ดวงใจจ้าวรัตติกาล โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
'นางคือจันทราสว่างไสว นางคือจอมใจเมื่ออยู่เคียงขวัญ นางคือคู่แท้แห่งนิรันดร์ นางคือชีวันจ้าวรัตติกาล'
เขาไม่เคยเห็นค่าของสิ่งที่มีจวบจนวันที่เสียไป สายไปไหมหากจะวอนขอให้จันทร์จ้าวกลับมาอยู่เคียงข้าง
เขาไม่เคยเห็นค่าของสิ่งที่มีจวบจนวันที่เสียไป สายไปไหมหากจะวอนขอให้จันทร์จ้าวกลับมาอยู่เคียงข้าง
Tags: โรแมนติก เจ้าหญิงเจ้าชาย พระเอกขรึม นางเอกขรึมกว่า ความรัก การเมืองเล็กๆ
ตอน: บทที่ 3 ปริศนา 1
บทที่ 3 ปริศนา 1
การเดินทางจากประตูพระราชวังไปยังมหาวิหารด้วยการเดินเท้าจะใช้เวลาสองถึงสามชั่วโมง ถ้าใช้รถม้าก็จะย่นเวลาลงมาเกินกึ่งหนึ่ง ทว่าขบวนเสด็จของเจ้านิศามณีกับจ้าวทิวากลับเคลื่อนที่ได้ช้าเสียยิ่งกว่าเดิน เนื่องจากเจ้านางมีรับสั่งให้ชะลอความเร็วรถลง เพื่อไม่ให้ฝุ่นฟุ้งใส่เหล่าชาวเมืองที่มารอเฝ้าชมพระบารมี
“เราจะไม่เร่งความเร็วหน่อยหรือพี่หญิง ช้าแบบนี้น่ากลัวว่ากว่าจะถึงมหาวิหารก็คงเที่ยง พี่หญิงลืมไปแล้วกระมังว่านี่ไม่ใช่สมัตนครจะได้ต้องระวังเวลารถวิ่ง”
สมัคนครเป็นเมืองที่เจ้าทินกรเคยไปฝึกตน ที่นั่นแห้งแล้งกันดารมาก ถนนหนทางเป็นดินแดงไม่ใช่ถนนปูนสะอาดสะอ้านอย่างในเมืองหลวง จะไปไหนมาไหนทีจึงแทบจะอิ่มฝุ่นแทนข้าว
“ไปช้าๆ เช่นนี้น่ะดีแล้ว คนจะได้ชมบารมีเจ้ากันทั่วหน้า ชาวเมืองจะได้รู้กันอย่างไรเล่าว่าน้องพี่เปลี่ยนไปเป็นคนใจเย็นและคำนึงถึงเหล่าไพร่ฟ้าแล้วจริงๆ”
ที่แท้เจ้านิศามณีก็ไม่ได้ห่วงเรื่องฝุ่นเลยสักนิด ทรงพยายามจะเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของจ้าวทินกรต่างหาก
สมัยยังเป็นวัยรุ่นเจ้าทินกรทรงสร้างความเดือดร้อนให้ชาวเมืองหลวงชนิดนับไม่ถ้วน คะแนนนิยมในตัวจึงค่อนข้างจะติดลบ แม้ช่วงสามปีมานี้จะมีผลงานมากมายแต่ก็ไม่ได้เน้นการพัฒนาเมืองหลวง ผู้คนจึงยังติดภาพเจ้าทินกรที่ทรงใจร้อนวู่วามเอาแต่พระทัยอยู่
“ถ้าจะสร้างภาพเช่นนั้นน้องไม่เอาด้วยหรอก น้องขอพิสูจน์ตัวเองด้วยตัวตนของน้องจะดีกว่า” ตรัสจบก็มีรับสั่งให้หยุดรถแล้วเสด็จลงไปทักทายชาวเมืองที่รอรับเสด็จอยู่ริมทาง
คนเป็นพี่ยิ้มตามแผ่นหลังที่หายลับไปจากราชรถอย่างพึงพอใจ พระนางรู้นิสัยน้องชายคนเดียวคนนี้ดีว่าหากไปเซ้าซี้ให้ทำนั่นทำนี่ทินกรจะต่อต้านและทำตรงกันข้ามเพื่อประชด แต่ถ้าแนะนำและกระตุ้นอย่างถูกวิธีแล้วล่ะก็ ทินกรจะวางตัวได้เหมาะสมและทำงานออกมาได้ดีเหนือความคาดหมายทีเดียว
ที่ผ่านมาเหล่าขุนนางต่างกราบทูลให้จ้าวทิวาหันมาสนใจเรียกความนิยมจากเหล่าชาวเมืองหลวง แต่จ้าวทิวาก็มิได้ใส่ใจ เนื่องจากเล็งเห็นว่าปัญหาในเมืองหลวงนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย เทียบไม่ได้เลยกับความเดือดร้อนของราษฎร์ในถิ่นกันดาร ดังนั้นจึงต้องเร่งให้ความช่วยเหลือในส่วนที่จำเป็นจริงๆ ก่อน
ความคิดอ่านของจ้าวทินกรนั้นจัดกว่าถูกแต่ก็ไม่ครอบคลุมเสียทีเดียว เพราะฐานอำนาจแห่งความมั่นคงของรัฐล้วนอยู่ที่ชาวเมืองทั้งสิ้น โดยเฉพาะชาวเมืองหลวง หากศูนย์กลางแน่นแฟ้นเป็นบึกแผ่นแล้วราชอาณาจักรก็ยากจะสั่นคลอน เจ้านิศามณีจึงจำเป็นต้องกระตุ้นให้จ้าวทิวาทำตัวให้เป็นที่ชื่นชอบของชาวเมืองในเร็ววัน
จ้าวทิวาเสด็จลงไปได้ครู่หนึ่งเสียงกู่ร้องชื่นชมก็ดังก้อง ดูท่าพระอนุชาของพระนางคงไปทำอะไรให้เป็นที่ถูกใจชาวเมืองเข้าเป็นแน่
“เจ้าลงไปดูให้ทีว่าน้องเราทำอะไร” เจ้านางรับสั่งกับคุณข้าหลวงเนื่องจากไม่สามารถเสด็จลงไปได้
กฎมณเฑียรบาลระบุไว้ชัดว่าสตรีสูงศักดิ์ในราชสำนักต้องเก็บเนื้อเก็บตัว ห้ามเปิดเผยพระพักตร์ให้บุคคลทั่วไว้ได้เห็น เว้นแต่จะเป็นราชกิจหรือมีพิธีสมโภชสำคัญเท่านั้น
“รับด้วยเกล้าเพคะ” วิฬาร์ค้อมศีรษะทำความเคารพแล้วลงจากรถม้าพระที่นั่งไป
ครู่เดียวคุณข้าหลวงก็กลับมาพร้อมกับเรื่องเล่ายาวเหยียดว่าจ้าวทิวาบังเอิญไปพบกับแม่ค้าคนหนึ่ง หน้าตาซูบซีดเหมือนป่วย ก็เลยตรัสถามไปว่าเป็นอะไรแล้วไปหาหมอมาหรือยัง แม่ค้าจึงกราบทูลว่าหมอในเมืองหลวงที่มีฝีมือคิดค่ารักษาแพงมาก คนหาเช้ากินค่ำอย่างนางไม่มีปัญญาจ่าย เลยได้แต่หาสมุนไพรกินไปตามเรื่อง
จ้าวทินกรก็ทรงมีรับสั่งให้หมอหลวงที่ติดตามมาตรวจอาการของแม่ค้าคนนั้น จากนั้นก็สั่งให้อยู่ช่วยตรวจรักษาชาวเมืองโดยไม่คิดค่ารักษาจนกว่าจะเสด็จกลับจากมหาวิหาร คนก็เลยเฮกันลั่น ต่างก็พากันกล่าวสรรเสริญเยินยอในพระมหากรุณายกใหญ่
จัดการเรื่องหมอหลวงแล้วเจ้าทินกรก็เสด็จกลับมาที่รถม้า ทรงกลับมาปรึกษากับเจ้านางว่าจะให้หมอหลวงในวังแบ่งเวรกันออกมาตรวจรักษาชาวเมืองสัปดาห์ละครั้งโดยไม่คิดค่ารักษา จะได้ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชนชั้นล่างได้บ้าง
“พี่หญิงเห็นควรประการใด”
“เจ้าคิดจะช่วยเหลือราษฎรเช่นนี่มีหรือพี่จะขัด สัปดาห์ละครั้งอาจจะยังไม่พอ เจ้าลองเสนอเรื่องในที่ประชุมสิ เผื่อจะมีหนทางที่ดียิ่งกว่า”
เรื่องสุขอนามัยของชาวเมืองหลวงเป็นเรื่องสำคัญ เสด็จพ่อจึงเคยปรารภไว้ว่าอยากจะตั้งโรงยาหลวง เก็บค่ารักษาในราคาถูก ทว่าจัดตั้งได้ไม่นานก็ประชวรและมีปัญหาเรื่องการโกงกินก็เลยต้องล้มเลิกไป ชาวเมืองจึงต้องทนถูกขูดรีดค่ารักษาที่แพงเกินควรต่อไป
เจ้านิศามณีรู้หนทางแก้ไขแต่ไม่ตรัสบอก เพราะต้องการเจ้าทินกรคิดได้เอง แล้วก็ไม่ผิดหวังเมื่อพระอนุชาตรัสกลับมา
“น้องว่าเราตั้งโรงยาหลวงขึ้นมาใหม่ดีไหมพี่หญิง ค่ารักษาก็สุดแต่จะให้ ขาดเหลืออย่างไรก็มาเบิกเอากับหลวง”
“เจ้ารู้ด้วยรึว่าอดีตเราเคยมีโรงยาหลวง”
“น้องรู้จากบันทึกราชกิจที่ให้ท่านราชเลขาอ่านให้ฟังทุกคืน”
พอนึกภาพราชเลขาวัยกลางคนต้องมาคอยนั่งอ่านบันทึกให้จ้าวทิวาฟังแทนนิทานก่อนนอน คนเป็นพี่ก็ทั้งขำทั้งอ่อนใจ
ทินกรนี่ช่างเกลียดการอ่านได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ
“เจ้าใช้งานท่านราชเลขาหนักไปแล้วนะทินกร เห็นทีพี่คงต้องหาคนอ่านหนังสือแทนท่านราชเลขาส่งไปให้เจ้าเสียแล้ว”
ตลอดสามปีมานี้ท่านราชเลขาต้องปวดเศียรเวียนเกล้าเพราะทินกรมิใช่น้อย ตอนนี้ทินกรเริ่มบริหารราชกิจได้คล่องขึ้น จึงน่าจะให้ท่านราชเลขาได้พักบ้าง
“แล้วแต่พี่หญิงจะโปรดเถิด ขอแค่อ่านหนังสือรู้เรื่องน้ำเสียงไม่น่ารำคาญจะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น”
จากนั้นหัวข้อการสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องเหตุบ้านการเมืองและเรื่องสัพเพเหระจนกระทั่งถึงมหาวิหาร
มหาวิหารแห่งแคว้นกาลัญญุตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมืองชั้นกลางจากทั้งหมดสามชั้น ตัววิหารตั้งอยู่บนเนินเขาสูงแยกออกมาจากเขตชุมชน ที่เด่นสะดุดตาคือตัวอาคารที่ทำจากหินอ่อนสีชมพูทั้งหลัง
ส่วนหน้าของมหาวิหารเป็นที่ตั้งเทวรูปขนาดใหญ่เปิดให้คนทั่วไปเข้ามาสักการบูชา ส่วนกลางเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของเหล่านักบวช ส่วนในสุดเชื่อมกับธารน้ำที่ไหลลงไปเป็นน้ำตกสูง บริเวณนี้คือสถานที่ลอยเครื่องสักการะสำหรับบวงสรวงเทพเจ้าและดวงวิญญาณผู้ล่วงลับ
บริเวณนี้จะเปิดให้คนทั่วไปเข้ามาเพียงปีละครั้งเท่านั้น เพราะมีความเชื่อกันว่าที่นี่คือเขตศักดิ์สิทธิ์ หากปล่อยให้คนเข้าออกเป็นจำนวนมากธารน้ำอาจจะแปดเปื้อนจิตไม่บริสุทธิ์ของผู้คนได้
แม้จะเข้มงวดแต่ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้นให้แก่เหล่าอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย ยิ่งเป็นจ้าวทิวาด้วยแล้ว เพียงได้ข่าวว่าจะเสด็จมาเท่านั้น ประตูชั้นในที่ปิดมานานวันก็เปิดอ้าออก วิหารอึมครึมถูกทำความสะอาดตกแต่งเสียงดงามเพื่อเอาอกเอาใจกษัตริย์
“ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ” นักบวชชราปราดมาต้อนรับเมื่อเจ้าทั้งสองเสด็จมาถึง
“ไม่ต้องมาพิธีหรอก เรามาทำบุญอย่างเงียบๆ ไม่อยากรบกวนใคร” เจ้านิศามณีทรงบอกเมื่อเห็นบรรดานักบวชและคนในวิหารออกมารับเสด็จอย่างคับคั่ง
“ท่านจ้าวกับเจ้านางเสด็จมาจะไม่ให้ต้อนรับได้อย่างไรพระเจ้าค่ะ ข้าพระองค์เตรียมห้องรับรองไว้ให้แล้ว ทูลเชิญเสด็จพระเจ้าค่ะ”
หัวหน้านักบวชผายมือไปยังสถานที่ซึ่งบรรจงตกแต่งอย่างสมพระเกียรติ
“ขอบใจนะท่านธชีที่ช่วยเป็นธุระให้ ท่านคงเหนื่อยแย่แล้ว เชิญไปพักผ่อนตามสบายเถิด เย็นนี้จะได้ทำพิธีได้เต็มที่”
เจ้านิศามณีตรัสด้วยกระแสเสียงนุ่มนวล แต่ก็ยังสู้อุตส่าห์ส่งยิ้มเป็นนัยว่านี่คือการไล่ทางอ้อม
มีหรือนักบวชชราที่ผ่านโลกมามากจะดูไม่ออก เมื่อเจ้านางไม่ปรารถนาจะให้คนนอกอย่างท่านเข้าไปในเขตที่ประทับ หัวหน้านักบวชจึงค้อมกายให้แล้วถอยออกมา ปล่อยให้เหล่านางกำนัลและข้ารับใช้ใกล้ชิดเข้าไปแทน
ทุกปีที่มีพิธีบุญให้เจ้าอรุณา ท่านหัวหน้านักบวชมักจะได้รับคำสั่งที่ต้องปฏิบัติจากเคร่งครัดสามประการ
หนึ่งคือห้ามทุกคนเข้าไปบริเวณธารน้ำจนกว่าจะเสด็จกลับ
สองคือบทสวดนั้นให้สวดแต่ของคนเป็นห้ามสวดของคนตายเป็นอันขาด
ประการสุดท้ายคือเรื่องที่ประทับ เนื่องจากมีพระประสงค์จะค้างคืนที่วิหาร จึงต้องมีการวางเวรยามอย่างแน่นหนาเพื่อความปลอดภัย
ดูไปแล้วพิธีบุญของเจ้าอรุณานั้นดูจะมีลับลมคมในไม่น้อย ตั้งแต่ลำดับพิธีที่เป็นช่วงค่ำแทนช่วงเช้า แล้วยังมีของเซ่นไหว้ที่ไม่สมกับเป็นของจากในวังอีกเล่า
ท่านนักบวชจำของที่เจ้านิศามณีเตรียมมาได้แม่นเพราะบังเอิญไปสะดุดตากับผ้าเนื้อธรรมดาที่หาได้ดาษเดื่อน ไม่ใช่ผ้าทอเนื้อละเอียดอย่างในวังใช้ ก็เลยแปลกใจ ปกติของที่ใช้ในพิธีบุญมันเป็นของที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่จึงประณีตงดงาม และที่น่าแปลกไปกว่าคือท่านไม่พบว่าผ้าชิ้นนั้นบริเวณตาข่ายที่ขึงกันเอาไว้ก่อนถึงน้ำตก
ตาข่ายนี้เอาไว้ดักเก็บของทำบุญโดยเฉพาะ เพื่อจะได้นำของเหล่านี้ไปใช้ทำประโยชน์ต่อไป และป้องกันไม่ให้ธารน้ำเน่าเสียจากบรรดาอาหารคาวหวานด้วย
ยามปกติไม่มีใครกล้าเข้ามาในเขตนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตอยู่แล้ว ทั้งทางเข้าออกวิหารก็มีเพียงทางเดียว จึงยังเป็นปริศนาว่าผ้าชิ้นนั้น กับของอีกหลายอย่างหายไปได้อย่างไร
นักบวชชรามองออกทันทีว่าเจ้านิศามณีจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่จะขุดคุ้ยหรือแสดงข้อกังขาออกมาก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด รังแต่จะนำภัยมาให้ตัวเองเสียเปล่าๆ ท่านหัวหน้านักบวชจึงก้มหน้าก้มตาทำตามพระประสงค์โดยไม่มีข้อโต้แย้ง
หลังจากเสวยพระกระยาหารเที่ยงแล้ว จ้าวรัตติกาลก็ทรงย้ายมาทรงงานในห้องทรงพระอักษรที่ตำหนักใน ตกเย็นก็ลงมาซ้อมเพลงดาบกับเหล่าราชองครักษ์ เสร็จแล้วจึงเสด็จกลับตำหนักไปสรงน้ำ ดูผิวเผินแล้วไม่มีอะไรผิดแปลกแต่คนช่างสังเกตอย่างโตมรก็ยังสู้อุตส่าห์จับสังเกตได้ว่าวันนี้ท่านจ้าวอารมณ์ไม่ดีนัก ก็เลยแลกเวรเฝ้าหน้าห้องบรรทมกับจรี ส่วนตัวเองของเปลี่ยนผลัดมาอยู่ตอนเช้ามืดแทน
“ไหนเจ้าว่าไม่ชอบตื่นเช้า แล้วนึกอย่างไรมาแลกเวรกับข้า”
จรีผู้ยังไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าจะต้องเจอกับอะไรเอ่ยถามไปตามเรื่องโดยไม่คิดระแวงสักนิด
“ข้าไม่ชอบตื่นเช้าก็จริง แต่ไม่ชอบอากาศหนาวมากกว่า พักนี้รู้สึกร่างกายมันอ่อนแอชอบกล”
คนเจ้าเล่ห์พูดพลางลูบแขนตัวเองเป็นการใหญ่ แล้วทำท่าเหมือนว่าตนจะจับไข้
“ถ้าไม่สบายก็อย่าฝืนล่ะ ข้ากับกำผลาช่วยกันทำงานได้ ในหีบเก็บของที่ห้องพักมียาอยู่ลองค้นดูก็แล้วกัน” จรีกำชับไล่หลัง แล้วเตรียมตัวไปทำหน้าที่
การเฝ้าหน้าของบรรทมของจ้าวรัตติกาลเป็นธรรมเนียมที่เหล่าองครักษ์เงาปฏิบัติกันมาช้านาน เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อเจ้าเหนือหัวและป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้น แม้ในรัชสมัยนี้จะสงบสุขแต่ธรรมเนียมก็ยังมีอยู่ไม่ได้ยกเลิกไป เผื่อเอาไว้ในกรณีมีเหตุเร่งด่วนหรือท่านจ้าวจะสอยงานอันใดจะได้รับใช้ได้อย่างทันท่วงที
จรีเฝ้าหน้าห้องสักพักใหญ่ก็เริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ ท่านจ้าวที่ปกติจะสงบสุขุมกลับเอาแต่เดินไปเดินมาแล้วตรัสถามอยู่ตลอดเวลาว่าตอนนี้เวลาเท่าไรแล้ว
คราวนี้ราชองครักษ์หนุ่มเดาออกว่าทรงรอพระชายาอยู่เป็นแน่ เมื่อบ่ายทรงให้คนไปตามพระชายากลับ สั่งว่าถ้าพิธีเสร็จแล้วให้รีบมาเลย แต่คนที่ส่งไปก็ไม่มารายงานเสียทีก็จึงทรงร้อนพระทัย
จนกระทั่งสี่ทุ่มทหารองครักษ์ก็มารายงานว่าพิธีเสร็จล่าช้า เจ้านางจึงให้มากราบทูลว่าจะประทับค้างคืนอยู่ที่มหาวิหาร พรุ่งนี้จะรีบเสด็จกลับแต่เช้า ท่านจ้าวเลยกริ้วขึ้นมาอีก
“กล้าดียังไงถึงทำอย่างนี้” ทรงเอ็ดตะโรเสียลั่นตำหนัก
เนื่องจากตัวการที่ทำให้กริ้วก็ไม่ได้อยู่ตรงหน้า คนเคราะห์ร้ายจึงกลายเป็นจรีที่ต้องมารับโทสะของจ้าวรัตติกาลแทน
“งามหน้านัก เป็นถึงพระชายาแต่กลับไม่สำรวม”
จรีรู้ว่าท่านจ้าวทรงตำหนิพระชายา แต่ไฉนต้องมาจ้องหน้ากันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อด้วยก็ไม่รู้ ทำเอาเสียวสันหลังวาบว่าจะถูกหางเลขไปด้วยอีกคน
“ไปตามพระชายากลับมาให้ได้” จ้าวรัตติกาลรับสั่งเสียงเฉียบ
ที่กริ้วนั้นสาเหตุมาจากพระชายาไม่ยอมกลับส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือทรงคิดว่าเจ้านิศามณีทำประชด เมื่อวานทรงตำหนิไม่ให้นางกลับดึก มาวันนี้นางก็เลยไม่ยอมกลับวังเสียเลย แทนที่จะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นแต่กลับทำประชดใส่ เป็นใครก็ต้องโกรธกันทั้งนั้น
“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ”
ราชองครักษ์หนุ่มรับพระบัญชาด้วยความลำบากใจ สุรเสียงแบบนั้นเป็นที่รู้กันในหมู่ข้ารับใช้ว่าคือคำสั่งโดยนัยให้ทำทุกวิถีทาง จะใช้เล่ห์กลแบบไหนหรือใช้กำลังก็ต้องทำให้สำเร็จ
ปกติจรีไม่เคยเกี่ยงงานอยู่แล้ว แต่นี่เป็นเรื่องของพระชายาวิธีปฏิบัติจึงผิดกันลิบ ใครเลยจะกล้าล่วงเกินจอมนางแห่งกาลัญญุ แค่ตรัสว่า ‘ไม่กลับ’ คำเดียว จรีก็จนแต้มแล้ว แถมยังมีจ้าวทิวาประทับอยู่ด้วย อย่าว่าองครักษ์เงาทั้งห้าเลย ต่อให้ท่านจ้าวเสด็จไปเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะสำเร็จรึเปล่า
ถึงกระนั้นราชองครักษ์ผู้ซื่อตรงและซื่อสัตย์ก็ยังปฏิบัติตามกระแสรับสั่งโดยไม่โต้แย้ง ชายหนุ่มนั่งรถม้าออกนอกเขตพระราชฐานแล้วควบม้าเร็วต่อไปยังมหาวิหารทันที
จรีผู้น่าสงสารมารู้ซึ้งถึงความหนาวที่โตมรหมายถึงก็ตอนต้องขี่ม้าฝ่าความมืดออกไปตอนกลางดึกนี่เอง สายลมหนาวของเดือนสิบเอ็ดทำให้ร่างกายกำยำในผ้าเนื้อบางเริ่มสั่น
“เสียรู้จนได้” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองแต่ก็ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด
ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้าองครักษ์เงาแล้ว ไม่มีเสียล่ะที่จะมาครั่นครามต่อความหนาวเพียงเท่านี้ คนมีน้ำใจคิดไปว่าดีเสียอีกที่เขาออกมาเอง น้องสี่เหมือนจะจับไข้อยู่หากถูกใช้ให้ออกมาแล้วอาการทรุดหนักลงไปคงแย่
จรีคนซื่อไม่รู้เลยว่าความหนาวที่โตมรหวั่นเกรงจริงๆ นั้นคือพระชายาต่างหาก ไม่มีมนุษย์คนไหนบนโลกที่จะรับมือได้ยากเท่าเจ้านิศามณีอีกแล้ว
อึดใจใหญ่ราชองครักษ์ก็มาถึงทางขึ้นมหาวิหาร ทว่าทหารองครักษ์ของจ้าวทิวากลับห้ามไม่ให้ขึ้นไปด้านบน
“ไม่มีกระแสรับสั่งลงมาต่อให้เป็นองครักษ์เงาก็เข้าไปไม่ได้” องครักษ์ในชุดขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“ข้ารับพระบัญชามาจากจ้าวรัตติกาลให้มาอารักขาพระชายา รู้แบบนี้แล้วจะให้ขึ้นไปได้หรือยัง”
ทางนั้นอ้างกระแสรับสั่งแล้วทำไมทางนี้จะอ้างพระบัญชาไม่ได้ ทว่าเหล่าองครักษ์ของวังฝั่งขวากลับไม่ยอมลงให้ โน้มน้าวอยู่นานก็ยังไม่ยอมให้เข้าเฝ้า ชายหนุ่มจึงแสร้งถอยออกมาทำท่าว่าจะถอดใจ แต่แท้ที่จริงแล้วกลับควบม้าไปยังทางขึ้นอีกด้าน
บริเวณนี้เป็นหน้าผาสูงชันต่อให้เป็นยอดคนก็ยากที่จะปีนป่ายขึ้นไป แต่มันไม่ยากเลยสำหรับจรีที่มีร่างแปลงเป็นเหยี่ยว
ในบรรดาห้าองครักษ์ชายหนุ่มเป็นคนเดียวที่มีสายเลือดของชนเผ่าสัตยา เผ่าโบราณที่สามารถแปลงกายเป็นสัตว์ได้ ชนเผ่านี้หนีการรุกรานมาพึ่งพระบารมีจ้าวทิวา จึงให้สัตย์สาบานว่าจะรับใช้และจงรักภักดีต่อจ้าวทิวาเพียงพระองค์เดียว ความภักดีที่มีให้ทำให้ต่อมาลูกหลานได้รับการแต่งตั้งให้องครักษ์ส่วนพระองค์ มีฉายานามว่า ‘องครักษ์แสง’ ซึ่งมีศักดิ์และสิทธิ์ไม่ต่างจากองครักษ์เงาเลย
การที่จรีได้รับคัดเลือกเป็นองครักษ์เงาไม่ใช่องครักษ์แสงก็เพราะเหตุผลสองประการ
ประกาศแรกคือตระกูลทางบิดาเป็นขุนนางรับใช้จ้าวรัตติกาลมาหลายรัชสมัย จึงไม่ยินยอมให้ลูกหลานเปลี่ยนขั้วอำนาจ
ประการที่สองคือความสามารถในการแปลงกายนั้นปรากฏขึ้นตอนเบญจเพส ไม่เหมือนอย่างคนอื่นที่สามารถแปลงกายได้ตั้งแต่ยังเด็ก จึงมีน้อยคนนักที่รู้เรื่องความสามารถนี้
จรีผูกม้าเอาไว้ที่ทางขึ้นแล้วจำแลงกายเป็นเหยี่ยวบินขึ้นท้องฟ้าไป เหยี่ยวแปลงสะบัดปีกบินต้านกระแสลมไปตามธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ แล้วสายตาคมก็ไปสะดุดเข้ากับเสือโคร่งตัวใหญ่ตัวหนึ่ง สร้างความแปลกใจให้กับชายหนุ่มอย่างเหลือแสน
ในเขตกำแพงเมืองนั้นแม้จะมีป่าแต่ก็ไม่มีสัตว์ดุร้าย การได้พบเจ้าป่าที่ควรจะอยู่ในป่าลึกจึงถือเป็นเรื่องแปลก ทั้งเสือตัวนี้ก็ยังดูมีพิรุธกว่าเสือทั่วไปด้วย มันไม่สนใจสัตว์น้อยใหญ่รอบกายเลย เอาแต่วิ่งขึ้นเขาลูกเดียว พอโฉบเข้าไปใกล้ก็ยิ่งรู้สึกคุ้นกลิ่นอายของเสือตัวนี้อย่างไรชอบกล
‘หรือจะเป็นเสือแปลง’
สายเลือดของชนเผ่าสัตยาที่แปลงกายเป็นสัตว์ได้ปัจจุบันเหลืออยู่ไม่มาก นอกจากเจ็ดองครักษ์แสงกับเขาแล้วก็มีอยู่อีกไม่กี่สิบคน แต่ก็ไม่มีใครแปลงร่างเป็นเสือได้เลย
ความสงสัยทำให้จรีโฉบเข้าไปใกล้แล้วรักษาระยะห่างเอาไว้ เพื่อดูว่าเสือตัวนี้มีจุดหมายปลายทางที่ใด แล้วก็พบว่ามันไปที่ต้นธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ และกำลังย่ำข้ามธารน้ำไปยังส่วนในของมหาวิหาร
แม้ไม่รู้จุดประสงค์ของมันแต่ในฐานะองครักษ์ก็ต้องสกัดกั้นไม่ให้มีสัตว์ร้ายเข้าไปใกล้บริเวณที่ประทับของพระชายา เจ้าอรุณาสิ้นพระชนม์เพราะเสือร้ายมาแล้ว หากพระชายาเป็นอะไรไปอีกคนพระทัยจ้าวรัตติกาลจะร้าวรานสักเพียงใดก็ไม่รู้
เหยี่ยวแปลงบินโฉบมาดักหน้าเสือโคร่งเอาไว้ แต่ยังไม่ทันได้คลายมนต์ร่างของเหยี่ยมตัวโตก็ถูกลูกศรโปร่งแสงยิ่งทะลุร่าง แล้วร่วงหล่นลงกระทบพื้นคืนร่างเป็นบุรุษหน้าตาคมสันดังเดิม
เสือโคร่งที่กำลังวิ่งมาชะงักเท้านิ่งอยู่กับที่ราวกับกำลังตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า อึดใจต่อมามันก็ย่างสามขุมเข้าไปใกล้ร่างของราชองครักษ์ แล้วกางกรงเล็บคมออกหมายจะปลิดชีพชายหนุ่ม
“อย่าสัททุล!” เสียงร้องห้ามจากร่างระหงทำให้เสือโคร่งยอมเก็บเล็บไว้ในอุ้มเท้าตามเดิม
มันเดินมาหมอบกราบอยู่แทบเท้าเจ้านิศามณีอย่างรู้ประสาราวกับกำลังถวายความเคารพ
“ที่นี่ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว รีบกลับไปเสียเถิดแล้วคาบสิ่งนี้เอาไว้ มันจะช่วยพลางกายเจ้าได้ชั่วระยะหนึ่ง”
เจ้านิศามณีทรงย่อกายลงเพื่อเอาห่อผ้าไปผูกติดไว้กับคอเสือ แล้วนำรากไม้ลงอาคมสอดเข้าไปในคมเขี้ยวของสัตว์ร้าย
เสือโคร่งยอบกายถวายความเคารพเจ้านางอีกครั้ง ก่อนที่ร่างจะเลือนรางหายไปเพราะฤทธิ์คาถา
เจ้านิศามณีทรงเงี่ยพระกรรณฟังจนเสียงย่ำเท้าสวบสาบหายไปแล้ว ก็ทรงหันมาทอดพระเนตรร่างของราชองครักษ์ที่หมดสติอยู่
“ให้อภัยเราเถิดนะจรี”
ขาดคำคนสวมหน้ากากในชุดคลุมสีดำก็ปรากฏกายขึ้นในเงามืด บุคคลปริศนาค้อมคำนับให้เจ้านิศามณี ก่อนจะเดินตรงไปหาจรีแล้วคลี่ผ้าคลุมออกมาคลุมร่างของตนกับร่างของราชองครักษ์เอาไว้ สะบัดผ้าคลุมอีกทีร่างของทั้งสองก็ล่องหนหายไปในอากาศ ไม่ทิ้งไว้แม้แต่ร่องรอยบนผิวดิน ราวกลับว่าเมื่อสักครู่ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย
การเดินทางจากประตูพระราชวังไปยังมหาวิหารด้วยการเดินเท้าจะใช้เวลาสองถึงสามชั่วโมง ถ้าใช้รถม้าก็จะย่นเวลาลงมาเกินกึ่งหนึ่ง ทว่าขบวนเสด็จของเจ้านิศามณีกับจ้าวทิวากลับเคลื่อนที่ได้ช้าเสียยิ่งกว่าเดิน เนื่องจากเจ้านางมีรับสั่งให้ชะลอความเร็วรถลง เพื่อไม่ให้ฝุ่นฟุ้งใส่เหล่าชาวเมืองที่มารอเฝ้าชมพระบารมี
“เราจะไม่เร่งความเร็วหน่อยหรือพี่หญิง ช้าแบบนี้น่ากลัวว่ากว่าจะถึงมหาวิหารก็คงเที่ยง พี่หญิงลืมไปแล้วกระมังว่านี่ไม่ใช่สมัตนครจะได้ต้องระวังเวลารถวิ่ง”
สมัคนครเป็นเมืองที่เจ้าทินกรเคยไปฝึกตน ที่นั่นแห้งแล้งกันดารมาก ถนนหนทางเป็นดินแดงไม่ใช่ถนนปูนสะอาดสะอ้านอย่างในเมืองหลวง จะไปไหนมาไหนทีจึงแทบจะอิ่มฝุ่นแทนข้าว
“ไปช้าๆ เช่นนี้น่ะดีแล้ว คนจะได้ชมบารมีเจ้ากันทั่วหน้า ชาวเมืองจะได้รู้กันอย่างไรเล่าว่าน้องพี่เปลี่ยนไปเป็นคนใจเย็นและคำนึงถึงเหล่าไพร่ฟ้าแล้วจริงๆ”
ที่แท้เจ้านิศามณีก็ไม่ได้ห่วงเรื่องฝุ่นเลยสักนิด ทรงพยายามจะเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของจ้าวทินกรต่างหาก
สมัยยังเป็นวัยรุ่นเจ้าทินกรทรงสร้างความเดือดร้อนให้ชาวเมืองหลวงชนิดนับไม่ถ้วน คะแนนนิยมในตัวจึงค่อนข้างจะติดลบ แม้ช่วงสามปีมานี้จะมีผลงานมากมายแต่ก็ไม่ได้เน้นการพัฒนาเมืองหลวง ผู้คนจึงยังติดภาพเจ้าทินกรที่ทรงใจร้อนวู่วามเอาแต่พระทัยอยู่
“ถ้าจะสร้างภาพเช่นนั้นน้องไม่เอาด้วยหรอก น้องขอพิสูจน์ตัวเองด้วยตัวตนของน้องจะดีกว่า” ตรัสจบก็มีรับสั่งให้หยุดรถแล้วเสด็จลงไปทักทายชาวเมืองที่รอรับเสด็จอยู่ริมทาง
คนเป็นพี่ยิ้มตามแผ่นหลังที่หายลับไปจากราชรถอย่างพึงพอใจ พระนางรู้นิสัยน้องชายคนเดียวคนนี้ดีว่าหากไปเซ้าซี้ให้ทำนั่นทำนี่ทินกรจะต่อต้านและทำตรงกันข้ามเพื่อประชด แต่ถ้าแนะนำและกระตุ้นอย่างถูกวิธีแล้วล่ะก็ ทินกรจะวางตัวได้เหมาะสมและทำงานออกมาได้ดีเหนือความคาดหมายทีเดียว
ที่ผ่านมาเหล่าขุนนางต่างกราบทูลให้จ้าวทิวาหันมาสนใจเรียกความนิยมจากเหล่าชาวเมืองหลวง แต่จ้าวทิวาก็มิได้ใส่ใจ เนื่องจากเล็งเห็นว่าปัญหาในเมืองหลวงนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย เทียบไม่ได้เลยกับความเดือดร้อนของราษฎร์ในถิ่นกันดาร ดังนั้นจึงต้องเร่งให้ความช่วยเหลือในส่วนที่จำเป็นจริงๆ ก่อน
ความคิดอ่านของจ้าวทินกรนั้นจัดกว่าถูกแต่ก็ไม่ครอบคลุมเสียทีเดียว เพราะฐานอำนาจแห่งความมั่นคงของรัฐล้วนอยู่ที่ชาวเมืองทั้งสิ้น โดยเฉพาะชาวเมืองหลวง หากศูนย์กลางแน่นแฟ้นเป็นบึกแผ่นแล้วราชอาณาจักรก็ยากจะสั่นคลอน เจ้านิศามณีจึงจำเป็นต้องกระตุ้นให้จ้าวทิวาทำตัวให้เป็นที่ชื่นชอบของชาวเมืองในเร็ววัน
จ้าวทิวาเสด็จลงไปได้ครู่หนึ่งเสียงกู่ร้องชื่นชมก็ดังก้อง ดูท่าพระอนุชาของพระนางคงไปทำอะไรให้เป็นที่ถูกใจชาวเมืองเข้าเป็นแน่
“เจ้าลงไปดูให้ทีว่าน้องเราทำอะไร” เจ้านางรับสั่งกับคุณข้าหลวงเนื่องจากไม่สามารถเสด็จลงไปได้
กฎมณเฑียรบาลระบุไว้ชัดว่าสตรีสูงศักดิ์ในราชสำนักต้องเก็บเนื้อเก็บตัว ห้ามเปิดเผยพระพักตร์ให้บุคคลทั่วไว้ได้เห็น เว้นแต่จะเป็นราชกิจหรือมีพิธีสมโภชสำคัญเท่านั้น
“รับด้วยเกล้าเพคะ” วิฬาร์ค้อมศีรษะทำความเคารพแล้วลงจากรถม้าพระที่นั่งไป
ครู่เดียวคุณข้าหลวงก็กลับมาพร้อมกับเรื่องเล่ายาวเหยียดว่าจ้าวทิวาบังเอิญไปพบกับแม่ค้าคนหนึ่ง หน้าตาซูบซีดเหมือนป่วย ก็เลยตรัสถามไปว่าเป็นอะไรแล้วไปหาหมอมาหรือยัง แม่ค้าจึงกราบทูลว่าหมอในเมืองหลวงที่มีฝีมือคิดค่ารักษาแพงมาก คนหาเช้ากินค่ำอย่างนางไม่มีปัญญาจ่าย เลยได้แต่หาสมุนไพรกินไปตามเรื่อง
จ้าวทินกรก็ทรงมีรับสั่งให้หมอหลวงที่ติดตามมาตรวจอาการของแม่ค้าคนนั้น จากนั้นก็สั่งให้อยู่ช่วยตรวจรักษาชาวเมืองโดยไม่คิดค่ารักษาจนกว่าจะเสด็จกลับจากมหาวิหาร คนก็เลยเฮกันลั่น ต่างก็พากันกล่าวสรรเสริญเยินยอในพระมหากรุณายกใหญ่
จัดการเรื่องหมอหลวงแล้วเจ้าทินกรก็เสด็จกลับมาที่รถม้า ทรงกลับมาปรึกษากับเจ้านางว่าจะให้หมอหลวงในวังแบ่งเวรกันออกมาตรวจรักษาชาวเมืองสัปดาห์ละครั้งโดยไม่คิดค่ารักษา จะได้ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชนชั้นล่างได้บ้าง
“พี่หญิงเห็นควรประการใด”
“เจ้าคิดจะช่วยเหลือราษฎรเช่นนี่มีหรือพี่จะขัด สัปดาห์ละครั้งอาจจะยังไม่พอ เจ้าลองเสนอเรื่องในที่ประชุมสิ เผื่อจะมีหนทางที่ดียิ่งกว่า”
เรื่องสุขอนามัยของชาวเมืองหลวงเป็นเรื่องสำคัญ เสด็จพ่อจึงเคยปรารภไว้ว่าอยากจะตั้งโรงยาหลวง เก็บค่ารักษาในราคาถูก ทว่าจัดตั้งได้ไม่นานก็ประชวรและมีปัญหาเรื่องการโกงกินก็เลยต้องล้มเลิกไป ชาวเมืองจึงต้องทนถูกขูดรีดค่ารักษาที่แพงเกินควรต่อไป
เจ้านิศามณีรู้หนทางแก้ไขแต่ไม่ตรัสบอก เพราะต้องการเจ้าทินกรคิดได้เอง แล้วก็ไม่ผิดหวังเมื่อพระอนุชาตรัสกลับมา
“น้องว่าเราตั้งโรงยาหลวงขึ้นมาใหม่ดีไหมพี่หญิง ค่ารักษาก็สุดแต่จะให้ ขาดเหลืออย่างไรก็มาเบิกเอากับหลวง”
“เจ้ารู้ด้วยรึว่าอดีตเราเคยมีโรงยาหลวง”
“น้องรู้จากบันทึกราชกิจที่ให้ท่านราชเลขาอ่านให้ฟังทุกคืน”
พอนึกภาพราชเลขาวัยกลางคนต้องมาคอยนั่งอ่านบันทึกให้จ้าวทิวาฟังแทนนิทานก่อนนอน คนเป็นพี่ก็ทั้งขำทั้งอ่อนใจ
ทินกรนี่ช่างเกลียดการอ่านได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ
“เจ้าใช้งานท่านราชเลขาหนักไปแล้วนะทินกร เห็นทีพี่คงต้องหาคนอ่านหนังสือแทนท่านราชเลขาส่งไปให้เจ้าเสียแล้ว”
ตลอดสามปีมานี้ท่านราชเลขาต้องปวดเศียรเวียนเกล้าเพราะทินกรมิใช่น้อย ตอนนี้ทินกรเริ่มบริหารราชกิจได้คล่องขึ้น จึงน่าจะให้ท่านราชเลขาได้พักบ้าง
“แล้วแต่พี่หญิงจะโปรดเถิด ขอแค่อ่านหนังสือรู้เรื่องน้ำเสียงไม่น่ารำคาญจะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น”
จากนั้นหัวข้อการสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องเหตุบ้านการเมืองและเรื่องสัพเพเหระจนกระทั่งถึงมหาวิหาร
มหาวิหารแห่งแคว้นกาลัญญุตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมืองชั้นกลางจากทั้งหมดสามชั้น ตัววิหารตั้งอยู่บนเนินเขาสูงแยกออกมาจากเขตชุมชน ที่เด่นสะดุดตาคือตัวอาคารที่ทำจากหินอ่อนสีชมพูทั้งหลัง
ส่วนหน้าของมหาวิหารเป็นที่ตั้งเทวรูปขนาดใหญ่เปิดให้คนทั่วไปเข้ามาสักการบูชา ส่วนกลางเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของเหล่านักบวช ส่วนในสุดเชื่อมกับธารน้ำที่ไหลลงไปเป็นน้ำตกสูง บริเวณนี้คือสถานที่ลอยเครื่องสักการะสำหรับบวงสรวงเทพเจ้าและดวงวิญญาณผู้ล่วงลับ
บริเวณนี้จะเปิดให้คนทั่วไปเข้ามาเพียงปีละครั้งเท่านั้น เพราะมีความเชื่อกันว่าที่นี่คือเขตศักดิ์สิทธิ์ หากปล่อยให้คนเข้าออกเป็นจำนวนมากธารน้ำอาจจะแปดเปื้อนจิตไม่บริสุทธิ์ของผู้คนได้
แม้จะเข้มงวดแต่ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้นให้แก่เหล่าอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย ยิ่งเป็นจ้าวทิวาด้วยแล้ว เพียงได้ข่าวว่าจะเสด็จมาเท่านั้น ประตูชั้นในที่ปิดมานานวันก็เปิดอ้าออก วิหารอึมครึมถูกทำความสะอาดตกแต่งเสียงดงามเพื่อเอาอกเอาใจกษัตริย์
“ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ” นักบวชชราปราดมาต้อนรับเมื่อเจ้าทั้งสองเสด็จมาถึง
“ไม่ต้องมาพิธีหรอก เรามาทำบุญอย่างเงียบๆ ไม่อยากรบกวนใคร” เจ้านิศามณีทรงบอกเมื่อเห็นบรรดานักบวชและคนในวิหารออกมารับเสด็จอย่างคับคั่ง
“ท่านจ้าวกับเจ้านางเสด็จมาจะไม่ให้ต้อนรับได้อย่างไรพระเจ้าค่ะ ข้าพระองค์เตรียมห้องรับรองไว้ให้แล้ว ทูลเชิญเสด็จพระเจ้าค่ะ”
หัวหน้านักบวชผายมือไปยังสถานที่ซึ่งบรรจงตกแต่งอย่างสมพระเกียรติ
“ขอบใจนะท่านธชีที่ช่วยเป็นธุระให้ ท่านคงเหนื่อยแย่แล้ว เชิญไปพักผ่อนตามสบายเถิด เย็นนี้จะได้ทำพิธีได้เต็มที่”
เจ้านิศามณีตรัสด้วยกระแสเสียงนุ่มนวล แต่ก็ยังสู้อุตส่าห์ส่งยิ้มเป็นนัยว่านี่คือการไล่ทางอ้อม
มีหรือนักบวชชราที่ผ่านโลกมามากจะดูไม่ออก เมื่อเจ้านางไม่ปรารถนาจะให้คนนอกอย่างท่านเข้าไปในเขตที่ประทับ หัวหน้านักบวชจึงค้อมกายให้แล้วถอยออกมา ปล่อยให้เหล่านางกำนัลและข้ารับใช้ใกล้ชิดเข้าไปแทน
ทุกปีที่มีพิธีบุญให้เจ้าอรุณา ท่านหัวหน้านักบวชมักจะได้รับคำสั่งที่ต้องปฏิบัติจากเคร่งครัดสามประการ
หนึ่งคือห้ามทุกคนเข้าไปบริเวณธารน้ำจนกว่าจะเสด็จกลับ
สองคือบทสวดนั้นให้สวดแต่ของคนเป็นห้ามสวดของคนตายเป็นอันขาด
ประการสุดท้ายคือเรื่องที่ประทับ เนื่องจากมีพระประสงค์จะค้างคืนที่วิหาร จึงต้องมีการวางเวรยามอย่างแน่นหนาเพื่อความปลอดภัย
ดูไปแล้วพิธีบุญของเจ้าอรุณานั้นดูจะมีลับลมคมในไม่น้อย ตั้งแต่ลำดับพิธีที่เป็นช่วงค่ำแทนช่วงเช้า แล้วยังมีของเซ่นไหว้ที่ไม่สมกับเป็นของจากในวังอีกเล่า
ท่านนักบวชจำของที่เจ้านิศามณีเตรียมมาได้แม่นเพราะบังเอิญไปสะดุดตากับผ้าเนื้อธรรมดาที่หาได้ดาษเดื่อน ไม่ใช่ผ้าทอเนื้อละเอียดอย่างในวังใช้ ก็เลยแปลกใจ ปกติของที่ใช้ในพิธีบุญมันเป็นของที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่จึงประณีตงดงาม และที่น่าแปลกไปกว่าคือท่านไม่พบว่าผ้าชิ้นนั้นบริเวณตาข่ายที่ขึงกันเอาไว้ก่อนถึงน้ำตก
ตาข่ายนี้เอาไว้ดักเก็บของทำบุญโดยเฉพาะ เพื่อจะได้นำของเหล่านี้ไปใช้ทำประโยชน์ต่อไป และป้องกันไม่ให้ธารน้ำเน่าเสียจากบรรดาอาหารคาวหวานด้วย
ยามปกติไม่มีใครกล้าเข้ามาในเขตนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตอยู่แล้ว ทั้งทางเข้าออกวิหารก็มีเพียงทางเดียว จึงยังเป็นปริศนาว่าผ้าชิ้นนั้น กับของอีกหลายอย่างหายไปได้อย่างไร
นักบวชชรามองออกทันทีว่าเจ้านิศามณีจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่จะขุดคุ้ยหรือแสดงข้อกังขาออกมาก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด รังแต่จะนำภัยมาให้ตัวเองเสียเปล่าๆ ท่านหัวหน้านักบวชจึงก้มหน้าก้มตาทำตามพระประสงค์โดยไม่มีข้อโต้แย้ง
หลังจากเสวยพระกระยาหารเที่ยงแล้ว จ้าวรัตติกาลก็ทรงย้ายมาทรงงานในห้องทรงพระอักษรที่ตำหนักใน ตกเย็นก็ลงมาซ้อมเพลงดาบกับเหล่าราชองครักษ์ เสร็จแล้วจึงเสด็จกลับตำหนักไปสรงน้ำ ดูผิวเผินแล้วไม่มีอะไรผิดแปลกแต่คนช่างสังเกตอย่างโตมรก็ยังสู้อุตส่าห์จับสังเกตได้ว่าวันนี้ท่านจ้าวอารมณ์ไม่ดีนัก ก็เลยแลกเวรเฝ้าหน้าห้องบรรทมกับจรี ส่วนตัวเองของเปลี่ยนผลัดมาอยู่ตอนเช้ามืดแทน
“ไหนเจ้าว่าไม่ชอบตื่นเช้า แล้วนึกอย่างไรมาแลกเวรกับข้า”
จรีผู้ยังไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าจะต้องเจอกับอะไรเอ่ยถามไปตามเรื่องโดยไม่คิดระแวงสักนิด
“ข้าไม่ชอบตื่นเช้าก็จริง แต่ไม่ชอบอากาศหนาวมากกว่า พักนี้รู้สึกร่างกายมันอ่อนแอชอบกล”
คนเจ้าเล่ห์พูดพลางลูบแขนตัวเองเป็นการใหญ่ แล้วทำท่าเหมือนว่าตนจะจับไข้
“ถ้าไม่สบายก็อย่าฝืนล่ะ ข้ากับกำผลาช่วยกันทำงานได้ ในหีบเก็บของที่ห้องพักมียาอยู่ลองค้นดูก็แล้วกัน” จรีกำชับไล่หลัง แล้วเตรียมตัวไปทำหน้าที่
การเฝ้าหน้าของบรรทมของจ้าวรัตติกาลเป็นธรรมเนียมที่เหล่าองครักษ์เงาปฏิบัติกันมาช้านาน เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อเจ้าเหนือหัวและป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้น แม้ในรัชสมัยนี้จะสงบสุขแต่ธรรมเนียมก็ยังมีอยู่ไม่ได้ยกเลิกไป เผื่อเอาไว้ในกรณีมีเหตุเร่งด่วนหรือท่านจ้าวจะสอยงานอันใดจะได้รับใช้ได้อย่างทันท่วงที
จรีเฝ้าหน้าห้องสักพักใหญ่ก็เริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ ท่านจ้าวที่ปกติจะสงบสุขุมกลับเอาแต่เดินไปเดินมาแล้วตรัสถามอยู่ตลอดเวลาว่าตอนนี้เวลาเท่าไรแล้ว
คราวนี้ราชองครักษ์หนุ่มเดาออกว่าทรงรอพระชายาอยู่เป็นแน่ เมื่อบ่ายทรงให้คนไปตามพระชายากลับ สั่งว่าถ้าพิธีเสร็จแล้วให้รีบมาเลย แต่คนที่ส่งไปก็ไม่มารายงานเสียทีก็จึงทรงร้อนพระทัย
จนกระทั่งสี่ทุ่มทหารองครักษ์ก็มารายงานว่าพิธีเสร็จล่าช้า เจ้านางจึงให้มากราบทูลว่าจะประทับค้างคืนอยู่ที่มหาวิหาร พรุ่งนี้จะรีบเสด็จกลับแต่เช้า ท่านจ้าวเลยกริ้วขึ้นมาอีก
“กล้าดียังไงถึงทำอย่างนี้” ทรงเอ็ดตะโรเสียลั่นตำหนัก
เนื่องจากตัวการที่ทำให้กริ้วก็ไม่ได้อยู่ตรงหน้า คนเคราะห์ร้ายจึงกลายเป็นจรีที่ต้องมารับโทสะของจ้าวรัตติกาลแทน
“งามหน้านัก เป็นถึงพระชายาแต่กลับไม่สำรวม”
จรีรู้ว่าท่านจ้าวทรงตำหนิพระชายา แต่ไฉนต้องมาจ้องหน้ากันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อด้วยก็ไม่รู้ ทำเอาเสียวสันหลังวาบว่าจะถูกหางเลขไปด้วยอีกคน
“ไปตามพระชายากลับมาให้ได้” จ้าวรัตติกาลรับสั่งเสียงเฉียบ
ที่กริ้วนั้นสาเหตุมาจากพระชายาไม่ยอมกลับส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือทรงคิดว่าเจ้านิศามณีทำประชด เมื่อวานทรงตำหนิไม่ให้นางกลับดึก มาวันนี้นางก็เลยไม่ยอมกลับวังเสียเลย แทนที่จะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นแต่กลับทำประชดใส่ เป็นใครก็ต้องโกรธกันทั้งนั้น
“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ”
ราชองครักษ์หนุ่มรับพระบัญชาด้วยความลำบากใจ สุรเสียงแบบนั้นเป็นที่รู้กันในหมู่ข้ารับใช้ว่าคือคำสั่งโดยนัยให้ทำทุกวิถีทาง จะใช้เล่ห์กลแบบไหนหรือใช้กำลังก็ต้องทำให้สำเร็จ
ปกติจรีไม่เคยเกี่ยงงานอยู่แล้ว แต่นี่เป็นเรื่องของพระชายาวิธีปฏิบัติจึงผิดกันลิบ ใครเลยจะกล้าล่วงเกินจอมนางแห่งกาลัญญุ แค่ตรัสว่า ‘ไม่กลับ’ คำเดียว จรีก็จนแต้มแล้ว แถมยังมีจ้าวทิวาประทับอยู่ด้วย อย่าว่าองครักษ์เงาทั้งห้าเลย ต่อให้ท่านจ้าวเสด็จไปเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะสำเร็จรึเปล่า
ถึงกระนั้นราชองครักษ์ผู้ซื่อตรงและซื่อสัตย์ก็ยังปฏิบัติตามกระแสรับสั่งโดยไม่โต้แย้ง ชายหนุ่มนั่งรถม้าออกนอกเขตพระราชฐานแล้วควบม้าเร็วต่อไปยังมหาวิหารทันที
จรีผู้น่าสงสารมารู้ซึ้งถึงความหนาวที่โตมรหมายถึงก็ตอนต้องขี่ม้าฝ่าความมืดออกไปตอนกลางดึกนี่เอง สายลมหนาวของเดือนสิบเอ็ดทำให้ร่างกายกำยำในผ้าเนื้อบางเริ่มสั่น
“เสียรู้จนได้” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองแต่ก็ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด
ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้าองครักษ์เงาแล้ว ไม่มีเสียล่ะที่จะมาครั่นครามต่อความหนาวเพียงเท่านี้ คนมีน้ำใจคิดไปว่าดีเสียอีกที่เขาออกมาเอง น้องสี่เหมือนจะจับไข้อยู่หากถูกใช้ให้ออกมาแล้วอาการทรุดหนักลงไปคงแย่
จรีคนซื่อไม่รู้เลยว่าความหนาวที่โตมรหวั่นเกรงจริงๆ นั้นคือพระชายาต่างหาก ไม่มีมนุษย์คนไหนบนโลกที่จะรับมือได้ยากเท่าเจ้านิศามณีอีกแล้ว
อึดใจใหญ่ราชองครักษ์ก็มาถึงทางขึ้นมหาวิหาร ทว่าทหารองครักษ์ของจ้าวทิวากลับห้ามไม่ให้ขึ้นไปด้านบน
“ไม่มีกระแสรับสั่งลงมาต่อให้เป็นองครักษ์เงาก็เข้าไปไม่ได้” องครักษ์ในชุดขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“ข้ารับพระบัญชามาจากจ้าวรัตติกาลให้มาอารักขาพระชายา รู้แบบนี้แล้วจะให้ขึ้นไปได้หรือยัง”
ทางนั้นอ้างกระแสรับสั่งแล้วทำไมทางนี้จะอ้างพระบัญชาไม่ได้ ทว่าเหล่าองครักษ์ของวังฝั่งขวากลับไม่ยอมลงให้ โน้มน้าวอยู่นานก็ยังไม่ยอมให้เข้าเฝ้า ชายหนุ่มจึงแสร้งถอยออกมาทำท่าว่าจะถอดใจ แต่แท้ที่จริงแล้วกลับควบม้าไปยังทางขึ้นอีกด้าน
บริเวณนี้เป็นหน้าผาสูงชันต่อให้เป็นยอดคนก็ยากที่จะปีนป่ายขึ้นไป แต่มันไม่ยากเลยสำหรับจรีที่มีร่างแปลงเป็นเหยี่ยว
ในบรรดาห้าองครักษ์ชายหนุ่มเป็นคนเดียวที่มีสายเลือดของชนเผ่าสัตยา เผ่าโบราณที่สามารถแปลงกายเป็นสัตว์ได้ ชนเผ่านี้หนีการรุกรานมาพึ่งพระบารมีจ้าวทิวา จึงให้สัตย์สาบานว่าจะรับใช้และจงรักภักดีต่อจ้าวทิวาเพียงพระองค์เดียว ความภักดีที่มีให้ทำให้ต่อมาลูกหลานได้รับการแต่งตั้งให้องครักษ์ส่วนพระองค์ มีฉายานามว่า ‘องครักษ์แสง’ ซึ่งมีศักดิ์และสิทธิ์ไม่ต่างจากองครักษ์เงาเลย
การที่จรีได้รับคัดเลือกเป็นองครักษ์เงาไม่ใช่องครักษ์แสงก็เพราะเหตุผลสองประการ
ประกาศแรกคือตระกูลทางบิดาเป็นขุนนางรับใช้จ้าวรัตติกาลมาหลายรัชสมัย จึงไม่ยินยอมให้ลูกหลานเปลี่ยนขั้วอำนาจ
ประการที่สองคือความสามารถในการแปลงกายนั้นปรากฏขึ้นตอนเบญจเพส ไม่เหมือนอย่างคนอื่นที่สามารถแปลงกายได้ตั้งแต่ยังเด็ก จึงมีน้อยคนนักที่รู้เรื่องความสามารถนี้
จรีผูกม้าเอาไว้ที่ทางขึ้นแล้วจำแลงกายเป็นเหยี่ยวบินขึ้นท้องฟ้าไป เหยี่ยวแปลงสะบัดปีกบินต้านกระแสลมไปตามธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ แล้วสายตาคมก็ไปสะดุดเข้ากับเสือโคร่งตัวใหญ่ตัวหนึ่ง สร้างความแปลกใจให้กับชายหนุ่มอย่างเหลือแสน
ในเขตกำแพงเมืองนั้นแม้จะมีป่าแต่ก็ไม่มีสัตว์ดุร้าย การได้พบเจ้าป่าที่ควรจะอยู่ในป่าลึกจึงถือเป็นเรื่องแปลก ทั้งเสือตัวนี้ก็ยังดูมีพิรุธกว่าเสือทั่วไปด้วย มันไม่สนใจสัตว์น้อยใหญ่รอบกายเลย เอาแต่วิ่งขึ้นเขาลูกเดียว พอโฉบเข้าไปใกล้ก็ยิ่งรู้สึกคุ้นกลิ่นอายของเสือตัวนี้อย่างไรชอบกล
‘หรือจะเป็นเสือแปลง’
สายเลือดของชนเผ่าสัตยาที่แปลงกายเป็นสัตว์ได้ปัจจุบันเหลืออยู่ไม่มาก นอกจากเจ็ดองครักษ์แสงกับเขาแล้วก็มีอยู่อีกไม่กี่สิบคน แต่ก็ไม่มีใครแปลงร่างเป็นเสือได้เลย
ความสงสัยทำให้จรีโฉบเข้าไปใกล้แล้วรักษาระยะห่างเอาไว้ เพื่อดูว่าเสือตัวนี้มีจุดหมายปลายทางที่ใด แล้วก็พบว่ามันไปที่ต้นธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ และกำลังย่ำข้ามธารน้ำไปยังส่วนในของมหาวิหาร
แม้ไม่รู้จุดประสงค์ของมันแต่ในฐานะองครักษ์ก็ต้องสกัดกั้นไม่ให้มีสัตว์ร้ายเข้าไปใกล้บริเวณที่ประทับของพระชายา เจ้าอรุณาสิ้นพระชนม์เพราะเสือร้ายมาแล้ว หากพระชายาเป็นอะไรไปอีกคนพระทัยจ้าวรัตติกาลจะร้าวรานสักเพียงใดก็ไม่รู้
เหยี่ยวแปลงบินโฉบมาดักหน้าเสือโคร่งเอาไว้ แต่ยังไม่ทันได้คลายมนต์ร่างของเหยี่ยมตัวโตก็ถูกลูกศรโปร่งแสงยิ่งทะลุร่าง แล้วร่วงหล่นลงกระทบพื้นคืนร่างเป็นบุรุษหน้าตาคมสันดังเดิม
เสือโคร่งที่กำลังวิ่งมาชะงักเท้านิ่งอยู่กับที่ราวกับกำลังตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า อึดใจต่อมามันก็ย่างสามขุมเข้าไปใกล้ร่างของราชองครักษ์ แล้วกางกรงเล็บคมออกหมายจะปลิดชีพชายหนุ่ม
“อย่าสัททุล!” เสียงร้องห้ามจากร่างระหงทำให้เสือโคร่งยอมเก็บเล็บไว้ในอุ้มเท้าตามเดิม
มันเดินมาหมอบกราบอยู่แทบเท้าเจ้านิศามณีอย่างรู้ประสาราวกับกำลังถวายความเคารพ
“ที่นี่ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว รีบกลับไปเสียเถิดแล้วคาบสิ่งนี้เอาไว้ มันจะช่วยพลางกายเจ้าได้ชั่วระยะหนึ่ง”
เจ้านิศามณีทรงย่อกายลงเพื่อเอาห่อผ้าไปผูกติดไว้กับคอเสือ แล้วนำรากไม้ลงอาคมสอดเข้าไปในคมเขี้ยวของสัตว์ร้าย
เสือโคร่งยอบกายถวายความเคารพเจ้านางอีกครั้ง ก่อนที่ร่างจะเลือนรางหายไปเพราะฤทธิ์คาถา
เจ้านิศามณีทรงเงี่ยพระกรรณฟังจนเสียงย่ำเท้าสวบสาบหายไปแล้ว ก็ทรงหันมาทอดพระเนตรร่างของราชองครักษ์ที่หมดสติอยู่
“ให้อภัยเราเถิดนะจรี”
ขาดคำคนสวมหน้ากากในชุดคลุมสีดำก็ปรากฏกายขึ้นในเงามืด บุคคลปริศนาค้อมคำนับให้เจ้านิศามณี ก่อนจะเดินตรงไปหาจรีแล้วคลี่ผ้าคลุมออกมาคลุมร่างของตนกับร่างของราชองครักษ์เอาไว้ สะบัดผ้าคลุมอีกทีร่างของทั้งสองก็ล่องหนหายไปในอากาศ ไม่ทิ้งไว้แม้แต่ร่องรอยบนผิวดิน ราวกลับว่าเมื่อสักครู่ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย
นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ค. 2554, 10:47:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:54:19 น.
จำนวนการเข้าชม : 1943
<< บทที่ 2 จอมใจ | บทที่ 4 ปริศนา 2 >> |
หมูอ้วน 30 พ.ค. 2554, 12:37:01 น.
องค์รักษ์จรี จะเป็นอะไรหรือป่าวเนี่ย
เจ้านิศามณีกำลังทำอะไรอยู่หน???
รออ่านตอนต่อไปค่ะ
องค์รักษ์จรี จะเป็นอะไรหรือป่าวเนี่ย
เจ้านิศามณีกำลังทำอะไรอยู่หน???
รออ่านตอนต่อไปค่ะ
แว่นใส 31 พ.ค. 2554, 08:07:01 น.
น่าลึกลับมากเลย
น่าลึกลับมากเลย