เล่ห์กฤษนล
เรื่องราวของนายกฤษนล ลูกชายสุดสวาทของแม่นิลและพ่อหนึ่ง จากเล่ห์ร้ายซาตาน ... เจ้าของฉายา ปิศาจหน้าหวาน กับ แม่สาวไข่มุกดำ แห่งท้องทะเลอันดามัน





Tags: รัก อบอุ่น โรแมนติก

ตอน: 4. เดินหน้าหรือว่าถอยหนี


“ได้ข่าวว่าช่วงนี้โรงกลั่นหยุดทำงาน แล้วทำไมเพิร์ลไม่มาอยู่บ้านสักพักล่ะลูก” เสียงอ่อนโยนของผู้หญิงที่รักศลิษาดั่งดวงใจลอยมาตามสาย หลังจากเธอโทรไปหาในค่ำคืนที่หลุดปากต่อว่าเจ้าของบ้านพักเชิงเขา จนเขาหุนหันขับรถจากไป จนตอนนี้เกือบสามทุ่มเข้าไปแล้ว ก็ยังไม่เห็นกลับมาเลย ... หญิงสาวคิดด้วยใจหม่นหมอง พร้อมกันนั้นก็รับฟังถ้อยคำของมารดา ก่อนจะอ้อมแอ้มบอกถึงสิ่งที่เธอเพิ่งตัดสินใจได้

“แม่เจนจะว่าอะไรไหมคะ ถ้าเพิร์ลจะขออยู่ช่วยเจ้านายตลอดช่วงที่บริษัทฯประกาศอนุญาตให้พนักงานหยุดทำงาน”

“แม่จะไปว่าอะไรล่ะ ลูกสาวแม่โตแล้ว ไม่ใช่เด็กนักเรียนที่พ่อกับแม่ต้องสลับกันไปรับส่งสักหน่อย” เสียงกลั้วหัวเราะอย่างชวนให้อบอุ่นใจ จนศลิษาต้องเผลอยิ้มตาม พร้อมกับนึกถึงวันคืนเก่าๆที่สามคนพ่อแม่ลูกใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่เคยห่างแม้สักวันเดียว แล้วจึงได้ยินเสียงมารดาพูดต่อ “แล้ววันหยุดนี้เพิร์ลกลับบ้านหรือเปล่า เอ...ว่าแต่วันศุกร์พ่อใหญ่จะเข้าไปดูราคาปาล์มที่ตัวจังหวัด จะให้ขับรถเลยไปรับเพิร์ลด้วยดีไหม ลูกจะได้ไม่ต้องขับรถเอง แล้วตอนเย็นวันอาทิตย์ค่อยให้พ่อเขาไปส่งที่บ้านพัก”

“เพิร์ลยังไม่แน่ใจเลยค่ะว่าจะกลับได้ไหม อย่างที่บอกแม่ว่าช่วงนี้เจ้านายขอให้อยู่ช่วยงาน เกิดเรื่องยุ่งๆแบบนี้ เวลาทำงานคงรวนไปด้วย”

“เฮ้อ! แม่ก็นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นได้ ใจหายเหลือเกินพอคิดว่าจะขาดคุณลูคัสไป แล้วโรงกลั่นจะเดินไปในทิศทางไหน คุณลินจะดูไหวหรือ”

เสียงผู้ให้กำเนิดถอนหายใจ มารดาของเธอเคยพูดคุยกับลูคัสมาบ้าง และเป็นอีกคนที่ชื่นชอบอัธยาศัยของชายต่างชาติคนนี้ที่ให้ความสนิทสนมและมีน้ำใจต่อลูกน้อง ตลอดจนคู่ค้ารายเล็กรายย่อยที่เข้ามาติดต่อกับโรงกลั่นโดยตรง

ศลิษาคุยกับมารดาต่ออีกหลายนาที ส่วนใหญ่เป็นการถามถึงสารทุกข์สุขดิบอย่างที่เคยเป็น ทว่าครั้งนี้เธอกลับอึดอัดใจ ด้วยรู้สึกผิดต่อการกระทำบางอย่างของตนที่ยังคงปิดบังมารดาไว้

“ถ้าบ้านพักพนักงานมีคนอยู่ไม่มาก เพิร์ลมาอยู่บ้านเราก็ได้นี่ลูก ถ้าเหนื่อยขับรถเองก็ให้พ่อขับรถรับส่ง”
“อย่างนี้พ่อก็เหนื่อยแย่สิคะ”

“เหนื่อยอะไรกัน ดีใจสิไม่ว่า”

ถ้อยคำกลั้วหัวเราะนั้นทำให้หญิงสาวต้องนึกถึงบิดาที่มักอาสารับส่งเธออยู่เสมอ ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าหญิงสาวจะมีธุระปะปังที่ไหน เขาก็ยังยินดีนั่งรอด้วยความเต็มอกเต็มใจ ไม่เคยปริปากบ่นสักคำ จนกระทั่งเธอแยกออกมาอยู่บ้านพักพนักงานในภายหลัง ถึงมีโอกาสทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง กระนั้นก็ต้องแลกด้วยเสียงบอกน้อยใจของบิดาที่หาว่าเธอคงไม่เห็นเขาเป็นคนสำคัญอีกแล้วกระมัง

“แม่เจนจ๋า ฝากกอดพ่อใหญ่ด้วยนะจ๊ะ หอมแก้มสักฟอดด้วย บอกว่าน้องเพิร์ลคิดถึงมาก มีจังหวะว่างจากงานเมื่อไหร่แล้วจะรีบไปหา”

เธอปิดท้ายคำสนทนา ก่อนสองคนจะวางสายจากกัน และเมื่ออยู่ตามลำพังท่ามกลางความเงียบสงัดในบ้านพักเชิงเขา จิตใจของศลิษาก็กลับมาจดจ่ออยู่กับคนที่เธอยังรอคอยด้วยความห่วงใย หากเพราะความเหนื่อยอ่อนที่ต้องติดตามชายหนุ่มมาทั้งวัน ไม่นานร่างกายของเธอก็ทนไม่ไหว จึงปล่อยให้ความง่วงนอนเข้ามาครอบงำ จนฟุบหลับลงบนเตียงนอนนุ่มกว้างในห้องพักที่ยึดครองมาตลอดสามวันโดยไม่รู้ตัว

ศลิษาเคลิ้มหลับไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้ กระทั่งโสตประสาทสัมผัสกับเสียงรถ แม้เพียงแผ่วเบา แต่ก็ทำให้เธอรู้สึกตัวตื่น ความงัวเงียปลิวหาย เมื่อรับรู้ว่ากฤษนลได้กลับมาแล้ว

หลังจากเสียงรถเงียบไปไม่นาน เสียงเปิดและปิดประตูบ้านก็ดังขึ้น คนร่างบางลุกขึ้นนั่งอยู่กลางเตียง รอฟังเสียงฝีเท้าของเขาอย่างลืมตัว จนเมื่อเสียงเคลื่อนเข้ามาใกล้ หัวใจสาวก็สั่นไหวด้วยความรู้สึกแปลก มือบางกระชับขอบผ้าห่มแน่นพร้อมใจลุ้นระทึกจนแทบลืมหายใจ ... ศลิษากำลังรอว่าเมื่อไหร่เสียงฝีเท้าของเขาจะผ่านพ้นหน้าห้องนอนของเธอไปสักที

หากว่าสิ่งที่กำลังเกิดต่อไป พลันก็ทำให้หัวใจเธอแทบหยุดเต้น!

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

อารามตกใจและไม่ทันตั้งตัวว่ากฤษนลจะมาหยุดหน้าห้องนอนและเคาะประตูเรียก ทำให้ศลิษานั่งอ้าปากค้างท่ามกลางความมืดมิด ไม่กี่วินาทีจากนั้นสีหน้าตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นนิ่วเหยเก คล้ายอยากจะร้องไห้จนเต็มแก่ และเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกชุด เจ้าหล่อนก็ไม่รีรอที่จะมุดตัวเองเข้าไปอยู่ซุ้มผ้าห่มนวมผืนใหญ่ ยกสองมือขึ้นมาปิดหู สกัดกั้นเสียงเคาะนั้น หล่อนหลับตาปี๋พร้อมภาวนา ขอคุณพระคุณเจ้า แถมด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้รีบมาคุ้มครองตนจากเจ้าของบ้านหนุ่มโดยไว

“ศลิษา” เสียงห้าวทุ้มดังตามมา หัวใจเธอยิ่งเต้นจังหวะรัวเร็วกว่าเดิม พลันดวงตาหวานก็เบิกโพลงขึ้นในความมืดเมื่อฉุกคิดไปว่า หากเขาจะบ้าระห่ำ บุกเข้ามาในห้องนอน แล้วเธอจะป้องกันตัวอย่างไร!

ศลิษาตัวสั่นด้วยรู้สึกกลัวจากภาพจินตนาการ พร้อมนึกขอบคุณสวรรค์เมื่อไม่ได้ยินเสียงเรียกหรือเคาะประตูจากเขาอีก ทั้งที่รู้แก่ใจว่าคนตัวใหญ่ยังไม่จากไปไหน เขาคงยืนปักหลักอยู่หน้าห้องเธอ เพราะยังไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเคลื่อนจากไปเลย

หญิงสาวรวบรวมความกล้า หย่อนปลายเท้าลงบนพื้นห้องเย็นเฉียบ แล้วค่อยๆย่องไปทางประตู ยื่นมือแตะกลอนด้านในที่เธอจำได้ว่ามันมีติดไว้ แต่ไม่จำไม่ได้ว่าตนจัดการล็อกมันหรือเปล่า และเมื่อสัมผัสสะเปะสะปะในความมืด คลำไปจนทั่ว ใจก็ชื้นขึ้นมา เมื่อพบว่าทุกอย่างอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน

“ศลิษา นอนหรือยัง”

เสียงเรียกตามมาอีกครั้ง เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือก ด้วยรู้สึกเหมือนเจ้าของเสียงจะอยู่ห่างจากตนแค่บานประตูกั้น หญิงสาวยกสองมือขึ้นปิดปากกันเสียงร้อง แล้วย่องกลับมา คลานขึ้นบนเตียง ก่อนขดตัวซุกตัวอยู่บนฟูกนุ่มตลอดทั้งคืน

+++++++++++++++++++++++++++++

ตอนเช้าอากาศสดชื่น เย็นสบาย เนื่องจากฝนตกพรำในตอนหัวรุ่งที่คนเพิ่งตื่นนอน เดินออกมาในชุดเตรียมพร้อมจะออกไปข้างนอก ต้องหรี่ตามองยอดไม้ใบหญ้าที่ยังชุ่มฉ่ำด้วยน้ำฝนอย่างประหลาดใจในที

“นอนหลับเพลินสิท่า ฝนตก พายุเข้าทั้งคืน จนจะหอบบ้านไปทิ้งทะเลอยู่แล้ว ก็ยังไม่รู้สึกตัว” เสียงจากคนที่นั่งจิบกาแฟตรงระเบียงหน้าบ้านดังขึ้นมาลอยๆ ทั้งที่สายตายังไม่ละจากหนังสือพิมพ์ธุรกิจในมือ และเมื่อเพ่งมองสภาพของเขา คนโดนกระแนะกระแหนก็ต้องประหลาดใจเป็นสองเท่า

กฤษนลอยู่ในเสื้อโปโลสีเขียวอ่อนที่ชื้นไปด้วยเหงื่อไคลทั่วตัว อีกทั้งกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลเข้มก็ยังมีร่องรอยของดินโคลน เนื้อผ้าเปียกหมาดๆเป็นวงกว้างอย่างที่เธอพอจะเดาได้ว่าเจ้าตัวคงพยายามล้างมันออก

“แล้ว เอ่อ...วันนี้คุณไม่ทำงานหรือคะ ฉันพร้อมทำงานแล้ว”

ศลิษายิ้มแหย พูดออกตัวอึกอัก เพราะไม่อยากให้เขากล่าวย้ำในสิ่งที่เธอทำพลาดไปแล้ว อีกทั้งเหตุการณ์เมื่อคืนที่เธอไม่อยากนึกถึงและไม่ต้องการให้เขาเท้าความหา ศลิษายอมรับอย่างไม่อายเลยว่าในบางขณะรู้สึกกลัวกฤษนลจับใจ กลัวความเป็นผู้ชายอันตรายในตัวของเขา

กฤษนลคล้ายแสงไฟสีสวย อาจดูยั่วยวน ชวนให้เข้าใกล้และสัมผัส แต่หากเมื่อไหร่ที่เธอหลงลืม พาตัวเองเข้าไปติดกับในซุ้มเพลิงนั้น อาจต้องหลอมละลายด้วยความร้อนที่ค่อยๆเพิ่มสูง และกว่าจะรู้ตัว เธอคงถูกแผดเผาจนกลายเป็นผุยผงไปแล้ว

อึ๋ย!...ยิ่งคิด ภาพของเขาก็ยิ่งคล้ายปีศาจร้ายเข้าไปทุกที

“ถ้าเธอพร้อมทำงานก็ดี เดี๋ยวช่วยนายแทนขนกิ่งไม้ไปทิ้งหลังบ้าน”

พลันนั้นเสียงปีศาจร้าย อุ้ย! เสียงของชายหนุ่มแทรกเข้ามาในมโนสำนึก ภาพในจินตนาการของเธอก็หดหาย ศลิษามองตามทิศทางที่บุ้ยใบ้บอก จึงเห็นคนของเขากำลังขะมักเขม้นขนกิ่งไม้ที่กองซ้อนกัน สูงเกือบถึงเอว ซึ่งคงหักจากแรงลมพัด ก่อนตีสีหน้าอิหลักอิเหลื่อ ไม่รู้จะโต้แย้งยังไงดี พร้อมกันนั้นก็ได้รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องอยู่ในสภาพมอมแมมอย่างที่เห็น ก่อนตัดสินใจพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ถ้างั้น ฉันขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วจะไปช่วยนายแทน”

เจ้าหล่อนบอกอย่างว่าง่าย จนคนตั้งใจพูดประชดต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาที่คนถูกมองอ่านไม่ออก หากพอเธอจะหันกายกลับเข้าไปในห้องส่วนตัว เขาก็รีบห้ามไว้

“ยังไม่ต้องทำตอนนี้ เธอยังไม่ทานมื้อเช้าใช่ไหม นายแทนเตรียมไว้พร้อมแล้ว ไปยกมาข้างนอกสิ”

“แล้วคุณล่ะคะ”

“ฉันทำไม”

“คุณทานด้วยหรือเปล่า”

ศลิษาคิดว่าคำถามของเธอแสนจะธรรมดาและไม่ยากต่อการเข้าใจ หากชายหนุ่มกลับทำสีหน้ายุ่งยากคล้ายขัดใจเหลือเกิน แล้วเขาก็ตัดบทสนทนาจากเธอโดยการก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่สนใจว่าศลิษาจะงุนงงกับท่าทีนั้นสักปานใด

“คำถามง่ายๆก็ไม่ยอมตอบ แล้วใครจะไปรู้ล่ะ” หญิงสาวส่ายหน้ากับตัวเอง ก่อนเดินเข้าไปในห้องครัว ทิ้งคำบ่นให้ลอยเคว้งอยู่ในอากาศที่อวลอยู่รอบๆชายหนุ่ม

“แล้วทำไมต้องถามทุกเรื่องด้วย คิดเองบ้างไม่เป็นหรือไง”

ปริศนาทายใจที่กฤษนลฝากไว้ให้หญิงสาวขบคิดตลอดการเตรียมสำรับมื้อเช้านั้น ปรากฏว่าหล่อนสามารถเดาใจเขาได้ถูกต้อง

ศลิษายกชุดอาหารเช้าที่ไม่ต่างจากทุกวัน อันประกอบด้วย ไส้กรอก แฮม ไข่ดาว และตบท้ายด้วยกาแฟดำสีเข้มที่ชงเก็บไว้ในเหยือก มาวางไว้บนโต๊ะที่เจ้าของบ้านยังนั่งปักหลักอ่านหนังสือพิมพ์อยู่

เมื่อจัดการทุกอย่างจนพร้อมสำหรับเขาและตัวเธอเอง หญิงสาวก็นั่งประจำเก้าอี้ตรงข้าม เพื่อรอทานอย่างไม่อิดออด เพราะแค่ได้กลิ่นอาหาร กระเพาะของเธอก็ร้องครวญเหมือนกำลังประท้วงว่าวันนี้ยังไม่มีอะไรตกลงถึงท้องเลยสักอย่าง

“ฉันทำขนมปังมาเผื่อด้วย” หล่อนบอก ทั้งที่คิดว่าคงไม่จำเป็น เพราะเห็นชายหนุ่มเหลือบมองมัน ก่อนจะหยิบเหยือกกาแฟมาเติมในถ้วยใบเก่า แล้วเลือกเพียงไส้กรอกกับแฮมมาใส่ในจานเป็นกองสูง ก่อนเริ่มต้นรับประทาน โดยที่มืออีกข้างยังถือหนังสือพิมพ์อ่านอย่างไม่ละสายตา

ศลิษาหยิบขนมปังปิ้งขึ้นมาแทะสลับกับการยกถ้วยกาแฟที่ถูกผสมด้วยนมและน้ำตาลจนได้รสกลมกล่อมขึ้นมาจิบ พร้อมลอบพินิจใบหน้าหล่อเหลา ผิวขาวสะอาดค่อนไปทางสำอางที่มีไรหนวดเคราสีเขียวจางๆ เพิ่มความเข้มคมได้อย่างลงตัว

“เมื่อคืนเป็นไงบ้าง” คำถามของชายหนุ่มทำให้คนแอบมองแทบสำลักกาแฟที่กำลังลื่นไหลลงในลำคอ พร้อมกับเหตุการณ์เมื่อตอนใกล้ดึกก็หลั่งไหลเข้ามาในสมองส่วนความทรงจำของเธอไม่ต่างกับสายน้ำไหลเชี่ยว

หลังจากที่ศลิษาต้องนอนขดตัวด้วยความกลัว พร้อมรอฟังว่าเมื่อไหร่จะได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเคลื่อนจากไป หากเธอแล้วรอเล่า ก็ไม่ได้ยินเสียงนั้นสักที จนเคลิ้มหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ตัว กระทั่งรู้สึกตัวตื่นในตอนเช้า จึงกระวีกระวาดลุกขึ้น เข้าห้องน้ำ จัดการกับตัวเองเสร็จ ก็ออกมาสบทบกับเจ้าของบ้านในชุดพร้อมทำงานอย่างที่เห็น

“เธอยังไม่ตอบคำถามฉัน” กฤษนลท้วง แววตาคมส่อแววประหลาด ศลิษาคิดว่าเขากำลังหัวเราะขัน แม้ใบหน้ากับเรียวปากจะยังคงเรียบนิ่งอยู่ก็ตาม

“เมื่อคืนฉันคงนอนหลับอุตุ จนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝนตก พายุเข้าจนจะหอบบ้านทั้งหลังทิ้งลงทะเลมั้งคะ”
คนหน้าหวาน ผิวสีน้ำผึ้งนวลตอบด้วยการย้อนคำพูดของเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย และคนโดนย้อนก็รู้ไม่ยากว่าเจ้าหล่อนกำลังไม่พอใจ จึงหยุดการปะทะคารมเสีย เพราะไม่อยากให้บรรยากาศทานอาหารเช้าต้องเสียไป

หญิงสาวยังก้มหน้าก้มตาทาน แม้สีหน้าจะยังไม่ดีขึ้น หากสิ่งที่ปรากฏทำให้กฤษนลแทบหลุดหัวเราะ อาหารเช้าสำหรับเธอตลอดสามวัน เขาเห็นมีเพียงขนมปังแผ่นเดียวกับเครื่องดื่มที่เวียนกันตั้งแต่นมสด ชา และกาแฟ หากวันนี้เมื่อทานอาหารท่ามกลางอารมณ์หงุดหงิดและโมโห เจ้าหล่อนกลับซัดขนมปังไปถึงสามแผ่น แถมยังตักไส้กรอกใส่จาน แล้วทานต่ออย่างหน้าตาเฉย

“วันนี้ฉันจะไปช่วยคุณลิน ดูว่ามีอะไรที่สามารถจัดการได้บ้าง เราไม่อาจให้งานหยุดหมดทุกส่วน เพราะจะผิดสัญญากับลูกค้าบางราย”

กฤษนลพูด หลังจากเห็นศลิษาวางช้อนลงในจาน แล้วหยิบกาแฟที่มีสีจืดจางในถ้วยของหล่อนขึ้นมาทาน กระทั่งหญิงสาววางถ้วยใบนั้นลง แล้วเอียงคอมองเขา ถามอย่างเป็นการเป็นงาน

“คุณจะให้ฉันทำอะไรบ้างคะ”

“งานของเธอก็ช่วยนายแทนขนกิ่งไม้ไปเก็บหลังบ้านไง ฉันเพิ่งบอกเมื่อกี้ เธอก็รับปากดิบดี ลืมแล้วหรือ”
อีกครั้งที่แววตาของชายหนุ่มเปล่งประกายคล้ายกำลังหัวเราะขบขัน และศลิษาก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้คิดมาก จนตีความผิดเพี้ยนแน่นอน

“งานนั้นฉันช่วยแน่นอน ฉันไม่ใช่คนจับจด ขี้เกียจหรอกนะ”

ศลิษาไม่อยากจะบอกเลยว่า ข้อมูลที่เขาได้จากใครก็ตามที่ทำให้รู้ว่าบ้านของเธอยังชีพด้วยร้านขายขนมหวานที่ตั้งอยู่ในตึกแถวกลางเมืองของอำเภอเล็กๆในจังหวัดใกล้กัน มันไม่ใช่งานชิ้นเดียวที่มีหรอก หากพ่อใหญ่กับแม่เจนยังสร้างสวนปาล์มไว้ตั้งหลายสิบไร่ และผลผลิตของมันก็สร้างรายได้ให้มากพอจะส่งเสียเธอเรียนจนจบมหาวิทยาลัยในต่างประเทศอย่างไม่ลำบากอะไรเลย แถมช่วงเรียนระดับมัธยม ในทุกวันหยุด ศลิษายังชื่นชอบที่จะเข้าไปช่วยงานในสวน หยิบฉวยทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ดังนั้นงานง่ายๆแค่ขนกิ่งไม้ที่หักโค่นจากแรงลมพัด จึงไม่ใช่งานหนักหนาสำหรับเธอเลย

ถ้ากฤษนลคิดว่าการสั่งให้ทำงานพวกนี้ แล้วเธอจะนึกขยาด จนต้องถอยหนี ศลิษาก็จะทำให้เขารู้ซึ้งทีเดียวว่าเขาคิดผิดเสียแล้วล่ะ

ศลิษาเหลือบมองคนที่ยกถ้วยกาแฟดำที่ดูว่าจะขมจัดขึ้นมาดื่มจนหมด ก่อนวางลงบนพื้นโต๊ะ แล้วยืดกายเต็มความสูง ทำท่าจะผละออกไป แต่เมื่อเธอฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ จึงไม่อยากปล่อยโอกาสที่นานๆครั้งจะเห็นเขาอารมณ์ดีและผ่อนคลาย บอกถึงสิ่งที่ตนทำพลาดไปแล้ว

“เมื่อวานฉันพูดไม่ดีกับคุณ ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

และเสียงของเธอมีอานุภาพมากพอจะฉุดรั้งให้คนร่างสูงใหญ่ที่ศลิษาคะเนด้วยสายตา รวมถึงใช้ตัวเองเป็นมาตรวัดว่าน่าจะสูงเกินร้อยแปดสิบเซนติเมตรต้องหยุดชะงักลง เขาหันมองแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“เรื่องอะไร”

สีหน้าของกฤษนล ไม่มีร่องรอยว่าจะจดจำได้จริงๆ ดวงตาคู่คมที่มักส่ออารมณ์มากมาย และทุกครั้งล้วนแต่สร้างความรู้สึกครั่นคร้าม หรือบางทีก็หายใจไม่ทั่วท้องให้กับเธอ หากตอนนี้กลับมีเพียงประกายความสงสัยและไม่เข้าใจอย่างจริงจัง

“ฉันพูดเหมือนไม่ไว้ใจคุณในเรื่องของคุณลูคัส ฉันเพียงอยากบอกว่าความจริงฉันไม่เคยคิดอะไรแบบนั้น แต่เมื่อวานคุณ อุ้ย! ฉันกำลังหงุดหงิดที่ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงทำงานตัวเองต่อไม่ได้ และทำไมคุณถึงต้องให้ย้ายมาอยู่ที่นี่ แถมตอนนี้รถของฉันก็จอดไว้ไหนไม่รู้ รถคนนั้นเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่พ่อกับแม่ซื้อให้เลยนะ”

“สรุปว่าทั้งหมด เป็นความผิดของฉันที่ทำให้เธอหงุดหงิด”

“ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้นสักหน่อย คุณตีความของคุณเอง”

“ยายตัวร้ายเอ๊ย!”

กฤษนลยกสองมือขึ้นเท้าสะเอวแล้วเมินมองยอดหญ้ากิ่งไม้ไปเรื่อยเปื่อย พร้อมพยายามทำความเข้าใจหล่อน และสิ่งเดียวที่เขาไม่อยากจะมอง คงเป็นใบหน้าสวยสีน้ำผึ้งนวล รวมถึงดวงตากลมโตที่จ้องเขาด้วยแววตาซื่อใส ซึ่งถ้าเขาเผลอสบตาเข้า เชื่อได้เลยว่ามันจะพานให้หงุดหงิดอย่างไม่มีเหตุผลอีกนะสิ

“ตกลงว่ายังไง รถฉันอยู่ที่ไหน วันศุกร์พ่อฉันเข้าจังหวัด เผื่อว่าจะเรียกฉันไปพบ ปกติเวลาพ่อมา เราจะทานข้าวด้วยกันทุกครั้งอยู่แล้ว” ศลิษาเร่งยิก เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังยืนนิ่งเฉย ไม่มีทีท่าว่าจะให้ความกระจ่างกันเลย

“เอาเป็นว่ารถของเธออยู่ปลอดภัยดี ยังไม่มีใครขโมยไปแยกชิ้นส่วนขาย แต่ถ้ามันจะหาย ฉันก็จะซื้อใช้คืนเอง จะรุ่นใหม่ล่าสุดยังไงก็ได้ ส่วนเรื่องของพ่อเธอ ถ้าเขาเรียกให้ไปพบ ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน”

“ตอบอย่างนี้ค่อยสบายใจหน่อย” หล่อนยิ้มออกมากว้างขวาง เรียวตายิบหยีอย่างไม่สงวนท่าที ก่อนบอกต่ออย่างจริงใจที่สุด “แต่ถึงยังไง ฉันก็อยากให้คุณดูแลรถฉันให้ดีที่สุด เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมัน ต่อให้เอารถของคุณคันนั้นมาแลก ฉันก็ไม่ยอมหรอกนะ เพราะคุณค่าทางจิตใจไม่เท่ากัน”

“เมาอาหารเช้าของนายแทนหรือเปล่าถึงคิดว่าฉันจะเอารถตัวเองไปแลกกับรถกระป๋องของเธอ ไม่ต้องคิดเพ้อเจ้อแล้ว เรื่องแค่นี้ฉันจัดการได้ ส่วนเธอทานมื้อเช้าเสร็จจะไปช่วยนายแทน หรือจะนั่งทำงานของเธอในบ้านก็ตามสบาย ฉันจะออกไปข้างนอก อ้อ! ส่วนอาหารมื้อเที่ยง ถ้าฉันยังไม่กลับมาก็จัดการกันเอง”
เขาสั่งเสร็จก็พาร่างสูงใหญ่เข้าไปในบ้านอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว ทิ้งให้หญิงสาวยู่หน้าใส่แผ่นหลังกว้างด้วยรู้สึกขัดหูกับคำพูดทิ้งท้ายของเขาขึ้นมาตงิดๆ เมื่อคิดว่า ตั้งแต่เล็ก ตนก็ถูกกฤษนลเรียกขานด้วยชื่อใหม่ที่ฟังยังไงก็ไม่น่ารักว่าไข่มุกดำ แถมตอนนี้เขายังใส่ร้ายเจ้ารถคันเล็กสีขาวที่เธอรักประดุจน้องสาวว่าเป็นรถกระป๋องอีกด้วย

“คนอะไร นิสัยไม่ดี ชอบทำร้ายจิตใจอยู่เรื่อยเลย อย่าให้ถึงคราวเราบ้างแล้วกัน”

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทางด้านคนนิสัยไม่ดีของศลิษา หลังจากขับรถออกจากบ้านพักเชิงเขา เขาก็บังคับพาหนะให้เคลื่อนมาในเส้นทางที่เคยหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ กระทั่งมีเหตุร้ายเกิดกับเพื่อนรัก รวมถึงคนขับรถของเขา ชายหนุ่มจึงได้กลับมาใช้ถนนเลียบหน้าผาเป็นทางผ่าน แทนถนนเลียบหาดอย่างที่เคยทำ

รถคันหรูสีดำ ติดฟิล์มมืดสนิทแล่นมาจอดริมทาง เขาทอดสายตามองจุดเกิดเหตุด้วยรู้สึกจนหนทาง คำพูดบางอย่างของศลิษา แม้เจ้าตัวจะบอกว่าไม่ตั้งใจ แต่ใครจะรู้ว่าเพียงได้ยินหัวใจของเขาก็เหมือนถูกบีบอัด จนเจ็บร้าวเหลือเกิน

กฤษนลยังต้องจมอยู่กับความเศร้าและเสียใจอย่างไม่เคยเจอมาก่อน บางขณะก็ต้องทนทรมานกับความรู้สึกว่าตนเป็นเพียงคนไร้ปัญญา หมดความสามารถ จนไม่อาจควบคุมสถานการณ์ไม่ให้มันแย่ลงอย่างที่กำลังเป็น แม้กระทั่งสองชีวิตที่ถือว่าใกล้ชิดกันก็ต้องมาสูญหาย โดยที่เขาทำได้เพียงยอมรับชะตากรรม แล้วแต่ใครจะกำหนดให้มันเป็นไป ... อย่างนั้นหรือ

กฤษนลกำพวงมาลัยรถแน่น กรามแกร่งบดเข้าหากันด้วยอารมณ์ส่วนลึก พลันคำปฏิเสธที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ก็ดังอื้ออึงขึ้นในหัว

“ไม่! ไม่มีทาง ลูคัสจะหายตัวไปแบบนี้ไม่ได้ ถ้าจะสรุปว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา มันต้องมีต้องมีหลักฐานยืนยันมากกว่านี้ และฉันนี่แหละจะตามหามันเอง”

ชายหนุ่มหรี่ตาเพ่งมองเบื้องหน้าแน่วนิ่ง เมื่อบังเกิดความเชื่อบางอย่าง จากสิ่งที่เขารู้สึกและสัมผัสได้ หากไม่อาจอธิบายให้ใครเข้าใจ แต่พอเบนสายตาไปในทิศทางต้นไม้ใหญ่ที่ยังคงเห็นร่องรอยถลอก เปลือกไม้หลุดออกเป็นทางยาวที่คงมีสาเหตุจากนายถวิลพารถมอเตอร์ไซค์มาชนแล้วล้มคว่ำ ความเชื่อและความรู้สึกเดียวกันนั้นก็ทำให้เขาใจหายวูบ

กฤษนลสูดลมหายใจลึก ก่อนจะสตาร์ตรถ บังคับให้แล่นตรงไปข้างหน้า หากเมื่อมาโผล่ถึงถนนหน้าเมืองซึ่งตัดผ่านถนนเลียบริมหาดจากบ้านพักของเขา สมองก็สั่งการให้เบี่ยงรถไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเป้าหมายเดิม จนมาจอดหน้าบ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ที่ตลอดสามวันเขาแวะเวียนมาไม่เคยขาด

กฤษนลดับเครื่องยนต์ และเป็นจังหวะที่หญิงชราร่างท้วมเดินมาถึงพอดี เขาเหลือบมองสีหน้าของนางซึ่งยังคงหม่นหมอง ต่างจากภาพเดิมๆที่จดจำได้ถึงความเป็นคนช่างพูดช่างคุย แถมยังอารมณ์ดี อย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

“มีข่าวเจ้าหวินบ้างไหมคุณนล”

“ยังไม่มีเลยป้า” ชายหนุ่มตอบ และเมื่อเห็นน้ำใสๆซึมผ่านหางตาที่มีรอยพับย่น เขาก็รู้สึกตื้อในลำคอขึ้นทันที

“คุณช่วยหามันให้เจอนะ ป้าไปแจ้งความ ตำรวจก็ว่าเจ้าหวินตกใจ เลยหนีไปกบดาน เฮ้อ! ป้าไม่รู้จะพูดยังไง ไม่อยากจะต่อว่าหรอกนะ ว่าพวกเขาช่างคิดอะไรไม่เข้าท่าเอาซะเลย ทำไมไม่ตั้งข้อสงสัยอาจเกิดอันตรายขึ้นกับมัน ควานหาตัวให้เจอ ไม่ดีกว่าหรือ”

‘มันดีกว่าแน่นอนอยู่แล้ว เพราะเรื่องสงสัยทั้งหมดจะได้จบกันสักที’ กฤษนลคิดอย่างเห็นใจ หากไม่ปริพูดให้ป้าต้อยช้ำใจยิ่งกว่าเดิม

แม้เรื่องของนายถวิลจะถูกสรุปง่ายๆว่าเขาตกใจจนเตลิดหนีไป แต่กกฤษนลก็ไม่ละความพยายามจะตามหา เขาระดมคนของตัวเองที่คุ้นชินพื้นที่ อีกทั้งเรียกกำลังเสริมจากกรุงเทพฯมาสมทบ ค้นหาจนทั่ว ทุกแห่งที่คิดว่าจะเจอ หากสามวันผ่านไป ก็ยังไร้วี่แววของนายถวิล

“ป้าทำใจให้สบาย วางใจเถอะว่าฉันจะไม่ทิ้งเรื่องนายหวินไว้อย่างนี้แน่นอน”

“ขอบคุณคุณนลมาก ป้ามีความหวังอยู่กับคุณนลเท่านั้น อย่าทิ้งนายหวินนะ มันน่าสงสาร เกิดมาตัวคนเดียว พ่อแม่มันตายตั้งแต่แบเบาะ พอมีลูกเมียก็ทิ้งไปกันหมด แต่ป้าก็ไม่ว่าพวกเขาหรอกนะ เมื่อก่อนเจ้าหวินเกเรยังกับอะไรดี เมาเหล้าเมายา เพิ่งจะมาเป็นผู้เป็นคนเมื่อไม่นานนี้เอง มันได้ทำงานกับคุณนล ป้าก็ดีใจ แต่บุญมันน้อย จู่ๆก็เกิดเรื่องขึ้น ตอนนี้จะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้” ป้าต้อยคงคร่ำครวญอีกนาน หากกฤษนลไม่พูดแทรกขึ้น ด้วยไม่อยากให้นางจมอยู่กับความทุกข์มากไป

“แล้วตอนนี้ป้าอยู่ยังไง มีใครมาอยู่ด้วยหรือยัง”

“คุณนลไม่ต้องห่วงหรอก ลูกสาวคนเล็กของป้าที่เป็นครูอยู่ต่างอำเภอทำเรื่องย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว เขาว่าโรงเรียนที่นี่มีตำแหน่งว่างพอดี”

“ดีสิ ป้าไม่ต้องอยู่คนเดียว”

“แต่ป้าก็ยังเคืองเจ้าลูกคนนี้ไม่หาย มันบอกให้ป้าทำใจเผื่อเจ้าหวินจะตายไปแล้ว ดูสิ มันคิดกับน้ามันอย่างนี้ได้ยังไง”

หญิงชราพูดอีกหลายคำ ก่อนที่กฤษนลจะขอตัวกลับ เพราะใกล้ถึงเวลานัดกับสลาลินเต็มที และก่อนจะจากกัน ชายหนุ่มก็ไม่ลืมย้ำให้หญิงชราที่เคยรับหน้าที่ส่งกับข้าวกับปลาให้เขานั้นหยุดพักผ่อน และทำใจให้สบาย ... แม้การพูดประโยคสุดท้ายจะฝืนความรู้สึกกันเหลือเกิน แต่เขาก็จำต้องทำ

รถคันหรู สมรรถนะดี แล่นผ่านตัวเมืองของจังหวัดเล็กๆ ตรงไปยังสถานที่นัดหมายอันเป็นบ้านหลังใหญ่ที่เขาเพิ่งพาคนหน้าหวานแวะเวียนมาเมื่อวาน ชายหนุ่มออกจากรถ เดินตามพนักงานที่เพิ่งมารับหน้าที่เลขาฯให้สลาลิน เข้าไปข้างใน กระทั่งถึงห้องทำงานใหญ่ชั้นล่างที่ปรับไว้ให้เหมาะสำหรับการประชุมแบบไม่เป็นทางการ อีกทั้งยังสามารถรับแขกได้กลายๆ

“คุณพ่อบอกว่าลินต้องทำใจให้เข้มแข็งกว่านี้ ไม่อย่างนั้นโรงงานจะไปต่อไม่ได้ แม้ลินจะไม่คิดว่าลูคัสสูญหายไปไหน เชื่อว่าสักวันเขาต้องกลับมา แต่โรงงานรอจนถึงเวลานั้นไม่ได้ คุณพ่อเลยบอกให้ลินปรึกษาคุณนล ในฐานะหุ้นส่วนคนสำคัญ ว่าระหว่างนี้เราพอจะทำอะไรได้บ้าง”

น้ำเสียงเศร้าสร้อยของเจ้าของบ้านบอก หลังจากที่กฤษนลหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้ตรงกันข้ามเธอที่มีโต๊ะตัวใหญ่กั้นกลางในห้องทำงานนั้น

ชายหนุ่มนิ่งขึง รู้สึกลำคอแห้งผาก แม้เขาจะเชื่อไม่ต่างกับสลาลินว่าสักวันลูคัสจะกลับมา หากเวลานี้ทุกอย่างคงต้องเดินหน้าต่อไป ธุรกิจไม่อาจรีรอ ยื้อเวลากันได้นาน

กฤษนลกำลังคิด ซึ่งเป็นจังหวะที่สาวใช้เคาะประตูห้อง เพื่อนำกาแฟพร้อมน้ำดื่มมาให้ เขารอจนได้อยู่ตามลำพังกับภรรยาของเพื่อนสนิทที่ยังหายตัวไปอีกครั้ง ก่อนบอกอย่างตัดสินใจแล้ว

“คุณลินอาจยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลสั่งให้ทำการอย่างใดอย่างหนึ่งไปพลางๆ ก่อน เพื่อให้คุณลินมีอำนาจในการจัดการงานและทรัพย์สิน”

“มันเป็นทางเดียวที่ลินจะทำได้ใช่ไหมคะ และจะรออีกก็คงไม่ได้เหมือนกัน”

หญิงสาวรำพึงแผ่วเบา และคำพูดนั้นก็เหมือนมีความนัยบางอย่าง จนกฤษนลรู้สึกสะดุดหู

“นอกจากเรื่องโรงงานที่ต้องเดินหน้าไปตามขั้นตอนของมันแล้ว คุณลินยังมีปัญหาอื่นอีกหรือเปล่าครับ”

“มีค่ะ ตอนนี้มีคนกำลังติดต่อขอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยของเรา”

คำตอบของสลาลิน ทำให้กฤษนลถอนหายใจหนักอก แม้จะคิดระแวงอยู่ก่อนแล้วก็ตาม จากนั้นใบหน้าอวบอูมของนักการเมืองใหญ่ในจังหวัดใกล้กันก็ผุดขึ้นในมโนสำนึก

“สจ.วิบูลย์หรือเปล่า”

“คุณนลรู้ได้ไงคะ”

“ผมรู้เรื่องนี้จากลูคัสมานานแล้ว ตั้งแต่แรกที่ตั้งโรงกลั่นว่ามีปัญหาขัดแย้งเรื่องรับซื้อผลผลิตจากสวนปาล์มของชาวสวน เรามีธุรกิจครบวงจรที่ทำเองได้หมด เพียงแต่หาแหล่งวัตถุดิบป้อนเข้ามา และเป็นเพราะว่าเราซื้อขายกับชาวสวนในราคายุติธรรม จึงทำให้นอกจากชาวสวนในละแวกนี้จะมาติดต่อด้วย ชาวสวนในจังหวัดของ สจ.วิบูลย์ก็ยังข้ามถิ่นมาเสนอขาย จนคนรับซื้อเจ้าอื่นไม่ชอบใจ และรายใหญ่ก็หนีไม่พ้นธุรกิจในครอบครัวของ สจ.วิบูลย์”

“ดูเหมือนคุณนลจะรู้อะไรหลายอย่างดี พูดตามตรงนะคะ ตอนลูคัสอยู่ เขาไม่ค่อยคุยเรื่องงานกับลินเท่าไหร่ อาจผิดที่ลินเองที่ไม่สนใจช่วยงานเขา จนบางครั้งทำให้เกิดช่องว่างที่คนอื่นแทรกเข้ามาได้”

“ยังไงครับ” กฤษนลถามต่อโดยอัตโนมัติ ด้วยไม่กระจ่างกับประโยคสุดท้าย

“อุ้ย! ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ลินพูดมากไปแล้ว”

สาวสวยรีบปฏิเสธ และตัดบทเสีย เมื่อรู้ตัวว่าเผลอหลุดพูดเรื่องราวส่วนตัวมากเกินไป ก่อนเธอจะเบนหัวข้อสนทนามาเจาะจงเพียงเรื่องงาน และกฤษนลก็ไม่คิดจะซอกแซกถามต่อ เพราะรู้ถึงความเป็นส่วนตัวของกันและกัน หากว่าคำพูดที่สลาลินหลุดออกมานั้น มันช่วยไม่ได้เลยที่จะทำให้เขานึกไปถึงแม่คนหน้าหวาน ผิวสีน้ำผึ้งนวลที่ตอนนี้อาจกำลังช่วยนายแทนขนกิ่งไม้ว่าอาจเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย







Lalanda
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ธ.ค. 2555, 22:05:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ธ.ค. 2555, 22:05:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1511





<< 3. ความหลัง และความทรงจำที่เหลืออยู่    5 เดินหน้าหรือว่าถอยหนี >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account