กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 6


6...

อาลั้งมือเจ้าของมือซึ่งก็คืออาใช้ จึงถามว่า
“ให้อั๊วเหรอ?”
“อืมม์...” อาใช้พยักหน้า “มันตกพื้นแล้ว มันสกปรก อั๊วเลยไม่กิน อั๊วให้ลื้อก็แล้วกัน”
ขนมเปี๊ยะตกพื้น...อาลั้งคิดในใจ...ขนมสกปรกแล้ว...แต่อาลั้งหิวจนแสบไส้...เด็กหญิงจึงยื่นมือไปรับมันมากัดกินอย่างหิวโหย

อาซิ่วยืนหลบอยู่ที่รั้วกำแพง แอบมองเข้าไปที่ช่องซึ่งสามารถเดินทะลุเข้าไปยังลานบ้านของอาเง็ก จนใกล้เที่ยงแล้วยังไม่เห็นอาลั้งออกมาทำงานบ้านอย่างที่เคย นางคิดแล้วคิดอีกตั้งหลายครั้งว่า...จะเข้าไปหาอาลั้งในบ้านดีไหม?
แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปสักที...เพราะรู้ดีว่าอาเง็กจะต้องไม่พอใจแน่ๆ
จนกระทั่งบ่าย...เห็นอาเง็กออกมาเก็บผ้าอ้อม แต่ไม่เห็นอาลั้ง...อาซิ่วก็คิดวิตก...หรือว่าอาลั้งไม่สบาย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ อาซิ่วก็ตัดสินใจ เดินเข้าไปในลานบ้าน
พอดีอาเง็กหันมาเห็นเข้า ก็ถามเสียงมะนาวไม่มีน้ำว่า
“ลื้อมาทำไม?”
“เอ่อ...อั๊วมาหาอาลั้งค่ะ”
อาซิ่วตอบด้วยทีท่านอบน้อม
“อาลั้งไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”
อาเง็กตอบพลางเก็บผ้าอ้อมใส่ตะกร้าหวาย
อาซิ่วอึ้งไปเป็นครู่ ก่อนจะตะกุกตะกักถามต่อ
“หมายความว่ายังไงคะ?”
“อั๊วขายอีไปแล้ว” อาเง็กตอบแล้วหิ้วตะกร้าหวายเดินเข้าบ้าน โดยไม่สนใจอาซิ่ว แต่อาซิ่วรีบเดินตามมาติดๆ พลางถาม
“ขายให้ใครที่ไหน?”
“อั๊วไม่รู้” อาเง็กตอบเสียงสะบัด ค้อนอีกฝ่ายที่เดินตามเข้าบ้านโดยไม่ได้รับเชื้อเชิญ
“ได้โปรดบอกอั๊วเถิด อั๊วคิดถึงลูก อยากเห็นหน้าลูก” อาซิ่วคุกเข่าลงอ้อนวอนขอร้อง
“อั๊วบอกไม่รู้ก็ไม่รู้สิ” อาเง็กเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ลื้อจะมาคุกเข่าให้ตายอั๊วก็ไม่รู้”
อาซิ่วร้องไห้โฮออกมา พลางโขลกศีรษะให้อีกฝ่าย
“อั๊วขอร้องละ ลื้อโปรดบอกอั๊วเถิด”
“เฮ้อ...ลื้อนี่เซ้าซี้จริงๆ...ถ้าลื้ออยากรู้ก็ไปถามป้าซำดู”
“ป้าซำเกี่ยวข้องอะไรด้วยคะ?” อาซิ่วเงยหน้าขึ้นถาม หน้าผากเปื้อนฝุ่นดินที่พื้น เพราะพื้นบ้านเป็นดินที่อัดแน่น
“ป้าซำเป็นคนจัดการขายอาลั้ง…ถ้าลื้ออยากจะรู้ว่า ตอนนี้อาลั้งอยู่ที่ไหน มีความเป็นอยู่อย่างไร ลื้อก็ไปถามป้าซำเอาเองแล้วกัน อั๊วงานยุ่ง อย่ามายุ่งกับอั๊วเลย”
อาเง็กตัดบท
อาซิ่วพยุงตัวลุกขึ้นยืน โค้งศีรษะให้อีกฝ่าย
“งั้นอั๊วลาก่อนนะคะ”
“อืมม์...อั๊วไม่ส่งนะ”

อาซิ่วออกจากบ้านอาเง็กก็ตรงไปบ้านป้าซำ ซึ่งไปถึงเอาเวลาบ่ายคล้อยจวนเย็นนางไปเคาะประตูอยู่ครู่ ป้าซำก็ออกมาเปิดประตู พอเห็นเป็นอาซิ่ว ป้าซำก็จะปิดประตูใส่หน้า ดีที่อาซิ่วเอามือยันประตูไว้ทัน พลางขอร้อง
“ป้าซำ...ให้อั๊วเข้าบ้านเถอะนะ อั๊วมีเรื่องจะคุยด้วย”
“เรื่องอาลั้งละสิ” ป้าซำคาดเดาได้
“ใช่แล้ว…อั๊วร้อนใจจริงๆ” อาซิ่วใช้น้ำเสียงวิงวอน
แต่ป้าซำไม่มีทีท่าจะยอมเปิดประตูให้เข้าง่ายๆ ซ้ำร้ายยังว่า
“ลื้อไม่ต้องมาถามอั๊ว อั๊วไม่บอกอะไรลื้อหรอก”
“น่าป้าซำ…ช่วยอั๊วหน่อย อั๊วคิดถึงลูกจริงๆ” อาซิ่วขอร้อง
“ไม่…ลื้อไปไกลๆ เลย อั๊วไม่บอกอะไรลื้อทั้งนั้น” ป้าซำเอ่ยพลางออกแรงดันประตูจะให้ปิด
แต่อาซิ่วสาวกว่า จึงมีแรงมากกว่า อาซิ่วเห็นว่าอีกฝ่ายจะปิดประตูให้ได้ ก็ร้อนใจ ทุ่มเทเรี่ยวแรงสุดกำลังผลักประตูให้เปิดออก ผลก็คือ…ประตูเปิดผัวะ ป้าซำหงายหลังก้นจ้ำเบ้า อาซิ่วตกใจรีบเข้าไปพยุงป้าซำ ถามว่า
“เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
“ลื้อจะฆ่าอั๊วเหรอ?” ป้าซำร้องโอดโอย ค่อยๆ ลุกขึ้นตามแรงพยุงของอาซิ่ว พอลุกขึ้นได้ป้าซำก็ตบหน้าอาซิ่วฉาด
อาซิ่วกุมแก้มที่ถูกตบอย่างทั้งเจ็บทั้งงงว่า “ตบอั๊วทำไม?”
“อั๊วจะตบลื้อ ลื้อจะทำไม” ป้าซำเอ่ยอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า “ถ้าอั๊วตบลื้อจนพอใจ อั๊วอาจจะบอกลื้อก็ได้ว่าอาลั้งลูกสาวลื้ออยู่ที่ไหน”
อาซิ่วรู้ว่าป้าซำยังโกรธเรื่องแบ่งเงินที่ขายอาลั้งเมื่อสองปีที่แล้วให้แกน้อยไป และถ้าอาซิ่วไม่ยอมให้แกตบตีในเวลานี้ แกก็จะไม่ยอมบอกว่าอาลั้งอยู่ที่ไหน ซึ่งเป็นเรื่องที่อาซิ่วทำใจไม่ได้
“งั้นลื้อก็ตบอั๊วเหอะ ตบจนพอใจ อั๊วจะไม่ขัดขืน แต่ขออย่างเดียวให้บอกอั๊วว่าตอนนี้อาลั้งอยู่ที่ไหน” อาซิ่วเอ่ยจริงจัง
“ดี” ป้าซำเอ่ย พร้อมกับเงื้อมมือขึ้น
แต่ก่อนที่ป้าซำจะตบลงไปยังหน้าของอีกฝ่าย นางก็คิดขึ้นได้ว่า...อาซิ่วมีลูกชายอีกสองคน อีกไม่กี่ปีเด็กชายทั้งสองก็จะเติบโตเป็นชายหนุ่ม และอาลั้งอีกไม่ถึงสิบปีก็จะโตเป็นสาว เป็นเมียของอาใช้ ซึ่งถ้าป้าสี่สิ้นบุญเมื่อไหร่ อาใช้ก็จะเป็นเจ้าของสวนผลไม้บนเนินเขา มีฐานะพอใช้ได้ทีเดียว ยังไงเสียอาลั้งที่โตขึ้นน่าจะสวยมากทีเดียว สามีก็คงจะรักไม่น้อย และอาลั้งก็ต้องเข้าข้างแม่ การสร้างความแค้นไว้กับอาซิ่วจึงเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเอาซะเลย!
คิดแล้ว…ป้าซำก็ลดมือลง ปั้นหน้ายิ้มแย้ม
“อั๊วล้อเล่น เรามันคนกันเอง อั๊วจะไปตบตีลื้อได้ยังไง เมื่อกี้ก็เป็นเพราะมือมันกระตุก อั๊วไม่ได้ตั้งใจจะตบลื้อหรอก”
“ป้าซำไม่ตบอั๊วแล้วเหรอ?”” อาซิ่วถาม
“ตบเติบอะไรกัน” ป้าซำโบกไม้โบกมือ
“ถ้ายังงั้น…ป้าซำก็ช่วยบอกอั๊วด้วยว่าอาลั้งอยู่ที่ไหน?” อาซิ่วใช้น้ำเสียงอ้อนวอน
“อั๊วตั้งใจจะบอกลื้ออยู่แล้ว” ป้าซำว่า “แต่เรื่องมันยาว เข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า” ว่าแล้วก็เดินนำเข้าไปในบ้านที่ก่อด้วยอิฐดินชั้นเดียว
พอก้าวเข้าไปในบ้าน ซึ่งแบ่งเป็นห้องโถงเล็กๆ กับห้องนอนที่อยู่ด้านหลัง ที่ห้องโถงมีโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวเล็กๆ ตั้งกาน้ำชาเก่าๆ สองฟากของโต๊ะที่ตั้งชิดผนังด้านหนึ่งมีเก้าอี้ไม้สี่เหลี่ยมไม่มีพนักตั้งอยู่ ป้าซำกุลีกุจอปัดเก้าอี้ตัวหนึ่งด้วยผ้าขี้ริ้ว พลางเชื้อเชิญ
“นั่งลงดื่มน้ำชาก่อนสิอาซิ่ว”
“ป้าซำ…อั๊วอยากรู้ว่าอาลั้งอยู่ไหน?” อาซิ่วเอ่ย ยังไม่นั่งลง
“นั่งลงก่อน ยังไงอั๊วก็จะบอกให้ลื้อรู้อยู่แล้ว” ป้าซำเอ่ย พลางนั่งลงเก้าอี้อีกตัว
อาซิ่วรู้ว่า…ถ้าตนไม่ทำตามที่นางบอก คงรู้เรื่องของลูกได้ยาก จึงนั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามป้าซำ
ป้าซำรินน้ำชาลงถ้วยดินเผาสองใบ ส่งให้อาซิ่วถ้วยหนึ่ง
“ดื่มน้ำชาให้ชุ่มคอก่อนสิ”
อาซิ่วยกน้ำชาที่ไม่มีความร้อนแล้วขึ้นดื่มอึกหนึ่ง รู้ว่านั่นเป็นน้ำชาพื้นๆ ไม่ใช่ชาดีอะไรนักหนา และก็ไม่สนใจด้วยว่าเป็นชาดีหรือชาไม่ดี
“อาซิ่ว…ลื้อรู้หรือเปล่าว่าอาเง็กอีร้ายกาจมาก อีตีอาลั้งทุกวัน” ป้าซำเริ่มเรื่อง
อาซิ่วพอจะรู้อยู่ และสงสารลูกจับใจ แต่ก็ช่วยอะไรลูกสาวตัวน้อยไม่ได้
“อั๊วละสงสารอาลั้งจริงๆ” ป้าซำเอ่ยต่อ “อาเง็กตั้งใจจะใช้อาลั้งทำงานจนแก่ตาย ไม่ให้อาลั้งมีเหย้ามีเรือน”
“เรื่องมีเหย้ามีเรือน สำหรับอาลั้งในเวลานี้ ออกจะเร็วไปนะป้าซำ” อาซิ่วเอ่ยขึ้น เพราะเห็นว่าลูกสาวเพิ่งจะเจ็ดขวบเอง
“ใครว่า…รีบๆ มีเหย้ามีเรือนซะตั้งแต่อายุน้อยๆ ยังดีกว่าถูกใช้งานกลายเป็นสาวแก่คาบ้านเป็นไหนๆ” ป้าซำเอ่ย
“ป้าซำพูดอย่างนี้หมายความว่า…อาลั้งแต่งงานเป็นลูกสะใภ้เด็กแล้วหรือ?” อาซิ่วถาม หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างกังวล
“ก็ใช่นะสิ” ป้าซำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับผลงานของตนเอง “กว่าจะทำอย่างนั้นได้อั๊วต้องเปลืองน้ำลายเกลี้ยกล่อมอาเง็กอยู่ตั้งหลายชั่วโมงทีเดียว”
“แล้วอาลั้งไปเป็นลูกสะใภ้บ้านไหน?” อาซิ่วถามเข้าเรื่องสำคัญ
“บ้านป้าสี่ หมู่บ้านตระกูล...ห่างจากที่นี่ไม่ไกลเท่าไหร่”
“ไม่รู้ว่าแม่ผัวของอาลั้งจะดุเหมือนอาเง็กหรือเปล่า?” อาซิ่วเอ่ยอย่างกังวล
“ไม่หรอก…ป้าสี่เป็นคนธรรมะธัมโม ชอบไหว้พระสวดมนต์ ไม่ดุเหมือนอาเง็กหรอก อีกอย่างป้าสี่ก็เป็นหม้ายมาหลายปีแล้ว คงรักอาลั้งเหมือนลูกสาวละไม่ว่า แล้วอาใช้ที่เป็นสามีเด็กของอาลั้ง ก็อายุรุ่นเดียวกัน ทั้งสองคงเป็นเพื่อนเล่นกันสนุกไปเลย แบบนี้โตขึ้นมาด้วยกัน ก็จะเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวกัน แล้วบ้านนี้นะก็มีสวนผลไม้บนเนินเขา มีสมบัติพัสถาน ไม่ใช่ขี้ๆ ทีเดียว” ป้าซำตบท้ายด้วยการทวงบุญคุณ “เห็นไหม…อั๊ววางแผนอนาคตให้อาลั้งไว้เป็นอย่างดีนี่ถ้าอั๊วไม่รักเหมือนลูกเหมือนหลาน อั๊วไม่ทำให้ขนาดนี้หรอก”
“ขอบใจป้าซำมากนะที่ช่วย” อาซิ่วเอ่ย
“ไม่ต้องขอบอกขอบใจหรอก…เพียงแต่เด็กๆ โตขึ้นอย่าลืมยายแก่คนนี้ก็แล้วกัน” ป้าซำหัวเราะตายิบยี่
อาซิ่วไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น...เพราะรู้จักคนอย่างป้าซำดี ถ้าไม่มีผลประโยชน์นางไม่มีวันทำดีกับใครหรอก
แต่คำโบราณว่า...ปิดปากดีกว่าปิดบ้าน
คำพูดที่แสดงความรู้เท่าทัน ไม่ได้หมายความว่าตนเป็นคนฉลาด อาจจะกลายเป็นคนโง่ด้วยซ้ำ ถ้าคำพูดนั้นสร้างศัตรูขึ้นมา
อาซิ่วจึงบอกกับป้าซำว่า “อั๊วขอบใจจริงๆ...อั๊วลาละนะ”
“ค่อยๆ เดินล่ะ” ป้าซำคิดว่าตนเกลี้ยกล่อมอาซิ่วที่ดูเป็นคนซื่อๆ ได้อยู่หมัด

คืนนั้น...อาฮึงกลับจากการไปค้าขายที่ต่างจังหวัดถึงบ้านเอาตอนหัวค่ำ เขาเคาะประตูรั้วอยู่ครู่ อาเง็กก็มาส่งเสียงถามว่า
“ใคร?”
“อั๊วเอง…อาฮึงไง” เขาตอบ
อาเง็กรีบเปิดประตูด้วยความดีใจ พลางเอ่ย “อาฮึง ลื้อกลับมาแล้วเหรอ”
“เข้าบ้านก่อนๆ” อาฮึงบอกภรรยาสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
อาเง็กจึงเปิดประตูกว้างขึ้น ให้สามีหิ้วกระเป๋าหวายสองใบเข้าประตูมาก่อน แล้วจึงจัดการปิดประตูให้เรียบร้อย
อาฮึงหิ้วกระเป๋าตรงเข้าบ้าน วางกระเป๋าที่พื้นบ้าน พอดีอาเง็กเดินตามมาถึงทั้งสองยังไม่ทันได้พูดจาอะไรกัน เสียงเด็กร้องไห้จ้าดังมาจากภายในห้องนอน
“เด็กที่ไหน?” อาฮึงถามอย่างงงๆ
“ลูกชายเราไง” อาเง็กบอก ก่อนจะเข้าไปในห้องนอน อุ้มเอาเด็กผู้ชายคนหนึ่งออกมา ส่งให้สามีดู “เป็นเด็กผู้ชายด้วยนะ” นางเอ่ยเน้น
“ลื้อซื้อมาเหรอ?” อาฮึงถาม
“ใช่แล้ว…อั๊วชอบเด็กคนนี้มาก” อาเง็กตอบ
“อือๆ…” อาฮึงพยักหน้ารับรู้ แต่ไม่สนใจเด็กเท่าไหร่ กลับยกกระเป๋าใบหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วเปิดฝากระเป๋าออก หยิบผ้าชิ้นที่มีลายดอกสวยงามมาให้อาเง็กดู
“อั๊วซื้อมาฝากลื้อ มันเป็นผ้าที่มีขายแต่ในร้านฝรั่งเท่านั้นนะ”
อาเง็กเห็นผ้าก็มีสีหน้าสดใส อยากจะเอื้อมมือไปรับมาชื่นชม แต่ติดขัดที่มือกำลังอุ้มเด็กที่ร้องงอแงอยู่…หลายวันมานี้อาเง็กยุ่งอยู่กับเด็กคนนี้จนแทบจะบ้าตาย ไม่คิดว่าการเลี้ยงเด็กเล็กๆ จะลำบากยากเย็นขนาดนี้
“สวยมาก…อั๊วชอบ” อาเง็กบอกสามี
“ลื้อตัดเสื้อใส่นะ จะต้องสวยที่สุดในหมู่บ้านแน่ๆ” อาฮึงเอ่ยยิ้มๆ
“ลื้อก็พูดซะอั๊วเขินเลย” อาเง็กอมยิ้มสุขใจ
แต่ความสุขใจของอาเง็กก็มีอันต้องสะดุดลง เมื่ออาฮึงถามว่า
“อาลั้งล่ะ?” เขาวางผ้าชิ้นงามลงบนโต๊ะ แล้วหยิบของอีกชิ้นหนึ่งออกจากกระเป๋า “อั๊วมีของให้อีด้วยนะ อีเห็นจะต้องดีใจมาก”
ของที่อาฮึงว่าคือตุ๊กตาตัวหนึ่ง ตัดเย็บอย่างประณีต ใส่หมวกบาน และกระโปรงเป็นชั้นๆ อย่างคนชาวตะวันตก
“อาลั้งเอ๊ย อาลั้ง...มาหาลุงมา...ลุงมีของจะให้” อาฮึงส่งเสียงดังๆ เพราะคิดว่าเด็กหญิงคงอยู่ในห้องด้านหลัง
“ไม่ต้องเรียกแล้ว” อาเง็กขัดขึ้น
“ทำไมล่ะ?”
“อีไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”
คำตอบของอาเง็กทำให้อาฮึงอึ้งไป ก่อนจะถามว่า
“หมายความว่ายังไง?”
“อั๊วขายอีไปแล้ว” อาเง็กพูดอึกอักไม่เต็มคำนัก
“ลื้อขายอีไปทำไม…ลื้อก็รู้ว่าอั๊วรักอีเหมือนลูก” เสียงอาฮึงละห้อยละเหี่ยใจ ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง
“ก็อั๊วคิดจะซื้ออาตี๋ อั๊วก็เลยขายอีไป เพราะอั๊วไม่อยากลำบากเลี้ยงลูกหลายๆ คน” อาเง็กอ้างข้างๆ คูๆ
“มีอีอยู่ อั๊วไม่เห็นลื้อจะลำบากตรงไหน มีแต่สบาย เพราะอีช่วยทำงานให้ลื้อได้” อาฮึงพูด น้ำเสียงชักจะขุ่น ทำให้อาเง็กไม่กล้าทำกลบเกลื่อนด้วยการเอะอะโวยวายเหมือนอย่างเคยทำบ่อยๆ จึงแก้ตัวว่า
“อั๊วจะซื้ออาตี๋ แต่เงินไม่พอน่ะ”
“เงินไม่พอก็รออั๊วกลับมาก่อนสิ ทำไมต้องรีบร้อนขายอาหมวยไปด้วย?”
ทำไมต้องรีบร้อนขายอาลั้งนะหรือ…อาเง็กคิดในใจ
ไม่ใช่เพราะเงินไม่พอซื้อลูกคนใหม่อย่างเดียวหรอก แต่เป็นเพราะอาซิ่วแวะเวียนมาหาอาลั้งบ่อยๆ และดูอาฮึงก็จะเมตตาสงสารอาซิ่วไม่น้อย
แถมอาซิ่วก็เป็นแม่ม่าย อายุอานามก็ยังไม่มากนัก ซ้ำยังสวยกว่าตนมาก…อาเง็กจึงกลัว
กลัวว่า...ทั้งสองจะเป็นน้ำมันใกล้ไฟ
ถ้าติดพรึ่บขึ้นมาเมื่อไหร่ คงต้องเผาผลาญตนจนตายอย่างแน่นอน!





คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ธ.ค. 2555, 12:00:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ธ.ค. 2555, 12:00:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 1243





<< ตอนที่ 5   ตอนที่ 7 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account