กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 8

8...


อาซิ่วเดินไปพลางน้ำตาก็ไหลรินลงมา นางยกมือปาดเช็ด แล้วอดคิดเปรียบเทียบไม่ได้…ลูกสาวตัวน้อยของนางอยู่บ้านอาเง็ก แม้จะถูกตีบ้าง แต่ก็ยังได้รับความรักจากอาฮึง และนางก็ได้รับอนุญาตไปเยี่ยมลูกได้บ่อยๆ ไม่เหมือนที่ลูกสาวมาอยู่บ้านป้าสี่ในฐานะสะใภ้ ป้าสี่มีทีท่าเย็นชา และแสดงออกชัดว่าไม่ต้อนรับอาซิ่ว เพราะอาลั้งมาในฐานะสะใภ้ที่ซื้อมา ไม่ใช่สู่ขอแต่งงานมา
“อาซิ่วๆ…” เสียงป้าซำเรียกมาจากด้านหลัง
อาซิ่วรีบปาดเช็ดน้ำตาแล้วหันหน้าไป ถามว่า
“มีอะไรหรือป้าซำ?”
“อั๊วยืนดักรอลื้อจนขาแข็งแล้วนาอาซิ่ว” ป้าซำรำพึงรำพัน
“ดักรออั๊วทำไม?” อาซิ่วถาม
“เอ๊ะ…ทำไมลื้อตาแดงๆ?” ป้าซำถามอย่างเพิ่งสังเกตเห็น
“อ๋อ…ไม่มีอะไรหรอก ลมพัดฝุ่นเข้าตาอั๊วน่ะ” อาซิ่วพูดพลางรีบปาดเช็ดน้ำตาอีกครั้ง ก่อนจะถามว่า “ลื้อมีธุระอะไรกับอั๊วเหรอ?”
“อ้อๆๆ…ลื้อได้พบป้าสี่แล้วยัง อีพูดอะไรกับลื้อบ้าง ลื้อเล่าให้อั๊วฟังบ้างสิ” ป้าซำถามอย่างอยากรู้อยากเห็นเต็มแก่
“พบแล้ว อี…” อาซิ่วเม้มปาก กลั้นเรื่องราวความจริงไว้ในอก เพราะถ้าพูดออกไปให้คนอย่างป้าซำรู้เรื่อง แทนที่จะเห็นอกเห็นใจนาง อาจจะหัวเราะเยาะหรือด่าว่าซ้ำเติมให้ปวดใจมากขึ้น “เป็นผู้ดีมีการศึกษา ก็พูดกันได้ไม่กี่คำ อั๊วก็ต้องรีบลากลับ เพราะนึกได้ว่ายังมีธุระทำค้างอยู่”
ในความเป็นจริง ไม่ใช่อาซิ่วรีบลากลับ แต่เป็นป้าสี่นั้นออกปากไล่ให้กลับแบบสุภาพว่า
“หนทางไกล…ถ้าพูดธุระกับอาลั้งเสร็จแล้ว ก็รีบกลับเถอะ เดี๋ยวจะมืดจะค่ำเสียก่อนจะถึงบ้าน จะลำบาก”
“ค่ะ” อาซิ่วในเวลานั้นไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่าคำคำนี้
“แล้วลื้อก็ไม่ต้องมาหาอาลั้งบ่อยๆ นะ จะทำให้การปกครองคนของอั๊วยุ่งยาก” ป้าสี่เอ่ยแล้วหันไปทางลูกชาย “อาใช้ไปเปิดประตูส่งแขก แล้วอย่าชักช้าล่ะ”
“ฮะแม่”
อาใช้รับคำแล้วลุกไปที่ประตู อาซิ่วจำต้องรีบลุกจากเก้าอี้ มองไปทางลูกสาวตัวน้อยที่ยืนหลบอยู่หลังฉากบังตา ดวงหน้าน้อยๆ ละห้อย อาซิ่วอยากเข้าไปกล่าวลาลูกสาว พอหันไปเห็นดวงหน้าเย็นชาของป้าสี่ อาซิ่วก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปพูดจาอะไรกับลูกสาวตัวน้อยอีก ได้แต่เดินตรงออกจากนอกประตูบ้านนั้นมา และทันทีที่นางเดินพ้นธรณีประตู อาใช้ก็ปิดประตูตามหลัง
“ตายแล้ว…ลื้อทำไมทำอย่างงี้” เสียงป้าซำปลุกให้อาซิ่วหันมาสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า
“อั๊วทำอะไรผิดเหรอ?” อาซิ่วถาม
“ผิดซี่…ลื้อเป็นดองกับอี ทำไมไม่อยู่พูดคุยให้นานๆ หน่อย จะได้สนิทสนมกันไว้ จะได้ไปมาหาสู่กัน พอลูกสาวลื้อโต ลื้อก็สบาย” ป้าซำเอ่ยเป็นฉากๆ
อาซิ่วได้แต่ฝืนยิ้มอย่างแห้งแล้ง “อั๊วเห็นอาลั้งอยู่สบาย อั๊วก็พอใจแล้ว”
“เอ่อ…เห็นบ้านช่องป้าสี่ออกใหญ่โต อีมีคนรับใช้กี่คนล่ะ?” ป้าซำถาม
“ไม่…” อาซิ่วเกือบหลุดคำว่า…ไม่มี แต่พอนึกได้ก็เปลี่ยนเป็น “ไม่รู้สิ”
“แหม…ลื้อนี่ใช้การอะไรไม่ได้เลย” ป้าซำเอ่ยอย่างนึกขัดใจ “ถ้ามีแต่คนใช้แก่ๆ อั๊วจะได้หาคนใช้อายุยังสาวหน่อยไปเสนอขายให้อี ลูกลื้อก็จะได้สบาย”
พอป้าซำพูดอย่างนี้ อาซิ่วก็นึกขึ้นได้ นางเห็นอาลั้งล้างถ้วยล้างชามอยู่คนเดียว ถ้าอย่างงั้น…งานบ้านทั้งหมดอาลั้งก็ต้องทำน่ะสิ?
แล้วบ้านใหญ่ขนาดนั้น…งานย่อมมากตามขนาดของบ้าน
อาลั้งต้องทำงานหนักกว่าอยู่บ้านอาเง็กเสียอีก
คิดแล้ว…อาซิ่วก็ยิ่งโกรธป้าซำ จึงเดินหนีไปเฉยๆ
“อาซิ่วๆ” ป้าซำตะโกนเรียก แต่อาซิ่วเดินลิ่วไม่หันกลับไปพูดด้วย ป้าซำจึงได้แต่บ่นอุบอิบ “อีเป็นบ้าอะไรของอี!”

อาซิ่วใช้เวลาคิดทบทวนอยู่หลายวัน ในที่สุดก็ตัดสินใจบากหน้าไปหาอาเง็ก พอถึงบ้านอาเง็กก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้โยเย และได้ยินเสียงอาเง็กบ่น
“เป็นอะไรไปอาตี๋ กินน้ำข้าวก็แล้ว ทำไมถึงยังร้องอยู่อีก”
อาซิ่วยืนลังเลอยู่สองสามอึดใจ ก่อนจะยกมือเคาะประตู
“เดี๋ยวก่อนนะ…รอเดี๋ยว” อาเง็กร้องบอก ก่อนจะเดินมาเปิดประตูให้ ในมือของอาเง็กยังอุ้มเด็กทารกอยู่
พอเห็นหน้าอาซิ่ว อาเง็กก็ถามทันทีว่า “ลื้อจะมาทำไมอีก อาลั้งก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ลื้อก็รู้ไม่ใช่เรอะ?”
“อั๊วไม่ได้มาหาอาลั้ง อั๊วจะมาหาอาฮึง” อาซิ่วบอก
ได้ยินประโยคนี้อาเง็กก็ตาขวาง “มาหาอาฮึงเรื่องอะไร?”
“อั๊วจะขอร้องอาฮึงให้ช่วยซื้อตัวอาลั้งกลับมา” อาซิ่วบอกเจตนา
“เพื่ออะไร?” อาเง็กถาม
“อาลั้งรักอาฮึงเหมือนพ่อแท้ๆ แล้วอาฮึงก็รักอาลั้งเหมือนลูก” อาซิ่วเอ่ย
“เมื่อก่อนอาจใช่ เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว…เพราะอาฮึงเคยไปหาอาลั้งหนหนึ่ง แต่อาลั้งไม่ยอมมาพบอาฮึง อาฮึงจึงฝากตุ๊กตาที่ซื้อมาไว้ให้ แล้วกลับบ้านมาด้วยความผิดหวัง ผิดหวังที่คนที่อีรักเหมือนลูกสาวกลับไม่รักอีเลย”
“ไม่ใช่…ไม่ใช่นะอาเง็ก อาฮึงเข้าใจผิดแล้ว” อาซิ่วเอ่ยร้อนรน “วันนั้นเป็นอั๊วเองที่ไม่ให้อาหมวยมาพบหน้าอาฮึง”
“เพราะอะไรละ” อาเง็กถลึงตาใส่อาซิ่ว
“เพราะ…เพราะ…” อาซิ่วต้องรวบรวมความกล้าที่จะสารภาพว่า “วันนั้นอาฮึงบอกกับป้าสี่ว่าจะซื้อตัวอาหมวยกลับมา อั๊วกลัวว่าลื้อจะตีอาหมวยอีก จึงไม่ให้อาหมวยมาพบหน้าอาฮึง เพราะคิดว่าอยู่ที่บ้านป้าสี่ ป้าสี่ไม่ได้ตีอี”
“ตอนนี้ก็ดีแล้วนี่” อาเง็กเอ่ยเสียงสูง
“แต่…อยู่บ้านป้าสี่ อาหมวยต้องทำงานหนักกว่าอยู่ที่นี่หลายเท่า แถมถ้าทำไม่ถูกใจป้าสี่ ป้าสี่ก็ไม่ให้อาหมวยกินข้าว หรือให้อีตบตีตัวเองเป็นการลงโทษ”
เรื่องนี้อาซิ่วซึ่งลอบไปถามอาใช้เมื่อสองวันก่อนรู้มา
“แล้วมาบอกอั๊วทำไม?” อาเง็กเอ่ยเสียงเย็น
“ลื้อเลี้ยงอาหมวยมาสองปี ลื้อก็คงรักอาหมวยอยู่บ้าง” อาซิ่วเอ่ย
“อาหมวยน่ะไม่ใช่ปัญหา อั๊วก็รักอยู่หรอก แต่ที่อั๊วไม่ชอบใจที่สุดก็คือลื้อต่างหาก” อาเง็กพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
“อั๊ว!” อาซิ่วเอ่ยอย่างงงงัน “อั๊วทำอะไรให้ลื้อไม่พอใจเหรอ?”
“ยังมีหน้ามาถามอีก” อาเง็กจารนัย “ลื้อชอบมาหาอาหมวย มาหาอาหมวยจริงหรือจะมาทอดสะพานให้อาฮึงกันแน่”
“อั๊วไม่เคยคิดผิดจารีตประเพณีอย่างนั้น ไม่เชื่ออั๊วสาบานให้ลื้อก็ได้” อาซิ่วยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตน
“ไม่ต้องสาบงสาบานอะไร เพียงแค่ลื้ออย่ามายุ่งกับอาฮึงก็พอ” อาเง็กว่า มือก็อุ้มทารกชายเขย่าเบาๆ ให้ไม่ร้องโยเย
“อั๊วพูดคุยกับอาฮึงก็มีเพียงถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันตามปกติเท่านั้น” อาซิ่วพยายามจะอธิบาย “และมาครั้งนี้อั๊วก็เพียงแต่มาขอร้องอีให้ช่วยซื้ออาหมวยกลับมา อั๊วจะได้แวะมาเยี่ยมบ้างเท่านั้นเอง”
“แวะมาเยี่ยมอาหมวยแล้วก็พบอาฮึงด้วยใช่มั้ย?” อาเง็กเสียงดุ
“ไม่ใช่อยากที่ลื้อคิดหรอกนะ” อาซิ่วส่ายหน้า
“จะให้อั๊วคิดอย่างไร ผู้หญิงกับผู้ชาย มันก็เหมือนน้ำมันกับไฟ อยู่ใกล้กันพบกันบ่อยๆ สักวันหนึ่งไฟก็ต้องลุกพรึ่บ คราวนี้อั๊วจะไปร้องขอให้ใครช่วยได้” อาเง็กพูดเสียงจริงจัง “ลื้อกับลูก ลื้อไปแล้วไปเลยดีกว่า อย่ามายุ่งกับครอบครัวอั๊วอีกเลย”
อาซิ่วมองอีกฝ่ายด้วยสายตาผิดหวัง ก่อนจะหันกายเดินจากไป”
อาฮึงกลับมาบ้านในเวลาที่อาซิ่วเดินคล้อยหลังไปแล้ว เห็นแต่หลังไวๆ พอดีอาเง็กจะปิดประตู อาฮึงร้องเรียกไว้
“อาเง็กอย่าเพิ่งปิดประตู”
“อ้อ…อาฮึงลื้อกลับมาแล้วเหรอ?” หน้าอาเง็กซีดไปเล็กน้อย เพราะเกรงสามีจะได้ยินคำพูดของตน
แต่อาฮึงนั้นได้ยินเสียงสนทนา แต่จับใจความไม่ได้ จึงถามว่า
“เมื่อกี้ใครมาหา”
“เอ่อ…อาซิ่ว” อาเง็กไม่กล้าปกปิด เพราะรู้ว่าสามีคงเห็นหลังอาซิ่วไวๆ
“ซ้อซิ่วมาทำอะไร?” อาฮึงถาม
อาเง็กคิดในใจ…ถ้าบอกความจริงไป อาฮึงก็คงกลับไปซื้ออาลั้งกลับคืนมา แล้วอาซิ่วก็คงถือโอกาสมาเยี่ยมลูกบ่อยๆ สักวันคงเกิดเรื่องให้ตนต้องช้ำใจเป็นแน่ ยังไงเสียตนจะต้องตัดไฟแต่ต้นลม…จึงโกหกว่า
“อาซิ่วมาบอกว่าอาลั้งอยู่สุขสบายดี ให้อั๊วไม่ต้องเป็นห่วง”
อาฮึงได้ยิน ก็ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เดินเข้าบ้านไป…อาซิ่วจึงยิ้มอย่างพอใจ แล้วปิดประตูเข้าบ้าน

อาซิ่วกลับมานั่งร้องไห้ที่บ้าน…ที่นางหวังจะพึ่งอาฮึงก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะอาเง็กเกิดมีความคิดหึงหวงสามี และกำลังเข้าใจตนผิด มีวิธีเดียวที่นางพอจะได้พบได้เห็นหน้าลูกสาวคนเล็กบ้างก็คือแอบมอง
อาซิ่วร้องไห้ไป รำพึงรำพันถึงสามีที่ตายไปแล้วว่า
“อากิม…อั๊วขอโทษ อั๊วขอโทษจริงๆ อั๊วไม่น่าขายอาเง็กลั้งไปเลย ไม่งั้นตอนนี้อีก็คงยังอยู่ที่บ้านนี้ ถึงจะอดๆ อยากๆ แต่ก็ไม่ถูกใครทำร้ายเอาแบบนี้”
และนับแต่วันนั้นวันไหนที่อาซิ่วคิดถึงลูกสาวตัวน้อย นางก็จะไปแอบยืนอยู่ตรงช่องกำแพงบ้านของบ้านป้าสี่ มองดูเง็กลั้งทำงานงกๆ จนกระทั่งถึงฤดูผลเอี้ยบ๊วยสุก ป้าสี่ใช้ให้อาลั้งไปเฝ้าสวนเอี้ยบ๊วยบนเนินเขาใกล้กับป่า
“เฝ้าดีๆ ล่ะ อย่าให้ใครมาแอบขโมยผลเอี้ยบ๊วยไปได้เชียวนะ”
“ค่ะ”
อาลั้งรับคำ แล้วเตรียมจะออกไปเฝ้าสวน อาใช้เดินตามมาที่ประตูรั้ว แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “แม่ไม่เคยใช้อั๊วไปเฝ้าสวนเอี้ยบ๊วยเลย แม่บอกว่าอันตราย”
“อันตรายอะไรหรือ?” เด็กหญิงถาม
“แม่ว่าบางทีก็มีเสือออกจากป่ามากัดคน” เด็กชายตอบ
ทำให้อาลั้งรู้สึกกลัวอย่างมาก แต่จะกลัวอย่างไร คำสั่งของป้าสี่ก็ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะนางน่ากลัวยิ่งกว่าเสือเสียอีก
อาลั้งเปิดประตูรั้วออกไปนอกบ้าน พอดีเห็นคนแห่นักโทษผ่านมา มีฆ้องมีแตรนำหน้าแล้วนักโทษก็ถูกใส่ขื่อคอและล่ามโซ่มือและเท้าให้เดินตาม มีแผ่นป้ายประจานความผิด ซึ่งเด็กอย่างอาลั้งอ่านไม่ออกเพราะไม่เคยเรียนหนังสือ แต่อาใช้อ่านออกอย่างตะกุกตะกักว่า
“เป็นนักโทษประหาร” แล้วชวนอาลั้งว่า “พวกเราไปดูกันมั้ย?”
“เดี๋ยวอาม่าจะว่าเอา” อาลั้งลังเล…อยากรู้ตามประสาเด็กก็อยากรู้ แต่ก็กลัวว่าถ้าเถลไถล ป้าสี่จะทำโทษเอาอีก
“ก็อย่าให้แม่รู้สิ” อาใช้บอก “ไปดูกันเดี๋ยวเดียวเท่านั้น”
ความเป็นเด็ก เรื่องนาสนใจ กับมีคนคอยชักชวน ทำให้อาลั้งเดินตามอาใช้ไปอย่างง่ายดาย แต่เด็กทั้งสองเดินตามไปได้ไม่ไกลนัก ก็มีชายชราคนหนึ่ง จับไหล่ของเด็กทั้งสองไว้
“จะไปไหนหนู?”
“จะตามไปดูเขาประหารชีวิตกัน” อาใช้ตอบ
“มันไม่ใช่เรื่องน่าดูหรอกนะ” ชายชราบอก
“ก็อั๊วอยากรู้ว่า ทำไมเขาถึงต้องถูกประหาร แล้วประหารคืออะไร” อาใช้เอ่ย
แม้แต่ “ประหาร” อาใช้กับอาลั้งยังไม่รู้จัก แต่ก็ตามเขามาดู เพราะเห็นคนตามมาเป็นจำนวนมาก
“เราไปนั่งกันที่เพิงน้ำชากัน แล้วอาเหล่าแปะ (แปลว่าตาหรือปู่ก็ได้) จะเล่าอะไรให้ฟังดีไหม” ชายชราเสนอ
เด็กชายหญิงสองคนมองหน้ากัน แล้วอาใช้ก็ว่า
“อั๊วอยากเห็นการประหาร”
“แต่อาเหล่าแปะว่าเป็นการไม่ดีนี่” อาลั้งแย้งเสียงอ่อน
“ใช่…มานั่งที่ร้านน้ำชา แล้วอาเหล่าแปะเล่าให้ฟังดีกว่า” ชายชราเอ่ยเสริม “แล้วอีกอย่างกว่าจะถึงเวลาประหารจริงๆ ก็เวลาเที่ยง ถึงตอนนั้นพวกหนูจะไปดูก็ยังทัน”
พอฟังเหตุผลนี้แล้ว…เด็กสองคนก็ตัดสินใจ ตามชายชราไปนั่งที่ร้านน้ำชาซึ่งก่อสร้างแบบเพิง พอนั่งลง ชายชราก็สั่ง
“เอาซาลาเปาทอดมาจานหนึ่ง และน้ำชากาหนึ่ง” ก่อนจะบอกกับเด็กๆ ว่า “อาเหล่าแปะเลี้ยงซาลาเปาทอดพวกหนูนะ”
“ขอบคุณค่ะ” “ขอบคุณครับ” เด็กทั้งสองกล่าวพร้อมกัน
“เอ้า…ซาลาเปาทอดมาแล้ว” เจ้าของร้านนำจานซาลาเปาทอดที่มีอยู่สี่ลูก กับกาน้ำชามาส่งที่โต๊ะ ในร้านนั้นมีโต๊ะอยู่เพียงสามโต๊ะ แต่ทุกโต๊ะว่างเปล่า มีแต่โต๊ะที่ชายชราพาเด็กชายหญิงทั้งสองมานั่งอยู่โต๊ะหนึ่งเท่านั้น
“อาเหล่าแปะ พาเด็กที่ไหนมา?”
เจ้าของร้านทักทายอย่างคุ้นเคยกับชายชรา
“เด็กๆ จะตามไปดูเขาประหารชีวิต” เหล่าแปะเล่า
“ไอ้หยา…เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าไปดูของแบบนี้จะดีกว่า” เจ้าของร้านอธิบายสั้นๆ
“แล้วการประหารคืออะไร?” อาใช้ถามอีก เพราะไม่รู้ว่าไอ้ที่ว่าหวาดเสียว สยดสยองนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ปากถาม มือก็หยิบซาลาเปาทอดมาใส่ปากกินด้วย
อาลั้งเห็นอาใช้หยิบก็หยิบตาม…เด็กหญิงสนใจเช่นกัน แต่ไม่ใช่คนช่างพูดช่างซักอย่างอาใช้
“การประหาร ก็คือการเอานักโทษไปที่ลานประหาร ให้คุกเข่าลง และถอดขื่อคอออก เอามีดอันใหญ่ที่คมกริบตัดคอขาดกระเด็น เลือดนี่พุ่งกระฉูด“
เจ้าของร้านเล่าไปทำมือทำท่าตามที่เล่า…พอถึงตอนตัดคอ เขาก็ฟันมือลงเฉียดหน้าอาใช้ไปนิดเดียว
เด็กทั้งสองตกใจยกมือขึ้นปิดหน้า
“เห็นไหม…แล้วอย่างนี้ยังจะไปดูเหรอ?”
เจ้าของร้านถาม
“แต่ทำไมคนถึงไปดูกันเยอะแยะ แล้วคนแห่ก็ร้องประกาศให้คนตามไปดูด้วย” อาใช้ยังไม่ยอมแพ้
“เขาให้ไปดูเพื่อเตือนสติว่าอย่าได้ทำอย่างนี้”
เหล่าแปะพูดให้เด็กๆ ฟัง
“แล้วนักโทษนี่ทำผิดอะไรหรือคะ?”
อาลั้งถามขึ้น หลังจากนิ่งเงียบมานาน




คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ธ.ค. 2555, 12:46:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ธ.ค. 2555, 12:46:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1305





<< ตอนที่ 7   ตอนที่ 9 >>
หนอนฮับ 24 ธ.ค. 2555, 13:44:59 น.
ตามมาให้กำลังใจคะ ทั้งที่เด็กดีและที่นี่ อิอิ


pattisa 24 ธ.ค. 2555, 14:51:05 น.
หูยยยยย ชีวิตคนจีนสมัยก่อน โตขึ้นมาก็ขอให้เป็นกล้วยไม้เหล็กนะ ไม่ยอมโดนรังเเกง่ายๆ


คำรัก 24 ธ.ค. 2555, 15:35:30 น.
ขอบคุณมากๆ ค่ะ >0<


Auuuu 24 ธ.ค. 2555, 18:52:48 น.
อ่านแล้วเครียดเลย สู้ๆนะอาเง็กลั้ง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account