอ่อนแอกับลูกๆ ยังเล็กอีกสอง ไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ นอกจากแรงกาย ก็ต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด เขาจึงล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบพวงเหรียญทองแดงออกมาจากกระเป๋ายื่นส่งให้แก่อาซิ่ว “น้องสะใภ้เอาไว้ซื้อข้าวสารนะ”
“อั๊วรับไม่ได้” อาซิ่วกล่าวอย่างเกรงใจ “มาวั้นนี้อั๊วก็มารบกวน แต่เพราะอั๊วทนคิดถึงลูกไม่ได้”
“ไม่ต้องเกรงใจรับไปเถิด…แล้วถ้าคิดถึงอาหมวยเมื่อไหร่ก็มาเยี่ยมได้เมื่อนั้น” อาฮึงพูดจากใจจริง
“ขอบคุณมากค่ะ” อาซิ่วกล่าว ก่อนจะรับเงินเหรียญพวงนั้นไปอย่างซาบซึ้ง

หลังจากแม่ลากลับไป อาลั้งก็มานั่งล้างถ้วยชามอยู่ที่ลานบ้านมุมหนึ่ง ขณะล้างเพลินๆ เสียงอาเง็กก็เรียกมาจากข้างหลัง
“อาลั้ง…”
อาลั้งสะดุ้งสุดตัวทำให้ชามในมือหล่นลงกระแทกพื้น
เพล้งงง…
เด็กหญิงหน้าซีดเผือด กลัวจนฉี่ราด
ยิ่งทำให้อาเง็กโมโหหนักข้อกว่าเก่า เสียงแหลมปรี๊ดดุดันของนางจึงตะเบ็งออกมาว่า “ลื้อจะล้างผลาญอั๊วเรอะ…แล้วนี่ยังทำเลอะเทอะ ให้อั๊วต้องซักขี้ซักเยี่ยวให้ลื้ออีก”
“หนูกลัวแล้ว อย่าตีหนูเลย” อาลั้งอ้อนวอน
แต่อาเง็กนั้นโมโหจนหน้ามืดตาลาย ฉวยได้ไม้ก็หวดซ้ายหวดขวาอย่างไม่ยั้งมือ เสียงไม้และเสียงร้องไห้ของเด็กหญิงทำให้อาฮึงที่กำลังทำงานง่วนอยู่ในบ้านต้องรีบออกมาดู
“หยุดๆๆ…” อาฮึงห้ามทัพพลางกั้นกลาง
“หลีกไป” อาเง็กไม่พอใจ
“ใจเย็นๆ อาเง็ก เด็กเพิ่งหกขวบเอง ลื้อจะให้ทำงานได้อย่างใจได้ยังไง” อาฮึงพยายามให้เหตุผลภรรยา
“ลื้อรู้หรือว่าอั๊วตีมันเพราะอะไร?” อาเง็กย้อนถามสามี
“อาหมวยทำชามแตก อั๊วได้ยินเสียงแล้วละ” อาฮึงตอบ
“ไม่ใช่แค่นั้น…อายุตั้งหกขวบแล้วยังจะฉี่ราดกางเกงให้อั๊วต้องมานั่งซักให้อีก” อาเง็กตอบอย่างดุดัน
“ลื้อก็ให้อี (เขาหรือหล่อน) ซักของอีเองก็แล้วกัน” อาฮึงตัดปัญหา
แต่อาเง็กกลับว่า “ให้ล้างชามก็ทำชามแตก เดี๋ยวถ้าให้ซักผ้าไม่ทำผ้าขาดรึ…อั๊วละกลุ้มใจจริงๆ” ว่าแล้วนางก็โยนไม้ในมือทิ้ง เดินลงส้นเท้าตึงๆ เข้าบ้านไป

นับจากนั้นมา…อาซิ่วก็แวะมาหาอาลั้งแทบทุกเดือน และทุกครั้งอาฮึงก็จะลอบให้เงินอาซิ่วไปซื้อข้าวสาร โดยไม่ให้อาเง็กรู้ แต่อาเง็กก็จะหาเรื่องตีอาลั้งทุกครั้งไป อาลั้งนั้นกลัวอาเง็กยิ่งกว่าหนูกลัวแมวซะอีก แต่เด็กหญิงก็ไม่บอกอะไรให้แม่รู้ เพราะเกรงว่าแม่จะไม่มาหาตนอีกเพื่อตัดปัญหานี้ให้กับตน
ในใจเด็กหญิงคิดว่า…ได้เจอหน้าแม่แล้วถูกตียังดีกว่าไม่ได้เจอหน้าแม่เป็นไหนๆ! แม้จะกลัวการถูกตีจับใจก็ตาม
อาเง็กนั้นสอนงานบ้านให้อาลั้งแทบทุกอย่าง และให้เด็กหญิงซึ่งขณะนี้มีอายุเพียงเจ็ดขวบทำงานบ้านแทนตนทุกอย่าง
วันหนึ่ง…ป้าซำมาหาอาเง็กที่บ้าน เมื่อพากันนั่งลงเรียบร้อย แล้วอาลั้งยกน้ำชามาต้อนรับแขก
“อาเง็ก…ให้เด็กออกไปก่อน” ป้าซำบอก
“อาลั้งลื้อไปที่แปลงผัก หาผักมาทำกับข้าวเย็นนี้” อาเง็กสั่ง
“ค่ะคุณป้า” อาลั้งรับคำแล้วไปทำตามที่อาเง็กสั่ง โดยไม่รู้ว่าที่ป้าซำให้ตนออกไปนั้น ก็เพื่อยุแหย่อาเง็กเกี่ยวกับตนนั่นเอง
พอเด็กหญิงลับร่างไปแล้ว ป้าซำก็เริ่มเรื่องทันทีว่า “อั๊วได้ข่าวว่าอาซิ่วมาที่นี่บ่อยๆ จริงหรือเปล่า?”
“จริง…อีมาที่นี่เดือนละครั้งสองครั้ง” อาเง็กตอบ
“ต๊าย…ตายๆๆๆ” ป้าซำตบอก
“มีอะไรรึป้าซำ?” อาเง็กถามตรงๆ
“ยังงี้อาหมวยก็รู้นะสิว่าใครเป็นแม่ที่แท้จริง” ป้าซำกล่าว “ตอนพาอาหมวยมาขายให้ลื้อ อีเพิ่งจะห้าขวบ ถ้าไม่ให้พบหน้าแม่นานๆ อีก็จะลืมไปเองและคิดว่าลื้อเป็นแม่แท้ๆ แต่ตอนนี้อาหมวยเจ็ดขวบแล้วจะต้องจำแม่ได้อย่างแม่นยำ แล้วยังงี้อีจะกตัญญูต่อลื้อเรอะ”
สีหน้าอาเง็กเครียด “ก็อาฮึงละสิใจอ่อน”
“พูดถึงอาฮึง แล้ววันนี้อาฮึงไม่อยู่บ้านเหรอ?” ป้าซำถามมองไปรอบๆ บ้าน เพราะเรื่องที่นางจะมาพูด นางรู้ว่าอาฮึงไม่ชอบใจนัก
“อ๋อ…เขาไปค้าขายที่ต่างจังหวัด อีกหลายวันถึงจะกลับ” อาเง็กบอก
“ถ้ายังงั้นก็ดี อั๊วจะได้คุยกับลื้อสะดวก” ป้าซำกล่าวเป็นนัยๆ
“มีอะไรป้าซำก็พูดมาตรงๆ อั๊วพร้อมที่จะฟัง” อาเง็กกล่าว
“ลื้อคิดจะทำยังไงกับอาลั้ง?” ป้าซำยิงคำถามเข้าเป้า
“ก็เลี้ยงให้โตเป็นสาว แล้วให้แต่งงาน แต่สินสอดต้องสูงหน่อยนะ เพราะอั๊วสอนงานบ้านงานเรือนให้พร้อมแล้ว” อาเง็กเอ่ยอย่างเก็งกำไร “ทุกวันนี้อั๊วก็แสนจะสบาย งานบ้านทุกอย่างก็ให้อาลั้งทำ อั๊วคอยคุมเท่านั้นพอ”
“ลื้อคิดผิดแล้ว…ลื้อยังสาวยังมีแรงทำงานจะรีบสบายตอนนี้ แล้วไปลำบากตอนแก่นะเรอะ” ป้าซำยิ้มพลางเอาพัดที่สานจากไม้ไผ่มาโบกพัดให้ตนเอง
“ป้าซำพูดอย่างงี้หมายความว่ายังไง?” อาเง็กเสียงห้วน เพราะคิดว่าอีกฝ่ายแช่งตน
“ใจเย็นๆ สิอาเง็ก อั๊วจะพูดให้ลื้อฟัง” ป้าซำเริ่มลีลาคารมที่ทำให้คนคล้อยตามมานักต่อนักของตน “อาลั้งพอตอนนี้ก็ทำงานช่วยให้ลื้อนั่งนอนสบายๆ แล้วพออาลั้งแต่งงานไป ลื้อก็ต้องทนลำบากทำงานเองอีก…จริงไหม?”
“มันก็จริง” อาเง็กพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “หรือว่าอั๊วจะไม่ให้มันแต่งงานดี”
“ทำยังงั้นลื้อก็กลายเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายนะสิ” ป้าซำว่า
“โอ้ย…ยังงี้ก็ไม่ได้ ยังงั้นก็ไม่ได้ แล้วจะให้อั๊วทำยังไง!” อาเง็กพูดอย่างฉุนๆ
“ลื้ออยากสบายตอนแก่ไหมละ?” ป้าซำตั้งคำถามขึ้นนำ
“ก็ต้องอยากสิ…ถามได้” อาเง็กค้อนป้าซำวงหนึ่ง
“งั้นลื้อก็ต้องมีลูกสะใภ้…ลูกสะใภ้ก็เปรียบเหมือนคนรับใช้ของเราไปชั่วชีวิต จนกระทั่งเราแก่ตาย” ป้าซำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ลื้อพูดอะไรอั๊วไม่เข้าใจ…อั๊วจะมีลูกสะใภ้ได้ยังไง ในเมื่ออั๊วไม่มีลูกชาย” อาเง็กพูดแล้วถอนหายใจเฮือก
“ก็มีซะตอนนี้สิ” ป้าซำกล่าว “เด็กผู้ชายอายุหกเดือน กำลังเลี้ยงง่าย อีกสิบกว่าปีก็มีลูกสะใภ้ให้ลื้อได้แล้ว เขาเรียกราคาเพียงสามสิบเหรียญเท่านั้น”
“ป้าซำจะให้อั๊วซื้อลูกชายอีกคนเหรอ?” อาเง็กถามตรงๆ
“ถูกต้อง” ป้าซำก็ตอบตรงๆ
อาเง็กนิ่งอึ้ง
“ลื้อคิดให้ดีนะ มีแต่กำไร ไม่มีขาดทุน แล้วลูกชายอายุหกเดือนก็จะคิดว่าลื้อเป็นแม่แท้ๆ จะกตัญญูต่อลื้อคนเดียวไม่ปันใจให้แม่คนอื่น ดีกว่าลูกสาวที่ต้องแต่งงานไปเป็นไหนๆ” ป้าซำเกลี้ยกล่อม
“ก็จริง…แต่อั๊วไม่มีเงิน” อาเง็กตอบตามตรง
“อะไร…ลื้อจะไม่มีเงินได้ยังไง ก็อาฮึงไปค้าขายต่างจังหวัดออกบ่อย” สีหน้าป้าซำบ่งบอกว่าไม่เชื่อ “อย่างตอนนี้ก็ไปค้าขายอีก”
“เขาไปค้าขายก็ต้องเอาเงินเป็นทุนไปซื้อสินค้า คราวนี้เอาเงินไปลงทุนหมด อั๊วก็เลยไม่มีเงิน” อาเง็กพูดตามตรง “ใจจริงอั๊วอยากได้ลูกชายใจจะขาด คราวที่แล้วก็เพราะลื้อมายัดเยียดอาลั้งให้ แล้วอาฮึงก็เกิดถูกชะตาอาลั้ง อั๊วถึงต้องทนมีลูกสาวมาถึงเดี๋ยวนี้”
“แหม…ลื้อก้อ อั๊วหวังดีหรอก”
“รออาฮึงกลับมาก่อนก็แล้วกัน” อาเง็กตัดปัญหา
“รอไม่ได้หรอก…ครอบครัวนั้นจะรีบใช้เงิน ถ้าชักช้าเขาก็คงขายให้ครอบครัวอื่นไปเสียก่อน แล้วลื้อจะต้องมานึกเสียดายแน่ๆ อั๊วรับรอง” ป้าซำกล่าวเร่งรัด
“แต่อั๊วยังไม่มีเงินตอนนี้” อาเง็กยืนยัน
“มีสิ” ป้าซำยิ้ม สีหน้าเจ้าเล่ห์ “อาลั้งไง!”




คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ธ.ค. 2555, 11:57:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ธ.ค. 2555, 11:57:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1231





<< ตอนที่ 3   ตอนที่ 5 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account