เล่ห์กฤษนล
เรื่องราวของนายกฤษนล ลูกชายสุดสวาทของแม่นิลและพ่อหนึ่ง จากเล่ห์ร้ายซาตาน ... เจ้าของฉายา ปิศาจหน้าหวาน กับ แม่สาวไข่มุกดำ แห่งท้องทะเลอันดามัน





Tags: รัก อบอุ่น โรแมนติก

ตอน: 2. ไข่มุกดำแห่งท้องทะเลอันดามัน


ใช้เวลาไม่กี่นาที กฤษนลก็ไปถึงสถานที่เกิดเหตุบนถนนเลียบหน้าผาซึ่งเป็นเส้นทางกลับสู่บ้านพักของเขา โดยการขับรถจากโรงกลั่นน้ำมันด้วยความเร็วเต็มพิกัด เท่าที่สมรรถนะของรถหรูและช่องทางการจราจรจะอำนวย

ชายหนุ่มจอดรถห่างออกไปเกือบยี่สิบเมตรจากจุดที่เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสามนายกำลังคุยกันอย่างเคร่งเครียด ใกล้กันนั้นก็ยังปรากฏร่างหญิงสาวที่เขาเพิ่งโทรคุยกับเธอเกือบชั่วโมงก่อน
สลาลิน...มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เธอถึงต้องมาอยู่ตรงนี้

“ฉันจะไปกับคุณ”

ความคิดสงสัยของกฤษนลถูกสลายด้วยเสียงหวานที่บอกอย่างมุ่งมั่น เขาหันไปทางเธอแล้วยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง พลางคิดว่าตนลืมไปได้ยังไงว่ายังมียายไข่มุกดำที่ตามติดขึ้นรถมาด้วยอีกคน

“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าจะมาก็ช่วยทำตัวสงบ อย่าจุ้นจ้าน” ชายหนุ่มปลดเข็มขัดนิรภัย พร้อมเบือนหน้าไปพูดจาแยกเขี้ยวกับคนตัวเล็กที่นั่งข้างๆ “นั่งในรถ อย่าลงไปเกะกะ ไม่งั้นฉันจะจับเธอทุ่มลงเหวอีกคน”
“พูดยังกับว่ามีคนตกเหวแล้วอย่างนั้นแหละ”

ศลิษารำพึงด้วยความอยากเอาชนะแบบเด็กๆ แต่เธอไม่รู้หรอกว่ามันไปกระตุกหัวใจแข็งแกร่งของคนฟังเข้าอย่างจัง ดังนั้นสิ่งที่ปรากฏต่อมาจึงเป็นใบหน้าหล่อเหลาที่เปลี่ยนเป็นถมึงทึงอย่างน่ากลัว พร้อมกับเจ้าตัวเปิดประตูรถก้าวออกไป แล้วปิดประตูตามอย่างไม่ออมแรง คล้ายต้องการระบายอารมณ์ อย่างที่คนนั่งในรถได้แต่อ้าปากค้างอย่างนึกไม่ถึงกับปฏิกิริยารุนแรงที่ได้เห็น

กฤษนลก้าวยาวๆไปสมทบกับคนกลุ่มใหญ่ที่เขาเห็นว่านอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกับชุดกู้ภัยที่มาพร้อมอุปกรณ์แล้วยังมีคนคุ้นหน้าของตนหลายคน ก่อนที่หนึ่งในกลุ่มนั้นจะแยกตรงมาหาเขา

ชายร่างสูงในเครื่องแต่งกายเจ็กเก็ตสีดำกับกางเกงยีนสีเดียวกันเดินมาหากฤษนล ก่อนจะพูดเสียงเข้ม หากสุภาพในที

“คุณสลาลินสงสัยว่าจะเป็นรถของคุณลูคัสที่ลื่นตกเขาครับ”

“ว่าไงนะ ตกลงว่ามีรถตกลงไปอย่างนั้นหรือ” แม้จะทำใจไว้ก่อนแล้ว แต่ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ... ให้ถึงยังไงเขาคงทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้ยาก หากมันจะเป็นจริงขึ้นมา

“มันเข้าทางที่สุดแล้วครับ ดูจากต้นไม้ที่หักลู่เป็นทางกว้าง แล้วยังจะมีรถมอเตอร์ไซค์ของนายหวินที่ล้มคว่ำอยู่อีกด้าน ถ้าเราหาตัวนายหวินเจอ เราอาจได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่”

“แล้วนายหวินหายไปไหน หายไปได้ยังไง”

“นี่แหละครับที่ตำรวจกำลังสงสัย ถ้าจะคิดว่ารถของนายหวินกับรถคันที่แล่นสวนมาเบี่ยงหลบกะทันหัน จนเป็นอย่างที่เห็น แล้วนายหวินจะกลัวความผิดว่าเป็นต้นเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุ ก็ไม่น่าจะใช่ คงไม่มีใครชี้ว่าเป็นความผิดเขาแน่นอน”

กฤษนลนิ่งไปทันที ถนนเส้นนี้เป็นเส้นทางลัด โดยปกติหากไม่มีเหตุเร่งด่วนเขามักจะเลี่ยงใช้เสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อความสบายใจของมารดาที่เคยขอไว้ ก่อนจะอนุมัติให้บิดาซื้อบ้านพักเชิงเขาให้เป็นของขวัญวันเกิดครบรอบยี่สิบปีเมื่อสิบปีก่อน

“แม่ว่าถนนเลียบหน้าผาดูน่ากลัว ถึงว่าร้อยวันพันปีจะไม่เคยเกิดอุบัติเหตุก็เถอะ แต่นลอย่าเสี่ยงใช้ทางนี้เลยนะลูก สัญญากับแม่ก่อน แล้วแม่จะให้คุณพ่อซื้อบ้านหลังนี้ให้”

แม่ของเขาย้ำขออยู่หลายครั้ง และกฤษนลก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะให้กับเธอไม่ได้ ตลอดมาเขาจึงขับรถไปในอีกเส้นทางที่สร้างเลียบริมหาด ซึ่งไปตัดกับถนนสายหลักที่แล่นระหว่างเมือง และในวันนี้ก็เช่นกัน เส้นทางที่กฤษนลใช้ยังเป็นเส้นทางเดิม จึงเป็นเหตุให้เขาพลาดที่จะเจอร่องรอยของเพื่อนหนุ่มที่หายตัวไป

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทีมค้นหาทำงานกันอย่างหนักตั้งแต่ตอนค่ำจนถึงเที่ยงคืนถึงได้กู้ซากรถคันสีน้ำเงินขึ้นจากหุบเหวได้ รถคันใหญ่ตกลงไปเบื้องล่างไม่ลึกอย่างที่นึกกลัว เพราะบริเวณนั้นมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นขวางเป็นแพ ทำให้ซากรถตกกระแทกลงไปค้างนิ่งอยู่ตรงนั้น หากนั่นถือว่ายังไม่โชคดีพอสำหรับกฤษนล เพราะสิ่งที่ถูกกู้ขึ้นมายังไม่ใช่เป้าหมายที่เขาต้องการเจอ

“รถคันนี้เป็นของลูคัสค่ะ และเขาเป็นคนขับออกจากบ้านตั้งแต่เช้า ลินจำได้” สลาลินบอกเพียงเท่านั้นแล้วล้มพับลงไป ก่อนทีมพยาบาลจะพาเธอไปพักในรถที่เตรียมไว้โดยพร้อมเพรียง

“เรายังไม่เจอเขา แต่เราก็มีความหวังนะคะว่าเขาคงอยู่ตรงไหนสักที่ อาจกระเด็นออกนอกรถ หรือไม่ก็หนีออกจากรถทัน”

ศลิษาออกความเห็นอย่างต้องการให้ความหวัง หลังจากที่เธอนั่งอยู่ในรถเก๋งคันสีดำอยู่เกือบชั่วโมงตามคำสั่งเจ้าของรถ ก็เกิดอาการทนไม่ไหว เลยเปิดประตูตามออกมาด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆ หากพอเห็นดวงตาคมเหลือบมอง แล้วเมินหนีไปอีกทาง เจ้าหล่อนจึงโมเมว่าเขารับรู้และอนุญาตเธอเรียบร้อยแล้ว จากนั้นศลิษาถึงค่อยๆทำตัวกลมกลืนไปกับกลุ่มคนที่กำลังเคร่งเครียดกับการค้นหา จนหลายชั่วโมงผ่านมา ถึงได้ปรากฏผลอย่างที่เห็น

“เธอคิดว่าเพื่อนฉันเป็นซุปเปอร์แมนหรือไงถึงบินหนีออกไปได้”

“ฉันพูดเพื่อให้ความหวังค่ะ ในสถานการณ์คับขัน ความหวังและความตั้งใจจริงสามารถเอาชนะทุกสิ่งได้อยู่แล้ว ในตอนนี้เรายังไม่เจอเขา เราต้องค้นหาเขาภายใต้ความเชื่อที่ว่าเขายังอยู่และยังรอคอยการช่วยเหลือของเรา คุณเป็นบ้า ไม่เข้าใจที่ฉันพูดหรือไง หรือความอคติมันบังตาคุณจนมืดบอดไปแล้ว” ศลิษาโต้เสียงเข้ม ท้ายเสียงสั่นเครืออย่างที่ไม่อาจควบคุมได้ และมันเป็นเช่นนี้เสมอยามที่เธอปะทะกับเขา ทว่าครั้งนี้กลับทำให้ชายหนุ่มได้คิดและเห็นคล้อยตามเธอ อาจถือว่าเป็นครั้งแรกนับจากที่สองชีวิตโคจรมาเจอกันก็ว่าได้

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กฤษนลรอต่อจนถึงตีสาม กระทั่งทีมค้นหาชุดเดิมบอกยุติการทำงาน หากยังนำความหวังและความพอใจมาให้เมื่อได้รู้ว่าจะมีทีมใหม่เข้าลุยต่อเมื่อถึงเวลาเช้า

“คนของเราเริ่มล้าแล้วครับ การทำงานก็ยาก มันมืดเหลือเกิน พอตกค่ำดินก็ชื้น หินก็ลื่นไปหมด อีกไม่กี่ชั่วโมงก็สว่าง ผมว่ารอทีมใหม่เข้ามาค้นต่อตอนนั้น จะมีหวังมากกว่า”

หัวหน้าทีมบอกด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน และทุกคนก็ยอมรับตาม ไม่เว้นแม้แต่สลาลินที่ยังปักหลักนั่งรออยู่ในรถพยาบาล
เมื่อทุกฝ่ายสลายตัว กลับไปจนหมด กฤษนลจึงหันมาทางสาวสวยที่ยืนโงนเงนอยู่ข้างๆ ก่อนจะพ่นลมหายใจ เมื่อคิดว่าภารกิจของเขาในวันนี้ยังไม่เสร็จสิ้นกระมัง

“แล้วเมื่อกี้ทำไมไม่ติดรถใครกลับไป จะยืนนิ่งบื้ออยู่ทำไมอีก”

ไม่รู้เป็นเพราะความเหน็ดเหนื่อย หรือผิดหวัง ท้อแท้ สิ้นหวังจากการค้นหาตัวลูคัส ที่จนบัดนี้ก็ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดียังไง หรือความรู้สึกชิงชังที่บ่มเพาะเอาไว้เต็มอก จึงทำให้ชายหนุ่มกล่าวถ้อยคำที่ทำร้ายจิตใจหล่อนออกไป และก็ได้ผลเมื่อหญิงสาวถึงกับเม้มปากแน่น เงยหน้ามองเขาด้วยความน้อยใจในเสี้ยววินาทีหนึ่ง แล้วมันก็หายไป

“ฉันคงไปส่งเธอไม่ไหว บ้านพักฉันอยู่ใกล้แค่นี้ และฉันต้องการพักผ่อน พรุ่งนี้เช้ายังมีงานให้ฉันทำอีกมาก สำหรับเธอจึงมีสองทางเลือก คือ เดินกลับไปเอง หรือติดรถฉันกลับบ้าน”

“คุณก็รู้ว่าฉันกลับเองไม่ได้” สิ้นคำพูดของเธอ กฤษนลก็เดินผ่านหน้าไปเปิดประตูรถฝั่งคนขับ เหมือนได้รับคำตอบสำหรับคำถามนั้นแล้ว พร้อมกับคนที่วิ่งตามมาติดๆมาเปิดประตูรถอีกข้าง เข้าไปนั่งอย่างทันท่วงที
กฤษนลเคลื่อนรถผ่านสถานที่เกิดเหตุ หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบรัดจนเจ็บร้าวเมื่อนึกว่าเพื่อนหนุ่มอาจอยู่ตรงจุดไหนสักที่ และที่สำคัญเขาคงรอความช่วยเหลืออยู่

‘อดทนเถอะ อดทนรออีกนิด แล้วพวกเขาจะไปช่วยนาย ฉันสัญญาว่าจะไม่ทิ้งนายให้โดดเดี่ยวอย่างเด็ดขาด’

ไม่กี่นาทีที่พาหนะคันสีดำประเปรียวแล่นฝ่าความมืดมิด สองข้างทางดูมืดครึ้มน่ากลัว จนมาจอดหน้าบ้านพักชั้นเดียว ศลิษามองรอบตัวอย่างสังเกต และเมื่อเจ้าของสถานที่เปิดประตูรถออกไปยืนข้างนอก หล่อนจึงย่างเท้าตามออกมา หากเสียงของเขาก็ทำให้หญิงสาวต้องสะดุ้ง

“เลิกทำเหมือนฉันเป็นผู้ร้ายสักทีเถอะ และถ้าจำไม่ผิด เธอเป็นฝ่ายตามฉันมาเอง ใช่ว่าใครไปบังคับพาตัวมาเสียเมื่อไหร่”

“ฉันไม่ได้คิดว่าคุณเป็นผู้ร้าย เพียงแต่รู้สึกว่าบ้านคุณเงียบแปลกๆ เอ่อ...ฉันหมายถึงเป็นส่วนตัวดี” ศลิษาพยายามเลือกคำพูดที่คิดว่าระคายหูคนที่ยืนทำตาขวางใส่เธอให้น้อยที่สุด และดูเหมือนเธอจะยังทำได้ไม่ดีพอ

“ถ้าไม่พอใจ ทางเลือกแรกสำหรับเธอยังเปิดอยู่...เดินกลับไปเอง”

“ฉันไม่พูดแล้วก็ได้” หล่อนว่าเสียงอ่อย อย่างน้อยก็ขอให้ตัวเองรอดปลอดภัยไปถึงพรุ่งนี้เช้าก่อนเถอะ
ศลิษาเดินตามคนร่างสูงใหญ่เข้าไปในบ้าน ทันทีที่แสงไฟสว่างขึ้นมา หล่อนก็ถึงกับเบิกตาโต ความง่วงนอนและเหนื่อยล้าปลิวหายไปกว่าครึ่งเมื่อเห็นการตกแต่งข้างในที่เป็นไปอย่างมีรสนิยม เฟอร์นิเจอร์จัดวางอย่างลงตัว และทุกชิ้นคงมีราคาสมคุณภาพอย่างที่ผิดจากสภาพตัวบ้านที่เห็นจากข้างนอกลิบลับ

“ห้องเธออยู่ทางนี้”

เจ้าของบ้านหนุ่มพูดโดยไม่หันไปมองแขกสาว เพราะไม่อยากตอกย้ำความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองในวันนี้ให้มากนัก นับแต่เกิดเหตุไฟไหม้ในโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม จนกระทั่งเพื่อนสนิทหายตัวไป ใช่...ลูคัสแค่หายตัวไป เขาจะปักใจเชื่ออย่างนั้นตามที่แม่สาวไข่มุกดำบอกมา และความผิดพลาดสุดท้ายเห็นจะเป็นการที่ยอมให้เธอตามติดมาจากสำนักงาน จนจับพลัดจับผลูมาอยู่ในบ้านหลังนี้

ศลิษาเดินผ่านส่วนรับแขกสวยงาม ตามชายหนุ่มเข้าไปด้านใน ผ่านห้องขนาดไม่ใหญ่สองห้อง จนถึงด้านในสุด เขาก็เปิดประตูไม้เนื้อดีออกจนสุด แล้วเอื้อมมือเปิดไฟ ก่อนพยักพเยิดเป็นเชิงเชื้อเชิญเธอ

“ห้องนี้หรือคะ” หล่อนหลุดปากถาม และสาบานได้ว่าไม่มีความนัยในคำพูดนั้น หากคนฟังกลับตีความไปตามความรู้สึกเดิมๆที่มีต่อเธอไปเสียสิ้น

“ห้องนี้แหละ ถ้าไม่พอใจก็ออกไปนอนข้างนอก ฉันเหนื่อยและเพลียเต็มที” เสียงเข้มนั่นทำให้ศลิษาย่นคออย่างลืมตัว หล่อนเบี่ยงตัวหลบเรือนกายใหญ่ที่ยืนขวางประตูบานเล็กอยู่เกือบครึ่งเพื่อเข้าไปข้างใน เพื่อยุติการสนทนากับเขาเสีย และก่อนที่มือบางจะเอื้อมปิดประตูโดยที่ยังเห็นสายตาคมมองด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก รวมถึงเสียงของเขาที่แทรกเข้ามา

“ของใช้ส่วนตัวอยู่ในห้องน้ำ”

“ขอบคุณค่ะ” ศลิษาอุบอิบบอกทั้งที่ประตูปิดสนิทแล้ว หล่อนไม่หวังให้เขาได้ยิน หากตั้งใจบอกไปตามความรู้สึกตัวเอง

หญิงสาวจัดการกับตัวเองอย่างไม่อิดออด ของใช้ทุกอย่างถูกเตรียมไว้อย่างพร้อมสรรพ มันคงถูกเตรียมพร้อมไว้ตลอดเวลาสำหรับการเข้ามาพักของคนในครอบครัวเขา รวมถึงคนสนิทของชายหนุ่มเอง
แค่คิดว่าเขาอาจมีใครที่สนิทสนมจนเชิญมาพักด้วยกันเป็นการส่วนตัว หัวใจของศลิษาก็วูบหายอย่างแปลกๆ

“ช่างเขาสิ เขาจะมีใครก็ไม่เห็นเกี่ยวกับเรา”

หลังจากจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวก็ก้าวออกจากห้องน้ำในชุดเสื้อคลุมขนหนูที่หาได้จากตู้เสื้อผ้าขนาดพอเหมาะที่สร้างติดผนังไว้ข้างหนึ่ง แต่หากจะเทียบกับขนาดห้องก็พบว่าตู้เสื้อผ้าใบนี้กินพื้นที่มากพอสมควร

“ห้องนี้คงสร้างไว้สำหรับผู้หญิง ใครกัน หรือจะเป็นคุณแม่ของเขา”

แล้วดวงหน้าของคุณป้าใจดีที่ศลิษายังจำได้อย่างแม่นมั่นก็ลอยเข้ามา ทั้งที่การพบเจอครั้งล่าสุดนั้นผ่านมากว่าสิบห้าปีแล้วก็ตาม คุณป้าที่เคยช่วยเธอจากการถูกปิศาจร้ายกลั่นแกล้ง จนต้องร้องไห้เสียน้ำตาเมื่อตอนเธออายุเพียงเจ็ดขวบ ... ปิศาจร้ายที่ศลิษาไม่เคยลืมเขาเช่นเดียวกัน

“บางทีห้องนี้อาจเป็นห้องของพี่น้ำตาล น้องสาวของปิศาจร้าย”

ศลิษาสันนิษฐานต่อพร้อมรอยยิ้มแย้มละมุนบนดวงหน้าหวานขณะนั่งแปรงผมอยู่บนเตียงนอนที่กำลังเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ พลางนึกถึงเด็กหญิงวัยโตกว่าเพียงสองปีที่จำได้ว่าหาญกล้าต่อปากต่อคำกับปิศาจร้ายอย่างไม่เกรงกลัว หากรอยยิ้มนั้นก็จางหายไป เมื่อนึกต่อไปถึงความเป็นไปได้อีกทาง

“หรือเขาอาจเตรียมไว้ให้ใครก็ได้ ผู้หญิงที่เป็นเพื่อนสนิทหรือแฟนของเขา”

สุดท้ายของความคิด ศลิษาก็นึกโทษตัวเองว่ามัวแต่จดจ่อกับคนที่ฝังใจมาตั้งแต่เด็กมากเกินไป ทั้งที่ความเป็นความตายของผู้ชายอีกคนที่มีน้ำใจให้เธอเสมอมายังรออยู่ข้างหน้า หล่อนสลัดความคิดฟุ้งซ่านนี้ออกเสีย พร้อมพยายามข่มตาหลับ เมื่อคิดว่าพรุ่งนี้เช้าตนยังต้องหาทางออกจากบ้านหลังนี้เพื่อกลับไปเอารถพร้อมกับเอกสารที่เตรียมไว้ที่สำนักงาน ก่อนจะกลับบ้านพักตัวเองเพื่อเตรียมตัวออกไปพบลูกค้า ภารกิจของเธอยังคงต้องเดินต่อไป หากท้ายที่สุด ศลิษาตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องกลับมายังสถานที่นี้ เพื่อติดตามความเป็นไปของเจ้านายใหญ่ที่ยังสูญหายด้วยอีกคน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เลยหกโมงเช้ามาเกือบครึ่งชั่วโมง ศลิษาในเครื่องแต่งกายชุดเดิมเดินออกจากห้องพักที่ครอบครองตลอดทั้งคืน หล่อนปิดประตูห้องจนสนิทแล้วกวาดสายตามองทั่วบ้าน ซึ่งก็ไม่เห็นมีใคร ตามที่คาดไว้ก่อนแล้ว หากความสงสัยก็ผุดขึ้นมาว่าเขายังไม่ตื่นนอนหรือไงนะ จะว่าออกไปข้างนอกแล้ว ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะตั้งแต่ตื่นมา หล่อนยังไม่ได้ยินเสียงรถเขาเลย

“มองหาคุณนลหรือครับ” เสียงทักด้านหลังทำให้ศลิษาสะดุ้งโหยง หล่อนหันกลับไปมอง ก็เห็นชายผิวดำ ร่างกำยำ หน้าตาดุดัน หากพอเห็นแววตาเป็นมิตร จึงค่อยใจชื้นขึ้นมา

“ใช่จ้ะ เขายังไม่ตื่นหรือ”

“คุณนลออกไปตั้งแต่ตอนตีห้าแล้วครับ บอกให้ผมรอไปส่งคุณ”

ชายคนเดิมบอกพร้อมประคับประคองถาดอาหารเช้า เดินออกจากทิศทางห้องครัว ท่าทางของเขาช่างขัดกับรูปร่างใหญ่โตเสียจริง และเขาคงทันเห็นความสงสัยและไม่ไว้วางใจจุดขึ้นบนดวงหน้าของศลิษา จึงบอกต่อ

“คุณจะโทรถามคุณนลก่อนก็ได้ อ้อ! แล้วนี่อาหารเช้า ผมทำไว้ให้คุณ”

“ให้ฉัน” ศลิษาถามอย่างแปลกใจ พร้อมเกิดความรู้สึกผิดขึ้นชั่วขณะหนึ่งที่นึกไม่ไว้ใจเขา หากแค่เพียงเสี้ยววินาที เพราะคิดเข้าข้างตัวเองว่าหากใครมาเป็นหล่อนที่อยู่ในสถานที่แบบนี้กับชายไม่คุ้นหน้า แถมหน้าตาดุดัน คงต้องนึกหวั่นระแวงกันบ้างล่ะ

“ใช่ ผมทำงานทุกอย่างในบ้านคุณนล ส่วนอาหารทำได้แค่มื้อเช้าแบบง่ายๆ ถ้าเป็นมื้อใหญ่จะมีคนมาส่ง เพราะคุณนลบอกว่าฝีมือผม ถ้ามากกว่าข้าวต้มกับขนมปังปิ้งก็กระเดือกไม่ลง”

คนหน้าดุบอกเสียงเรียบ จากรูปร่างหน้าตาและสำเนียงของเขาทำให้รู้ไม่ยากว่าคงเป็นคนท้องถิ่น ซึ่งศลิษาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะเวลาส่วนใหญ่เธอก็วนเวียนอยู่แถวจังหวัดใกล้ๆ จะมีแค่เพียงช่วงหนึ่งที่มารดาส่งไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย ตามคำขอของผู้เป็นยายที่เคยพา ‘แม่เจน’ อพยพจากเมืองไทยย้ายไปอยู่ที่นั่น กระทั่งได้แต่งงานใหม่กับชาวออสซี่ หากชีวิตจากนี้ก็เป็นไปอย่างลุ่มๆดอนๆ จนแม่เจนย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยกับ ‘พ่อใหญ่’ เกือบปี คุณยายก็แยกทางกับสามีใหม่ แล้วใช้ชีวิตตามลำพัง โดยยังชีพด้วยการเปิดร้านขายของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว กระทั่งศลิษาเรียนจบชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนประจำจังหวัด จึงได้ย้ายไปอยู่กับคุณยายพร้อมกับเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยเสียที่นั่น ต่อเมื่อเรียนจบถึงกลับมาเริ่มชีวิตการทำงานในโรงกลั่นน้ำมันปาล์มเป็นที่แรก และศลิษาก็ยังอยากให้เป็นที่เดียวสำหรับเธอ

ศลิษาจัดการกับอาหารเช้า ซึ่งคงจัดไปตามความชอบของเจ้าของบ้านเป็นหลัก หล่อนหยิบขนมปังปิ้งอุ่นๆขึ้นมากัด พร้อมจิบกาแฟ แม้ปกติจะไม่นิยมเครื่องดื่มชนิดนี้ อีกทั้งมันยังถูกชงมาอย่างเข้มจัดก็ยิ่งห่างไกลจากความชอบของเธอ แต่สำหรับเช้านี้ หลังจากนอนหลับไม่ถึงสามชั่วโมง ศลิษาจึงรู้สึกว่ามันเป็นเครื่องดื่มที่เธอควรเรียกหาจริงๆ

เกือบสิบนาทีผ่านไป ขนมปังถูกจัดการเพียงครึ่งแผ่น ยังเหลือในจานอีกสองแผ่น พร้อมกับไข่ดาวอีกสองใบ ที่ดูยังไงศลิษาก็รู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าคงไม่สามารถทานทั้งหมดอย่างแน่นอน มีเพียงกาแฟดำรสเข้มที่หายไปจนเกลี้ยง คงเหลือเพียงคราบเกาะขอบถ้วยสีขาวเท่านั้น

“ฉันเรียบร้อยแล้วจ้ะ”

ศลิษาบอกเมื่อเห็นชายผิวคล้ำหน้าดุไม่แพ้ผู้เป็นนายเดินเข้ามาในบ้าน พร้อมมือข้างหนึ่งถือกรรไกรตัดแต่งกิ่งไม้ไว้ เขาชะงักเท้า มองไปที่สำรับอาหารที่สภาพไม่ต่างจากเดิมมากนัก ศลิษาจึงได้เห็นสีหน้าไม่ใคร่ชอบใจของเขา หากก็ไม่มีคำพูดใดออกมา นอกจากบอกว่า

“วางไว้อย่างนั้นแหละครับ ไม่ต้องยกไปเก็บ เดี๋ยวผมมาจัดการเอง คุณจะไปบ้านพักเลยหรือเปล่า”

“จ้ะ ไปตอนนี้เลย แล้วไปยังไงล่ะ ไม่เห็นมีรถสักคัน” ศลิษาวางมือจากถาดอาหารตามความต้องการของอีกฝ่าย ก่อนจะถามถึงสิ่งที่ยังคาใจเธออยู่

“ไปรถมอเตอร์ไซค์นี่แหละ ผมจะพาไปส่งที่ถนนหน้าเมือง แล้วคุณค่อยโบกรถสองแถวบ้านพักพนักงาน คุณออกไปรอข้างนอก ผมจะเก็บของ ปิดบ้านก่อน”

ได้ยินคำตอบจากคนที่เดินลิ่วเข้าไปข้างใน ศลิษาเลยถึงบางอ้อ หล่อนฉวยกระเป๋าสะพาย ข้าวของเพียงชิ้นเดียวที่มีติดมือออกไปยืนรออยู่นอกบ้าน เพียงไม่กี่นาทีจากนั้น คนของกฤษนลก็จัดการทุกอย่างเสร็จ แล้วจึงเดินออกมาถอยรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจใหม่เอี่ยมมาจอดเทียบข้างเธอ พร้อมส่งหมวกกันน็อกให้
ศลิษาขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายรถอย่างเก้ๆกังๆ หากพอขยับตัวสองสามทีทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทาง รถมอเตอร์ไซค์แล่นไปตามถนนดาดคอนกรีตก่อนจะแยกไปอีกเส้นทางที่เธอไม่คุ้นเคย และศลิษาก็ไม่คิดจะเก็บความข้องใจไว้ในอก เธอจึงเปิดหมวกกันน็อกแล้วตะโกนถามแทรกเสียงเครื่องยนต์กับเสียงคลื่นลมริมทะเล

“นี่ไม่ใช่ทางเดิมที่ฉันมากับคุณนลเมื่อคืนนี่”

“ถนนเส้นนี้เป็นทางอ้อม คุณนลบอกให้ส่งคุณทางนี้ แล้วเมื่อกี้คุณไม่โทรถามหรือ” คนขับรถนอกจากจะทำเสียงไม่สบอารมณ์ แล้วยังโยนให้เป็นความผิดพลาดของเธอเอง

“จะถามได้ไง ฉันไม่ได้มีเบอร์ของเขานี่” หล่อนยังตะโกนด้วยระดับเสียงเท่าเดิม พร้อมเกิดความผิดหวังที่คิดจะได้ติดตามความคืบหน้าในการค้นหาตัวลูคัส ก่อนจะเข้าไปทำงานตามหน้าที่ตน

“อ้าว! ผมคิดว่าสนิทกัน เห็นมาพักด้วยกัน” คำพูดโพล่งๆแบบนี้ แม้จะฟังขัดหูอยู่อักโข แต่ศลิษาก็ไม่ถือเป็นอารมณ์ เพราะรู้สึกคุ้นเคยและสามารถยอมรับกับความปากและใจตรงกันอย่างมโหฬารของคนละแวกนี้มานานแล้วนั่นเอง

ตลอดทางที่นั่งซ้อนรถโต้ลมเย็นไปตามถนนเลียบชายทะเล แม้บรรยากาศตอนเช้าที่เห็นจะสวยงามจับตา อย่างที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่ายังมีถนนเส้นนี้สร้างไว้ หากหญิงสาวก็ไม่ยอมให้ความเพลิดเพลินมาทำให้สัญชาตญาณระแวดระวังภัยที่เคยมีสูญหายไป หล่อนยังกวาดสายตามองรอบตัวอย่างจับสังเกตไปพร้อมกัน

ศลิษาไม่รู้หรอกว่า ท่าทางของเธอทำให้คนขับรู้ทันไม่ยาก พร้อมทั้งอยากบอกเธอเหลือเกินว่า เขาไม่โง่ฆ่าตัวตายโดยการทำร้ายผู้หญิงของนายหรอก หากสิ่งที่คิดก็ไม่ได้หลุดออกมา

กระทั่งรถโผล่มาถึงถนนลาดยางขนาดสองเลน ซึ่งเป็นทางเชื่อมกับถนนสายหลักระหว่างเมืองที่ศลิษาคุ้นเคยดี คนขับของเธอก็จอดรถตรงริมถนน พร้อมบอกโดยไม่หันมา

“ส่งคุณตรงนี้แหละ เดี๋ยวจะมีรถสองแถวผ่านมา”

หากพอเห็นท่าทางงกๆเงิ่นๆเหมือนไม่คุ้นชินของศลิษา คนขับเลยเปลี่ยนใจดับเครื่องมอเตอร์ไซค์แล้วจอดไว้ ก่อนจะออกมาเดินยืดกายไม่ห่างจากเธอ

“ผมเรียกรถให้คุณดีกว่า” เขาบอก เมื่อเห็นสายตาสงสัยของหญิงสาว และหล่อนก็ยิ้มกว้างขวางแทนคำขอบคุณอย่างเปิดเผย

ท่าทางและบุคลิกของสาวสวย รวมถึงการแต่งเนื้อแต่งตัวที่ดูเหมือนธรรมดา หากดูมีรสนิยมและสง่างามในที ทำให้คนลอบมองนึกสงสัยว่าเกี่ยวข้องอย่างไรกับนายกันแน่ อีกทั้งเธอยังเป็นพนักงานในโรงกลั่น จึงมีความเป็นไปได้น้อยมากที่กฤษนลจะเข้าไปข้องแวะในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง

กระทั่งรถสองแถวคันเป้าหมายผ่านมา เขาจึงจัดการโบกให้หญิงสาว มองดูหล่อนขึ้นไปนั่งตอนหลังข้างผู้โดยสารคนอื่นจนเรียบร้อย แล้วรถก็แล่นจากไป เขาถึงได้ถอนสายตากลับมา หากพอเห็นรถกระบะคันใหญ่ที่จอดอยู่บนไหล่ทางห่างจากเขาไปหลายสิบเมตร เริ่มเคลื่อนตัวออกตาม สัญชาตญาณในกายก็ทำให้เขาไม่อาจปล่อยให้ผ่านไปได้

“รถของใคร ไม่คุ้นเลย แล้วทำไมต้องถอดทะเบียน” เขามองตามรถกระบะที่แล่นด้วยความเร็วไม่มากนัก ปล่อยให้รถส่วนตัวอีกหลายคันวิ่งแซงไปเรื่อยๆ “แล้วจะวิ่งตามรถสองแถวทำไม”

ไวเท่าความคิด มือหนาหยาบกร้านล้วงมือถือออกจากกระเป๋ากางเกงยีนตัวเก่ง แล้วรายงานไปยังคนคนหนึ่งอย่างละเอียด เสร็จสรรพก็ตัดสายสนทนาเก็บมือถือไว้ที่เดิม ก่อนจะสตาร์ตรถ ขับสู่บ้านพักเชิงเขา เพื่อเริ่มทำงานของเขาต่อไป

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

รถสองแถวกลางเก่ากลางใหม่จอดหน้าสำนักงานของโรงกลั่นน้ำมันปาล์มที่วันนี้ยังเงียบสงัดเพราะมีคำสั่งปิดจากทางการเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยให้เสร็จสิ้นก่อนเปิดใช้อีกครั้ง ร่างของหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตเข้ารูปกับกางเกงสีดำก้าวลงจากตอนหลังของรถ ก่อนจะเดินไปชำระค่าโดยสารกับคนขับ แล้วมุ่งหน้าสู่สำนักงานที่อยู่ห่างหลายสิบเมตร

หากว่ายังไม่ถึงอาคารเป้าหมาย ร่างของใครคนหนึ่งที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วทำให้หญิงสาวถึงกับชะงักงันด้วยความตกใจ

“อ้าว! คุณเองหรือ” ศลิษาพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงอย่างคงเส้นคงวาของคนตัวใหญ่ที่ยืนกางขาน้อยๆอย่างน่าหมั่นไส้ขวางหน้าเธออยู่

“วันนี้เธอควรหยุดทำงาน อยู่บ้านพักเหมือนพนักงานอื่น อย่าสร้างความเดือดร้อนให้มาก แค่นี้ก็วุ่นพอแล้ว”
กฤษนลอดกลั้นที่จะไม่กระชากตัวหญิงสาวมาเขย่าให้หัวสั่นหัวคลอน เผื่อว่าความดื้อรั้นในตัวเธอจะหลุดออกไปเสียบ้าง หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากคนของเขาว่าเห็นรถกระบะที่น่าสงสัยขับตามรถสองแถวคันที่เจ้าหล่อนโดยสารมา ชายหนุ่มก็ต้องรีบรุดออกจากสถานที่ที่กำลังค้นหาตัวลูคัสเพื่อมาดักรอเธอ เพราะคาดไว้แล้วเชียวว่าแม่สาวหัวดื้อไม่มีทางกลับบ้านพักไปตามคำสั่งเขา แต่คงกลับมาทำงานของเธอต่อแน่นอน จนสุดท้ายเขาถึงต้องมาดักรอเธออยู่หน้าโรงกลั่น กระทั่งเจอตัวตามคาดหมาย

“ฉันไม่สร้างความวุ่นวายอะไรเลยนะ คุณหาเรื่องอีกแล้ว ฉันทำงานของฉันเงียบๆ วันนี้มีนัดกับลูกค้า ฉันไม่อยากทิ้งงานไว้ เพราะถึงยังไงพอสำนักงานเปิดทำงานตามปกติ ฉันก็ต้องมาเคลียร์มันเหมือนเดิม ถึงตอนนั้นอาจยุ่งยากกว่าเก่า สู้ทำให้เสร็จตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า และที่สำคัญฉันก็ไม่ได้อยู่ในออฟฟิศด้วย แค่แวะมาเอางานที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานเท่านั้นเอง”

“ฉันบอกว่าไม่ต้องก็ไม่ต้องสิ กลับบ้านเธอไปได้แล้ว” คำสั่งเจืออารมณ์โมโหของกฤษนลได้รับคำตอบเป็นสายตาที่มองมาเหมือนเขากำลังทำอะไรไม่เข้าเรื่องเสียเอง และนั่นทำให้ชายหนุ่มเกินที่จะอดทนต่อได้อีก
“อุ้ย! เอากระเป๋าฉันไปทำไม” ศลิษาตกใจเมื่อจู่ๆคนตัวใหญ่อาศัยความแข็งแรงและช่วงตัว ช่วงแขนที่ยาวกว่าแย่งกระเป๋าของเธอไปรื้อค้นอย่างไม่คิดเกรงใจ จนได้ของที่เขาต้องการจึงโยนกระเป๋าคืนมาให้เธอ หากสิ่งที่อยู่ในมือของชายหนุ่มทำให้คนตัวบางแทบกรีดร้องออกมาด้วยความโกรธ

กฤษนลโยนกุญแจพวงใหญ่ให้กับชายร่างสูงในเสื้อเจ็กเก็ตสีดำไม่ต่างกับเขาที่ยืนเยื้องหลัง ชายคนนั้นรับไปพร้อมกับคำสั่งของผู้เป็นนาย

“เอารถคุณศลิษาไปเก็บไว้ที่บ้านพักของเธอ”

“ครับนาย”

คำสั่งหนักแน่น พร้อมกับการปฏิบัติแบบฉับไว ทำให้ศลิษากำมือแน่น เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความรู้สึกโกรธที่ดูเหมือนจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากตั้งแต่เกิดมาหล่อนไม่เคยรับมือกับจอมวางอำนาจที่หยาบคายร้ายกาจคนไหนมาก่อน ดังนั้นสิ่งที่เธอทำได้ในเวลานี้จึงมีเพียงการยืนจ้องหน้าเขาด้วยสายตาจะกินเลือดกินเนื้อ ... แต่มีหรือที่คนอย่างกฤษนลจะสะทกสะท้าน

“ทำตัวยุ่งยากมาก วันนี้ก็ไปด้วยกัน”

เขาบอกพลางถือวิสาสะฉวยมือบาง ลากหล่อนไปนั่งตอนหลังในรถสีดำติดฟิล์มมืดสนิทคันเดิม ก่อนจะส่งตัวเองตามเข้าไป แล้วรถก็กระชากตัวออกอย่างรวดเร็ว








Lalanda
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ธ.ค. 2555, 22:05:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ธ.ค. 2555, 22:10:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1284





<< 1. กฤษนล   3. ความหลัง และความทรงจำที่เหลืออยู่ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account