ซุ่มซ่อนมังกรสันโดษ
การผจญภัยของคู่แฝดจอมหาเรื่องที่ทำให้ชีวิตของคนในยุทธภพวุ่นวาย
Tags: กำลังภายใน แฝด มังกร

ตอน: 03 ลมโบกบุปผาพลิ้ว

ซุ่มซ่อนมังกรสันโดษ บทที่ 3 ลมโบกบุปผาพลิ้ว

เมื่อเสียงเพลงจบลง เสียงปรบมือดังไปทั่วสวนชมวิหค หลี่เปียวหนีอาจารย์มาที่นี่เพื่อหวังพบฝาแฝดพิสดาร และไม่ผิดหวังยามได้ยินบทเพลงไพเราะ...เป็นบทเพลงที่มันไม่เคยได้ยินมาก่อน หากสัมผัสบาดลึกเข้าไปในจิตใจของผู้ฟังอย่างแยบคาย

“ไพเราะยิ่งกว่าเสียงลมในป่าไผ่ ไม่ทราบบทเพลงเรียกหาเช่นไร โปรดบอกแก่ข้าประดับความรู้เถอะ” เซียะบ่อจื้อ ชมชอบและเข้าใจสมเป็นเทพพิณกวีแห่งยุค

ฟางสงเงยหน้าขึ้น มองสหายใหม่และเทพพิณกวีอย่างภาคภูมิใจ “เป็นเพลงที่ข้าแต่งขึ้นเอง ลมโบกบุปผาพลิ้วเป็นชื่อที่เสียงน้อยเรียกหา”

แม้ผ่านไปหลายวัน แต่มันยังหงุดหงิด เมื่อนึกถึงความแสบสันของแฝดน้องที่ทำกับมันเช่นนั้น โชคดีที่ข้ารับใช้เงาพามันมายังสวนชมวิหคแห่งนี้ ไม่เช่นนั้นมันคงได้ชื่อ ‘โจรปล้นสวาท’ เป็นแน่

หญิงงามหมอบนั่งอยู่ข้างเก้าอี้มัน หลงใหลในรสรักที่มันมอบให้อย่างงมงาย หลายวันที่เด็กหนุ่มขลุกอยู่กับสาวงามที่สับเปลี่ยนเข้ามาเพื่อลดทอนฤทธิ์ยาราคะของแฝดน้องมัน ‘ให้ตายเถอะ มันช่างสรรหาปรุงยาบ้านั่นออกมาได้’

“สงน้อยเป็นไร เมื่อคืนสบายดี?” ฟางเสียงยืนอยู่ ใบหน้างดงามของมันประดับรอยยิ้มแฝงเล่ห์กล รบกวนความรู้สึกผู้คน

“เสียงน้อยเจ้าทำข้าเจ็บแสบยิ่ง” ฟางสงมองอย่างโกรธเคืองแฝดน้อง

“ใครใช้ให้เจ้าทำข้าก่อน แต่ข้าถือว่าทำบุญให้เจ้า ไม่เห็นหรือไร หญิงงามหลงใหลเจ้าถึงเพียงนั้น” ฟางเสียงหัวเราะเบาๆ ท่าทางซุกซนของมันขัดตายิ่ง

ฟางสงลุกขึ้นยืนด้วยอารมณ์ ทำเอาผู้อื่นอึดอัดใจยิ่ง สีหน้าเครียดขึงงดงามของมันช่างดุดันยิ่งนัก หากมิใช่พี่น้องกัน คาดว่ามันคงลงมือกับผู้ที่ลบหลู่มันแล้ว

ฟางเสียงมิได้สนใจใส่ใจนัก ด้วยมันย่อมทราบว่า พี่ชายฝาแฝดมันให้โมโหเพียงไร ย่อมคิดถึงความเป็นพี่น้องยิ่ง มันจึงโยนม้วนภาพและโปรยรอยยิ้มพราย “ข้าชดใช้ให้เจ้า”

ม้วนกระดาษเปิดออกเผยภาพพู่กันของดอกหญ้าโบกพลิ้วม้วนตามกระแสลมพัด อ่อนช้อยให้ความรู้สึกคล้ายภาพเคลื่อนไหว เผยดอกเบญจมาศขาวเด่นสง่า ท่ามกลางยอดหญ้าที่โน้มลงอย่างรู้หน้าที่ ไม่อาจโดดเด่นเกินราชินีแห่งบุปผางาม

ฟางสงรับภาพไว้ในมือ มันมองภาพอย่างพึ่งพอใจ เผยรอยยิ้มเสริมความสง่างามให้มันอีกมากโข “ดี ข้าชมชอบยิ่งนัก เพียงแต่ยังขาดบทกลอนดีๆ อยู่สักหน่อย”

“ข้าไม่สันทัดเรื่องโคลงกลอน หากแต่เทพพิณกวีคงช่วยเจ้าได้หากเจ้าร้องขอ แต่ภาพเขียนของข้าอาจไม่มีค่าพอกระมัง” ฟางเสียงไม่รอช้าหันหลังจะเดินกลับไปยังที่มันจากมา

“รบกวนท่านแล้ว” ฟางสงมีท่าทีกระตือรือร้น เพื่อให้ภาพออกมาสมบูรณ์ที่สุด

เซียะบ่อจื้อรับมาไม่พูดไม่จา นั่งลงท่ามกลางมวลหมู่นกน้อยในสวมชมวิหค ที่เข้ามาชื่นชมผลงานของจิตรกรสมัครเล่นอย่างคุณชายรูปงามนามฟางเสียง เหล่าหญิงงามเพียงไม่เคยมีโอกาสได้ใกล้ชิด ด้วยไม่อาจทาบติดเสน่ห์นางหงส์

“เดี๋ยวเจ้าไม่อยากร่วมสนทนากับพวกเราก่อนหรือ” หลี่เปียวเรียกสหายลึกลับไว้ แม้มิอาจเข้าใจมัน แต่เมื่อคิดเป็นสหายกลับมิใช่เรื่องให้กังวลใจ

“มีเรื่องอันใดน่าสนใจ” ฟางเสียงมีท่าทีเฉื่อยชา มันมิสนใจสิ่งใดมากนัก

“เรื่องการชุมนุมไงล่ะ” หลี่เปียวเพียงต้องการเรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มมอซอ

“ข้าไม่ต้องการรับทราบ เมื่อเรื่องราวหาได้เกี่ยวข้องกับข้าไม่” ฟางเสียงหันหลังเอามือพาดไว้ที่คอ เดินจากไปอย่างอารมณ์ดี

หลี่เปียวไม่เพียงไม่โกรธ ยังคงสนใจในตัวแฝดน้องของเทพบุตรรูปงามผู้นี้ มันหันมามองเทพพิณกวีและฟางสงที่ดื่มสุราแทนน้ำ โอบหญิงงามสามนางไว้ในวงแขน ก่อนหัวเราะกับสาวงาม

“เอาล่ะ เจ้าแพ้ต้องโดนทำโทษ” ฟางสงยิ้มอย่างมีเลศนัย

“คุณชายสงจะลงโทษข้าเช่นไร” นกนางแอ่นซบอกชายงามหวังให้ทำโทษนางอย่างปราณี

“เจ้าต้องดื่มสุราสามถ้วย ต้องถูกปิดตาและตามหาพวกเรา” ฟางสงคิดการละเล่นออกมา มันส่งสุราสามถ้วยให้นางแอ่นน้อยดื่ม ก่อนปิดตานางด้วยผ้าขาว และจับนางให้หมุนวน ก่อนปล่อยให้นางยื่นมือตามหา

เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะ หลี่เปียวกอดหญิงงามไว้สองข้าง มันมองการละเล่นของเด็กหนุ่มรูปงามกับนางนกทั้งหลายในสวนนี้อย่างเพลิดเพลิน เพียงตอนนี้มันต้องการดื่มกินอย่างสนุกสนาน หากมันหันไปเห็นหญิงรับใช้ก้าวเข้ากระซิบบางสิ่ง

“พวกเจ้าคุยอะไรกัน” หลี่เปียวถามไถ่ เมื่อเห็นหญิงรับใช้แอบออกจากห้องไปแล้ว

“คือ แม่นางหงส์น้อยจะร่ายรำที่เรือนของนางเจ้าค่ะ คุณชาย” หญิงรับใช้นางหนึ่งบอกกล่าว

“ไฉนพวกเจ้าถึงได้แตกตื่นยิ่งนัก” หลี่เปียวให้สนใจในการร่ายรำของหญิงงามอยู่บ้าง

“ท่านไม่ทราบ แม่นางหงส์น้อยร่ายรำได้งดงามหมดจด ท่วงท่าของนางดังต้นหลิวพลิ้วไหวตามสายลม วาดมือไปมาคล้ายหยอกล้อกับเสียงเพลง ข้าไม่อาจบรรยายได้ดีกว่านี้ เป็นท่านไปดูเองกับตาจึงเข้าใจ” หญิงรับใช้เหม่อลอยยามนึกถึง แม้หงส์น้อยจะอยู่ที่นี่ไม่นาน กลับสร้างชื่อเสียงให้ตนเองยิ่ง

เหยียนอิงเดินเข้ามาภายในโถง ท่าทางของนางสุภาพเรียบร้อยงดงามไม่ต่างจากนายของนาง “คุณชายเสียงขอเชิญคุณชายสง คุณชายหลี่ และท่านเซียะชมการร่ายรำของนายหญิงเจ้าค่ะ”

ฟางสงลุกขึ้นเป็นคนแรกด้วยรอยยิ้ม มันได้รับทราบความงดงามทางศิลปะของนางหงส์มาไม่น้อย ย่อมต้องสนใจชื่นชมสิ่งที่นางถ่ายทอดออกมาให้เห็นยิ่ง

เซียะบ่อจื้อเคยได้ยินคำร่ำลือเรื่องฝีมือในเชิงร่ายรำของนางหงส์ผู้นี้ไม่น้อย อยากเห็นสักครั้งกับตา หากไม่ลืมถือภาพวาดไว้ในมือ ตามหญิงรับใช้อย่างลืมตัว

คนผู้นี้นับเป็นผู้งมงายในศิลปะอย่างแท้จริง...

หลี่เปียวโอบหญิงงามเดินตามไป ตัวมันเพียงชมชอบหญิงงาม หากด้านศิลปะไม่อาจเข้าใจได้อย่างถ่องแท้

*************************************


ยามเมื่อไปถึงเรือนต้อนรับของนางหงส์ ย่อมมองเห็นคนผู้หนึ่งเอนกาย และมีหญิงรับใช้ผู้งดงามคอยดูแลอยู่ไม่ห่างนัก นับว่ามันเป็นบุรุษที่สตรีหลงใหล

ฟางเสียงเอนกายนอนดื่มสุราอย่างสบายอารมณ์ก่อนกวักมือเรียกหาคู่แฝด “มาเถอะ”

“เจ้าดูสบายใจมากมายนัก” ฟางสงนั่งลงข้างๆ แฝดน้องมัน ก่อนยกจอกสุราขึ้นดื่ม

“เจ้าอย่าดื่มมากนัก ข้าวานเจ้าบรรเลงเพลงลมโบกบุปผาพลิ้วอีกครั้ง เพื่อหงส์น้อยร่ายรำตามที่นางต้องการ” ฟางเสียงโอบไหล่เหยียนอิงไว้เคียงข้าง ปล่อยให้นางเติมสุราลงจอกมันอย่างเพลิดเพลิน

“ย่อมได้ เพื่อตอบแทนการแสดงชั้นยอดของหงส์น้อย” ฟางสงหยิบขลุ่ยของมันออกมาจากห่อ ในตอนแรกที่มันเริ่มเป่า มันไม่ยอมเอาออกมาจากห่อ เพียงตอนนี้ขลุ่ยของมันสีดำสนิทแปลกตา ไม่อาจคาดเดาวัสดุที่มันใช้ได้

“ขลุ่ยเจ้าแปลกยิ่งนัก” เซียะบ่อจื้อเคยเห็นขลุ่ยมากมายในแผ่นดิน ทั้งขลุ่ยสวรรค์อันลือเลื่อง หากมันไม่เคยเห็นขลุ่ยเช่นนี้มาก่อน

“ขลุ่ยข้าเรียกหา ‘ขลุ่ยปีศาจ’ มันบรรเลงยากไม่น้อย หากเต็มไปด้วยสีสันความรุนแรง กระชากเอาวิญญาณของผู้คนให้ใหลหลงในวังวนแห่งบทเพลง ตรงข้ามกับขลุ่ยของ ‘ขลุ่ยสวรรค์’ บทเพลงนั้นหล่อหลอมจิตใจผู้คนให้อ่อนไหวโอนอ่อนตามท่วงทำนองของบทเพลง ครั้งหนึ่งข้าเคยประชันบทเพลงกับขลุ่ยสวรรค์ เพียงครั้งนั้นให้หรรษายิ่ง หนึ่งดำหนึ่งขาวกลับสื่อประสานกันอย่างไพเราะ” ฟางสงมีรอยยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ สหายมันผู้ชำนาญการดนตรีนั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก

“ขลุ่ยสวรรค์ยอดเยี่ยมจริงๆ อย่างเจ้าว่า ข้าเคยบรรเลงร่วมกับคนผู้นั้นหลายครั้ง เนื่องด้วยเราต่างลุ่มหลงในดนตรี ดื่มสุราถกปัญหากวี ช่างเป็นบุคคลที่ยากนักจะพบพาน สำหรับเจ้า บทเพลงของเจ้าทำร้ายจิตใจผู้คนยิ่ง ดึงความความรู้สึกซ่อนเร้นในใจผู้คน หากมอบความจริงในใจให้ผู้คนได้คิดไม่น้อย ขลุ่ยปิศาจนี้ ข้าคงต้องเก็บไว้ในทำเนียบสุดยอดสิบเครื่องดนตรีแล้วกระมัง” เซียะบ่อจื้อแสดงความชื่นชมอย่างเปิดเผย

“ท่านยกย่องเกินไป ขลุ่ยกระจอกของข้าหาใช่เครื่องดนตรีมีราคาอย่างท่านว่าไม่” คำพูดมันถ่อมตน หากน้ำเสียงมันกลับภาคภูมิยิ่ง ด้วยมันย่อมทราบคุณค่าของขลุ่ยมันอย่างแท้จริง

“เจ้าจะเริ่มบรรเลงแล้วหรือไม่ หงส์น้อยข้ารอนานแล้ว” ฟางเสียงฟังคำสนทนาอยู่นาน ทว่าสายตามันจับจ้องร่างบางหลังผ้าม่านแพรบาง

ฟางสงหันไปมองร่างนางหงส์หลังม่าน เพียงเงาร่างของนางยังงดงามปานนี้ หากนางร่ายรำจะงดงามเพียงใด มันแตะขลุ่ยที่ริมฝีปาก หายใจเข้าแผ่วเบาบังเกิดเสียงขลุ่ย เริ่มบรรเลงอย่างช้าๆ แฝงสำเนียง

เท้าขาวนวลก้าวพ้นม่านพร้อมเสียงกระพรวนสีทองกังวานตามทำนอง นิ้วมือเรียวงามเปิดม่านเผยร่างเจ้าของสวมอาภรณ์บางเบาสีดอกท้อ แขนของนางวาดดังว่ายในธารน้ำ สะบัดข้อมือสูง ชายตาหวานซึ้งลงมองแขนเสื้อที่ปล่อยลงสู่พื้น ก่อนเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม

หลี่เปียวตะลึงงัน มันไม่เข้าใจในศิลปะ หากในสายตาของมันมีเพียงหญิงงาม ที่ไม่อาจมีนางใดเสมอเหมือน ท่วงท่าที่วาดไหวดังนางฟ้าร่ายรำ บทเพลงนั้นคล้ายหล่อหลอมวนเวียนอยู่ล้อมรอบร่างนาง

เซียะบ่อจื้อมองท่าร่ายรำอย่างงุนงง มันเหม่อมองนางหงส์สะบัดแขนเสื้อบางเบาของนางออกไปด้านข้าง ก่อนหมุนวนโอบร่างนางงามไว้ สีหน้าของนางอ่อนไหวตามบทเพลง จัดเป็นการแสดงชั้นยอดเกินกว่าจะอยู่เพียงในสวนชมวิหคแห่งนี้

หงส์น้อยเคลื่อนไหวใกล้ฟางเสียง มันดื่มสุราตาปรือมองนางรำด้วยรอยยิ้ม ไม่คล้ายผู้สนใจในความงดงามอันสะกดผู้คนของนางหงส์ แต่เพียงรอยยิ้มของมันก็ทำให้หญิงผู้งมงายลืมสิ้นในสรรพสิ่ง เพียงถ่ายทอดความรู้สึกออกมากับการร่ายรำเท่านั้น

ฟางสงมองยอดหญิงงามที่มันเคยพบ บรรเลงบทเพลงชั้นยอดให้ความงามนั้นเหนือล้ำกว่าเดิม เสียงกระพรวนรับกับจังหวะในบทเพลง เสริมสร้างความสมบูรณ์ให้บทเพลงไพเราะอีกแบบ เพียงเสียดายสุดท้ายบทเพลงต้องจบลง

บุรุษหนุ่มต่างเงียบงัน มองนางหงส์หยุดนั่งลงในอ้อมกอดของฟางเสียง ฟางสงวางขลุ่ยมันลงส่ายหน้าพักหนึ่ง ก่อนคลี่พัดมันออกคล้ายครุ่นคิด

*************************************


“ยอดเยี่ยม” หลี่เปียวระบายความอึดอัดออกมา มันไม่อาจขยายความหมายแห่งศิลปะได้ล้ำลึก ทว่าศิลปะกลับฝังแน่นอยู่ในใจมันจนยากลืมเลือน ความงดงามดังเทพธิดาร่ายรำนี้ย่อมบันทึกอยู่ในความทรงจำมัน

“หากมิได้รู้จักคุณชายสงและคุณชายเสียง ยังมีโอกาสลิ้มรสความงดงามในบทเพลง ‘ลมโบกบุปผาพลิ้ว’ สมใจนัก ข้าจะจนจำวันนี้เอาไว้ ขอดื่มให้แม่นางหงส์น้อยผู้งดงาม” เซียะบ่อจื้อไม่อาจห้ามมิให้ตนเองชื่นชมหญิงงามเมืองผู้นี้

“ข้าเพียงอยากรู้ว่าเสียงน้อยรู้จักหงส์น้อยได้เช่นไร” ฟางสงเอ่ยวาจาที่ครุ่นคิดอยู่ในใจ แม้แต่มันก็ไม่อาจเข้าใจ

ฟางเสียงเพียงมีรอยยิ้มประหลาดเป็นคำตอบ สองหญิงงามข้างกายของมันก็เช่นกัน รอยยิ้มของนางรำและหญิงรับใช้งดงามยากนักจะพบพาน ทว่าเป็นรอยยิ้มแฝงความลับไว้มากมาย

“ไม่ตอบไม่เป็นไร ข้าต้องรู้ให้ได้สักวัน” ฟางสงมันรู้เรื่องพี่น้องมันไม่มากนัก

“พวกเจ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่เยาว์วัยหรือ” หลี่เปียวเริ่มสงสัยในสหายมัน

“เราสองอยู่ด้วยกันเพียงปีละสามเดือนเท่านั้น เสียงน้อยได้รับการเลี้ยงดูจากท่านตาท่านยายเรา เป็นเรื่องที่ได้รับการกำหนดขึ้นจากฟ้า ชะตาเราสองได้ถูกกำหนดแล้ว” ฟางสงเปิดเผยแก่สหายของมัน

“อืม เป็นเรื่องน่าแปลก แต่นั้นทำให้ข้าเข้าใจแล้ว ไฉนเจ้าทั้งสองจึงแตกต่างกันยิ่งนัก” เซียะบ่อจื้อเงยหน้าขึ้นเอ่ยวาจาหลังจากที่มันก้มลงเขียนบทกลอนลงบนภาพเขียน

“คุณชายเซียะแต่งบทกลอนเสร็จแล้วกระมัง” ฟางเสียงเปลี่ยนเรื่อง มันไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องใดมากมายนัก

“ย่อมเป็นเช่นนั้น” เซียะบ่อจื้อยิ้มพอใจ หันอักษรลงหมึกทิ้งน้ำหนัก แสดงความเชี่ยวชาญและฝีมือการเขียนพู่กันของมันอย่างแท้จริง อักษรของเทพพิณกวีผู้ใดได้ครอบครองย่อมภาคภูมิ ราคาในท้องตลาดสูงริบยากนักจะหาซื้อได้

ยอดหญ้าโอนอ่อนพลิ้วไหว...

สายลมลูบไล้ปลอบขวัญ…

บุปผาสวรรค์พลันปรากฏ...

งามงดแอบซ่อนรอคอย...

“บทกลอนของท่านไม่คล้ายจบ กลับปล่อยให้ผู้คนสงสัย” ฟางสงถามไถ่ขึ้นหลังพิจารณาความหมายในบทกลอน

“ย่อมเป็นเช่นนั้น เมื่อภาพวาดของคุณชายเสียงเจตนาให้ผู้คนเฝ้ารอคอยคำตอบ ข้าจึงไม่อาจปล่อยเฉย ตั้งปริศนาให้ผู้คนครุ่นคิด บุปผาคือหญิงงาม หญิงงามนางใดเฝ้ารอคอยเช่นนี้อยู่ชั่วนิรันดร” เซียะบ่อจื้อตั้งคำถามเช่นกัน

ฟางเสียงไม่ตอบคำ มันยกป้านสุราขึ้นดื่มอย่างกระหาย หาเสียดายสุราไม่ด้วยมีเงินทองใช้จ่าย มิเป็นที่ลำบากอันใด

ทั้งสามเริ่มชินชากับความเงียบของมัน ยามมันเอ่ยคำสร้างความยุ่งยากใจแก่ผู้คน ยามมันไม่เอ่ยวาจา กลับสร้างความสงสัยให้ผู้คนยิ่งกว่า

“ข้าต้องการทราบ ในฐานะที่เจ้าทั้งสองล้วนเป็นผู้สำราญ เจ้ามีหญิงงามนางใดในใจหรือไม่” หลี่เปียวคิดเปลี่ยนคำถาม มันไม่ต้องการให้คำสนทนาจบลง

“ขณะนี้เราสองมีหญิงงามนางเดียวเท่านั้นอยู่ในใจ” ฟางสงตอบคนแรก และมีรอยยิ้มพราย

“นางนั้นแซ่จู นามคำเดียวว่าจู...ไข่มุกหนึ่งเดียวอันมีค่า” ฟางเสียงตอบอีกคน ไม่รอให้อีกคนถาม ทั้งยังมีรอยยิ้มงดงามยามนึกถึงเจ้าของนาม

เซียะบ่อจื้อฟังคำตะลึงลาน มันมีสองไฉนรักสตรีนางเดียวกัน เพราะงั้นมันถึงได้เที่ยวมีหญิงงามมากมาย เมื่อไม่อาจแบ่งปันครอบครอง

“ไม่น่าเชื่อเจ้าทั้งสองชมชอบสตรีคนเดียวกัน” หลี่เปียวขบคิดไม่เข้าใจด้วยความแตกต่างยิ่งของพวกมัน

“ไม่เพียงชมชอบ หากคิดเลือกสตรีนางใดเป็นภรรยาเรา ยังคงต้องเลือกให้ได้ตามมาตรฐานของจูจู” ฟางสงเป็นผู้ตอบแทน มันโบกพัดเล็กน้อยอย่างเพลิดเพลิน มิได้สนใจในความสงสัยของสหายพวกมัน

พวกมันทั้งสองต่างเห็นเช่นเดียวกัน...

ทั้งสองต่างต้องการยลโฉมหญิงงามนางนี้...จะงดงามปานนางฟ้านางสวรรค์เพียงไร

“เจ้าไม่ต้องสงสัยไปหรอก หากมีวาสนาเราสองจะพาพวกเจ้าไปพบนาง” ฟางเสียงโอบหญิงงามทั้งสองของมัน ไม่มีนางใดคิดอิจฉาแม่นางไข่มุกแม้เพียงผู้เดียว

หากสตรีนางใดคิดอิจฉาสตรีนางนี้ย่อมมิได้คลี่คลายความในใจลงได้ ด้วยในสายตาของพวกมันนั้น มิเคยคิดอื่นใดนอกจากหวังให้สตรีคู่ควรคือ...สตรีดีพร้อมเช่นจูจู

*************************************


ฟางเสียงโบกมือเรียกพี่มันและสหาย ให้แอบขึ้นไปยังหลังคาเรือนบุปผาสวรรค์ แววตามันแวววับคล้ายพบเจอเรื่องสนุกสนาน มันลอยขึ้นไปยังหลังคาได้อย่างง่ายดาย เมื่อพี่มันจับที่คอเสื้อมันพร้อมวางมันลงอย่างแผ่วเบา

แฝดพี่และสหายมันต่างงุนงง มันชักชวนทั้งสองออกเที่ยวยังเมืองซันหมิง แท้จริงแอบแฝงความนัยบางอย่าง หากปากมันหนักยิ่งกว่าศิลาร้อยชั่ง ไม่ยอมบ่งบอกความใดออกมาจนบัดนี้

“เจ้าพาเรามายังที่อันใด” ฟางสงถาม หากไร้เสียงใดจากปากคู่แฝดมัน

“ข้าพาเจ้ามาก่อกวนผู้คน” ฟางเสียงเขียนข้อความลงบนมือแฝดพี่มัน

หลี่เปียวมองสหายฝาแฝดของมันสนทนากันอย่างสงบ มันเองถูกพามาโดยไม่ตั้งใจ ได้แต่ขมวดคิ้ว พยายามทำความเข้าใจความซุกซนของสหาย

“ผู้คนอันใด” ฟางสงถามพี่น้องมันอย่างสงสัย

“หวงต้าปิง หิมะทมิฬแห่งนครเหนือฟ้า คราวก่อนมันโดนเจ้าเล่นงานสาหัสนัก ตอนนี้มันฟื้นตัวแล้ว ข้าจึงอยากก่อกวนมัน จะได้ไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับพวกเราอีก” ฟางเสียงผู้ไม่เกรงกลัวผู้คนบอกแก่พี่น้องของมัน

“ไม่ได้ เจ้าคงไม่อยากให้ท่านพ่อโกรธเจ้ากระมัง” ฟางสงตักเตือนน้องมันที่วิ่งไปหาความยุ่งยาก

“ไม่หรอก ท่านพ่อไม่เคยโกรธข้าเลย อีกอย่างข้ารู้มาว่ามันจับตัวเจ้าเรือนบุปผาสวรรค์ เพื่อบังคับเอาพลังวัตรพันปีของเจ้าเรือนคนก่อนๆ ที่เก็บเอาไว้ ข้าไม่รู้นะว่ามันได้ไปหรือยัง แต่ถ้าเจ้ามีคุณธรรมควรช่วยเหลือผู้คนเดือดร้อนบ้าง” ฟางเสียงกล่าวอ้างยกคุณธรรมขึ้นมา ทำให้พี่น้องมันคิดหนัก หากในใจของมันนึกถึงเรื่องสนุกสนานเท่านั้น

“พวกเจ้าคุยกันแบ่งข้ารับรู้บ้างได้หรือไม่” หลี่เปียวเขียนอักษรลงบนมือเช่นกัน

“ย่อมได้” ฟางสงเป็นผู้อธิบายเรื่องราวแก่สหายของมันอย่างละเอียด

“แล้วเสียงน้อยเจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร” มันสงสัยในข่าวสารของสหายมันไม่น้อย เพียงไม่กล้าหาเรื่องซักความด้วยเกรงว่าคงมิอาจได้คำตอบที่ดี

“ข้ารู้ก็แล้วกัน อย่างที่เจ้ารู้ ตอนนี้นครเหนือฟ้ามีความเคลื่อนไหวบางอย่างที่พวกเจ้าสงสัย” รอยยิ้มของมันเปล่งประกายประหลาด จนหลี่เปียวเริ่มสนใจ

เสียงกระเบื้องแตกร้าวปริออก ร่างมอซอเสียหลักหล่นลง ก่อนลอยคว้างเมื่อพี่น้องของมันใช้เศษผ้ากระตุกมันเอาไว้ มันมองไปทั่วห้องเห็นชายหนุ่มรูปงามอาภรณ์สีดำ หากสายตาของมันกลับเย็นเยือกฝากรอยแค้นมาให้ ฟางเสียงหาเก็บมาใส่ใจไม่ มันกวาดสายตาไปทั่วห้อง

บุรุษผู้หนึ่งนั่งยองๆ มือแตะพื้น สวมชุดสีน้ำตาลไหม้ปิดตาไว้ข้างหนึ่ง มองฟางเสียงด้วยตาอีกข้างที่กรอกไปมาอย่างน่ากลัว ด้านข้างของมันมีสตรีหญิงงามอาภรณ์เขียวนางหนึ่งยืนอยู่ รอยยิ้มนางหวานซึ้งมองใบหน้าราวเทพบุตรของมันอย่างพอใจ

หากหญิงสาวอีกคนอาภรณ์ฟ้าก้มหน้างุดไม่กล้าสบตามัน เกรงว่านางจะเป็นหนึ่งในบุปผาสวรรค์ที่ถูกจำกัดไว้ในเรือนตน และอีกนางหนึ่งอาภรณ์เขียวอ่อนที่เงยหน้าช่างมีแววตาคมกล้า น่าจะเป็นบุปผาสวรรค์เช่นกัน เมื่อนางทั้งสองต่างตัดชุดคล้ายคลึงกัน

“สวรรค์มีไม่ไป กลับต้องการมายังนรก” หวงต้าปิงมองคู่อรินัยน์ตาแวววับ

ฟางสงตัดสินใจกระโดดลงสู่พื้น มันเห็นคนทั้งหมดแต่ต้น เสแสร้งกล่าววาจานอบน้อม “หิมะทมิฬท่านอย่าถือสา เด็กน้อยอย่างเราย่อมไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”

หลี่เปียวมองสหายมันอย่างงุนงง มันมิเคยได้ยินวาจานบนอบจากสหายมันเช่นนี้ หรือสหายมันจะกลัวตายเสียแล้วกระมัง

“ฟ้าสูงเป็นเช่นไร แผ่นดินต่ำอยู่ที่ใด วานท่านบอกข้าสักครั้งเถอะ” ฟางเสียงกับต่อคำพี่น้องมันได้กวนโทสะ แถมชี้นิ้วไปมาวกวนก่อกวนความสงบ

“ให้ข้าสั่งสอนเด็กโง่คนนี้เถอะ” เทพอัปสรหัวเราะคิกคัก ก่อนขยับเข้ามาใกล้ ฟาดกิ่งไม้อ่อนลงที่แขนเด็กหนุ่มผู้โง่เขลา หากฟางสงคาดไม่ผิด กิ่งไม้นั้นแฝงลมปราณฝากมา จึงสะบัดพัดต้านรับแทนพี่น้องมัน

“เด็กน้อยนี้อยากเล่นกับพี่สาวกระมัง” เทพอัปสรจึงหันไปหยอกล้อกับเด็กน้อยอีกคน

“พี่สาวท่านงดงาม สงน้อยเห็นยังต้องตะลึงลาน อยากให้พี่สาวใหญ่หยอกล้อกับมัน” ฟางเสียงส่งเสียงก่อกวนโทสะคนที่เหลือ

หิมะทมิฬรับทราบเพลงยุทธ์ของเด็กหนุ่มฟางสงมาบ้าง จึงไม่ผลีผลามเช่นเทพอัปสร กลับหันไปมองเด็กแฝดอีกคน “วันก่อนเจ้าไม่กลัวบัญชาแห่งฟ้า ไม่คิดเลยว่ายังไม่มีโอกาสได้รับ เจ้าก็ต้องตายเสียก่อน”

ฝ่ามือทลายน้ำแข็งของหิมะทมิฬโบกเข้ามาใกล้ฟางเสียง มันวิ่งหลบเป็นพลันวันตามหลังเสา แม้ไม่มีวิชาตัวเบาแต่ฝีเท้ามันนั้นยอดเยี่ยม หากมีหรือจะรอดพ้นฝ่ามือทลายน้ำแข็งได้ ถ้าไม่เพียงฟางสงมาช่วยได้ทันท่วงที

เทพอัปสรให้แปลกใจเด็กหนุ่มนี้ไม่คล้ายผู้ยอดยุทธ์ทั้งอายุน้อย แต่มันหยอกล้อหาใส่ใจในวรยุทธ์ของนางไม่ หนึ่งพัดมันปัดป้อง หนึ่งมือมันไพล่หลังไว้ไม่ใช้ออกมา นางติดตามเด็กน้อยถอยหลัง เพียงนึกรู้ภายหลังมันล่อลวงนางให้รับมือกับพวกเดียวกัน

“เจ้า” หิมะทมิฬตกใจเมื่อฝ่ามือของมันโบกใกล้ใบหน้าเทพอัปสร นางจำใจงัดท่าหักยอดเด็ดหัวใจออกมาใช้เพื่อป้องกันตัว

หิมะทมิฬไม่อาจรั้งฝ่ามือกลับ เมื่อเจอแส้ของพวกเดียวกัน จึงต้องให้แขนเสื้อพันแส้เอาไว้ โอนผ่อนปรนพลังของนาง ต่างฝ่ายต่างถอยหลังออกจากกันออกมา

“เด็กร้ายกาจ” บุรุษเหล็กใช้มือแตะพื้นจนแตกกระจาย กระโดดเข้าร่วมกับฟางสง มันปล่อยกรงเล็บเหล็กไหลใส่เด็กหนุ่มฟางสง

ฟางสงหันมารับท่ากรงเล็บสลายใจของบุรุษเหล็กด้วยพัดของมัน น่าแปลกพัดกระดาษไม่ขาดแม้แต่น้อย กลับพกพาพลังแข็งแกร่งยากต้านทานสายหนึ่งมาให้ ถ่ายทอดผ่านกรงเล็บเหล็กไหลเกือบเข้าทำร้ายบุรุษเหล็ก โชคดีมันสลายพลังวัตรนั้นก่อนถึงตัวมัน

เทพอัปสรเห็นช่องทำร้ายผู้คน จึงเสือกไสแส้ออกไปลอบทำร้าย หากหลี่เปียวอยู่วงนอกเห็นชัดเจน จึงเสือกไสกระบี่อ่อนสีเขียวที่เอวมันขัดขวาง ท่าฟาดฟ้าทลายลมเกิดแสงเข้าตาคู่ต่อสู้จนตาลาย

ทั้งสองคู่สู้ติดพัน ยังไม่รู้ผล แต่หลี่เปียววรยุทธ์อ่อนด้อยตกเป็นเบี้ยล่างของเทพอัปสร และฟางสงยังต้องออกมือช่วยอยู่เรื่อยๆ ขณะที่ฟางเสียงยืนมองกอดอกนิ่งบนประตูกล หากเพียงมันหันมามองแม่นางชุดฟ้าสักนิด มันคงไม่ต้องกลายเป็นปลาติดเบ็ด

หิมะทมิฬเห็นเช่นนั้น จึงเหยียบลงกลไก ทำให้ฟางเสียงไม่ระวังตกลงไป “ฮ่าๆๆ หยุดมือ”

ฟางสงเห็นแฝดน้องของมันหล่นลงยังประตูลับ ตัวมันเองก็แทบแย่ เมื่อบุรุษเหล็กพยายามหยั่งเชิงวิชามัน มันจึงอาศัยจังหวะนั้น เกี่ยวแขนสหายมันกระโจนขึ้นไปยังที่มันลงมา พร้อมขว้างผงยาสีขาวเพื่อหลบหลีกการตามล่า

“ยาพิษ” เทพอัปสรนั่งลงขับพิษ นางร้องบอกพวกพ้องของนาง ก่อนทุกคนจะขับพิษออกมาจนหมด

สตรีชุดฟ้าที่กำลังก้มหน้านั้นมองมิเห็นยาพิษลอยมา จึงไม่อาจรู้ได้ ทำให้เป็นลมล้มสลบไป พร้อมสตรีชุดเขียวที่อยู่ข้างกาย

เรือนบุปผาสวรรค์จึงมีแต่ความเงียบเข้าครอบงำ...หารู้ชะตากรรมอันใดไม่

*************************************


ฟางสงพาสหายมันที่มีบาดแผลเต็มตัว สีหน้าเย็นชา หากมันไม่ใส่ใจ ลากสหายมันมายังสวนดอกไม้ของบ้านตระกูลผู้ดีในเมืองซันหมิง

“เจ้าโกรธเคืองข้าเรื่องใด” ฟางสงถามขึ้นเมื่อไม่เห็นสหายมันเอ่ยวาจา

“ไฉนเจ้าทอดทิ้งเสียงน้อย” หลี่เปียวสงสัยในสหาย

“เจ้าไม่เข้ใจ เอาเถอะ ข้าจะอธิบาย ประการแรกข้ารู้ว่าเสียงน้อยจะต้องปลอดภัย การที่ข้าถอยออกมาครั้งนี้ เจ้าไม่ต้องห่วง เสียงน้อยรู้ว่าอย่างไรเสีย ข้าต้องกลับไปช่วยมัน

ประการที่สองข้าต้องการอาวุธคู่มือของข้าเสียก่อน ประการที่สามเจ้าไม่เห็นรึ มันทั้งสามล้วนไม่แสดงความสามารถที่แท้จริงของมันออกมา อาจมีบางสิ่งที่พวกมันต้องการรู้ อย่างน้อยตอนนี้มันก็อยากรู้ว่าข้าเป็นใคร และร่ำเรียนวิชาของค่ายสำนักใด” ฟางสงพาสหายเดินผ่านทางเดินหินตรงไปยังศาลากลางสวน

ยังมีพี่น้องใดเชื่อใจกันถึงเพียงนี้ หลี่เปียวมองสหายมันใหม่แอบลอบสำนึกที่เข้าใจสหายมันผิดไป จากที่มันเห็นฟางสงมิใช่คนไร้ไมตรี ก่อนหนียังเกี่ยวเอวมันใช้วิชาตัวเบาที่สูงล้ำกว่ามัน พร้อมทั้งโยนผงสีเขียวเพื่ออำพราง

“ข้าเห็นเจ้าใช้อยู่ท่าสองท่า มันยังดูออกอีกหรือ” หลี่เปียวถามขึ้นอย่างสงสัย มันไม่รู้ตัวเลยว่าสหายมันพามันมายังที่ใด

“มันยิ่งดูไม่ออก มันยิ่งอยากรู้ และข้าไม่มีวันบ่งบอกออกไป ไม่เช่นนั้นข้าต้องถูกท่านพ่อลงทัณฑ์” ฟางสงไม่อาจบอกสหายให้มากกว่านี้ ต่อให้เป็นสหาย ทว่าคำสั่งบิดาไม่อาจละเมิดได้

“วิชาของเจ้า บิดาเป็นผู้ถ่ายทอดเช่นนั้นหรือ” หลี่เปียวถามอีก ด้วยมันอยากรู้ความเป็นมาของสหายมันไม่น้อย

“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น วิชาของท่านพ่อไม่ถ่ายทอดสู่บุตร หากเป็นผู้สืบทอดเท่านั้น จึงมีสิทธิฝึกฝน วรยุทธ์ข้าได้รับมาแต่ตำราเท่านั้น ต้องฝึกฝนด้วยตนเอง” ฟางสงเดินผ่านศาลากลางสวนดอกไม้ไปอีก มันเดินตรงไปยังกระท่อมท้ายสวน โดยไม่บอกสิ่งใดแก่สหาย

“ไฉนมีเรื่องประหลาดเพียงนี้” หลี่เปียวแตะคางของมันเบาๆ ครุ่นคิด หากฝีเท้ายังคงติดตามสหายไปโดยมิตั้งคำถาม

“ข้าไม่ต้องการภาระประการนั้น ฝึกเองไม่มีอาจารย์ผู้ถ่ายทอดย่อมเป็นอิสระกว่า เจ้าหยุดเพียงนี้เถอะ หากเจ้าไปด้วย นางจะต้องตกใจ” ฟางสงบอกให้สหายมันนั่งรออยู่ที่โต๊ะหิน

หลี่เปียวงุนงง นางหรือ...สตรีอันใดกันที่สหายมันพามาพบในยามวิกาล มันมองไปโดยรอบเห็นสวนและบ้านเรือนในยามค่ำคืน มันเดาไม่ผิด...ที่นี่ต้องเป็นบ้านผู้ดีในเมืองนี้แน่นอน

ฟางสงไม่หันมามองสหายมันอีก เดินตรงไปยังห้องนอนของสตรีนางหนึ่ง ก่อนเคาะประตูแผ่วเบา และรอคอยให้ผู้ที่อยู่ภายในเปิดประตูรับมันเข้าไป

หลี่เปียวมองร่างสหายอ้าแขนออกรับหญิงสาวที่กระโดดโอบกอดรอบคอมัน สหายมันผู้นี้เป็นที่หลงใหลของสตรีแน่แท้ มันเพียงยิ้มรอคอยสหายมันเรียกหามัน แม้อาจต้องรอทั้งคืนก็ตาม และแผลเริ่มแสบด้วยฤทธิ์สายลมเย็นยามค่ำคืน ผิดคาดสหายมันเดินกลับมาหามันไม่นานหลังเข้าไปพูดคุยในห้อง

“ไปเถอะ เจ้าต้องทำแผลแล้ว นางอนุญาตให้เจ้าเข้าพัก รุ่งสางค่อยไปทักทายนาง” ฟางสงพาสหายมันตามหญิงรับใช้ไปยังเรือนพัก

หลี่เปียวได้แต่สงสัย ไฉนสหายมันจึงกว้างขวางถึงเพียงนี้ แต่เหตุใดชื่อของฟางสงจึงไม่อยู่ในทำเนียบยอดยุทธ์รุ่นเยาว์ดังเช่นมัน

*************************************
สวัสดีค่า มาส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ค่า
คุณใบบัวน่ารัก --- คุณชายใหญ่เท่ห์ด้วยค่า
คุณ konkin --- ค่อยๆ เฉลยนะคะ (ปมซ้อนปมค่ะ)
คุณ ตุ้งแช่ --- แฝดสองค่า ^^
ขอบคุณที่ติดตามนิยายนะคะ
เจอกันปีหน้า...56...ค่า^^



เพลิงวารี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ธ.ค. 2555, 21:55:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ธ.ค. 2555, 21:55:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 1600





<< 02 แฝดปริศนา   04 อึดอัดขัดแย้ง >>
ตุ๊งแช่ 31 ธ.ค. 2555, 22:12:49 น.
สวัสดีปีใหม่ วุ้ยตัวละครเยอะ จำไม่หมด เง้อๆ สาวเยอะจนงงๆๆๆ


konhin 31 ธ.ค. 2555, 23:13:11 น.
อืมมม ฝาแฝดที่ไว้ใจกันที่สุด แต่ก็หันมากัดกันเองด้วย เอากะมันสิ หึๆๆ


ใบบัวน่ารัก 1 ม.ค. 2556, 09:52:15 น.
ไม่มีพี่น้องผู้หญิงบ้างหรือ?
สวัสดีวันปีใหม่นะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account