พักตร์อสูร
ชีวิตปกติสุขของเธอต้องสิ้นสลาย เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในร่างของเด็กหญิงคนหนึ่ง โชคชะตาหรือเวรกรรม ทำให้มาโผล่ในสถานการณ์ผัว1เมีย6 แถมต้องสู้รบเพื่อเอาตัวให้รอดอีก “ขอชีวิตเก่าฉันคืนมาเถิด”
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 3



สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ สวัสดีปีใหม่กับนักอ่านที่รักทุกท่านค่ะ วันนี้มาอัพให้เต็มบทเลยนะคะ จะมาอัพอีกทีก็คงเป็นราวๆ วันพฤหัสฯ หรือวันศุกร์หน้าเลย ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม และในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ ก็ขอให้ทุกท่านมีแต่ความสุข สุขภาพร่างกายแข็งแรง และปลอดภัยกันถ้วนทั่วค่ะ

สุชาคริยา


- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -


อากาศบริสุทธิ์เย็นสบายและเสียงไก่ขันปลุกอุษามันตราตื่นจากการหลับใหล ความขี้เกียจสั่งให้นอนต่อ มือกระชับผ้าห่มกับตัว

‘ทำไมวันนี้ที่นอนแข็งจัง นอนไม่ค่อยสบายเหมือนทุกทีเลย’

บ่นในใจก็เอาหน้าถูไถกับหมอน ความสากระคายทำลายความง่วงอันสุนทรี เธอลุกนั่งโดยไม่ลืมตา

“แม่นายน้อยอุษานอนต่อเถิดเจ้าข้า”

คำพูดนี้ทำให้เธอตาเบิกโพลง อาการสะลึมสะลือหายเป็นปลิดทิ้งในทันที รีบเหลียวซ้ายแลขวา

‘ทำไมยังอยู่ที่นี่อีก’

เพชรน้ำค้างนึกอย่างโอดครวญ ความสงสัยกึ่งขัดใจท่วมท้นในความรู้สึก เอามือลูบหน้านุ่มนิ่มที่เหมือนเหงื่อจะผุดขึ้น

‘หมดกัน... ความสุขอันน้อยนิดของฉัน’

จิตราเดินเข้ามา ประคองให้นอนลง เธอพลิกตะแคง ในหัวมีแต่คำถามมากมายขณะสายตามองฝ่าความมืดสลัว แสงเทียนสีส้มพอช่วยให้เห็นแต่ก็ต้องเพ่ง แม่ในโลกใหม่ของเธอนั่งอยู่ตรงหน้าตรงโต๊ะเครื่องประทินผิว มีแผ่นโลหะสีเงินสะท้อนเงาทำหน้าที่เหมือนกระจก ตยาวดีนุ่งกระโจมอกนั่งพับเพียบ กำลังสางผมสีดำยาวถึงกลางหลัง เสยผมด้านหน้าเรียบเป็นทรง

‘สงสัยคงเพิ่งอาบน้ำมา’

จิตราเข้าไปช่วยนายสาวประแป้งที่มีกลิ่นหอมเย็นอย่างละมุนละม่อมทั่วแขนและแผ่นหลัง จากนั้นตยาวดีก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปหลังฉากบังตาพร้อมกับผ้าที่เตรียมไว้ ฉากบังตาที่เห็นมีลักษณะเป็นโครงไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้ง ขึงด้วยผ้าปักลายสวยวิจิตรสามบานพับสลับกัน

ไม่นานนักก็เดินออกมา

‘สวยจริงๆ’

อุษามันตรานึกชม ไม่คิดว่าผ้านุ่งสีเงินสะท้อนแสงวิบวับเข้ากับสไบปักลายคล้ายผ้าลูกไม้สีม่วงเข้มทำให้แม่ในโลกใหม่สวยจนเหมือนนางในฝัน เป็นนางในวรรณคดีที่สวยหวานหยาดเยิ้มเฉกเช่นเจ้านายหรือราชนิกูลชั้นสูง จนอดภูมิใจลึกๆ ไม่ได้ว่ามีแม่สวย ตยาวดีหมุนตัวดูความเรียบร้อยหน้ากระจก หล่อนสวยประณีตวิจิตรบรรจงเหลือเกิน จิตราเองก็ดูดีเช่นกัน เครื่องประดับที่นางพี่เลี้ยงนำมาทาบทับบนเรือนร่างอรชรแต่ละชิ้นดูหรูหราอลังการ เธอไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องใส่มากขนาดนี้ แต่โดยรวมแล้วกลับสวยจนชวนตะลึง

‘ว่าแต่... ทำใจรับตยาวดีเป็นแม่ได้ง่ายขนาดนี้เชียวเรอะน้ำค้าง’

ความคิดหนึ่งดังถาม

‘ก็เป็นแม่เด็กนี่จริงๆ นี่นา มาอยู่ในร่างลูกสาวเขา ไม่รู้สึกว่าเขาเป็นแม่ ก็น่าคิดอยู่ ขนาดภาษาพูดที่ไม่รู้จักยังฟังเข้าใจ อาจเกี่ยวกับข้อมูลในสมองนี่ก็ได้ พอมาอยู่ในร่างนี้ ก็เลยรู้สึกตาม’

ความคิดที่สองดังตอบ

‘แต่ที่เจอนี่มันน่าเครียดมากกว่าจะมามองดูอะไรพวกนี้นะ’

ความคิดที่หนึ่งยังเถียง

‘เครียดแล้วมันช่วยให้อะไรดีขึ้นไหมล่ะ ช่วยให้กลับบ้านเร็วขึ้นหรือเปล่าล่ะ’

ทุกอย่างเงียบไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งมีเสียงอ่อยๆ จากความคิดที่หนึ่งดังมา

‘แล้วจะทำยังไงต่อไปล่ะทีนี้’

‘จะไปทำอะไรได้ นอกจากดูๆ ไปก่อน ก็ไหนๆ แล้ว บ้านก็ยังไม่ได้กลับ ลองเรียนรู้ฝันประหลาดสักครั้งก็น่าจะดี ถือว่าพักร้อนก็แล้วกัน ฝันยังไงมันก็เป็นฝัน เดี๋ยวก็ต้องตื่น ไม่ต้องกังวลน่า’

‘แต่ฉันคิดถึงพ่อกับแม่’

ทุกอย่างเงียบไปครู่หนึ่ง ความคิดที่สองจึงดังตอบว่า

‘ฉันก็คิดถึง... อยากกลับบ้าน แต่ในเมื่อหลับแล้วตื่นมาก็ยังอยู่ที่เดิมจะให้ทำยังไง ร้องแรกแหกกระเชอให้น่าอายนะเรอะ เฮะ คนอย่างฉันไม่ทำหรอก อายชาวบ้านซะเปล่า’

หลังจากความคิดภาคอ่อนแอและภาคเข้มแข็งได้ถกเถียงกันจนได้ข้อสรุปแบบนั้น เพชรน้ำค้างก็ตัดสินใจทิ้งความสับสนและคำถามในหัวทั้งหลายออกไปทันที เธอตัดสินใจจะเรียนรู้เรื่องประหลาดครั้งนี้สักตั้ง เธออยากรู้ว่าที่สุดแล้วมันจะไปจบตรงจุดไหน หรือจริงแล้วมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ด้วยเหตุผลอะไร หรือเป็นแค่จินตนาการระหว่างหลับใหลก็ต้องปล่อยมันเป็นไปตามเวรตามกรรม พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าไม่มีเหตุบังเอิญในโลก ทุกอย่างมีเหตุและผล มีที่มาเสมอ ซึ่งเธอก็ต้องค้นหาถึงเหตุแห่งการมาที่นี่ หรือจริงแท้อาจไม่มีเหตุอะไรเลยก็ได้

เพชรน้ำค้างมองดูแม่ในโลกใหม่ ความคิดถึงพ่อไกรกับแม่สร้อยยังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจเสมอ แต่เธอเลือกจะเก็บเอาไว้ในก้นบึ้งแห่งจิตวิญญาณ บอกย้ำกับตัวเองว่าจะหาทางพิสูจน์ให้ได้ว่านี่คือความฝันหรือความจริง

“อุษามันตราคงไม่หลับแล้ว พี่จิตราช่วยยกน้ำอุ่นขึ้นมาให้ฉันเถิด ฉันจะล้างหน้าล้างตัวให้ลูกในห้องเลย ข้างนอกเย็นนัก กลัวลูกจักจับไข้เจ้าข้า”

ตยาวดีพูดกับจิตราเบาๆ แต่เสียงนั้นก็ทำให้คนอยู่บนเตียงได้ยินอย่างชัดเจน ร่างเล็กๆ ของอุษามันตราลุกนั่ง มองสาวน้อยในชุดสวยแสนสวยและเครื่องประดับแพรวพราว อดคิดไม่ได้ว่าขนกรุเครื่องเพชรและอัญมณีมาจากไหนกัน แล้วถ้าใส่ขนาดนี้ไม่กลัวโจรปล้นหรือไม่หนักบ้างหรืออย่างไร เล่นใส่เสียจนเธอตาพร่า แต่ทั้งหมดก็ทำให้ตยาวดีงดงามนัก ยิ่งงดงามเมื่อสไบพลิ้วยามหล่อนเยื้อนย่างเข้ามาหา ความรักของแม่แสดงออกทางสายตาทำให้ตยาวดีดูสวยหวานจับใจ

“ประเดี๋ยว เราจักไปวัดกันนะลูก”

อุษามันตราพยักหน้า ยอมให้ตยาวดีที่นั่งลงข้างๆ สางผมยาวประบ่าของตัวเองแล้วรวบตึงขึ้นเหนือท้ายทอย โดยใช้โลหะคล้ายตัวยูเสียบเพื่อไม่ให้หลุด

‘ฝีมือดียิ่งกว่าช่างทำผมมืออาชีพอีก ครั้งเดียวอยู่’

อุษามันตราคิด ตยาวดีทำได้รวดเร็วและมือเบามาก ไม่ต้องใช้เจลหรือสเปรย์แต่งผมก็ยังอยู่ทรงแถมไม่ใช้ยางรัดอย่างที่เธอรู้จักและคุ้นเคย

จิตรายกถังไม้ที่มีควันลอยอยู่นิดๆ มาวางไว้

“ให้อิฉันดูแลแม่นายน้อยอุษาเอง แม่นายตยาแต่งตัวไว้งามแล้ว จะเลอะได้เจ้าข้า”

จบคำ อุษามันตราก็ตะเกียกตะกายหาทางลงจากเตียงโดยไม่ให้ตยาวดีช่วยเหลือ เธอเดินไปหาจิตราโดยไม่มีใครต้องบอก นางพี่เลี้ยงวักน้ำขึ้นลูบหน้าเบาๆ ต่อจากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการถอดเสื้อผ้าและอุ้มเด็กน้อยลงจุ่มในถังน้ำที่ยกมา กดไหล่ให้นั่งลงในนั้น ลูบเนื้อลูบตัวโดยเฉพาะบริเวณข้อพับ

“ปวดฉี่เจ้าข้า”

อุษามันตราบอก เสียงเล็กๆ นี่ชักจะชินหูของเธอเสียแล้วสิ และแม้จะฟังเหมือนไม่ชัดถ้อยชัดคำ แต่ก็น่ารักดี

จิตราลุกไปหยิบกระโถนให้โดยไม่ลืมนำผ้ามารองพื้น เธอรีบนั่งยองๆ ในกระโถนเพราะการปวดฉี่แบบเด็กช่างปุบปับเสียจริง ที่สำคัญคือกลัวมือของจิตราจะทำงานเร็วเกินไป

“แม่นายน้อยอุษาเก่งนักเจ้าข้า แม่นายตยา”

จิตราหันไปพูดกับตยาวดี นั่นก็เพราะเธอไม่ยอมรับการช่วยเหลือใดๆ รวมถึงตอนเดินนี้ที่ลงไปจุ่มในถังอีกรอบเพื่อล้างทำความสะอาด เป็นเด็กนี่ดีจริงๆ ทำอะไรผู้ใหญ่ก็ไม่ค่อยใส่ใจ กลับดูว่าน่ารักเสียอีก ดูสิ มองเธอแล้วหันหน้าไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กัน นี่ถ้าหากไม่คิดอะไรมาก ปล่อยสบายๆ ก็น่าจะไหว ไม่อย่างนั้นคงผิดสังเกตไปแน่ๆ

สายตาสองคู่ที่จ้องอยู่ทำให้อุษามันตรารู้ว่าเธอคงทำอะไรแปลกประหลาดเมื่อเทียบกับเด็กรุ่นเดียวกัน นี่ถ้าเธอแหกปากลั่นตอนจิตราจับถอดเสื้อ สงสัยทั้งสองคงตกใจจนตาถลน ว่าแต่พวกหล่อนจะรู้หรือเปล่า ที่เธอมาแอบอยู่ในร่างลูกสาวเขา

ทั้งสองนายบ่าวช่วยกันผัดแป้งแต่งตัวให้เธอโดยไม่พูดอะไร มีเพียงรอยยิ้มไม่จางหายไปจากใบหน้าเท่านั้น



- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -



เด็กน้อยน่ารักตรงหน้ากระจกเงาที่เห็นไม่ชัดทำให้ทึ่งและไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น เด็กนี่ทำบุญมาด้วยอะไร ทำไมหน้าตาถึงได้น่ารักน่ากอดขนาดนี้ ยิ่งใส่เสื้อคอกระเช้าติดผ้าปักเหมือนผ้าลูกไม้ฝีมือประณีต นุ่งโจงกระเบน คาดเข็มขัดทอง สวมกำไลทองคำทั้งข้อมือข้อเท้า เกล้าผมมวย ปักปิ่นประดับ ผัดแป้งกระแจะจันทร์จนผิวนวลเนียนไปทั้งตัว กลิ่นกายหอมชื่นใจ ใส่สร้อยทองประดับอัญมณีสูงค่าสะพายแล่งจากบ่าซ้ายยาวถึงเอวขวาก็ยิ่งทำให้ดูน่ารักมากจริงๆ

‘เห็นแล้วก็อยากจะกอดเสียเอง ว่าแต่ จิตรากับตยาวดีไม่กลัวว่าของพวกนี้จะหายหรือไงกัน’

ขณะที่นึกก็ไม่ได้สนใจแก้วแหวนอัญมณีในกำปั่นทั้งห้าหีบที่เห็น เพราะความน่ารักของเจ้าร่างเล็กๆ นี้ ทำให้เธออยากฟัดเล่นเสียมากกว่า และทรัพย์สินพวกนั้นก็ไม่ใช่ของเธอ ไม่รู้จะตื่นตาตื่นใจไปทำไม

“แม่นายน้อยอุษาละม้ายคล้ายนายท่านโชติระเส (โช-ติ-ระ-เส) เหลือเกินเจ้าข้า เว้นแค่ตาหวาน ปากสวยเหมือนแม่นายตยามิมีผิด”

จิตราพูด น้ำเสียงบ่งบอกความชื่นชมไม่ต่างจากสีหน้าแววตา

‘จะยืดได้ไหมนี่ ถ้าอุษามันตราเป็นลูกเป็นหลานของเธอเสียเอง จะรักให้ตายเลย เด็กอะไรก็ไม่รู้ น่าฟัดนักเชียว’

นึกอย่างมันเขี้ยวแบบนั้นแล้วก็อยากทำขึ้นมาจริงๆ ใครเห็นแล้วไม่รักไม่หลงก็คงแปลกเกินไป

‘ว่าแต่... วันนี้มีงานอะไร ทำไมแต่ละคนถึงได้แต่งตัวกันเต็มยศเสียขนาดนี้ ขนาดจิตราที่เป็นพี่เลี้ยง เมื่อแต่งตัวให้เธอเสร็จก็ยังขนเพชรขนทองมาใส่ให้ดูดีไม่หยอก’

เธออยากรู้ว่ากำลังจะทำอะไร จึงเดินไปนั่งบนตักของตยาวดี

“คุณแม่เจ้าข้า จะไปวัด ทำไมต้องแต่งตัวเยอะจังเลยเจ้าข้า”

ตยาวดียิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเอ็นดูว่า

“ลูกเอ๋ย บิดาเจ้าเป็นทายาทเจ้าของโรงหล่อโลหะมีชื่อแห่งมิถิลานครนี้ คนในแว่นแคว้นใกล้ไกลล้วนรู้จักเราดี โรงหล่อโลหะมิทำกันได้ง่าย ล้วนแต่เป็นของหลวงแทบทั้งสิ้น มีแต่ที่นี่ ‘มนสิการ’ (มะ-นะ-สิ-กาน) เท่านั้น ที่ไม่ขึ้นกับใคร ตอนนี้คุณปู่ของลูกเป็นผู้ดูแล หวังให้คุณพ่อเป็นผู้สืบงาน เราจึงต้องแต่งตัวให้สมฐานะสมเกียรติ”

“แล้ววันนี้แม่นายน้อยอุษาของจิตราก็จะไปวัดครั้งแรกเลยนะเจ้าข้า จิตราจะพาแม่นายน้อยอุษาไปอวดชาวบ้าน ว่าลูกสาวนายช่างโชติระเสกับแม่นายตยานั้นน่ารักเพียงใด ประการสำคัญ แม่นายตยานั้นก็เป็นถึงบุตรีภริยาเอกของท่านมะณิจันโท คหบดีใหญ่แห่งไพศาลีนคร แลยังเป็นภริยาเอกของนายช่างโชติระเส เช่นนั้น เราแต่งกายเพียงนี้ ถือว่าไม่มากเลยเจ้าข้า”

‘ขนาดไม่มากนะนี่’

อุษามันตราได้แต่รับข้อมูล แต่สิ่งที่ทำให้ตาโตเมื่อรู้ก็คือ ตัวเองมาโผล่ในตระกูลใหญ่ที่มีพ่อเป็นลูกเจ้าของโรงหล่อโลหะและมีแม่เป็นลูกสาวของเจ้าพ่อการค้าของอีกเมืองหนึ่ง

‘สรุปว่าเด็กนี่เป็นลูกหลานคนมีเส้นงั้นเถอะ มิน่าละ ถึงต้องประโคมเพชรพลอยขนาดนี้ เฮ้อ ไม่ว่าสังคมไหนก็มองคนที่เปลือกนอกกันจริงๆ’

“เรารีบไปกันเถิดเจ้าข้าพี่จิตรา เดี๋ยวจะสาย”

ตยาวดีบอก แล้วจึงพากันลงจากเรือน

อุษามันตราเพิ่งเห็นว่าที่นี่ก็มีร้องเท้าแตะแบบคีบเหมือนกัน แต่เป็นรองเท้าสานทำจากต้นพืช เมื่อได้สวมก็รู้สึกเหมือนเหยียบเสื่อ ตยาวดีจูงมืออุษามันตราให้เดินไปด้วยกัน เธอแหงนมองคนที่ยืนอยู่เคียงข้าง แม่ของเธองามสง่าเหลือเกิน แม้ขาจะต้องก้าวสลับให้เร็ว แต่ความภูมิใจลึกๆ ยังมีไม่เปลี่ยน

ครั้นลงมาถึงท่าน้ำที่ไม่ใช่ท่าอาบน้ำ ก็เห็นว่ามีหญิงชายหลายคนยืนรออยู่แล้ว คนที่แต่งตัวดีหน่อยก็น่าจะเป็นเจ้านาย คนแต่งตัวพื้นๆ และนั่งกับพื้นหญ้าคงเป็นบ่าว ในกลุ่มนั้นมีหญิงสาวอายุประมาณสิบหกถึงสิบแปดปีสี่คนยืนใกล้กันและอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของชายอาวุโส เขาดูน่าเกรงขาม บ่าวของสองในสี่อุ้มเด็กทารกวัยไล่เลี่ยกัน ส่วนอีกสองสาว ท้องโตหนึ่งคน ท้องนูนออกมาเล็กน้อยหนึ่งคน

“ฉันไหว้คุณพ่อเจ้าข้า” ตยาวดีกล่าว พร้อมกับยกมือไหว้อย่างสวยงาม

“ฉันไหว้แม่นายตยาวดีเจ้าข้า”

และหญิงสาวสี่คนก็เอ่ยออกมาแทบพร้อมกัน ตยาวดีรับไหว้ อุษามันตรามองชายวัยประมาณไม่เกินห้าสิบ ที่แต่งกายภูมิฐานดูสะดุดตาคนนั้นซึ่งตยาวดีเรียก ‘คุณพ่อ’ เนื้อผ้าโจงกระเบนสีกลักทอลายและเสื้อสีขาวแขนยาวลักษณะคล้ายเสื้อราชปะแตนที่เขาใส่ตัดเย็บประณีตดูมีราคา เขานั่งหลังตรงบนตั่งไม้เด่นเป็นสง่าโดยสายตาจับจ้องมาที่เธอ จึงรีบยกมือไหว้

“หลานพ่อหายดีแล้วรึตยาวดี ข่าวว่าเมื่อวานตกน้ำ วันนี้พาไปทำบุญที่วัด ต้องตากแดดตากลม ไข้จะไม่กลับรึเจ้า”

เขามองตยาวดีพร้อมกับกวักมือเรียกทางนี้ เธอมองซ้ายมองขวา

“เจ้าจงมาหาปู่ อุษามันตรา”

รู้ว่าเป็นตัวเองก็ตอนที่เขาบอก เธอเดินเข้าไป หัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ถ้าจะบอกว่าท่านโชติระเสมีสายตาคมกริบและทำให้คนรู้สึกหวาดหวั่นจากการถูกจ้องมอง เห็นทีว่าพ่อของเขาจะร้ายกาจกว่ามาก เพราะจากน้ำเสียงเรียบๆ สายตาที่มองขณะเรียกเธอให้เข้าไปหา ก็สามารถทำให้แข้งขาของเธอสั่นอย่างช่วยไม่ได้ นี่หรือเปล่า ที่เขาว่าคนมีอำนาจ แค่สายตา... ก็ทำให้เรารู้สึก

ชายคนนี้ลูบแขนลูบหลังของเธอเมื่อเดินเข้าไปถึง

“ตอบปู่มา ว่าตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไร อุษามันตรา”

จะให้ตอบอย่างไรล่ะนี่ ครั้นพอเห็นสายตาไม่ชอบใจเมื่อเธอยังไม่ยอมตอบ จึงต้องรีบส่งยิ้มประจบและพูดเสียงใสว่า

“เหมือนเกิดใหม่เจ้าข้า คุณปู่”

เขาทำหน้าแปลกใจนิดหนึ่งก่อนจะปรับให้นิ่งขรึมเช่นเดิม โปรดอย่าถามเชียวว่าจำชื่อปู่ได้หรือเปล่า รับประกันได้ว่าเธอไม่รู้แน่ เพราะข้อมูลในหัวมันก็เหมือนจะรู้เพียงตัวอักษรปะติดปะต่อไม่เป็นคำ แต่แล้วใบหน้าเคร่งขรึมนั้นก็ยิ้มนิดๆ

“ไม่นอนซม ไร้แรงเช่นเดิม ก็ถือว่าดียิ่งนักแล้วเจ้า” เขาก้มลงกอดเธอแน่น แล้วอุ้มขึ้นไปนั่งบนตัก “ไม่อย่างนั้นท่านมะณิจันโทต้องต่อว่าปู่ที่ดูแลเจ้าและแม่ของเจ้าได้ไม่ดีเป็นแน่แท้” เขากวักมือเรียกตยาวดีให้เข้ามาใกล้ “นับจากนี้ไป ทุกอย่างคงจะดีขึ้นอย่างคำพระท่านว่า... ในทุกสิ่ง”

สายตาของเขาสื่อความนัยบางอย่าง

“เจ้าข้า คุณพ่อ” ตยาวดีรับคำ

อุษามันตรารู้สึกว่าเป็นคำพูดที่แฝงนัยกันเหลือเกิน เธอไม่อยากคิดว่าพวกเขาไปฟังคำทำนายหรือดูดวงอะไรกันมา

นายช่างโชติระเสตามมาติดๆ เขาสวมโจงกระเบนสีน้ำเงินเข้มลายละเอียดประณีต สวมเสื้อสีขาวลักษณะเช่นเดียวกับชายที่อุ้มเธออยู่ ผู้หญิงชื่อวาดเดินตามมาข้างหลัง มีเด็กผู้ชายอายุไล่เลี่ยกับเธอสองคน เด็กชายทั้งสองนุ่งเพียงโจงกระเบนเนื้อดี ไม่ใส่เสื้อ สวมกำไลทองคำทั้งข้อมือและข้อเท้าบอกให้รู้ว่าฐานะไม่ใช่เด็กชาวบ้านธรรมดา และอีกหนึ่งคนในอ้อมแขนบ่าวพี่เลี้ยง

ในชั่วแวบที่เธอมองแม่อย่างไม่ได้ตั้งใจ ใบหน้าหวานของตยาวดีที่ก้มเอาไว้กลับแสดงความเจ็บปวดรวดร้าวซึ่งทำให้อุษามันตราเจ็บแปลบไปด้วยขณะอุ้มเธอกลับมาก่อนจะยิ้มหวานกลบเกลื่อน ทว่าเธอก็ทันได้เห็น

อุษามันตรามองไปที่เด็กชายสองคน พวกเขาส่งยิ้มจริงใจและยกมือไหว้เธอ เธอยิ้มและไหว้ตอบ สายตาไม่เป็นมิตรของวาดตอนที่ลูกชายของหล่อนไหว้เธอนั้นแสดงเห็นได้ชัดเจน แต่ก็แค่แวบเดียว เพราะหล่อนกำลังยิ้มให้คุณปู่และคุณพ่อที่กำลังหันไปหา

“จะให้เมียเจ้าไปวัดเจ้าฟ้าด้วยกันทั้งหมดเลยใช่รึไม่ โชติระเส”

ปู่ของเธอถาม สายตาพ่อลูกที่มองกันมีความหมายลึกซึ้งบางอย่าง แม้น้ำเสียงจะธรรมดาไม่มีความผิดปกติใด แต่เธอก็รับรู้ถึงความผิดปกติ ทว่าสิ่งที่เรียกความสนใจจนอยากแคะหูตัวเองว่าข้อความที่ได้ยินนั้นได้ยินผิดไป ความหมายใช่อย่างที่คิดหรือไม่ก็คือเรื่องภรรยาของคุณพ่อต่างหาก

“มิได้เจ้าข้าคุณพ่อ ลูกแค่ให้พี่น้องได้พบปะกันเจ้าข้า แม่วาด แม่สาย แม่บัว แม่ยี่โถ แม่ดี จะไปวัดหัวคุ้งน้ำ มิได้ไปวัดเจ้าฟ้าเช่นเดียวกับเราเจ้าข้า ลูกเพียงเห็นว่าอุษามันตราแทบไม่ได้ออกนอกเรือน วันนี้แข็งแรงดีและจะไปทำบุญ ลูกจึงถือโอกาสให้พี่น้องมาพบหน้ากันเจ้าข้า”

โชติระเสก้มหน้า ทว่าเธออยากจะเป็นลม

‘ตอนแรกนึกว่าฟังผิดและเข้าใจความหมายผิด ที่ไหนได้ เข้าใจไม่ผิดสักนิด แต่ที่ผิดถนัดน่ะ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า’ และหันมามองแม่ของตัวเองอีกคนก็นับ ‘หก’

อยากจะเป็นลมซ้ำสักสิบรอบ ว่าแล้วเชียวเรื่องความผิดปกติในสายตาพ่อลูกตอนเขาพูดกัน และเมื่อเธอมองเด็กๆ ทั้งหลายและที่เป็นตัวตนและกำลังอยู่ในท้องซึ่งรวมเธอด้วยก็ ‘แปดคน!’

“อุษามันตรา บัดนี้เจ้าแข็งแรงดีแล้ว จักมาวิ่งเล่นกับพี่น้องได้ ก็เป็นการดีนัก”

เสียงของโชติระเสเรียกคนกำลังจะเป็นลมให้กลับมาและทำความรู้จักแม่ๆ ทั้งหลายและพี่น้องร่วมพ่อจนครบคน แต่เธอจำไม่ได้หรอกว่าใครชื่ออะไรบ้าง รู้แค่ว่ามีเด็กผู้ชายเกิดก่อนเธอหนึ่งคนและเป็นลูกของวาด นอกจากนั้นเป็นน้องทั้งหมด

และจากที่เห็น ไม่บอกก็รู้ว่าพ่อของเธอรักผู้หญิงชื่อวาดมากขนาดไหน ก็เล่นมีลูกกับเมียนี้ตั้งสามคน แถมยังเป็นผู้ชายทั้งหมด ส่วนตยาวดีของเธอก็รู้ว่าคุณพ่อคงไม่ค่อยปลื้มนัก ดีที่ว่าคุณปู่ท่านรักและอยากได้เป็นสะใภ้ สุดท้ายก็เลยหวานอมขมกลืนอย่างที่เห็น

นี่สินะ ต้นตออาการแปลกๆ ของตยาวดีที่เธอเคยสงสัย อะไรกันเนี่ย มาเป็นลูกหลานคนใหญ่คนโตทั้งที ก็ดันเป็นลูกของแม่ที่พ่อไม่รักเสียได้

เธอเดินรั้งท้ายไปพร้อมกับจิตราโดยคุณปู่ คุณพ่อ คุณแม่ เดินเรียงแถวนำหน้าไปก่อน เธอเหลียวมองแม่ๆ ที่ยังเป็นสาวน้อยทั้งหลาย เชื่อเลยว่าตอนแรกท่านโชติระเสต้องตั้งใจพาพวกหล่อนไปด้วยแน่ๆ แต่ก็ผิดแผนเพราะคุณปู่ห้ามเอาไว้เสียก่อนจากคำพูดนั้น เพราะเดาได้ไม่ยาก สังเกตจากแต่ละคนกำลังมองตามตาละห้อย ยอมรับคำตัดสินจากคุณปู่ของเธอโดยไม่พูดอะไรให้ขุ่นเคือง ยกเว้นวาดคนเดียวเท่านั้นที่เชิดหน้าและหันหลังกลับไปยังทิศทางหนึ่ง ไม่ยอมรอให้เรือแจวของพวกเธอออกจากท่าไปก่อน

‘ยายวาดนี่ขึ้นหม้อจริงๆ ไม่กลัวพ่อผัวสักนิด ตยาวดีไม่ชีช้ำก็คงแปลก’

อุษามันตรานึกในใจ เห็นทีงานนี้คงไม่ง่ายนักที่จะอยู่แบบไม่กระทบกระทั่งกัน เธอพยายามสลัดภาพจินตนาการอนาคตของตัวเองทิ้ง สั่งให้สนใจสองฝั่งคลองที่เห็นดีกว่า เพราะมีสภาพความเป็นอยู่เหมือนสมัยอยุธยาไม่มีผิด ผู้คนล้วนใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ อาศัยการคมนาคมทางน้ำเป็นหลัก บ้านเรือนปลูกด้วยไม้ยกใต้ถุนสูง สถาปัตยกรรมที่เห็นก็เช่นเดียวกับประเทศไทยสมัยโบราณ ยกเว้นชื่อเมืองและลักษณะทางกายภาพของผู้คนที่ไม่เหมือนกัน

“นี่คือด้านข้างของโรงหล่อมนสิการ...ลูกแม่ เรือนของเราจะอยู่ทางปีกขวาของโรงหล่อนี้ ตรงนั้น...อุษามันตรา”

ตยาวดีอธิบาย ชี้ตำแหน่งเรือนใหญ่ที่เธอได้อาศัยนอนมาหนึ่งคืนเหมือนไกด์นำเที่ยว จากนั้นก็ชี้ไปตามจุดต่างๆ ในอาณาเขตของโรงหล่อ ‘มนสิการ’ ว่าตรงไหนคืออะไร ขณะเรือล่องผ่านเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น

เธอไม่คิดว่าจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เสมือนอาณาจักรขนาดเล็กแห่งหนึ่งของเมืองก็ว่าได้ ตัวโรงหล่อสร้างด้วยเสาไม้ขนาดใหญ่ มีพื้นที่กว้าง เสาค้ำหลักมีไม่ต่ำกว่าสามสิบต้นเรียงกันเป็นระเบียบ หลังคามุงกระเบื้องดินเผา พื้นดินปรับเรียบโล่ง ผู้ชายเรือนร่างกำยำราวสามสิบคนเดินไปเดินมา ส่วนมากนุ่งเพียงโจงกระเบนสั้นกระชับต้นขา ไม่ใส่เสื้อ ผู้หญิงหลากวัยหลายคนกำลังตักน้ำขึ้นจากท่า บ้างก็ยืนอยู่เป็นจุดๆ เพื่อส่งน้ำเข้าไปในโรงหล่อ บ้างก็ซักผ้าอยู่หกเจ็ดคน เด็กตัวเล็กตัวน้อยวิ่งเล่นสนุกสนาน แม้กิจการที่เห็นจะเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมด แต่อุษามันตราก็ตื่นตาตื่นใจไม่น้อยทีเดียว

“กิจการนี้โรงหล่อนี้สืบทอดเฉพาะลูกชายของตระกูล ไยตยาวดีน้องเจ้า จึงเล่าให้อุษามันตราฟังละเอียดลออถึงเพียงนี้เทียว”

ตะกอนอารมณ์ที่เริ่มนิ่งก่อนหน้านั้นเหมือนจะถูกกวนให้ขุ่นขึ้นใหม่ เธอไม่เข้าใจ ตอนแรกที่พบท่านโชติระเส ดูเหมือนเขาจะรักลูกอยู่ไม่น้อย เพียงแต่อาจติดงานหรือติดธุระจึงอยู่ด้วยนานไม่ได้ พบกันครั้งที่สองก็นึกว่าเขาโกรธเรื่องเธอตกน้ำจึงแทบไม่มองหน้าตยาวดี แต่พอเจอกันครั้งนี้เธอว่ามันคงไม่ใช่อย่างเคยคิดเสียแล้ว

อุษามันตราค่อยๆ หันมาเกาะไหล่ตยาวดีและยืนขึ้น มองไปยังคุณพ่อในโลกใหม่ซึ่งนั่งใกล้กับคนแจวเรือ คุณปู่นั่งอยู่ข้างหน้าเห็นแผ่นหลังยืดตรงเป็นสง่าอยู่หัวเรือ คุณแม่และเธอนั่งตรงกลาง จึงทำให้ง่ายต่อการมองเห็นหน้าตาของท่านโชติระเสตอนนี้ ส่วนป้าจิตรา บ่าวรับใช้คุณปู่ และบ่าวคนสนิทของคุณพ่อนั่งมากับเรืออีกลำหนึ่ง

และสีหน้าเรียบนิ่งที่เห็น น้ำเสียงนุ่มนวลให้เกียรติก่อนนี้ที่ได้ยิน แท้จริงแล้วหาใช่อย่างที่แสดงออก เธอเพิ่งรู้ว่าต้องสังเกตจากคำพูดและแววตาของท่านโชติระเสต่างหาก จึงจะใช่ของจริงว่ากำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไร มิน่าล่ะ ตยาวดีถึงก้มหน้าไว้เกือบตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เพราะขนาดน้ำเสียงเหมือนเอ็นดูให้เกียรตินั้น ในคำพูดกลับแฝงการเชือดเฉือนอยู่ไม่น้อย ฉับพลัน คำพูดหนึ่งของตยาวดีก็ย้อนกลับมา

‘ฉันเป็นเมียเอกของคุณพี่ แต่งเข้าตระกูลนี้มาห้าปี แต่คุณพี่ก็ไม่เคยให้ความเมตตาฉันมากกว่าเดิมเลย’

นี่สินะ ความเมตตาที่ตยาวดีกล่าวถึง แล้วนี่เธอจะอยู่สงบสุขได้อย่างไรเมื่อเมียรองชื่อวาดดูจะร้ายไม่เบา และจากคำพูดของคุณพ่อที่ได้ยิน ก็หมายความว่าสังคมนี้ให้คุณค่าผู้ชายมากกว่าผู้หญิงอย่างชัดเจน ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวมีสิทธิ์ตัดสินทุกอย่างโดยไม่จำเป็นต้องสนใจใคร และผู้หญิงก็เป็นเพียงแค่ผู้สร้างทายาทโดยไม่มีปากมีเสียงอย่างนั้นใช่หรือไม่

‘ขอให้ตื่นเร็วๆ เถอะ ให้ไปอยู่ที่อื่นก็ได้’

นึกตะโกนในใจแบบนั้นก็หันกลับมานั่งอยู่บนตักของแม่ในโลกใหม่อย่างหมดแรง เธอเคยยอมเป็นหม้ายขันหมากเพราะรักศักดิ์ศรีตัวเองมากกว่าจะยอมเจ็บกับผู้ชายไม่จริงใจแถมยังไม่มีรักจริงให้ แต่กลับต้องมาโผล่ในสังคมที่ผู้หญิงเป็นเพียงชิ้นส่วนที่แทบไม่ได้มีค่าอะไรนอกจากเครื่องประดับบารมีและทำหน้าที่ปรนนิบัติผู้ชายให้มีความสุขเท่านั้น ที่สำคัญคือต้องมายอมรับชะตากรรมโดยไม่อาจมีปากมีเสียง

ความสวยงามของวัดและผู้คนมากมายตรงหน้าไม่ได้ชวนให้อุษามันตรารู้สึกดีขึ้นเลย ความหดหู่ในหัวใจที่ต้องมาจมอยู่ในสังคมที่วนเวียนอยู่กับลมปากคนรอบข้าง อยู่กับขนบธรรมเนียมประเพณียอมรับนับถือกันที่เพศว่าหญิงหรือชาย ไม่ได้อยู่ในสังคมที่นับถือกันด้วยความความสามารถอย่างที่เธอเคยอยู่ ก็ทำให้หดหู่หัวใจยิ่งนัก

แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เธอจะอยู่เงียบๆ และไม่ลุกขึ้นมาต่อต้านเสียก่อน ขนาดที่ทำงานเดิมคือสังคมช่างแต่งหน้าหรือแต่งหน้าเอ็ฟเฟ็กต์ เธอก็ยังเคยมีเรื่องมาแล้วกับดาราดาวรุ่งขาวีนที่หลายคนต้องคอยง้อคอยอ้อล้อเพราะไม่ยอมให้หล่อนจิกหัว แม้คนอื่นยอมทนเพราะอยากได้งาน แต่สำหรับเธอกลับเป็นคนละเรื่องกัน เพราะเป็นที่รู้ทั้งวงการว่าเพชรน้ำค้างคือพวกติสก์แตก โชคดีที่เธอพอมีฝีมือจนคนให้ฉายา ‘หัตถ์พระเจ้า’ ไม่อย่างนั้นก็คงเล่นตัวทำมาหากินต่อเนื่องไม่ได้ ซึ่งกว่าจะมายืนถึงจุดนี้ ก็ล้วนแต่มาจากความสามารถ มาจากหนึ่งสมองสองมือของตัวเอง และต้องผ่านการต่อสู้แข่งขันกับเพื่อนร่วมวงการอาชีพทั้งชายและหญิง ทั้งแท้และเทียม ซึ่งเธอยืนหยัดด้วยตัวเองโดยไม่ยอมให้ใครมากดขี่ โดยเฉพาะความไม่ถูกต้อง

แล้วนี่... เธอจะทนอยู่ได้สักกี่น้ำ

‘มันอาจจะฝันแค่นี้ก็ได้นะ เดี๋ยวก็ตื่นแล้ว’

อยากบอกขอบใจกับความคิดนี้ของตัวเอง แต่มันจะเป็นไปได้หรือ ในเมื่อเธอหยิกตัวเองก็แล้ว จมน้ำสำลักน้ำมาแล้ว หลับและตื่นมาใหม่ก็แล้ว เธอก็ยังไม่หลุดจากความฝันนี้ มิหนำซ้ำยังมีข้อมูลเพิ่มเติมจนน่าตกใจ เหมือนกับจะสอนให้เรียนรู้ชีวิตใหม่และลืมเลือนชีวิตเก่า

ไม่เอา ไม่จริง มันก็แค่ฝันเท่านั้น!

ใช่มั้ย...

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -




สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ธ.ค. 2555, 13:08:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ธ.ค. 2555, 13:54:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 2415





<< บทที่ 2 (ครึ่งหลัง)   บทที่ 4 (ครึ่งแรก) >>
สุชาคริยา 29 ธ.ค. 2555, 13:10:44 น.

ตอบคอมเม้นท์จากตอนที่แล้ว (บทที่ 2 ครึ่งหลัง)

คุณแล่นแต๊ = พระเอกมีแน่นอนจ้า

คุณแว่นใส = อิอิ โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^

คุณ konhin = ใช่แล้วค่ะ ^^


แล่นแต๊ 29 ธ.ค. 2555, 16:54:52 น.
ไปวัดจะเป็นยังไงน้า


แว่นใส 29 ธ.ค. 2555, 18:55:09 น.
มีพ่อใจร้ายจริง


แว่นใส 29 ธ.ค. 2555, 18:55:13 น.
มีพ่อใจร้ายจริง


หนอนฮับ 29 ธ.ค. 2555, 19:34:20 น.
มาแว้วววววววววววว


konhin 30 ธ.ค. 2555, 00:07:07 น.
หุๆๆ มีคุณปู่หนุนหลัง หนูน้ำค้างเอาให้แสบเลยน้าาาา ว่าแต่ คุณพ่อไม่รักหรือรักไม่พอเพียง ถ้าอยู่ในโลกที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ลูกผู้ชายก็คงสำคัญกว่า เฮ้อ น่าสงสาร


ใบบัวน่ารัก 30 ธ.ค. 2555, 15:56:29 น.
น่าสงสารเมียเอก


ree 30 ธ.ค. 2555, 20:27:57 น.
น่าเครียดน้อยอยู่ซะที่ไหน เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อน้า


แพม 31 ธ.ค. 2555, 04:15:58 น.
ก่อนหน้านี้คงแค้นท่านชายเมียหลายไปแล้ว แต่ว่านะทัศนคติอย่างปัจจุบันย่อมไม่อาจไปตัดสินความคิดของคนต่างยุคต่างสมัยได้หรอก


Auuuu 1 ม.ค. 2556, 22:19:16 น.
เฮ้อออออออ


สุชาคริยา 8 ม.ค. 2556, 16:18:55 น.

ขอบพระคุณทุกคอมเม้นท์ที่แสดงให้รู้ว่าชอบนิยายเรื่องนี้นะคะ ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ วันนี้ไม่ทันได้ตอบทั้งหมด แต่ล้วนรับรู้ไม่มีขาดตกค่ะ ตอนนี้ต้องรีบเขียนต้นฉบับให้เสร็จ อยากจะบอกว่าทุกคอมเม้นท์ที่บอกเล่าความรู้สึกร่วมของทุกท่าน ได้ทำคนเขียนมีกำลังใจขึ้นอีกมากมายเลยค่ะ ขอบพระคุณทุกท่านงามๆ ค่ะ



เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account