มธุรัตน์เสน่หา โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
เมื่อนักเขียนสาวจิตป่วนโคจรมาพบกับหนุ่มเจ้าของไร่เจ้าระเบียบ ความหื่นฮารั่วจึงบังเกิดขึ้น:"รสจูบมันเป็นยังไง" เจ้าหล่อนไม่ถามเปล่าแต่กระชากคอเขามาจูบด้วย แถมยังจดโน้ตหน้าตาเฉยว่า'รสจูบ = กาแฟ' โอ้ยยย! อยากบ้า!
Tags: หนุ่มชาวไร่ สาวนักเขียน โรแมนติก คอเมดี้ นางเอกแปลก ฮา รั่ว อ่านสบายคลายเครียด

ตอน: บทที่ 3 รสจูบ

บทที่ 3 รสจูบ

หลังจากรับประทานอาหารแล้วมธุรัตน์ก็กลับมาที่ห้อง หญิงสาวเปิดกระเป๋าใบใหญ่ ซึ่งภายในอัดแน่นไปด้วยหนังสือนวนิยายออกมา แล้วจัดการพาพวกมันออกจากกระเป๋าแคบๆ ไปอยู่บนชั้นหนังสือสีมะฮอกกานีที่อยู่ติดกับมุมนั่งเล่น

หญิงสาวตรวจตราหนังสือดูทีละเล่มว่าได้รับความเสียหายจากน้ำฝนหรือไม่ แล้วก็โชคดีเหลือเกินที่พวกมันไม่เป็นอะไรเลย คงต้องขอบคุณกระเป๋าใบนี้ ที่กันน้ำได้อย่างคำโฆษณาจริง

มธุรัตน์เป็นคนรักหนังสือ เธอถนอมหนังสือทุกเล่มที่ซื้อมาอย่างดี และไม่เคยตัดใจทิ้งพวกมันได้เลย ทั้งที่บางเล่มก็ไม่สนุกขนาดที่ว่าจะหยิบเอามาอ่านซ้ำหรือน่าเก็บสะสมเอาไว้

หญิงสาวเก็บรักษาพวกมันอย่างดี ก็เพราะเธอเชื่อว่าหนังสือพวกนี้ก็มีชีวิตจิตใจ ถ้าทิ้งขว้างหรือขายมันไป ให้ไปนั่งฝุ่นจับอยู่ในร้านหนังสือมือสอง พวกมันก็คงจะเสียใจแน่ แต่ถ้ามีคนเห็นคุณค่าของพวกมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เธอจึงหวังเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งจะเปิดห้องสมุด ไม่ก็ยกหนังสือให้กับคนที่สัญญาว่าจะเก็บรักษาอย่างดี

จัดเรียงหนังสือเสร็จเรียบร้อยแล้ว มธุรัตน์ก็อาศัยแสงไฟจากเทียนไขอ่านหนังสือที่นำติดตัวมา

หญิงสาวติดนิสัยนอนไม่เป็นเวลา ง่วงเมื่อไรก็นอนเมื่อนั้น อ่านหนังสือไปได้เล่มครึ่งหญิงสาวก็เริ่มง่วง พอเหลียวออกมองนอกหน้าต่างฟ้าเริ่มจะสว่างแล้ว กะเวลาดูก็น่าจะประมาณตีห้าหรือไม่ก็เพิ่งย่างเข้าหกโมงเช้าได้ไม่นาน

มธุรัตน์ใช้การกะเวลาจากแสงแดดภายนอกอย่างนี้เสมอ เธอไม่ชอบพกนาฬิกา และไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเวลานัก เนื่องจากทำงานอิสระ แถมบรรณาธิการที่ทำงานด้วยก็ไม่เคยเร่งเอางานจากเธอเลย เพียงแต่ถามเป็นระยะเท่านั้นว่างานใกล้เสร็จหรือยัง

สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตไร้ระเบียบนี้ ส่งผลให้หญิงสาวทำอะไรตามอารมณ์เป็นส่วนใหญ่ กระนั้นก็ยังสู้อุตส่าห์ออกหนังสือมาปีหนึ่งๆ ไม่เคยต่ำกว่าสี่ห้าเล่ม เพราะถ้ามีอารมณ์อยากทำงานแล้ว เธอเขียนนวนิยายสองร้อยหน้าเอสี่ให้เสร็จได้ในระยะเวลาแค่สัปดาห์เดียว

มธุรัตน์บิดตัวเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นมาจากเตียง เสียงกระเพาะที่ดังประท้วง เตือนเธอให้หากินอะไรด้านล่างก่อนจะเข้านอน

พอมีแสงสว่าง หญิงสาวก็ได้เห็นตัวบ้านที่ตกแต่งอย่างสวยงามลงตัว เธอจึงลองเดินสำรวจบ้านดูก่อนที่จะหาอะไรกิน

บ้านหลังนี้โครงสร้างด้านนอกทำจากท่อนซุงเอามาประกอบกัน ส่วนภายในกั้นห้องแบบโปร่งทำให้ดูไม่อึดอัด ชั้นบนประกอบไปด้วยสองห้องนอนกับหนึ่งห้องน้ำ พอเปิดประตูเข้าไปดูห้องน้ำก็เห็นว่ามีอ่างน้ำวนอยู่ด้วย

พลวัตทุ่มทุนสร้างห้องอาบน้ำอย่างหรูหรา ก็เพราะคิดว่าการอาบน้ำไม่ใช่แค่การชำระล้างร่างกาย แต่ยังเป็นการชำระล้างจิตใจให้ผ่อนคลายและสงบด้วย แต่มธุรัตน์ไม่ค่อยจะประทับใจห้องน้ำชั้นบนนัก เพราะเธอนึกไปถึงตอนทำความสะอาดว่าคงจะกินแรงน่าดู

หญิงสาวปิดประตูห้องน้ำแล้วลงมาสำรวจด้านล่างต่อ ชั้นล่างนี้มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าชั้นบนเกือบสองเท่า ด้านหน้าเป็นห้องนั่งเล่นกับห้องครัว ส่วนด้านหลังเป็นห้องสุขากับห้องทำงาน

พลวัตเปิดประตูห้องทำงานทิ้งเอาไว้ หญิงสาวก็เลยได้เห็นว่าด้านในดูเป็นระเบียบเรียบร้อย บ่งบอกถึงนิสัยของเจ้าของสถานที่ได้เป็นอย่างดี

เมื่อดูจนทั่วแล้วหญิงสาวก็พบว่าส่วนที่เธอชอบที่สุดก็คือห้องสุขา ซึ่งตกแต่งได้สวยแปลกตา ผนังด้านในห้องนี้ทาสีเล่นลายให้เหมือนกับอยู่ใจกลางต้นไม้ใหญ่ เพดานกรุกระจกให้แสงสาดส่องลงมาได้เต็มที่ รอบบริเวณมีกระถางไม้ดอกไม้ประดับห้อยแขวนและวางเรียงเอาไว้อย่างเป็นสัดส่วน ดูสบายตา ไม่มากจนทำให้รู้สึกอึดอัด

มธุรัตน์ชื่นชมความสวยของห้องน้ำอยู่สักพักหนึ่ง แล้วจึงเดินกลับมาที่ห้องครัวสีขาวสไตล์คันทรี

พลวัตบอกให้เธอทำตัวตามสบาย หญิงสาวก็เลยขอใช้สิทธิ์นั้นเต็มที่ด้วยการเปิดตู้เย็นหยิบขนมปังมาปิ้งในเตา แล้วหยิบเครื่องชงกาแฟออกมาจากชั้น

หญิงสาวไม่ดื่มกาแฟ แต่รู้ว่าครอบครัวของพิมลตราเป็นคอกาแฟกันทุกคนก็เลยชงไว้ให้ แล้วก็ปิ้งขนมปังเผื่อพลวัตด้วย

เธอหยิบขนมปังมาจัดใส่จาน แล้วเตรียมเนยกับแยมมาวางไว้ให้ จากนั้นก็นั่งทานส่วนของตัวเอง และดื่มนมตามอีกหนึ่งแก้ว

พักท้องให้ได้ย่อยสักสิบนาที มธุรัตน์ก็กลับขึ้นไปนอน เธอปิดม่านหน้าต่างเพื่อทำบรรยากาศในห้องให้เป็นกลางคืน จากนั้นก็ทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วก็หลับไปอย่างรวดเร็ว


ในขณะที่มธุรัตน์เข้านอน พลวัตก็ตื่นขึ้นมาพอดี ปรกติเขามักจะตื่นไม่เกินหกโมงเช้า แต่เพราะเมื่อวานมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น เลยนอนไม่ใคร่จะหลับ ทำให้ตื่นสายไปเกือบชั่วโมง

พลวัตออกจะแปลกใจอยู่มากที่ลงมาข้างล่าง แล้วเจอกาแฟนหอมกรุ่นตั้งวางเอาไว้กับขนมปังปิ้ง

‘ยัยนั่นทำให้อย่างนั้นหรือ’

ชายหนุ่มย่นหัวคิ้วอย่างประหลาดใจ แล้วมองมื้อเช้าอย่างระแวง ด้วยไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับน้ำใจจากมธุรัตน์

เธอชอบจ้องเขาตาขวาง เมื่อคืนก็ไม่อยู่ช่วยกันล้างจาน เขาเลยนึกว่าเธอไม่ชอบหน้าเขาเสียอีก

ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังลังเลว่าจะหยิบขนมปังเข้าปากดีหรือไม่ พิมลตราก็โทรศัพท์ แม่น้องสาวบังเกิดเกล้าต้องการรู้ว่าเพื่อนสุดที่รักเป็นอย่างไรบ้าง และพลวัตได้ไปเอาของที่ส่งไปให้หรือยัง

“เพื่อนเราหรือ ไม่รู้สิ รองเท้ายังอยู่ก็คงอยู่ในบ้านนี่แหละ ส่วนของยังไม่ได้หรอก พี่ยังไม่ว่างขับรถไปเอาเลย”

พิมลตราใส่ชื่อผู้รับเป็นชื่อเขา ชายหนุ่มก็เลยฝากให้คนอื่นไปเอาไม่ได้

“รีบไปเอานะพี่พล ในนั้นมีมือถืออยู่ด้วย เดี๋ยวหาย” พิมลตราย้ำ

“อืมๆ รู้แล้วน่า มีอะไรอีกหรือเปล่า พี่จะรีบเข้าไปในไร่แล้ว”

วันนี้เขาจะต้องไปดูฟาร์มโคนม ไหนจะต้องจัดการตรวจสอบบัญชี แล้วยังมีเรื่องไฟฟ้าที่ขัดข้องอีก

“ฝากน้ำผึ้งด้วยนะพี่พล โดยเฉพาะเรื่องกิน น้ำผึ้งน่ะชอบลืมกิน ไม่ดูแลดีๆ อดตายคาบ้านพี่พลแน่”

ฟังแล้วพลวัตก็เริ่มคันปากอยากเถียงเหลือเกิน เธอมีปัญญาลงมาปิ้งขนมปังกับชงกาแฟเองได้ ก็ไม่ต้องห่วงแล้วว่าจะอดตาย แต่เขาก็ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ก็เลยรีบรับปากแล้ววางสายไป

จากนั้นชายหนุ่มก็ทำงานทั้งวันเหมือนดังเช่นปรกติ กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็มืดแล้ว

คืนนี้เป็นอีกคืนที่คนในไร่นายพฤกษ์ไม่มีไฟฟ้าใช้ ส่วนที่จำเป็นอย่างตรงฟาร์มโคนม จะมีเครื่องปั่นไฟสำรองอยู่ แต่ในส่วนที่ใช้ในครัวเรือนนั้นยังซ่อมไม่ได้ จนกว่าอดิเรกจะกลับมาในวันพรุ่งนี้

ชายหนุ่มใช้ไฟฉายนำทางเข้าไปในตัวบ้าน แล้วขึ้นไปอาบน้ำนอน โดยไม่คิดจะข้องแวะกับมธุรัตน์

ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะคิดเหมือนกัน เพราะหลังจากคืนที่นางมะลิเข้าโรงพยาบาล เขาก็ไม่ได้พบหน้าเธออีกเลย มีเพียงขนมปังปิ้งกับกาแฟที่ชงเตรียมเอาไว้ให้ทุกเช้าเท่านั้น ที่บ่งบอกการมีตัวตนของเธอ พลวัตจึงได้กลับไปใช้ชีวิตตามปรกติเหมือนเช่นที่ผ่านมา

ชายหนุ่มอยู่อย่างสงบสุขไม่มีอะไรมากวนใจได้ห้าวัน แขกผู้แสนจะเก็บตัวก็โผล่หน้าออกมาจากห้อง หญิงสาวนั่งกินขนมปังอยู่เงียบๆ ที่โต๊ะกินอาหาร ตอนที่เขาเดินลงมาจากชั้นบน

สังเกตจากกาแฟในหม้อต้มที่ยังไม่ได้ที่ เขาเลยรู้ว่าวันนี้เธอตื่นสาย หรือจะเรียกว่าเข้านอนสายเขาก็ไม่แน่ใจนัก เพราะรู้มาเหมือนกันว่าเธอนอนไม่เป็นเวลา

ภาพมธุรัตน์ที่นั่งก้มหน้ากินอาหารเช้า ดูเหมือนเงาอะไรสักอย่างที่สุดแสนจะอึมครึม ยิ่งอยู่ในชุดนอนเป็นกระโปรงสีขาวแบบนี้ ก็ยิ่งเหมือนกับว่าเธอหลุดออกมาจากภาพยนตร์สยองขวัญไปกันใหญ่

พลวัตออกจะรู้สึกอึดอัดไม่น้อยเมื่อต้องมานั่งร่วมโต๊ะกับหญิงสาว แต่เมื่อคิดถึงน้ำใจของเธอที่ต้มกาแฟกับปิ้งขนมปังเอาไว้ให้ทุกเช้า เขาก็พยายามขจัดอคติในใจออกไป แล้วส่งยิ้มทักทายเธอ

“ขอบคุณนะ ที่ต้มกาแฟเอาไว้ให้ทุกวัน” ชายหนุ่มเปิดฉากสนทนาก่อน

มธุรัตน์ทำเพียงเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วก้มหน้าลงไปกินขนมปังต่อ

ถ้าเป็นพิมลตราก็คงจะเข้าใจไปแล้วว่านี่คือการบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’ ของเธอ แต่พลวัตไม่ได้สนิทสนมกับหญิงสาวขนาดที่ว่าจะอ่านสายตาเธอออก เขาจึงคิดไปว่าเธอไม่อยากจะเสวนากับเขา ก็เลยตัดสินใจนั่งจิบกาแฟกับอ่านนิตยสารเกี่ยวกับการเกษตรอย่างเงียบๆ

ส่วนมธุรัตน์ก็นั่งแทะขนมปังไปพลาง ก้มหน้าก้มหน้าอ่านนวนิยายไปพลาง

หญิงสาวอ่านมันติดพันมาตั้งแต่เมื่อคืน ก็เลยอยากจะอ่านให้จบก่อนเข้านอน แต่ถ้าอ่านในห้องอาจจะง่วงแล้วผล็อยหลับไปได้ เธอก็เลยลงมาอ่านข้างล่าง

ในขณะที่กำลังอ่านใกล้จบเล่ม หญิงสาวก็รู้สึกสะกิดใจเนื้อหาในหน้าหนังสือ เธอก็เลยเงยหน้าขึ้นมาจากหน้ากระดาษ แล้วเอ่ยถามพลวัตในทันที

“รสจูบนี่มันเป็นยังไง”

พลวัตที่กำลังซดกาแฟนอยู่ถึงกับสำลักพรวด พ่นกาแฟออกมาเลอะเต็มโต๊ะ ชายหนุ่มเอามือทาบอกแล้วไอออกมาแรงๆ ไล่กาแฟที่เข้าไปในจมูกให้ออกมา เขาไอโขลกหน้าดำหน้าแดงอยู่นานสองนานกว่าจะหายสำลัก พอตั้งตัวได้ชายหนุ่มก็หันไปเล่นงานมธุรัตน์ทันที

“อย่าถามอะไรบ้าๆ ได้ไหม เรื่องแบบนี้คนปรกติที่ไหนเขาถามกัน” ชายหนุ่มเอ็ดไปพลางหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดหน้าไปด้วย

“คุณไม่เคยจูบหรือ…แย่จัง” หญิงสาวพึมพำด้วยสีหน้าผิดหวัง

คำพูดนี้ทำให้ชายชาตรีอย่างพลวัตรู้สึกถูกสบประมาทอย่างแรง ชายหนุ่มหันขวับกลับมาเถียงในทันที

“เคยสิ ใครว่าไม่เคย แต่เรื่องแบบนี้เขาไม่พูดกันเข้าใจไหม”

มธุรัตน์หรี่ตามองกลับมาด้วยสายตาที่บ่งว่าไม่เชื่อคำพูดเขา สายตาคู่นั้นเหมือนจะตีตราหาว่าเขาเป็น ‘หนุ่มเวอร์จิ้น’ พลวัตเลยรู้สึกเหมือนถูกสบประมาทเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

ถ้าเขาโหดอย่างพระเอกละครน้ำเน่า คงจะกระชากตัวเธอมาจูบแล้ว แต่การรังแกผู้หญิงหรือข่มแหงน้ำใจไม่ใช่วิสัยพลวัต ชายหนุ่มเลยได้แต่ทนกล้ำกลืนให้เธอสบประมาทเขาทางสายตาต่อไป

แม้จะได้รับการปฏิเสธที่จะตอบคำถาม แต่มธุรัตน์ก็ยังไม่ละความพยายาม หญิงสาวหยิบสมุดโน้ตขึ้นมาคัดลอกข้อความในหนังสือที่บรรยายว่ารสจูบหวานละมุนละไมเพียงใด แล้วเขียนคำถามใต้ข้อความตัวโตๆ ว่า

‘เล่มไหนๆ ก็บอกว่ารสจูบหวาน แต่ไม่บอกเลยว่าหวานแบบไหน เหมือนลูกกวาด ผลไม้ หรืออะไร?

เขียนเสร็จแล้วหญิงสาวก็ยื่นสมุดโน้ตไปให้พลวัตอ่าน

ชายหนุ่มเกาหัวอย่างเหนื่อยใจกับความอยากรู้อยากเห็นแบบแปลกๆ ของหญิงสาว เขาเลื่อนสมุดโน้ตคืนให้เธอ แล้วตัดสินใจตอบคำถามที่คิดว่าฟังดูดีที่สุดไป

“รสจูบมันขึ้นอยู่กับคน แต่ละคนมันไม่เหมือนกันหรอก ของอย่างนี้มันต้องลองเอง อธิบายมาเป็นคำพูดไม่ได้”

มธุรัตน์พยักหน้ารับด้วยท่าทางพอใจกับคำตอบ พลวัตเลยหายใจโล่งขึ้นเป็นกอง แต่เบาใจได้ไม่กี่วินาที หญิงสาวก็คว้าหมับเข้าที่คางของเขา แล้วโน้มตัวลงมาจูบ

ชายหนุ่มเบิกตาค้าง เมื่อริมฝีปากนุ่มนิ่มทาบลงมา ไออุ่นจากริมฝีปากหญิงสาวทำให้หัวเขาขาวโพลนไปหมด กว่าจะได้สติหรือทันได้ขัดขืน หญิงสาวก็เป็นฝ่ายผละออกไปเอง

“รสกาแฟ” มธุรัตน์ก้มหน้าก้มตาจดโน้ตลงไปสมุดหน้าตาเฉย โดยไม่ใส่ใจปฏิกิริยานิ่งแข็งเป็นหินของพลวัต

“ทำบ้าอะไรของคุณ!” ชายหนุ่มโวยลั่นบ้านเมื่อระลึกได้ว่าตัวเองถูกปล้นจูบไปหมาดๆ

เธอทำราวกับว่าเขาเป็นเครื่องดื่มหรือขนม ส่วนเธอเป็นนักวิจารณ์ที่มีหน้าที่ชิมแล้วก็จดรสชาติ เจออย่างนี้เข้า เขาเลยรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าขึ้นมาทันที

“First kiss หรือ”

“ไม่ใช่”

“แต่เป็น First kiss ของฉัน คิดว่าคุณได้กำไรก็แล้วกัน”

มธุรัตน์ตอบง่ายๆ เพียงเท่านี้ แล้วเดินกลับที่ไปเปิดหนังสือที่อ่านค้างเอาไว้ต่อ

พลวัตเลยอึ้งไปเป็นนานกว่าจะคิดหาคำพูดมาโต้ตอบกับเธอได้

“กำไรอะไรเล่า คุณเป็นฝ่ายมาจูบผมก่อน นี่มันข้อหาทำอนาจารเลยนะ” ชายหนุ่มขึ้นเสียงใส่หน้าดำหน้าแดง

จากนั้นก็เทศนาหญิงสาวยาวเหยียดเกี่ยวกับคำว่ากุลสตรี ชายหนุ่มใช้คำพูดที่ค่อนข้างรุนแรงเลยทีเดียว ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงหน้าม้าน ไม่ก็ตบหน้าเขาไปฉาดใหญ่แล้ว แต่มธุรัตน์ยังคงทำหน้าเฉย เธอนั่งฟังเขาบ่นตาไม่กระพริบ

สักพักใหญ่พลวัตก็รู้ตัวว่าระเบิดอารมณ์มากไป เขาเลยลดเสียงลงแล้วพูดกับเธอแบบจริงจังขึ้น

“จำไว้นะว่าอย่าไปทำอย่างนี้กับใครอีก ถึงจะอยากรู้อยากลองแค่ไหนแต่ก็ไม่ควร ทำแบบนี้มันเรียกว่าให้ท่าผู้ชายรู้หรือเปล่า ถ้าเป็นคนอื่นไม่ใช่ผม คุณอาจจะโดนข่มขืนไปแล้ว”

อายุเธอรุ่นราวคราวเดียวกับน้องสาวเขา พอเห็นอะไรที่ไม่ถูกไม่ควรมันก็อดเตือนไม่ได้ ไม่รู้ว่าเธอจะเข้าใจความปรารถนาดีที่เขาพยายามจะสื่อหรือเปล่า เพราะแววตาของเจ้าหล่อนดูไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว

ชายหนุ่มจึงถอนใจยาว แล้วทรุดฮวบลงไปนั่งกับที่อย่างหมดแรง

เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไรต่อแล้ว มธุรัตน์จึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง

“คุณจะแจ้งความจับฉันหรือเปล่า”

“อะไรนะ?” ชายหนุ่มหันขวับกลับไปถามอย่างไม่เข้าใจ

“ข้อหาทำอนาจารไง คุณจะฟ้องเรื่องที่ฉันจูบคุณหรือเปล่า”

มธุรัตน์เห็นเขาโวยวายตีโพยตีพายเสียลั่นบ้านก็เลยคิดว่าเขาจะเอาเรื่อง หน่วยประมวลผลในสมองที่ไม่เหมือนใครของหญิงสาว แอบกระหยิ่มยิ้มย่องที่จะได้ขึ้นโรงพักอยู่เหมือนกัน เพราะอยากจะลองถูกจับมานานแล้ว ทว่าเธอให้สัญญากับพิมลตราว่าจะไม่ทำอะไรแผลงๆ ก็เลยอดไป แต่หนนี้มันเป็นเหตุสุดวิสัยพิมลตราจะต้องไม่โกรธเธอแน่

“จะบ้าหรือ ใครมันจะฟ้อง” ชายหนุ่มโวยกลับ

ขืนไปแจ้งความว่าถูกผู้หญิงปล้นจูบ ตำรวจคงพากันขำกลิ้งกันทั้งโรงพัก เผลอๆ อาจจะเอาไปออกรายการคดีเด็ดด้วยก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเขาคงได้ย้ายบ้านหนีอาย เพราะแค่นี้เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนแล้ว

“แย่จัง”

หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาอย่างเสียดาย แล้วหอบหนังสือเดินกอดอกกลับไปที่ห้อง

ชายหนุ่มมองท่าทางเหมือนจะเสียดายอะไรสักอย่างของหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจ เขาชักเริ่มจะไม่มั่นใจขึ้นมาแล้วว่าเธอเป็นแค่คนประหลาด หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาทางจิตกันแน่

เอาเป็นว่า เขาไม่วันยอมเป็นเหยื่อทดลองให้เจ้าหล่อนใช้ทดสอบความอยากรู้อยากเห็นอีกเป็นอันขาด


พลวัตคิดหาทางเลี่ยงไม่ต้องนั่งร่วมโต๊ะกับหญิงสาวอยู่ค่อนคืน ถึงเขาจะปากร้ายพูดแรงในบ้างครั้ง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ใช่พวกที่จะทำร้ายความรู้สึกหรือน้ำใจใครง่ายๆ เขาก็เลยต้องคิดวิธีที่ดูแยบยลเอามาใช้เพื่อถนอมน้ำใจเธอ

ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้ทางออก แผนการคือถ้าเจอเธอที่โต๊ะอาหาร เขาจะแกล้งทำเป็นมีงานด่วน แล้วรีบออกไปที่ไร่ ทำอย่างนี้มธุรัตน์จะได้ไม่รู้ว่าเขาไม่อยากนั่งกินอาหารเช้ากับเธอ

เพื่อความสมจริงสมจัง ชายหนุ่มถึงกับแอบซ้อมทางท่าเร่งรีบหน้ากระจกเลยทีเดียว แต่แผนการนี้กลับไม่ได้ใช้ เพราะตอนที่เขาลงไปมธุรัตน์ไม่ได้อยู่ในห้องครัว

ชายหนุ่มควรจะโล่งอก แต่กลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างขาดหายไป พอนึกดูจึงรู้ว่าขาดกลิ่นขนมปังปิ้งกับกลิ่นกาแฟไป

พลวัตคิดว่าหญิงสาวโกรธเรื่องที่เขาต่อว่าเธอ ก็เลยไม่ได้เตรียมกาแฟนกับขนมปังไว้ให้ ชายหนุ่มรู้สึกผิด แต่ก็คิดว่าเธอเองก็ผิดด้วย จึงไม่คิดจะขอโทษ

เขาหนุ่มรดน้ำต้มไม้ แล้วอาบน้ำแต่งตัวออกไปทำงาน ชายหนุ่มหยิบรองเท้าจากชั้นมาสวม โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่ารองเท้าคู่น้อยที่วางอยู่ข้างรองเท้าตัวเองได้หายไป กว่าจะรู้ตัวว่ามธุรัตน์ไม่ได้อยู่ในบ้านก็ค่ำมืดแล้ว

พิมลตราโทรมาขอสายเพื่อนสนิท เขาก็เลยจำเป็นต้องเดินเอาโทรศัพท์ไปให้มธุรัตน์ที่ห้อง แล้วก็พบแต่ห้องว่างเปล่า เดินตามหาจนทั่วบ้านก็ยังไม่เจอ

พอพิมลตรารู้ว่ามธุรัตน์หายไป หญิงสาวก็บ่นพี่ชายเสียจนอีกฝ่ายหูอื้อ

“พิมบอกพี่พลแล้วว่าให้รีบไปเอาของ น้ำผึ้งจะได้มีมือถือใช้ แล้วเป็นไง หายตัวไปแบบนี้จะตามตัวกันยังไงคะ”

“เอาน่า…เขาอาจจะแค่ออกไปเดินเล่นก็ได้”

ชายหนุ่มรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ไม่ได้แวะไปเอาของให้เธอ เขามัวแต่ใจเย็น ก็เพราะผู้ช่วยนายสถานีบอกว่าถ้าไม่ว่างจริงๆ จะเอาของมาให้ตอนเข้ามารับภรรยา ซึ่งเป็นธุรการในไร่ เขาก็เลยรอให้ทางนั้นช่วยเอามาส่งให้

“เดินเล่นค่ำมืดอย่างนี้น่ะหรือคะ ไม่ใช่นิสัยน้ำผึ้งแน่นอน พี่คงไม่ได้ว่าอะไรให้น้ำผึ้งรู้สึกไม่ดีหรอกนะ เห็นแบบนั้นแต่อ่อนไหวจะตาย พิมละห่วงว่าจะติสต์แตกแล้วไปกระโดดน้ำตาย”

พิมลตราพูดเกินจริงไปหลายเท่าเพราะเป็นห่วง และต้องการให้พี่ชายดูแลเพื่อนของเธอให้ดีกว่าที่เป็นอยู่

ตั้งแต่รู้ว่าแม่เพื่อนสาวไปที่ไร่ในสภาพปรกติ แถมยังไปทำให้แม่บ้านพี่ชายช็อกจนเข้าโรงพยาบาล หญิงสาวก็เริ่มหมดหวังที่จะจับคู่ให้กับคนทั้งสอง เพราะเธอลางานไปช่วยเป็นกามเทพให้ไม่ได้แล้ว

วันลาของหญิงสาวหายไปหมดเพราะตกบันได แถมเจ้านายสุดโหดยังยื่นคำขาดว่าห้ามลาอีกจนกว่าจะถึงสิ้นปี พิมลตราเลยสุดแสนจะห่อเหี่ยว ที่ไม่ได้ทำตามแผนที่วางไว้เลยสักอย่าง

“ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง แค่ว่าไปนิดหน่อย”

พลวัตหลุดปากออกไป เพราะเริ่มเป็นกังวลเรื่องที่ตำหนิเธอไปเมื่อวาน

“พิมนึกแล้วเชียวว่าต้องมีเรื่อง พี่พลรีบไปตามหาเพื่อนพิมเดี๋ยวนี้เลยนะ” หญิงสาวหวีดร้องเสียงดัง

เห็นอาการเป็นห่วงแบบเกินพอดีของน้องสาว กับความประหลาดของมธุรัตน์ที่เขาเห็นมากับตา ชายหนุ่มก็เริ่มจะเป็นกังวลจริงๆ เขาเลยวางโทรศัพท์แล้วก็รีบขับรถออกไปตามหาเธอ

ถนนในไร่เขาติดไฟเอาไว้แค่บางจุดเท่านั้น นอกนั้นมืดสนิทหมด เขาเพิ่งมานึกได้ตอนนี้เองว่าถึงมธุรัตน์จะมีนิสัยประหลาด แต่เธอก็เป็นผู้หญิง มีอันตรายอยู่รอบด้าน ช่วงนี้มีคนงานชั่วคราวเข้าออกมากหน้าหลายตา ชายหนุ่มจึงรู้สึกเป็นห่วงมากขึ้นเป็นเท่าตัว

ในขณะที่พลวัตขับรถตามหาหญิงสาวไปทั่วไร่ คนที่เขากำลังเป็นห่วงจนแทบบ้า กลับเดินสวนกลับมาที่บ้านโดยคลาดกันแค่ไม่กี่นาที มธุรัตน์เดินลัดตัดแปลงข้าวโพดเข้ามา เพราะเห็นว่าระยะทางมันใกล้กว่ากันมาก

หญิงสาววางข้าวของพะรุงพะรังที่หิ้วมาลงหน้าประตูบ้าน แล้วบิดลูกบิดเปิดประตูเข้าไป แต่ว่ามันล็อกอยู่ ภายในบ้านมืดสนิท แถมรถของพลวัตก็ไม่อยู่ เธอจึงสันนิษฐานว่าเขาออกไปข้างนอก เลยนั่งลงรอที่เก้าอี้ไม้บริเวณเฉลียงหน้าบ้าน

รออยู่ราวชั่วโมงเศษ เจ้าของบ้านก็กลับมา ชายหนุ่มออกไปสอบถามคนงานในไร่กับคนแถวนั้นจนทั่ว แล้วตามรอยมธุรัตน์ไปเรื่อยๆ สุดท้ายเบาะแสมันก็วกกลับมาที่บ้านเขา พลวัตจึงรีบรุดกลับมาแล้วก็เป็นว่ามธุรัตน์กำลังนั่งโล้ชิงช้า กินขนมกรุบกรอบอย่างสบายใจ สรุปแล้วเธอแค่เข้าเมืองไปซื้อของเท่านั้นเอง
ชายหนุ่มทั้งโล่งอกทั้งโมโหจนไม่รู้จะปั้นสีหน้าอย่างไรดี เลยได้แต่เดินกระแทกเท้าไปเปิดประตูบ้าน แล้วทำเป็นไม่สนใจหญิงสาว

“ไปไหนมา”

มธุรัตน์เอ่ยถามขณะที่ชายหนุ่มกำลังไขประตูห้อง หญิงสาวทำหน้าตาเหมือนกับว่าเขาเป็นฝ่ายเถลไถลกลับบ้านไม่ตรงเวลา เธอก็เลยต้องทนนั่งตากยุงรออยู่ด้านนอก

“หายไปเที่ยวมาทั้งวันยังมีหน้ามาถามคนอื่นเขาอีก” พลวัตเอ็ดเข้าให้

“ไม่ได้ไปเที่ยว ไปซื้อของ”

มธุรัตน์หันมาเถียงหน้าตาย แล้วปิดฉากการสนทนาด้วยการหิ้วของที่ซื้อมาเดินเข้าไปในตัวบ้าน

“คราวหลังจะไปไหนมาไหนหัดบอกกันบ้าง คนเขาจะได้ไม่ต้องวุ่นวายตามหา” ชายหนุ่มเดินตามมาบ่นต่อ

หญิงสาวหันมาตอบรับด้วยคำว่า ‘อืม’ เพียงคำเดียว แล้วสาละวนจัดการเอาอาหารแช่แข็งมายัดใส่ตู้เย็น

“ที่พูดนี่เข้าใจแน่นะ ต่อไปจะไปไหนเวลาผมไม่อยู่บ้าน ให้ทิ้งโน้ตหรือโทรบอกกันก่อนเข้าใจไหม” พลวัตย้ำอีกครั้ง

เขาเอาตัวมาขวางทางเธอ แล้วยืนกอดอก เพื่อรอฟังคำตอบรับที่จริงจังมากกว่านี้

“คุณนี่เหมือนพิมนะ”

หญิงสาวว่าแล้วเดินอ้อมไปอีกด้าน เพื่อกลับไปจัดการของที่วางกองอยู่บนโต๊ะต่อ

“ทำไม เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ผมพูดไม่ทราบ”

อยู่ๆ ถูกเปลี่ยนประเด็นแบบปุบปับชายหนุ่มเลยตามไม่ทัน

“ขี้กังวลเหมือนกัน”

เจ้าหล่อนยักไหล่ก่อนจะเปิดตู้เย็น แล้วเอาไอศกรีมหลายกล่องไปแช่ในนั้น

มธุรัตน์เหมือนจะสื่อว่าเขาวิตกจริตไปเอง เธอแค่ออกไปซื้อของ แล้วจะมาโวยวายทำไม ก็โตๆ กันแล้วทั้งนั้น

ท่าทีของหญิงสาวทำให้เขานึกอยากจะบีบลำคอขาวๆ ของเจ้าหล่อน ให้ขาดใจตายคามือเสียเหลือเกิน เขาเองก็ใช่ว่าอยากจะห่วง อยากจะสนใจเธอที่ไหนกัน

ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้กวนอารมณ์เป็นที่สุด

ในขณะที่เขากำลังโกรธและตั้งท่าจะหมุนตัวกลับไปที่ชั้นบน ท้องมันก็ร้องโครกครากประท้วงขึ้นมา ตั้งแต่แม่บ้านป่วย เขาก็ฝากท้องไว้กับร้านอาหารที่รีสอร์ทแถวนี้ แต่ป่านนี้แล้วร้านมันคงปิดไปแล้ว เห็นทีคงต้องขับรถไปหาซื้ออะไรกินที่ตลาดในเมืองเสียแล้วกระมัง

“หิวหรือ” มธุรัตน์หันมาถาม

หญิงสาวเป็นมนุษย์จำพวกที่หูดีผิดปรกติ ก็เลยได้ยินเสียงท้องร้องของชายหนุ่ม เธอไม่รอให้เขาตอบ แต่แกะถุงอาหารแช่แข็งออกมา แล้วเอามาวางเรียงรายให้พลวัตเลือก

ชายหนุ่มมองไปที่อาหารแช่แข็งสารพัดเมนู แล้วลังเลอยู่ที่ระหว่างข้าวสเต็กหมูกับสปาร์เก็ตตี้ซอสไก่

มธุรัตน์อ่านความลังเลของชายหนุ่มออก เธอเลยหยิบทั้งสองอันไปเข้าไมโครเวฟแล้วจัดใส่จานมาให้

น้ำใจจากเธอทำให้พลวัตหายโกรธอย่างง่ายดาย เขายอมนั่งลงที่โต๊ะ นั่งรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน ทั้งที่เมื่อวานเพิ่งจะบอกลา ไม่ขอนั่งกินข้าวด้วยอีก

หนนี้ไม่มีการสนทนากันระหว่างสองหนุ่มสาว แต่บรรยากาศระหว่างทั้งคู่ก็ดีขึ้นมาก มธุรัตน์เงยหน้ามาให้เห็นเป็นระยะ เธอยังคงมองเขาด้วยสายตาและสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเดิม แต่เขากลับรู้สึกว่ามันไม่อึมครึมน่ากลัวเหมือนแต่ก่อน

ชายหนุ่มจึงแสดงน้ำใจกลับด้วยการเปิดตู้เย็น แล้วชูขวดไวน์ขึ้นมาถามว่าเธอจะดื่มด้วยกันหรือเปล่า

“ขอน้ำส้ม”

พลวัตนึกค้านว่าในตู้เย็นบ้านเขาไม่มีน้ำส้ม แต่พอเห็นขวดน้ำผลไม้สีสดตั้งอยู่ เขาก็หยิบออกมารินให้หญิงสาว

ตู้เย็นของเขาในตอนนี้อัดแน่นด้วยอาหารแช่แข็งกับของกินสารพัดอย่าง จนความเย็นของเครื่องลดลงไปมาก เห็นของกินในตู้ กับของที่ยังกองอยู่ด้านนอก เขาก็อดทึ่งไม่ได้ที่หญิงสาวตัวเล็กๆ อย่างเธอขนของหมดนี่มาได้เอง

“คุณออกไปซื้อของยังไง”

หญิงสาวไม่มีรถใช้ และในไร่เขาก็ไม่มีรถสาธารณะให้บริการ

“เดินไป ต่อรถสองแถว แล้วก็เดินกลับ”

ฟังแล้วพลวัตก็ต้องทึ่งอีกครั้ง เพราะระยะทางจากถนนใหญ่กับบ้านบ้านที่เขาอยู่ห่างกันกว่าสิบกิโลเมตร ขาไปเดินไปตัวเปล่าอาจจะไม่เท่าไร แต่ขากลับนี่สิที่ลำบาก เพราะต้องหิ้วของหนักอึ้งพวกนี้มาด้วย

เขาเหลือบมองมือเธอก็เห็นว่าแดงก่ำไปหมด ที่แขนเองก็มีรอยถลอกให้เห็นอยู่ประปราย

“แขนไปโดนอะไรมา”

“ไม่แน่ใจ น่าจะเป็นใบข้าวโพด”

มธุรัตน์เป็นพวกที่มักจะได้แผลโดยไม่รู้ตัวเสมอ หญิงสาวเป็นคนผิวบาง ถ้าไม่ระวังแม้แต่กระดาษก็ยังบาดผิวเธอได้เลย

ตอนออกไปตามหาหญิงสาว พลวัตเห็นว่าตรงแปลงข้าวโพดดูไหวผิดปรกติ เลยคิดว่าเป็นสุนัข ที่ไหนได้กลับกลายเป็นมธุรัตน์ไปเสียนี่

ถ้าเป็นตอนกลางวันจะเดินผ่านก็คงไม่เป็นไร แต่นี่เป็นกลางคืน แสงไฟก็แทบไม่มี แต่เจ้าหล่อนก็ยังกล้าเดินมา ชายหนุ่มเลยต้องแต่งเรื่องมาขู่ เพื่อให้มธุรัตน์กลัวและไม่ใช้เส้นทางนี้ตอนกลางคืนอีก

“อย่าเข้าไปในแปลงข้าวโพดตอนกลางคืนอีกล่ะ งูเงี้ยวเขี้ยวขอมันเยอะ กลางปีก็มีคนงานโดนกัดมาแล้ว”

“มันไกลนี่” หญิงสาวแก้ต่างให้ตัวเอง

พอเขาคุยด้วยมากขึ้น มธุรัตน์ก็เลยคุยด้วยมากขึ้นตาม ปรกติเธอไม่เป็นอย่างนี้กับทุกคน แต่พอคิดว่าเขาคล้ายกับพิมลตรา ป้อมปราการที่สร้างเอาไว้ก็เลยบางลงหลายชั้น

“แล้วทำไมไม่รอให้ถึงพรุ่งนี้ ผมบอกแล้วนี่ว่าถ้าอยากเข้าเมืองหรือไปไหนผมพาไปได้วันพุธ”

พลวัตกำหนดช่วงเวลากลางสัปดาห์ให้เป็นวันหยุดของตัวเอง ที่ไม่ได้หยุดเสาร์อาทิตย์เพราะเสาร์อาทิตย์นี้เป็นวันหยุดของพนักงานในออฟฟิศ เขาเลยผลัดกันอยู่เวรกับผู้จัดการ เผื่อว่ามีคนมาติดต่อเข้ามาหรือมีเรื่องเร่งด่วนให้จัดการ

“อาหารเช้าคุณหมด”

อาหารเช้าที่ว่าก็คือขนมปังปิ้งที่หญิงสาวเตรียมไว้ให้ทุกเช้า ที่แท้เธอก็ไม่ได้โกรธเขาอย่างที่เขาเข้าใจ

“ทำไมไม่บอกผมล่ะ”

“ฉันมาพักที่นี่ เลยอยากทำอะไรให้บ้าง”

คำพูดของมธุรัตน์ไม่ได้พูดตามมารยาท หรืออยากให้ฟังดูดี เพราะเธอเป็นคนที่ไม่ยี่หระหรือใส่ใจกับปฏิกิริยาของคนอื่นอยู่แล้ว

คงจะจริงอย่างที่พิมลตราบอก มธุรัตน์เป็นคนแปลก แต่ก็ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง หากเธอทำดีด้วยก็อย่าได้แคลงใจ เพราะนั่นคือความจริงใจที่เธอมอบให้ โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน

“ขอบคุณ” ชายหนุ่มตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าทุกคราว

หลังมื้ออาหาร เขาก็หยิบกล่องพยาบาลมายื่นให้หญิงสาว แต่เธอส่ายหน้าปฏิเสธ

“รับไปซะ ใส่ยาเสียหน่อยจะได้หายเร็วขึ้น”

“ขี้เกียจ”

“ไม่ได้! รีบไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้ แล้วลงมาให้ทำแผลให้ด้วย” ชายหนุ่มทำเสียงดุใส่ ก่อนจะชี้นิ้วสั่งให้เธอขึ้นไปข้างบน

“ไม่ต้องอาบน้ำ ทำแผลอย่างเดียว แล้วนอนเลยได้ไหม” หญิงสาวต่อรอง

“จะบ้าหรือไงแม่คุณ! ออกไปข้างนอกมาทั้งวันแต่ไม่อาบน้ำเนี่ยนะ จะซกมกเกินไปแล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ใช่คนสกปรก อาบวันละครั้งหรือสองสามวันอาบก็ได้”

ความไม่ใส่ใจตัวเองของมธุรัตน์ ทำให้พลวัตนึกอยากจะหวดก้นหญิงสาวขึ้นมาอีก ลำพังเธอไม่ใส่ใจเสื้อผ้าหน้าผมยังพอทน เพราะก็ถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่การไม่ใส่ใจบาดแผลตามตัวนี่เห็นจะเกินไปหน่อย มองแล้วเขาก็ทนปล่อยให้หญิงสาวกลับขึ้นไปทั้งสภาพอย่างนั้นไม่ได้

คนอย่างมธุรัตน์จัดเป็นประเภทที่เห็นแล้วอดดูแลไม่ได้จริงๆ เขาเลยเริ่มจะเข้าใจความรู้สึกของน้องสาวขึ้นมาบ้าง

“ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มสั่งเสียงเฉียบ

หญิงสาวจึงตวัดสายตาหันมามอง แล้วถอนหายใจยาว

“คุณเหมือนพิมอีกแล้ว”

“อะไรอีกล่ะ”

“จู้จี้” มธุรัตน์แบะปากน้อยๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป

“จะว่าอะไรก็ตามใจ ให้เวลาสิบห้านาที รีบๆ ด้วย ถ้าช้าล่ะน่าดู”

ชายหนุ่มกอดอกตีหน้าขรึม พอลับหลังเธอแล้วเขากลับยิ้มออกมา ทั้งที่ถูกว่าว่าจู้จี้แต่เขาก็ไม่ยักโกรธอย่างที่ควรจะเป็น เพราะรู้สึกว่าประโยคนี้คือการหยอกล้อของเธอเสียมากกว่า พอหัดสังเกตเข้าหน่อยเขาก็เริ่มเรียนรู้อารมณ์และภาษากายของหญิงสาวได้ทีละน้อย

ระหว่างที่รอมธุรัตน์อาบน้ำ พลวัตก็ล้างจานไปด้วย มธุรัตน์บอกจะไม่ทำอาหารและจะไม่ทำงานบ้านใดๆ ทั้งสิ้น เขาบังคับเธอไม่ได้ก็เลยต้องจำใจรับหน้านี้ พอล้างจานกับทำงานบ้านเองหลายวันเข้า เขาก็เริ่มชิน ก็เลยเลิกบ่นไปโดยปริยาย

ล้างจานเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็หยิบผ้าสะอาดมาเช็ดจาน เขาไม่อยากปล่อยให้จานแห้งเอง เพราะกลัวว่าจะมีหนูหรือแมลงที่ซุกซ่อนอยู่ในบ้านมาไต่ตอมจานอาหารขณะที่ผึ่งเอาไว้

เช็ดจานใกล้เสร็จ ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงย่ำเท้าลงมาชั้นล่าง เขาก็เลยบอกให้มธุรัตน์ไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นก่อน

พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีชายหนุ่มก็ต้องตกใจจนแทบจะทำจานหล่นจากมือ เพราะมธุรัตน์ลงมาทั้งที่ยังนุ่งผ้าเช็ดตัวอยู่ ผมเผ้าก็ไม่ได้เช็ดให้แห้ง ปล่อยให้บริเวณที่ตัวเองเดินผ่านเปียกเป็นทางยาว

“ผมไม่ได้เร่งคุณขนาดนั้น ไม่ต้องรีบก็ได้ ไปแต่งตัวก่อน”

เขามองมธุรัตน์ในแง่ดีได้ครู่เดียว ตอนนี้ก็ต้องกลับมาปวดหัวจี๊ด เพราะพฤติกรรมของเจ้าหล่อนอีกแล้ว

“เสื้อผ้าหมด”

มธุรัตน์พกเสื้อผ้ามาไม่มาก เธอตั้งใจว่าจะซักวันนี้ แต่กว่ากลับจากซื้อของช้ากว่าที่คิดก็เลยไม่ได้ซัก

“แล้วทำไมไม่บอกกันก่อนจะได้ให้ยืม ไม่ใช่นุ่งผ้าเช็ดตัวเดินโป๊ลงมาอย่างนี้ ผมบอกแล้วใช่ไหมว่ามันเป็นการเชิญชวน”

ชายหนุ่มแยกเขี้ยวใส่ ก่อนจะก้าวยาวๆ ขึ้นไปบนห้อง

พลวัตหยิบกางเกงเลแล้วเสื้อยืดเนื้อหนาของตัวเองมาส่งให้หญิงสาว เขาพยายามรักษามารยาทเต็มที่ด้วยการไม่มองเรือนร่างของเธอ แต่เจ้าหล่อนยื่นมือมารับของช้าเหลือเกิน ชายหนุ่มเลยเผลอมองไปอย่างไม่ตั้งใจ

รูปร่างของเธอผอมบางแต่กลับดูมีส่วนโค้งเว้ากว่าที่คิด เลือดในกายของเขาเริ่มสูบฉีด เมื่อเผลอจินตนาการถึงเรือนร่างเปลือยเปล่าของเธอ ชายหนุ่มรีบดึงความคิดให้กลับมาก่อนที่มันจะเตลิดไปไกล เขาทำหน้าขึงขังแล้วชี้นิ้วไล่ให้หญิงสาวไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ ส่วนตัวเองก็วิ่งไปหาผ้ามาเช็ดพื้นไม้ที่เปียกเพราะฝีมือเธอ

สักครู่มธุรัตน์ก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ในสภาพที่เหมือนกับเด็กแอบเอาเสื้อผ้าของพ่อมาสวมเล่น เสื้อขนาดพอดีตัวของเขากลายเป็นชุดกระโปรงให้เธอได้สบาย ส่วนกางเกงก็ยาวรุงรังลากพื้น

“พับขากางเกงเสียหน่อยสิ” ชายหนุ่มสั่งต่อตามนิสัยเจ้าระเบียบ

มธุรัตน์ยอมก้มลงไปพับขากางเกง แต่ท่าทีเก้ๆ กังๆ ของเธอดูขัดตาเขาเสียเหลือเกิน สุดท้ายชายหนุ่มก็ทนไม่ไหว ต้องคุกเข่าลงไปพับขากางเกงให้

ระหว่างที่คุกเข่าอยู่นี้ หยดน้ำจากผมเธอทำเสื้อเขาเปียกไปหมด พลวัตก็เลยจัดแจงให้หญิงสาวนั่งลงแล้วเช็ดผมให้ จากนั้นก็เปิดกล่องยาออกเพื่อเตรียมทายาให้เธอ

ชายหนุ่มใช้ตัวยาที่เป็นครีมทาลงบนแผล ยาตัวนี้จะช่วยทำให้แผลหายและสมานตัวได้เร็วขึ้น

พลวัตสัมผัสหญิงสาวอย่างเบามือ ด้วยกลัวว่าจะทำให้เธอเจ็บหรือมีรอยช้ำ เพราะผิวหญิงสาวแดงง่ายเหลือเกิน

พลวัตเพิ่งมาสังเกตวันนี้เองว่าเธอดูตัวเล็กกว่าที่เขาคิดไว้มาก มธุรัตน์ที่ตัวอ้วนเป็นโอ่งในความทรงจำของเขาเปลี่ยนไป ราวกับนางยักษ์ได้จำแลงร่างเป็นมนุษย์แล้วจริงๆ

“เสร็จแล้ว” ชายหนุ่มบอกเมื่อทาแผลจุดสุดท้ายให้เรียบร้อยแล้ว

“ขอบคุณ คุณเหมือนพิมอีกแล้ว”

“จะว่าเจ้ากี้เจ้าการล่ะสิ”

ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ออกมาอย่างไม่ถือสา แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้า แล้วตอบกลับมาว่า

“ใจดี”

ชมเสร็จเจ้าหล่อนก็ผละออกไป ปล่อยให้พลวัตให้ยืนกลั้นยิ้มอยู่กับผ้าเช็ดตัวเปียกๆ คนเดียว

ชายหนุ่มรู้สึกเขินขึ้นมา ก็เลยข่มอาการอายด้วยการแสร้งทำเป็นบ่นหญิงสาว

“ผ้าเช็ดตัวก็ไม่รู้จักตาก ไร้ระเบียบที่สุด”

พลวัตบ่นต่ออีกหลายประโยค แต่มือกลับสะบัดผ้า แล้วเอาขึ้นไปตากที่ระเบียงด้านบนให้อย่างเป็นระเบียบ

ดูท่า มธุรัตน์จะได้ผู้ปกครองกับพี่เลี้ยงคนใหม่ แบบไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ค. 2554, 10:58:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:31:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 3101





<< บทที่ 2 ลาก่อนความสงบสุข   บทที่ 4 ผีสาวในสุสาน >>
หมูอ้วน 30 พ.ค. 2554, 12:46:20 น.
น่ารักดีค่ะ รออ่านตอนต่อไป....


ดารานิล 30 พ.ค. 2554, 13:31:25 น.
สวัสดีค่ะคุณนิชาภา แล้วเราก็ได้เจอกัน อิอิ


Pat 30 พ.ค. 2554, 13:50:34 น.
5555 ค่อยๆเรียนรู้กันไปเนอะ


Siang 30 พ.ค. 2554, 14:15:18 น.
ว่าจะไม่เม้นท์แล้วนะ แต่อดไม่ได้ ชอบมากค่ะ นางเอกนิสัยแปลก แต่ก็น่ารักและฮาดี ส่วนพระเอกก็น่ารักค่ะ


MYsister 30 พ.ค. 2554, 15:11:19 น.
ชอบของแปลก อิอิ


ชอบอ่าน 30 พ.ค. 2554, 18:53:37 น.
พระเอกน่ารักจังคะ


ปูสีน้ำเงิน 30 พ.ค. 2554, 23:39:53 น.
หลงเสน่ห์ยัยน้ำผึ้งเข้าเต็มเปาแล้วล่ะสิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account