กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 7
7...
แต่ความในใจเหล่านี้จะพูดออกจากปากไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะมีแต่เสียกับเสียเท่านั้น...ไหนจะเหมือนชี้โพรงให้กระรอก ไหนอาฮึงจะต้องโกรธแน่ๆ ว่าไม่เชื่อใจเขา
อาเง็กจึงทำเสียงอ่อยๆ เหมือนสำนึกผิด “อั๊วก็ใจเร็วไป แต่ขายอาหมวยไปแล้วจะทำยังไงได้ล่ะ?”
“ลื้อขายอีให้ใคร อั๊วจะไปดู ถ้าอาหมวยอยู่สุขสบายดี แล้วไม่อยากกลับมา ก็แล้วกันไป แต่ถ้าอีอยู่ไม่สบายเท่าที่นี่ อั๊วจะไปซื้ออีกลับคืนมา”
อาเง็กไม่กล้าขัดใจสามี จึงบอกตรงๆ ว่า
“มีแต่ป้าซำที่รู้ว่าอาลั้งอยู่ที่ไหน?”
“ป้าซำอีกแล้วเหรอ…ลื้ออย่าบอกนะว่าอาตี๋นี่ก็ป้าซำเป็นคนจัดการให้” อาฮึงเอ่ยพลางมองหน้าภรรยา
อาเง็กไม่ได้เอ่ยปาก แต่พยักหน้ายอมรับ
สายของวันรุ่งขึ้น…อาฮึงก็มาเคาะประตูบ้านของป้าซำ
ก๊อกๆๆ…เสียงเคาะหนักหน่วง จนป้าซำต้องร้องตะโกนว่า
“มาแล้วๆ…ลื้อจะพังประตูบ้านอั๊วหรือไง?”
แต่พอมาถึงประตูบ้าน ป้าซำก็ชะงักมือที่จะเปิด ไม่กล้าเปิดสุ่มสี่สุ่มห้า จึงร้องถามก่อนว่า “ที่มาเป็นใคร แล้วมาเรื่องอะไร?”
“อั๊วอาฮึงสามีอาเง็ก” เสียงตอบ สุ้มเสียงมะนาวไม่มีน้ำ
ทำให้ป้าซำคาดการณ์ว่า คงไม่มาดีแน่ แต่จะไม่เปิดประตูให้ก็ไม่ได้ จึงปั้นหน้ายิ้มแย้ม แล้วเปิดประตู เชื้อเชิญว่า “เข้ามานั่งในบ้านก่อนสิ”
“ไม่ต้อง…อั๊วถามสองสามคำ แล้วจะรีบไป” อาฮึงสีหน้าเอาเรื่อง
“จะถามอะไรอั๊วเหรอ…ถ้าอั๊วรู้ อั๊วจะบอกหมดเปลือกไม่ปิดบังเลย” ป้าซำยังคงทำใจดีสู้เสือ
“ลื้อเอาอาลั้งไปขายที่ไหน?” อาฮึงถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
“ตายแล้ว…นั่นไม่เรียกว่าขายหรอกนะ แต่อั๊วเป็นแม่สื่อให้อาลั้งอีแต่งงานต่างหาก อาเง็กก็เห็นชอบด้วย ลื้อก็เป็นพ่อตาแล้วนะอาฮึง”
“ไม่ต้องพูดมาก” อาฮึงขัดขึ้นกลางคัน “บอกมาอย่างเดียวก็พอว่าอาลั้งอยู่ที่ไหน?”
“ลื้อจะไปเป็นดองกับบ้านนั้นเหรอ?” ป้าซำยังคงยิ้มกริ่ม
“เปล่า…อั๊วจะไปดูว่าอาลั้งอยู่สบายดีหรือเปล่า ถ้าอีอยู่ไม่สบาย อั๊วจะกลับมาเอาเรื่องลื้อ” อาฮึงไม่มีทีท่าว่าพูดเล่น
ป้าซำเลยหุบยิ้ม “อันนี้อั๊วไม่เกี่ยวนะ อั๊วเป็นแค่แม่สื่อเท่านั้น”
“นี่…ลื้อจะบอกได้หรือยัง หรือจะต้องรอให้อั๊วโมโหซะก่อน” อาฮึงพูดอย่างเหลืออดเหลือทน
“บอก...ๆ...ๆ...จ้ะ อาลั้งไปเป็นลูกสะใภ้บ้านป้าสี่หมู่บ้านถัดไปนี่เอง”
อาฮึงไม่กล่าวขอบใจและก็ไม่กล่าวลา สะบัดหน้าจากไปทันที
ป้าซำมองตามร่างอาฮึง แล้วถ่มน้ำลายลงพื้น
“ถุย…ไอ้ผู้ชายไม่มีน้ำยา มีลูกของตนเองไม่ได้ เที่ยวไปรักลูกของคนอื่นเป็นลูก นี่จริงๆ แล้วรักลูกหรือรักแม่ก็ไม่รู้ คอยดูนะ…ถ้าอั๊วได้โอกาสเมื่อไหร่ จะเป่าหูอาเง็กให้บ้านแตกไปเลย”
อาซิ่วแอบมองลูกสาวตัวน้อยที่ช่องกำแพงบ้านป้าสี่ เห็นอาลั้งกำลังล้างถ้วยชามอยู่ก็ยืนดูจนกระทั่งอาลั้งล้างถ้วยชามเสร็จเอาเข้าบ้านไปเก็บเรียบร้อย แล้วเดินมาเก็บกะละมังไม้พิงกำแพง อาซิ่วจึงใช้ก้อนดินเล็กๆ ปาถูกแขนอาลั้ง พออาลั้งเหลียวมามองเพราะเหมือนถูกอะไรสะกิดนางก็กวักมือเรียกเสียงเบาๆ
“อาลั้ง…”
“แม่” เสียงอาลั้งดังกว่า
อาซิ่วจึงเอานิ้วชี้ตนเองปิดปากทำเสียงปราม “จุ๊ๆ”
อาลั้งพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วเดินมาที่ประตูรั้ว ค่อยๆ เปิดประตูลอบออกมา
พอได้พบลูก อาซิ่วก็กอดร่างน้อยแนบแน่นอย่างแสนคิดถึง ก่อนจะปล่อยแล้วจูงมือ “เราไปหาที่เงียบๆ คุยกันนะ”
“ค่ะแม่” อาลั้งก็ดีใจที่ได้พบหน้าแม่อย่างไม่คาดฝัน เด็กหญิงรู้ว่าการออกไปนอกบ้านก่อนได้รับอนุญาตจากคนที่มีฐานะเป็นแม่สามี กลับมาแล้วอาจจะถูกลงโทษ แต่ก็ยังคงอยากไปพูดคุยกับแม่ให้หายคิดถึงก่อน แล้วเรื่องถูกลงโทษค่อยว่ากันทีหลัง
ทั้งสองแม่ลูกเดินไปนั่งลงที่ข้างๆ กำแพงสูงของบ้านผู้มีอันจะกิน อาศัยร่มเงาหลบแดดพอนั่งลงปุ๊บ อาซิ่วก็ถามลูกทันที
“อาลั้ง…ป้าสี่ตีลูกหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ” อาลั้งตอบตามความเป็นจริง แต่ในใจคิด…การลงโทษของอาม่านั้นทรมานไม่น้อยไปกว่าการถูกตี บางทีนางก็ให้อดข้าวอดน้ำ บางทีนางก็ให้ตบตีตนเอง ซึ่งทารุณต่อจิตใจของเด็กหญิงมาก และมันได้ฝังรากลึกลงไปในจิตใต้สำนึกจนตลอดชีวิตของอาลั้ง
“เปล่าก็ดีแล้ว” อาซิ่วเอ่ย น้ำตารินไหลลงอาบแก้ม จนอาลั้งต้องยกมือขึ้นปาดเช็ดให้ ยิ่งไม่กล้าบอกอะไรไปมากกว่านั้น “ดีกว่าอยู่กับอาเง็ก”
“แต่หนูรักคุณลุงฮึง คุณลุงไม่เคยตีหนู” อาลั้งบอกมารดา
“แต่คุณลุงก็ช่วยอะไรหนูไม่ได้ใช่มั้ย เวลาที่ป้าเง็กตี” อาซิ่วเอ่ยอย่างเจ็บปวด นี่ถ้านางไม่ยากจนจนต้องขายลูก ลูกก็คงไม่ถูกคนอื่นทำทารุณแบบนี้
“ค่ะแม่” อาลั้งยอมรับ…ลุงฮึงไม่อาจห้ามป้าเง็กไม่ให้ตีตน เพียงแต่ถ้าลุงเห็นก็จะพยายามห้าม ทำให้ตนถูกตีน้อยหน่อย แต่ถ้าลุงไม่เห็น ตนก็ถูกตีหนัก จนกว่าป้าเง็กจะเหนื่อยหรือไม่ก็ไม้เรียวหักหลังจากตนถูกตี ลุงฮึงก็จะทายาให้ และปลอบโยนตน ทำให้อาลั้งรักลุงฮึงเหมือนพ่อคนหนึ่ง
ขณะที่สองแม่ลูกกำลังนั่งคุยกันอยู่…อาใช้ก็วิ่งมาหา ร้องเรียกว่า
“อาลั้ง…มีคนมาหา”
“ใครมาหาอาลั้ง?” อาซิ่วเป็นคนถาม
“เป็นผู้ชาย คิ้วหนา จมูกโต” อาใช้บรรยายลักษณะของคนที่อยู่ๆ ก็มาที่บ้าน โดยที่ไม่ใช่คนรู้จักกันมาก่อน
“เขาชื่ออาฮึงใช่ไหม?” อาซิ่วถาม เพราะลักษณะที่เด็กชายบอกนั้น คือจุดเด่นบนใบหน้าของอาฮึง
“ได้ยินแว่วๆ น่าจะใช่” อาใช้ตอบ “เขาว่ามาหาอาลั้ง มีเรื่องจะพูดกับอาลั้งและจะพาอาลั้งกลับไปด้วย”
“แย่แล้ว…” อาซิ่วอุทาน ก่อนจะบอกกับลูกสาวตัวน้อยว่า “อาลั้ง ลูกไปพบเขาไม่ได้นะ”
“แม่ให้อั๊วมาตามอาลั้ง” อาใช้เกาหัว
“ไปบอกแม่ว่าตามหาอาลั้งไม่เจอ” อาซิ่วเสี้ยมสอนอาใช้ให้โกหก
“แต่อั๊วตามเจอนี่นา” อาใช้ว่า
“ก็ช่วยโกหกหน่อยสิ” อาซิ่วบอกเด็กชาย
เด็กชายส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ถ้าแม่รู้ว่าอั๊วโกหก ก็ต้องโกรธอั๊วแน่ๆ อั๊วไม่อยากให้แม่โกรธ”
“งั้น…ก็ไปบอกลุงฮึงว่า อาลั้งไม่อยากพบ” อาซิ่วเอ่ย
“แต่แม่ขา…”
อาลั้งเอ่ยไม่ทันจบประโยค อาซิ่วก็ขัดขึ้น
“อย่าไปพบเขาลูก เชื่อแม่นะคนดี”
“ค่ะแม่” อาลั้งรับปาก ทั้งๆ ที่ใจโหยหาอยากจะพบกับลุงฮึงมาก แต่ความรักแม่มีมากกว่า เด็กหญิงจึงคล้อยตาม
“งั้น…อั๊วไปบอกเขาว่า อาลั้งไม่ยอมมาพบนะ” อาใช้เอ่ยขึ้น
“จ้ะๆ…ไปบอกตามนี้” อาซิ่วพยักพเยิด
อาใช้จึงวิ่งปรู๊ดกลับบ้านไป…อาซิ่วพาอาลั้งมายืนหลบอยู่ในทำเลที่สามารถมองเห็นหน้าประตูบ้านป้าสี่ โดยยืนหลบเหลี่ยมกำแพงสูงอยู่ เพื่อไม่ให้คนจากที่ประตูบ้านป้าสี่เห็น…ทั้งสองยืนดูอยู่สักพักก็เห็นอาฮึงเดินออกมา และเดินจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง
อาลั้งมองตามเงาหลังของอาฮึงแล้วเด็กหญิงก็น้ำตาร่วง ใจหนึ่งอยากวิ่งไปหาลุงฮึงแต่ก็ไม่กล้าขัดคำพูดของแม่
พอเห็นอาฮึงจากไปแล้ว…อาซิ่วก็ถามลูกสาวตัวน้อยว่า “อาลั้ง…เด็กชายคนเมื่อกี้เป็นสามีเด็กของลูกใช่ไหม?”
อาลั้งพยักหน้าเป็นคำตอบ เพราะตอนนี้เด็กหญิงกำลังกลั้นสะอื้นอยู่
“ถ้ายังงั้นเขาก็คืออาใช้ ลูกชายป้าสี่” อาซิ่วเอ่ยพลางครุ่นคิด…อาใช้ถึงไม่ได้หน้าตาดีมาก แต่ก็พอใช้ได้ และดูจากอุปนิสัยใจคอก็เป็นคนซื่อสัตย์ดี อนาคตของอาลั้งนับว่าไม่เลวนัก
พออาฮึงกลับไป อาใช้ก็วิ่งมาหาสองแม่ลูก พลางบอกกับอาลั้งว่า
“ลุงคนนั้นกลับไปแล้ว เขาบอกว่าให้อาลั้งมีความสุข เขาจะไม่มารบกวนอีก”
อาลั้งได้ยินว่า…ลุงฮึงจะไม่มาอีกแล้ว…ก็ร้องไห้โฮออกมา
“ลูกร้องไห้ทำไม?” อาซิ่วถาม
“ลื้อร้องไห้ทำไม?” อาใช้ถามแทบจะเป็นเสียงเดียวกันกับอาซิ่ว
“คุณลุง…บอกว่า…จะไม่มาอีกแล้ว” อาลั้งร้องไห้สะอึกสะอื้นไปพลาง พูดตะกุกตะกักไปพลาง
“เขาไม่มาก็ดีแล้ว” อาซิ่วว่า “แต่ลูกไม่ต้องกลัวนะ แม่จะมาเยี่ยมลูกบ่อยๆ” พลางโอบกอดลูกสาวตัวน้อยอย่างปลอบโยน
“แล้วน้าเป็นใคร?” อาใช้ถาม
“อั๊วเป็นแม่อาลั้ง” อาซิ่วตอบ
“แม่ให้มาตามอาลั้ง ถ้าช้านัก แม่จะโกรธ” อาใช้บอก
ทำให้อาลั้งลนลาน “แม่…หนูต้องรีบไปแล้ว”
“ไม่เป็นไรจ้ะ…แม่ไปด้วย”
แล้วอาใช้ก็พาอาลั้งกับแม่มาที่บ้าน…ในบ้าน ป้าสี่นั่งรออยู่ด้วยสีหน้าเฉยเมย พอเห็นอาซิ่วตามมาด้วย ก็มองอาซิ่วตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะถามว่า
“มาทำไมหรือ?”
“อั๊วเป็นแม่อาลั้ง ชื่อซิ่ว” อาซิ่วแนะนำตนเอง
“แม่อาลั้ง ไม่ใช่ชื่อเง็กหรอกหรือ?” นางถามกลับ
“อาเง็กเป็นแม่บุญธรรม แต่อั๊วเป็นแม่แท้ๆ ของอาลั้ง” อาซิ่วอธิบาย
“อ้อ…” ป้าสี่พยักหน้า “เชิญนั่งก่อนสิ”
“ขอบคุณค่ะ” อาซิ่วกล่าว แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ฝังมุกที่ตั้งในตำแหน่งต้อนรับแขกด้านขวามือของห้อง
“อาลั้ง…” ป้าสี่หันไปทางเด็กหญิง พลางชูถุงผ้าใบค่อนข้างใหญ่ในมือให้ “นี่เป็นของที่ลุงฮึงฝากไว้ให้…มารับไปสิ”
อาลั้งเดินเข้าไปรับถุงผ้า พลางกล่าว “ขอบคุณค่ะ” แล้วถอยออกมา ก่อนจะเปิดปากถุงออกดู และหยิบสิ่งของในนั้นออกมา มันเป็นตุ๊กตาแต่งชุดแหม่มที่สวยงามตัวหนึ่ง สวยที่สุดเท่าที่อาลั้งเคยเห็น ทำให้อาลั้งคิดถึงคืนก่อนที่ลุงฮึงจะออกเดินทาง…
ลุงฮึง ป้าเง็ก และอาลั้งนั่งทานข้าวด้วยกัน…
“ลุงจะเดินทางไปค้าขาย อาจจะไปสองสามเดือน อย่าเป็นเด็กดื้อนะอาลั้ง” ลุงฮึงกล่าวขึ้น
“ค่ะคุณลุง” อาลั้งรับคำ ทำตาแดงๆ
“แล้วขากลับ ลุงจะซื้อตุ๊กตาที่สวยที่สุดมาฝาก”
“ตุ๊กตาหรือคะ?” อาลั้งถามอย่างตื่นเต้น
“ใช่…ลุงจะซื้อตุ๊กตาฝรั่งให้อาลั้ง” ลุงฮึงให้สัญญา
“ดีจังเลย…หนูยังไม่เคยเห็นตุ๊กตาฝรั่ง” เด็กหญิงมีสีหน้าดีใจ
“อะแฮ่ม…” อาเง็กกระแอม
“อั๊วก็จะซื้อของมาฝากอาเง็กเหมือนกัน” อาฮึงเอ่ยยิ้มๆ
“นึกว่าลืมอั๊วไปแล้ว” อาเง็กค้อนสามี
“ลืมลื้อได้ยังไง…แต่ของฝากของลื้อ อั๊วจะหาผ้าฝรั่งสวยๆ มาฝาก”
“ก็ดี” อาเง็กยกชามข้าวขึ้นกินต่อ
“อั๊วไปค้าขายนี่คราวนี้ ฝากลื้อดูแลอาลั้งด้วย อย่าดุอย่าตีอีนักละ” อาฮึงไม่วายกำชับภรรยา
“เออๆ…” อาเง็กรับปากอย่างรำคาญ
คิดถึงตรงนี้ และเห็นตุ๊กตาฝรั่งเป็นพยาน…อาลั้งก็ร้องไห้โฮออกมา วิ่งออกไปหน้าบ้าน ร้องเรียกไปทางที่เห็นลุงฮึงเดินจากไป “คุณลุง…คุณลุงขา…”
“อาใช้…ลื้อไปเรียกอาลั้งเข้ามา อย่าให้ไปทำขายหน้าหน้าบ้าน” ป้าสี่สั่งลูกชายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ฮะแม่”
อาใช้รับคำแล้วออกไปเรียกอาลั้ง
“อาลั้งเข้าบ้าน…แม่บอกว่าอย่ามาทำขายหน้าที่หน้าบ้าน”
ชื่อของป้าสี่นั้นมีผลต่ออาลั้งอย่างมาก เด็กหญิงไม่กล้าขัดขืน รีบเดินกลับเข้าบ้านมาในทันที อาใช้ปิดประตูรั้วแล้วจึงค่อยตามเข้ามา
อาลั้งมายืนเช็ดคราบน้ำตาอยู่ที่ด้านข้าง สะอื้นแต่ไม่กล้ามีเสียง
อาซิ่วมองดูสภาพและบรรยากาศของบ้านนี้แล้ว นางรู้สึกกดดันและอึดอัดมากกว่าบ้านอาฮึงกับอาเง็กหลายเท่า
“ลื้อเป็นแขก อั๊วก็ต้องขอโทษที่ต้อนรับไม่ดีนัก” ป้าสี่เปิดฉากสนทนากับอาซิ่วอย่างห่างเหิน “แต่ลื้อมาถึงบ้านแล้ว อั๊วก็ขอถามว่า ลื้อมีธุระสำคัญอะไรหรือ?”
คำพูดคำจาเป็นพิธีการแบบนี้ อาซิ่วไม่คุ้นเคย ถ้าสามีอาซิ่วยังอยู่ ก็คงสามารถตอบโต้กับป้าสี่ได้ แต่นี่อาซิ่วไม่มีความรู้แม้แต่น้อย แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความห่างเหินไม่เป็นกันเอง จึงอึกๆ อักๆ อยู่ครู่ ก่อนจะโพล่งว่า
“อั๊วมาเยี่ยมอาลั้ง”
“คนเป็นแม่คิดถึงลูกนั้นเป็นธรรมดา แต่ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว ก็เหมือนน้ำที่ถูกสาดออกไป จะมาหากันบ่อยๆ มันไม่ใช่เรื่องที่สมควร”
ป้าสี่พูดสีหน้าเฉยเมย ก่อนตบท้ายว่า
“ขอโทษนะ ที่อั๊วพูดตรงๆ”
อาซิ่วหน้าซีดแล้วซีดอีก…นี่ป้าสี่ไม่คิดจะนับญาติกับตนเลย พูดจาทุกคำแม้นุ่มนวลไพเราะ แต่ก็เป็นการตัดญาติขาดมิตรและขับไล่ไสส่งชัดเจน
“ลื้อกับอาลั้งก็ได้พบกันแล้ว จะพูดอะไรกันก็พูดกันซะ งานในหน้าที่อาลั้งยังมี ต้องไปทำให้เสร็จเรียบร้อย”
เสียงป้าสี่เรื่อยๆ แต่บาดจิตบาดใจอาซิ่วนัก
อาซิ่วจึงตัดสินใจเอ่ยว่า
“อั๊วพูดคุยกับอาลั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
แต่ความในใจเหล่านี้จะพูดออกจากปากไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะมีแต่เสียกับเสียเท่านั้น...ไหนจะเหมือนชี้โพรงให้กระรอก ไหนอาฮึงจะต้องโกรธแน่ๆ ว่าไม่เชื่อใจเขา
อาเง็กจึงทำเสียงอ่อยๆ เหมือนสำนึกผิด “อั๊วก็ใจเร็วไป แต่ขายอาหมวยไปแล้วจะทำยังไงได้ล่ะ?”
“ลื้อขายอีให้ใคร อั๊วจะไปดู ถ้าอาหมวยอยู่สุขสบายดี แล้วไม่อยากกลับมา ก็แล้วกันไป แต่ถ้าอีอยู่ไม่สบายเท่าที่นี่ อั๊วจะไปซื้ออีกลับคืนมา”
อาเง็กไม่กล้าขัดใจสามี จึงบอกตรงๆ ว่า
“มีแต่ป้าซำที่รู้ว่าอาลั้งอยู่ที่ไหน?”
“ป้าซำอีกแล้วเหรอ…ลื้ออย่าบอกนะว่าอาตี๋นี่ก็ป้าซำเป็นคนจัดการให้” อาฮึงเอ่ยพลางมองหน้าภรรยา
อาเง็กไม่ได้เอ่ยปาก แต่พยักหน้ายอมรับ
สายของวันรุ่งขึ้น…อาฮึงก็มาเคาะประตูบ้านของป้าซำ
ก๊อกๆๆ…เสียงเคาะหนักหน่วง จนป้าซำต้องร้องตะโกนว่า
“มาแล้วๆ…ลื้อจะพังประตูบ้านอั๊วหรือไง?”
แต่พอมาถึงประตูบ้าน ป้าซำก็ชะงักมือที่จะเปิด ไม่กล้าเปิดสุ่มสี่สุ่มห้า จึงร้องถามก่อนว่า “ที่มาเป็นใคร แล้วมาเรื่องอะไร?”
“อั๊วอาฮึงสามีอาเง็ก” เสียงตอบ สุ้มเสียงมะนาวไม่มีน้ำ
ทำให้ป้าซำคาดการณ์ว่า คงไม่มาดีแน่ แต่จะไม่เปิดประตูให้ก็ไม่ได้ จึงปั้นหน้ายิ้มแย้ม แล้วเปิดประตู เชื้อเชิญว่า “เข้ามานั่งในบ้านก่อนสิ”
“ไม่ต้อง…อั๊วถามสองสามคำ แล้วจะรีบไป” อาฮึงสีหน้าเอาเรื่อง
“จะถามอะไรอั๊วเหรอ…ถ้าอั๊วรู้ อั๊วจะบอกหมดเปลือกไม่ปิดบังเลย” ป้าซำยังคงทำใจดีสู้เสือ
“ลื้อเอาอาลั้งไปขายที่ไหน?” อาฮึงถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
“ตายแล้ว…นั่นไม่เรียกว่าขายหรอกนะ แต่อั๊วเป็นแม่สื่อให้อาลั้งอีแต่งงานต่างหาก อาเง็กก็เห็นชอบด้วย ลื้อก็เป็นพ่อตาแล้วนะอาฮึง”
“ไม่ต้องพูดมาก” อาฮึงขัดขึ้นกลางคัน “บอกมาอย่างเดียวก็พอว่าอาลั้งอยู่ที่ไหน?”
“ลื้อจะไปเป็นดองกับบ้านนั้นเหรอ?” ป้าซำยังคงยิ้มกริ่ม
“เปล่า…อั๊วจะไปดูว่าอาลั้งอยู่สบายดีหรือเปล่า ถ้าอีอยู่ไม่สบาย อั๊วจะกลับมาเอาเรื่องลื้อ” อาฮึงไม่มีทีท่าว่าพูดเล่น
ป้าซำเลยหุบยิ้ม “อันนี้อั๊วไม่เกี่ยวนะ อั๊วเป็นแค่แม่สื่อเท่านั้น”
“นี่…ลื้อจะบอกได้หรือยัง หรือจะต้องรอให้อั๊วโมโหซะก่อน” อาฮึงพูดอย่างเหลืออดเหลือทน
“บอก...ๆ...ๆ...จ้ะ อาลั้งไปเป็นลูกสะใภ้บ้านป้าสี่หมู่บ้านถัดไปนี่เอง”
อาฮึงไม่กล่าวขอบใจและก็ไม่กล่าวลา สะบัดหน้าจากไปทันที
ป้าซำมองตามร่างอาฮึง แล้วถ่มน้ำลายลงพื้น
“ถุย…ไอ้ผู้ชายไม่มีน้ำยา มีลูกของตนเองไม่ได้ เที่ยวไปรักลูกของคนอื่นเป็นลูก นี่จริงๆ แล้วรักลูกหรือรักแม่ก็ไม่รู้ คอยดูนะ…ถ้าอั๊วได้โอกาสเมื่อไหร่ จะเป่าหูอาเง็กให้บ้านแตกไปเลย”
อาซิ่วแอบมองลูกสาวตัวน้อยที่ช่องกำแพงบ้านป้าสี่ เห็นอาลั้งกำลังล้างถ้วยชามอยู่ก็ยืนดูจนกระทั่งอาลั้งล้างถ้วยชามเสร็จเอาเข้าบ้านไปเก็บเรียบร้อย แล้วเดินมาเก็บกะละมังไม้พิงกำแพง อาซิ่วจึงใช้ก้อนดินเล็กๆ ปาถูกแขนอาลั้ง พออาลั้งเหลียวมามองเพราะเหมือนถูกอะไรสะกิดนางก็กวักมือเรียกเสียงเบาๆ
“อาลั้ง…”
“แม่” เสียงอาลั้งดังกว่า
อาซิ่วจึงเอานิ้วชี้ตนเองปิดปากทำเสียงปราม “จุ๊ๆ”
อาลั้งพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วเดินมาที่ประตูรั้ว ค่อยๆ เปิดประตูลอบออกมา
พอได้พบลูก อาซิ่วก็กอดร่างน้อยแนบแน่นอย่างแสนคิดถึง ก่อนจะปล่อยแล้วจูงมือ “เราไปหาที่เงียบๆ คุยกันนะ”
“ค่ะแม่” อาลั้งก็ดีใจที่ได้พบหน้าแม่อย่างไม่คาดฝัน เด็กหญิงรู้ว่าการออกไปนอกบ้านก่อนได้รับอนุญาตจากคนที่มีฐานะเป็นแม่สามี กลับมาแล้วอาจจะถูกลงโทษ แต่ก็ยังคงอยากไปพูดคุยกับแม่ให้หายคิดถึงก่อน แล้วเรื่องถูกลงโทษค่อยว่ากันทีหลัง
ทั้งสองแม่ลูกเดินไปนั่งลงที่ข้างๆ กำแพงสูงของบ้านผู้มีอันจะกิน อาศัยร่มเงาหลบแดดพอนั่งลงปุ๊บ อาซิ่วก็ถามลูกทันที
“อาลั้ง…ป้าสี่ตีลูกหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ” อาลั้งตอบตามความเป็นจริง แต่ในใจคิด…การลงโทษของอาม่านั้นทรมานไม่น้อยไปกว่าการถูกตี บางทีนางก็ให้อดข้าวอดน้ำ บางทีนางก็ให้ตบตีตนเอง ซึ่งทารุณต่อจิตใจของเด็กหญิงมาก และมันได้ฝังรากลึกลงไปในจิตใต้สำนึกจนตลอดชีวิตของอาลั้ง
“เปล่าก็ดีแล้ว” อาซิ่วเอ่ย น้ำตารินไหลลงอาบแก้ม จนอาลั้งต้องยกมือขึ้นปาดเช็ดให้ ยิ่งไม่กล้าบอกอะไรไปมากกว่านั้น “ดีกว่าอยู่กับอาเง็ก”
“แต่หนูรักคุณลุงฮึง คุณลุงไม่เคยตีหนู” อาลั้งบอกมารดา
“แต่คุณลุงก็ช่วยอะไรหนูไม่ได้ใช่มั้ย เวลาที่ป้าเง็กตี” อาซิ่วเอ่ยอย่างเจ็บปวด นี่ถ้านางไม่ยากจนจนต้องขายลูก ลูกก็คงไม่ถูกคนอื่นทำทารุณแบบนี้
“ค่ะแม่” อาลั้งยอมรับ…ลุงฮึงไม่อาจห้ามป้าเง็กไม่ให้ตีตน เพียงแต่ถ้าลุงเห็นก็จะพยายามห้าม ทำให้ตนถูกตีน้อยหน่อย แต่ถ้าลุงไม่เห็น ตนก็ถูกตีหนัก จนกว่าป้าเง็กจะเหนื่อยหรือไม่ก็ไม้เรียวหักหลังจากตนถูกตี ลุงฮึงก็จะทายาให้ และปลอบโยนตน ทำให้อาลั้งรักลุงฮึงเหมือนพ่อคนหนึ่ง
ขณะที่สองแม่ลูกกำลังนั่งคุยกันอยู่…อาใช้ก็วิ่งมาหา ร้องเรียกว่า
“อาลั้ง…มีคนมาหา”
“ใครมาหาอาลั้ง?” อาซิ่วเป็นคนถาม
“เป็นผู้ชาย คิ้วหนา จมูกโต” อาใช้บรรยายลักษณะของคนที่อยู่ๆ ก็มาที่บ้าน โดยที่ไม่ใช่คนรู้จักกันมาก่อน
“เขาชื่ออาฮึงใช่ไหม?” อาซิ่วถาม เพราะลักษณะที่เด็กชายบอกนั้น คือจุดเด่นบนใบหน้าของอาฮึง
“ได้ยินแว่วๆ น่าจะใช่” อาใช้ตอบ “เขาว่ามาหาอาลั้ง มีเรื่องจะพูดกับอาลั้งและจะพาอาลั้งกลับไปด้วย”
“แย่แล้ว…” อาซิ่วอุทาน ก่อนจะบอกกับลูกสาวตัวน้อยว่า “อาลั้ง ลูกไปพบเขาไม่ได้นะ”
“แม่ให้อั๊วมาตามอาลั้ง” อาใช้เกาหัว
“ไปบอกแม่ว่าตามหาอาลั้งไม่เจอ” อาซิ่วเสี้ยมสอนอาใช้ให้โกหก
“แต่อั๊วตามเจอนี่นา” อาใช้ว่า
“ก็ช่วยโกหกหน่อยสิ” อาซิ่วบอกเด็กชาย
เด็กชายส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ถ้าแม่รู้ว่าอั๊วโกหก ก็ต้องโกรธอั๊วแน่ๆ อั๊วไม่อยากให้แม่โกรธ”
“งั้น…ก็ไปบอกลุงฮึงว่า อาลั้งไม่อยากพบ” อาซิ่วเอ่ย
“แต่แม่ขา…”
อาลั้งเอ่ยไม่ทันจบประโยค อาซิ่วก็ขัดขึ้น
“อย่าไปพบเขาลูก เชื่อแม่นะคนดี”
“ค่ะแม่” อาลั้งรับปาก ทั้งๆ ที่ใจโหยหาอยากจะพบกับลุงฮึงมาก แต่ความรักแม่มีมากกว่า เด็กหญิงจึงคล้อยตาม
“งั้น…อั๊วไปบอกเขาว่า อาลั้งไม่ยอมมาพบนะ” อาใช้เอ่ยขึ้น
“จ้ะๆ…ไปบอกตามนี้” อาซิ่วพยักพเยิด
อาใช้จึงวิ่งปรู๊ดกลับบ้านไป…อาซิ่วพาอาลั้งมายืนหลบอยู่ในทำเลที่สามารถมองเห็นหน้าประตูบ้านป้าสี่ โดยยืนหลบเหลี่ยมกำแพงสูงอยู่ เพื่อไม่ให้คนจากที่ประตูบ้านป้าสี่เห็น…ทั้งสองยืนดูอยู่สักพักก็เห็นอาฮึงเดินออกมา และเดินจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง
อาลั้งมองตามเงาหลังของอาฮึงแล้วเด็กหญิงก็น้ำตาร่วง ใจหนึ่งอยากวิ่งไปหาลุงฮึงแต่ก็ไม่กล้าขัดคำพูดของแม่
พอเห็นอาฮึงจากไปแล้ว…อาซิ่วก็ถามลูกสาวตัวน้อยว่า “อาลั้ง…เด็กชายคนเมื่อกี้เป็นสามีเด็กของลูกใช่ไหม?”
อาลั้งพยักหน้าเป็นคำตอบ เพราะตอนนี้เด็กหญิงกำลังกลั้นสะอื้นอยู่
“ถ้ายังงั้นเขาก็คืออาใช้ ลูกชายป้าสี่” อาซิ่วเอ่ยพลางครุ่นคิด…อาใช้ถึงไม่ได้หน้าตาดีมาก แต่ก็พอใช้ได้ และดูจากอุปนิสัยใจคอก็เป็นคนซื่อสัตย์ดี อนาคตของอาลั้งนับว่าไม่เลวนัก
พออาฮึงกลับไป อาใช้ก็วิ่งมาหาสองแม่ลูก พลางบอกกับอาลั้งว่า
“ลุงคนนั้นกลับไปแล้ว เขาบอกว่าให้อาลั้งมีความสุข เขาจะไม่มารบกวนอีก”
อาลั้งได้ยินว่า…ลุงฮึงจะไม่มาอีกแล้ว…ก็ร้องไห้โฮออกมา
“ลูกร้องไห้ทำไม?” อาซิ่วถาม
“ลื้อร้องไห้ทำไม?” อาใช้ถามแทบจะเป็นเสียงเดียวกันกับอาซิ่ว
“คุณลุง…บอกว่า…จะไม่มาอีกแล้ว” อาลั้งร้องไห้สะอึกสะอื้นไปพลาง พูดตะกุกตะกักไปพลาง
“เขาไม่มาก็ดีแล้ว” อาซิ่วว่า “แต่ลูกไม่ต้องกลัวนะ แม่จะมาเยี่ยมลูกบ่อยๆ” พลางโอบกอดลูกสาวตัวน้อยอย่างปลอบโยน
“แล้วน้าเป็นใคร?” อาใช้ถาม
“อั๊วเป็นแม่อาลั้ง” อาซิ่วตอบ
“แม่ให้มาตามอาลั้ง ถ้าช้านัก แม่จะโกรธ” อาใช้บอก
ทำให้อาลั้งลนลาน “แม่…หนูต้องรีบไปแล้ว”
“ไม่เป็นไรจ้ะ…แม่ไปด้วย”
แล้วอาใช้ก็พาอาลั้งกับแม่มาที่บ้าน…ในบ้าน ป้าสี่นั่งรออยู่ด้วยสีหน้าเฉยเมย พอเห็นอาซิ่วตามมาด้วย ก็มองอาซิ่วตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะถามว่า
“มาทำไมหรือ?”
“อั๊วเป็นแม่อาลั้ง ชื่อซิ่ว” อาซิ่วแนะนำตนเอง
“แม่อาลั้ง ไม่ใช่ชื่อเง็กหรอกหรือ?” นางถามกลับ
“อาเง็กเป็นแม่บุญธรรม แต่อั๊วเป็นแม่แท้ๆ ของอาลั้ง” อาซิ่วอธิบาย
“อ้อ…” ป้าสี่พยักหน้า “เชิญนั่งก่อนสิ”
“ขอบคุณค่ะ” อาซิ่วกล่าว แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ฝังมุกที่ตั้งในตำแหน่งต้อนรับแขกด้านขวามือของห้อง
“อาลั้ง…” ป้าสี่หันไปทางเด็กหญิง พลางชูถุงผ้าใบค่อนข้างใหญ่ในมือให้ “นี่เป็นของที่ลุงฮึงฝากไว้ให้…มารับไปสิ”
อาลั้งเดินเข้าไปรับถุงผ้า พลางกล่าว “ขอบคุณค่ะ” แล้วถอยออกมา ก่อนจะเปิดปากถุงออกดู และหยิบสิ่งของในนั้นออกมา มันเป็นตุ๊กตาแต่งชุดแหม่มที่สวยงามตัวหนึ่ง สวยที่สุดเท่าที่อาลั้งเคยเห็น ทำให้อาลั้งคิดถึงคืนก่อนที่ลุงฮึงจะออกเดินทาง…
ลุงฮึง ป้าเง็ก และอาลั้งนั่งทานข้าวด้วยกัน…
“ลุงจะเดินทางไปค้าขาย อาจจะไปสองสามเดือน อย่าเป็นเด็กดื้อนะอาลั้ง” ลุงฮึงกล่าวขึ้น
“ค่ะคุณลุง” อาลั้งรับคำ ทำตาแดงๆ
“แล้วขากลับ ลุงจะซื้อตุ๊กตาที่สวยที่สุดมาฝาก”
“ตุ๊กตาหรือคะ?” อาลั้งถามอย่างตื่นเต้น
“ใช่…ลุงจะซื้อตุ๊กตาฝรั่งให้อาลั้ง” ลุงฮึงให้สัญญา
“ดีจังเลย…หนูยังไม่เคยเห็นตุ๊กตาฝรั่ง” เด็กหญิงมีสีหน้าดีใจ
“อะแฮ่ม…” อาเง็กกระแอม
“อั๊วก็จะซื้อของมาฝากอาเง็กเหมือนกัน” อาฮึงเอ่ยยิ้มๆ
“นึกว่าลืมอั๊วไปแล้ว” อาเง็กค้อนสามี
“ลืมลื้อได้ยังไง…แต่ของฝากของลื้อ อั๊วจะหาผ้าฝรั่งสวยๆ มาฝาก”
“ก็ดี” อาเง็กยกชามข้าวขึ้นกินต่อ
“อั๊วไปค้าขายนี่คราวนี้ ฝากลื้อดูแลอาลั้งด้วย อย่าดุอย่าตีอีนักละ” อาฮึงไม่วายกำชับภรรยา
“เออๆ…” อาเง็กรับปากอย่างรำคาญ
คิดถึงตรงนี้ และเห็นตุ๊กตาฝรั่งเป็นพยาน…อาลั้งก็ร้องไห้โฮออกมา วิ่งออกไปหน้าบ้าน ร้องเรียกไปทางที่เห็นลุงฮึงเดินจากไป “คุณลุง…คุณลุงขา…”
“อาใช้…ลื้อไปเรียกอาลั้งเข้ามา อย่าให้ไปทำขายหน้าหน้าบ้าน” ป้าสี่สั่งลูกชายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ฮะแม่”
อาใช้รับคำแล้วออกไปเรียกอาลั้ง
“อาลั้งเข้าบ้าน…แม่บอกว่าอย่ามาทำขายหน้าที่หน้าบ้าน”
ชื่อของป้าสี่นั้นมีผลต่ออาลั้งอย่างมาก เด็กหญิงไม่กล้าขัดขืน รีบเดินกลับเข้าบ้านมาในทันที อาใช้ปิดประตูรั้วแล้วจึงค่อยตามเข้ามา
อาลั้งมายืนเช็ดคราบน้ำตาอยู่ที่ด้านข้าง สะอื้นแต่ไม่กล้ามีเสียง
อาซิ่วมองดูสภาพและบรรยากาศของบ้านนี้แล้ว นางรู้สึกกดดันและอึดอัดมากกว่าบ้านอาฮึงกับอาเง็กหลายเท่า
“ลื้อเป็นแขก อั๊วก็ต้องขอโทษที่ต้อนรับไม่ดีนัก” ป้าสี่เปิดฉากสนทนากับอาซิ่วอย่างห่างเหิน “แต่ลื้อมาถึงบ้านแล้ว อั๊วก็ขอถามว่า ลื้อมีธุระสำคัญอะไรหรือ?”
คำพูดคำจาเป็นพิธีการแบบนี้ อาซิ่วไม่คุ้นเคย ถ้าสามีอาซิ่วยังอยู่ ก็คงสามารถตอบโต้กับป้าสี่ได้ แต่นี่อาซิ่วไม่มีความรู้แม้แต่น้อย แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความห่างเหินไม่เป็นกันเอง จึงอึกๆ อักๆ อยู่ครู่ ก่อนจะโพล่งว่า
“อั๊วมาเยี่ยมอาลั้ง”
“คนเป็นแม่คิดถึงลูกนั้นเป็นธรรมดา แต่ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว ก็เหมือนน้ำที่ถูกสาดออกไป จะมาหากันบ่อยๆ มันไม่ใช่เรื่องที่สมควร”
ป้าสี่พูดสีหน้าเฉยเมย ก่อนตบท้ายว่า
“ขอโทษนะ ที่อั๊วพูดตรงๆ”
อาซิ่วหน้าซีดแล้วซีดอีก…นี่ป้าสี่ไม่คิดจะนับญาติกับตนเลย พูดจาทุกคำแม้นุ่มนวลไพเราะ แต่ก็เป็นการตัดญาติขาดมิตรและขับไล่ไสส่งชัดเจน
“ลื้อกับอาลั้งก็ได้พบกันแล้ว จะพูดอะไรกันก็พูดกันซะ งานในหน้าที่อาลั้งยังมี ต้องไปทำให้เสร็จเรียบร้อย”
เสียงป้าสี่เรื่อยๆ แต่บาดจิตบาดใจอาซิ่วนัก
อาซิ่วจึงตัดสินใจเอ่ยว่า
“อั๊วพูดคุยกับอาลั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว”

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ธ.ค. 2555, 12:03:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ธ.ค. 2555, 12:45:05 น.
จำนวนการเข้าชม : 1310
<< ตอนที่ 6 | ตอนที่ 8 >> |