กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 5

5…..


อาเง็กไม่ใช่คนโง่ พอป้าซำเอ่ยเกริ่นมาปุ๊บ นางก็เข้าใจทันที

“ลื้อจะให้อั๊วขายอาลั้งเอาเงินมาซื้ออาตี๋คนใหม่เป็นลูกแทนรึ?”

ป้าซำโบกพัดไม้ไผ่สานในมือ เอ่นยิ้มๆว่า “ลื้อเป็นคนฉลาด…งานนี้มีแต่กำไร ไม่มีขาดทุน ลื้อขายอาลั้งตั้งราคาไว้สักสี่สิบเหรียญ เอาสามสิบเหรียญไปซื้อลูกชายได้คนหนึ่ง ยังเหลือเงินอุ่นๆอยู่ในกระเป๋าสิบเหรียญ แล้วลื้ออดทนเลี้ยงลูกชายซักสิบกว่าปี พอโตขึ้นอีก็มาเลี้ยงลื้อตอบแทนจนแก่จนเฒ่า เวลาตายไปก็ยังมีคนไหว้ พอลื้อมีลูกสะใภ้ลื้อก็ไม่ต้องทำงานแล้ว อยู่สบายนั่งกินนอนกินเป็นคุณนาย มันไม่ดีตรงไหน?”

“ไม่ใช่อั๊วว่าไม่ดี” อาเง็กเริ่มคล้อยตาม “แต่ว่าอั๊วไม่รู้ว่าจะขายอาลั้งให้ใคร”

“เรื่องนี้อั๊วคิดแทนลื้ออยู่” ป้าซำเหลือบตามองประตูแวบหนึ่งเมื่อกลัวใครจะมาแอบฟัง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาลงว่า “ป้าสี่ที่บ้านอยู่หมู่บ้านถัดไป แกเป็นม่ายมาสี่ปีแล้ว มีลูกชายคนหนึ่งอายุก็ไล่ๆเรียงๆกับอาลั้ง แกอยากให้ลูกชายแกมีเมีย เพื่อที่จะได้มารับใช้ปรนนิบัติแกกับลูกชาย อั๊วช่วยเรียกสินสอดให้ลื้อแล้วสี่สิบเหรียญ อีไม่เกี่ยงเลย”

“เดี๋ยวก่อนป้าซำ…อั๊วยังไม่ทันตกลง ลื้อก็ไปเรียกสินสอดแล้ว นี่หมายความว่ายังไง” น้ำเสียงของอาเง็กไม่ค่อยพอใจนัก
ป้าซำอึ้ง อ้าปากค้างเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือก เอ่ยเสียงเหมือนเสียใจว่า “อั๊วใจเร็วช่วยคิดแทนลื้อ ถ้าลื้อไม่พอใจ อั๊วก็จะไปบอกเลิกเค้า”
นี่เป็นกลยุทธของป้าซำ เรียกว่าถอยก่อนแล้วค่อยรุกทีหลัง

“แต่เด็กเล็กๆอย่างอาลั้งไปขายให้บ้านอื่นก็คงไม่ได้ราคานี้หรอก แล้วลื้อยังต้องทนเลี้ยงอีไปอีกเกือบสิบปี คิดเป็นค่าข้าวค่ากับเข้าไปเท่าไหร่ แต่งงานจริงๆก็ไม่แน่ว่าจะได้สินสอดอย่างที่ลื้อหวัง อั๊วเสียดายแทนลื้อจริงๆ ถ้าพลาดจากอาตี๋คนนี้ ลื้อจะหาเด็กผู้ชายน่ารักน่าชังเลี้ยงง่ายเหมือนอย่างนี้อีกคงไม่มี แล้วอีกอย่างอายุขนาดนี้กำลังดี จำพ่อจำแม่ที่แท้จริงไม่ได้ ก็ต้องรักนับถือลื้อกับอาฮึงเท่านั้น”

“เอาเถอะๆ…ให้อั๊วคิดดูก่อน” อาเง็กยังลังเลอยู่บ้าง
“ถ้าอั๊วขายอาลั้งไปโดยไม่ได้บอกอาฮึงก่อน อาฮึงอาจจะไม่พอใจก็ได้ รออาฮึงกลับมาก่อน อั๊วอาจจะขอเงินอีซื้ออาตี๋อีกคน โดยไม่ต้องขายอาลั้งก็ได้”
“ไอ้หยา…ลื้อคิดผิดแล้ว”
เสียงร้องลั่นของป้าซำ ทำเอาอาเง็กต้องขมวดคิ้ว
“อั๊วคิดผิดตรงไหน”
“ลื้อคิดจะเลี้ยงอาลั้งพร้อมๆกับอาตี๋ใช่หรือไม่” ป้าซำถาม
“ใช่…” อาเง็กพยักหน้า “อั๊วจะให้อาลั้งเลี้ยงอาตี๋ อั๊วจะได้ไม่ต้องลำบากเลี้ยงเด็ก อั๊วไม่ค่อยชอบเด็กเล็กๆนักหรอก”
“นี่แหละที่อั๊วว่าลื้อคิดผิด” ป้าซำตบอกเบาๆ “อาลั้งก็รู้ว่าอาตี๋ไม่ใช่ลูกแท้ๆของลื้อ ถ้าอีบอกความจริงนี้แก่อาตี๋ ลื้อคิดดูสิว่าถ้าอาตี๋รู้ว่าอีไม่ใช่ลูกแท้ๆของลื้อ อีจะรักจะนับถือลื้อหรือ”
อาเง็กเม้มปากอย่างคิดหนัก
ป้าซำรีบเอ่ยซ้ำว่า
“ลื้อต้องรีบๆขายอาลั้งไปก่อนที่อาฮึงจะกลับ แล้วซื้ออาตี๋มาแทนที่ อาฮึงก็คงจะต้องปล่อยเลยตามเลย ซ้ำจะดีใจซะอีกที่ได้ลูกชาย…ลื้อไม่ต้องคิดมากแล้ว เชื่ออั๊วสิ”
“ก็ได้…” อาเง็กรับปาก แต่ดวงตาเอาเรื่องของนางจ้องป้าซำเขม็ง “แต่อั๊วขอบอกก่อนนะ ลื้อจะมาขอค่านายหน้าจากอั๊วไม่ได้”
“ใครว่าละว่าอั๊วจะเอาค่านายหน้าจากลื้อ อั๊วต้องการช่วยลื้อจริงๆต่างหาก” ป้าซำเอ่ยอย่างคล่องปาก “เมื่อลื้อตกลง อั๊วก็จะพาอาลั้งไปให้ป้าสี่ดูตัวเดี๋ยวนี้เลย”
อาเง็กพยักหน้า แล้วลุกไปเก็บเสื้อผ้าที่มีอยู่เพียงไม่กี่ชิ้นของอาลั้งห่อด้วยผ้าดิบผืนหนึ่งผูกเป็นปมไว้สำหรับให้คล้องแขน พออาลั้งเก็บผักมาถึงบ้าน เด็กหญิงวางผักลงบนโต๊ะไม้ แล้วจะเข้าครัวไปติดเตาตามหน้าที่
อาเง็กก็เรียกเอาไว้ “อาลั้งมานี่ก่อน”
เด็กหญิงเดินเข้าไปหาอาเง็กอย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไรอีกจะถูกตีอีกหรือเปล่า
อาเง็กมองร่างน้อยที่ยืนตัวลีบอยู่ตรงหน้าด้วยความรำคาญมากกว่าเอ็นดู แม้เด็กหญิงจะหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเพียงไรก็ตาม คงเป็นเพราะดวงชะตาไม่สมพงษ์กัน…นางคิดในใจ
“คุณป้าจะให้หนูทำอะไรหรือคะ?” เด็กหญิงถามเสียงเบา
“อั๊วจะให้ลื้อตามป้าซำไป” อาเง็กบอก พร้อมกับยื่นห่อผ้าให้ “เอ้า นี่เสื้อผ้าของลื้อ อั๊วช่วยเก็บให้แล้ว”
สีหน้าอาลั้งงงงัน จนอาเง็กรำคาญยัดเยียดห่อผ้าใส่มือเด็ก เด็กหญิงจึงรับไปถือ พาถามซื่อๆว่า “จะให้หนูไปอยู่กับยายซำหรือคะ?”
“เปล่า” อาเง็กตอบเสียงห้วน “อั๊วจะขายลื้อไปเป็นสะใภ้บ้านป้าสี่ต่างหาก”
“ทำไมต้องขายหนูด้วย…หนูทำผิดอะไรคะ?” เด็กหญิงออกปากถาม พลางน้ำตาร่วง มือน้อยๆกำชายเสื้อแน่น
“ลื้อเลิกสำออยสักทีได้ไหม อั๊วละเบื่อ อะไรนิดอะไรหน่อยก็น้ำตาเล็ดน้ำตาร่วง ลื้อจะผิดหรือไม่ผิด อั๊วไม่สนใจ อั๊วจะขายลื้อก็ขาย” อาเง็กแหว
“อย่าขายหนูเลยนะะคุณป้า…หนูจะไม่ดื้อ ไม่ซน จะเชื่อฟังคุณป้าทุกอย่าง” อาลั้งอ้อนวอน เพราะเกรงว่าถ้าถูกขายไปแล้ว แม่มาหา จะไม่ได้พบกัน
“ลื้อเลิกร้องซะที ไม่งั้นจะถูกตี” อาเง็กหันไปคว้าไม้เรียว
อาลั้งตกใจรีบกลั้นสะอื้น ยกมือปาดเช็ดน้ำตา
ป้าซำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เข้ามาโอบกอดอาลั้งราวกับรักใคร่เสียเต็มประดา พูดปลอบว่า “หนูไปกับยายนะ ยายจะพาไปอยู่บ้านดีๆ แถมยังมีเพื่อนเล่นด้วย” แล้วนางก็หันไปบอกอาเง็กว่า
“อั๊วต้องรีบไปก่อนนะ เดี๋ยวธุระไม่ทันเสร็จจะมืดค่ำเสียก่อน”
“เออๆ ลื้อรีบไปเถอะ” อาเง็กบอก รู้สึกหงุดหงิดรำคาญอย่างไร้สาเหตุ นางมองร่างอาลั้งที่เดินตามแรงจูงของป้าซำก้าวออกพ้นประตูบ้านไปแล้วรู้สึกใจโหว่งๆชอบกล จะว่านางรักอาลั้งก็ไม่ใช่ แต่คงเป็นเพราะเลี้ยงดูสั่งสอนกันมานานถึงสองปี ทำให้นางอดรู้สึกเสียดายเด็กไม่ได้ แล้วอีกปัญหาคืออาฮึงจะเห็นด้วยกับการกระทำของนางไหม?
อาลั้งเดินตามแรงจูงของป้าซำห่างจากบ้านราวห้าเมตร เด็กหญิงอดเหลียวหลังกลับไปมองไม่ได้ ที่บ้านนี้สิ่งที่เด็กหญิงอาลัยอาวรณ์คือลุงฮึงกับแม่ที่ลอบมาเยี่ยม นี่ถ้าไปอยู่ที่ใหม่ แม่จะไปหาถูกหรือเปล่า?

บ้านป้าสี่เป็นบ้านหลังเดี่ยวปลูกอยู่ในรั้วล้อมรอบที่ทำด้วยอิฐดินก้อนโต ตัวบ้านไม่ได้ใหญ่โตนัก มีสภาพค่อนข้างไปทางเก่ามากกว่าใหม่ ป้าสี่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้ดำที่ขัดจนขึ้นเงา มีโต๊ะเล็กกั้นกลาง อีกข้างก็เป็นเก้าอี้ไม้ดำขัดเงา ซึ่งเป็นของเก่าแก่ของตระกูล ป้าซำนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวนั้น กำลังจารนัยคุณสมบัติของอาลั้งให้ป้าสี่ฟัง
ป้าสี่ซึ่งมีเค้าหน้าไม่ดุเหมือนป้าเง็กมองมาทางเด็กหญิงแล้วยิ้ม ออกปากว่า “หน้าตาน่ารักดี โตขึ้นคงสวยมากทีเดียว”
“ใช่แล้วละ” ป้าซำเสริม “เด็กคนนี้สวยจริงๆอย่างที่อั๊วบอกใช่มั้ยล่ะ”
“แต่ห้าสิบเหรียญ…แพงไป” ป้าสี่เอ่ยเสียงเนิบๆ “ตอนแรกที่ตกลงกัน บอกไว้ว่าสี่สิบห้าเหรียญ…แต่พออั๊วพอใจเด็กจะมาเรียกเพิ่มมันไม่ถูกต้องหรอกนะ”
“นี่ไม่ใช่อั๊วเรียกเองหรอกนะป้าสี่ อาเง็กอีก็เรียก อีว่าอีสอนงานเด็กจนเป็นทุกอย่างแล้ว ห้าสิบถือว่าไม่แพง” ป้าซำโกหกหน้าตาเฉย
“อั๊วรู้อยู่ว่าลื้อเป็นนายหน้า ไม่มีวันยอมขาดทุนหรอก ถ้าลื้อยืนกรานห้าสิบเหรียญก็พาเด็กคืนไป อั๊วไม่ชอบคบค้ากับคนไม่มีสัจจะ” น้ำเสียงของป้าสี่แม้เนิบๆแต่เอาจริง
“แหม…ป้าสี่ก้อ พูดเสียจนไม่มีเยื่อใย อีกห้าเหรียญให้อั๊วเป็นค่าแม่สื่อไม่ได้เชียวหรือ”
“ค่าแม่สื่อลื้อก็บวกอยู่ในค่าตัวเด็กอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ใครๆก็รู้” ป้าสี่เอ่ยอย่างรู้เท่าทัน
ป้าซำรู้แน่ว่าโก่งค่าตัวอาลั้งไม่ได้อีกแล้วก็ทำเป็นถอนหายใจ “เราคนกันเอง ก็ถือว่าช่วยๆกันไป ถึงไม่ได้เงินก็ไม่เป็นไร”
“ตกลงว่ายังไง?” ป้าสี่ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“ก็สี่สิบห้าเหรียญตามเดิม” ป้าซำเอ่ย
“งั้นเรียกเด็กเข้ามาสิ” ป้าสี่เอ่ย
“อาลั้งเข้ามาเรียกป้าสี่หน่อย” ป้าซำออกคำสั่ง
อาลั้งจึงเดินเข้ามาใกล้ในระยะสองเมตร แล้วย่อกายแบบที่พ่อเคยสอนให้ ก่อนจะเรียกขานว่า “ยายสี่”
“ไม่ใช่…” ป้าสี่ส่ายหน้า “ลื้อมาเป็นลูกสะใภ้อั๊วแล้ว ต้องเรียกอั๊วว่า “อาม่า”
“เอ้า…เรียกใหม่สิ” ป้าซำสำทับ
“ค่ะ…” อาลั้งรับคำ แล้วเรียกตามที่ผู้ใหญ่สอน “อาม่า(คุณย่า)”
“จ้ะ…เด็กดี” ป้าสี่รับคำ สีหน้าเคร่งขรึม แล้วหันไปถามป้าซำ “เดี๋ยวอั๊วจะให้เด็กสองคนยกน้ำชาเป็นพิธี ลื้อก็อยู่ด้วยสิ”
“ไม่ละ…อั๊วมีธุระ” ป้าซำปฏิเสธคำเชิญ เพราะต้องการจะรีบๆเอาเงินแล้วไป
ป้าสี่เข้าใจจึงหยิบถุงเงินที่เตรียมเอาไว้แล้ววางบนโต๊ะ พลางบอกว่า “นับเสียก่อนนะ”
“จ้ะๆ” ป้าซำรีบล้วงเงินจากในถุงผ้าออกมานับ พอนับครบก็ใส่ในถุงตามเดิม แล้วยิ้มให้ป้าสี่
“มีขาดมีเกินมั้ย?” ป้าสี่ถาม
“ครบพอดี ไม่มีขาดไม่มีเกินจ้ะ” ป้าซำตอบ แล้วลุกขึ้น “อั๊วกลับก่อนนะ จะรีบไปธุระต่อ”
“ค่อยๆเดินนะ” ป้าสี่กล่าวตามมารยาทการส่งแขก
ป้าซำออกจากบ้านป้าสี่มาในใจก็คอยคำนวณจำนวนเงินที่ตนจะได้
“พ่อแม่อาตี๋บอกจะขายยี่สิบห้าเหรียญ แต่ถ้าอั๊วต่อเหลือยี่สิบเหรียญ พวกอีก็ต้องยอมอยู่แล้ว เพราะเป็นคนจนจะรีบใช้เงิน อั๊วก็จะได้กำไรยี่สิบห้าเหรียญเหนาะๆ”
พอป้าซำไปแล้ว…อาลั้งเพิ่งสังเกตว่ามีเสียงหัวเราะฮิๆอยู่ด้านในของบ้าน ป้าสี่เองก็ส่งเสียงเรียก “อาใช้ออกมาซิ”
“ฮะ…แม่”
เสียงรับคำ แล้วเด็กชายวัยไล่เลี่ยกับอาลั้งก็โผล่หน้าออกมาจากข้างในบ้าน เด็กชายตัดผมสั้นเกรียน ดวงหน้าทะเล้น พออกมาก็โฉบมาดึงผมเปียข้างหนึ่งของอาลั้งเล่น
อาลั้งตกใจนิดๆแถมเจ็บหน่อยๆ จึงเผลอตัวใช้มือตบมือข้างที่ดึงผมเปียของตนเต็มแรง
เผี๊ยะ…!
เด็กชายจึงปล่อยมือ บ่นว่า “ดุซะด้วย”
แต่ป้าสี่มีสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก เรียกเสียงหนักๆ
“อาลั้งคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!”
อาลั้งหน้าเด๋อ ถามว่า “คุกเข่าทำไมคะ ?”
“ลื้อทำผิดที่ตีอาใช้…คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้”
ได้ยินเสียงที่ขุ่นจัดของป้าสี่ อาลั้งสะดุ้งไม่กล้าขัดขืน รีบคุกเข่าลง
“อาใช้คือผัวลื้อ จะตบ จะตี จะว่ากล่าว อะไรลื้อ ลื้อก็ต้องอดทน ห้ามต่อสู้ หรือทำร้ายอาใช้เป็นอันขาด เข้าใจไหม?” ป้าสี่สั่งสอนอาลั้ง
“เข้าใจแล้วค่ะ” อาลั้งรับคำเสียงเบา
“พูดดังๆหน่อยซิ” ป้าสี่สั่ง
“เข้าใจแล้วค่ะ” อาลั้งเอ่ยเสียงดังขึ้นตามคำสั่ง
ป้าสี่จึงหันไปสั่งสอนอาใช้
“อาใช้…อาลั้งนี่เป็นเมียของลื้อ ถ้าอีทำให้ลื้อไม่พอใจ ลื้อจะด่าจะว่าจะตบจะตีอียังไงก็ได้”
อาใช้ได้แต่มองแม่ทีสลับกับมองอาลั้งที ในใจเด็กชายสงสัยอย่างยิ่งว่า…เมียคืออะไร เพื่อนเล่นหรือ? ถ้าเป็นเพื่อนเล่น เขาอยากจะเล่นกับเด็กผู้ชายมากกว่า!
“อาลั้งเมื่อกี้นี้ลื้อตีอาใช้ เป็นความผิด อั๊วจะลงโทษลื้อ ให้ลื้อตบหน้าตัวเองสิบที” ป้าสี่สั่งเสียงเฉียบขาด “ลงมือเดี๋ยวนี้”
อาลั้งจึงยกมือขวาขึ้นตบหน้าตนเอง แต่เสียงเพี๊ยะเบาๆไม่เป็นที่พอใจของป้าสี่ นางจึงสั่ง
“แรงกว่านี้…แรงกว่านี้…แรงกว่านี้”
ตบจนสุดท้าย แก้มข้างขวาของอาลั้งก็บวมแดง…
ที่บ้านป้าสี่นั้น…หลังจากให้เด็กชายหญิงยกน้ำชาให้ป้าสี่เป็นพิธีแต่งงานวัยเด็กแล้ว อาใช้ก็
ยังคงนอนกับป้าสี่ผู้เป็นแม่ เพราะอาใช้กลัวผี ส่วนอาลั้งนอนในห้องเล็กๆแคบๆมืดๆ ที่พอซุกหัวนอนตอนกลางคืนเท่านั้น โดยที่ป้าสี่วางแผนว่าเมื่อเด็กทั้งสองโตพอสมควรจึงจะให้เข้าหอ
ในเวลาเช้าตรู่…พออาลั้งถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เด็กหญิงก็ไม่ต้องเข้าครัวไปติดเตาหุงข้าวอย่างที่บ้านป้าเง็ก แต่ป้าสี่ส่งตะกร้าหวายที่เก่าและมีกลิ่นเหม็นให้ใบหนึ่งพร้อมกับเสียมอันเล็กๆ แล้วสั่งว่า
“ไปเก็บขี้วัว”
“เก็บขี้วัวมาทำไมคะ?” เด็กหญิงถาม
“เอามาตากแห้งไว้ใช้แทนถ่าน” ป้าสี่ตอบ
“แล้วเก็บยังไงคะ?” เด็กหญิงถามอีก เพราะเป็นงานที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต
“เวลาเช้าๆ คนเลี้ยงวัวจะต้อนวัวไปกินหญ้าที่ทุ่ง ระหว่างทางมันจะขี้ทิ้งไว้ ลื้อก็ไปตามเก็บมา โดยเอาเสียมนี้ตักใส่ตะกร้า เอามาให้มากๆ เข้าใจมั้ย?”
“ค่ะ” อาลั้งรับคำพลางพยักหน้า
“เอาละ รีบไป เดี๋ยวคนอื่นเก็บไปหมดก่อน”
อาลั้งจึงรีบออกจากบ้านเดินไปตามทางที่เป็นทางดิน…เห็นเด็กๆออกมาเก็บขี้วัวกันหลายคน ส่วนใหญ่จะอายุมากกว่าตน ต่างแย่งกันเก็บขี้วัวราวกับมันเป็นสิ่งล้ำค่า
อาลั้งเห็นขี้วัวกองหนึ่ง ก็วิ่งตรงไปจะใช้เสียมตัก แต่ทันใด…
ป๊อก…เสียมอันหนึ่งเคาะลงมาที่หัวอาลั้งอย่างแรง
อาลั้งเจ็บจนเห็นดาวระยิบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนตี ซึ่งเป็นเด็กหญิงเหมือนกัน แต่หล่อนมีอายุมากกว่า ตัวก็ใหญ่กว่า พอเห็นอาลั้งมองก็กระชากเสียงว่า
“อั๊วเห็นก่อน ต้องเป็นของอั๊ว ลื้อมาแย่งได้ยังไง?”
ว่าแล้วหล่อนก็ตักขี้วัวกองนั้นไปต่อหน้าต่อตาอาลั้ง
อาลั้งพยายามมองหาขี้วัวกองใหม่ แต่ทุกกองที่เห็นจะมีเด็กๆรุมฮือกันเข้าไปแย่งเก็บ ในที่สุดอาลั้งก็กลับบ้านมือเปล่าในเวลาสายมากแล้ว
พอเห็นสภาพของอาลั้ง…ป้าสี่ก็ส่ายหน้า พึมพำว่า
“สวยแต่รูป ใช้การใช้งานอะไรไม่ได้เรื่อง ก็อีแค่ไปเก็บขี้วัวแค่นี้ ยังกลับบ้านมามือเปล่า สมัยอั๊วไปเก็บขี้วัวครั้งแรก ยังได้มาครึ่งตะกร้าเลย”
“หนู…หนูถูกตีด้วย” อาลั้งพยายามจะบอกความยากลำบากของตนให้ผู้ใหญ่ฟัง
แต่คำตอบที่ได้คือ
“ถูกตีแล้วทำไม…ลื้อวิเศษมาจากไหนคนอื่นถึงจะตีลื้อไม่ได้ ลื้อถูกตีลื้อก็ตีตอบสิ แต่ต้องเก็บขี้วัวมาให้ได้…วันนี้ลื้อเก็บไม่ได้ เช้านี้ลื้อก็ไม่ต้องกินข้าว ไปเก็บถ้วยเก็บชามมาล้างได้แล้ว”
อาลั้งจึงเอาเครื่องมือสำหรับเก็บขี้วัวไปเก็บ แล้วเข้าไปในบ้านเพื่อเก็บถ้วยชามมาล้างตามคำสั่ง ขณะที่กำลังล้างถ้วยชามอยู่…ขนมเปี๊ยะครึ่งชิ้นก็ถูกยื่นมาตรงหน้า!




คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ธ.ค. 2555, 11:59:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ธ.ค. 2555, 11:59:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1230





<< ตอนที่ 4   ตอนที่ 6 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account