มธุรัตน์เสน่หา โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
เมื่อนักเขียนสาวจิตป่วนโคจรมาพบกับหนุ่มเจ้าของไร่เจ้าระเบียบ ความหื่นฮารั่วจึงบังเกิดขึ้น:"รสจูบมันเป็นยังไง" เจ้าหล่อนไม่ถามเปล่าแต่กระชากคอเขามาจูบด้วย แถมยังจดโน้ตหน้าตาเฉยว่า'รสจูบ = กาแฟ' โอ้ยยย! อยากบ้า!
Tags: หนุ่มชาวไร่ สาวนักเขียน โรแมนติก คอเมดี้ นางเอกแปลก ฮา รั่ว อ่านสบายคลายเครียด

ตอน: บทที่ 4 ผีสาวในสุสาน

บทที่ 4 ผีสาวในสุสาน

ในเช้าถัดมาซึ่งเป็นวันพุธและเป็นวันหยุดของพลวัต ชายหนุ่มตื่นเช้าขึ้นมาตามปรกติ เนื่องจากไม่ชอบนอนตื่นสาย เมื่อล้างหน้าไล่ความง่วงแล้ว เขาก็เดินลงบันไดไปด้านล่าง

เช้านี้ห้องครัวดูมีกลิ่นแปลกไปกว่าที่เคย พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นขนมปังกระเทียม มีแฮมกับไข่ดาวจัดใส่จานเอาไว้พร้อม

“ไหนคุณบอกว่าจะไม่ทำกับข้าวไง”

“อุ่นอาหารผ่านไมโครเวฟ ไม่ถือว่าเป็นการทำกับข้าว” หญิงสาวชี้ไปที่ซองอาหารแช่แข็งประกอบคำพูด

ข้อนี้ชายหนุ่มค่อนข้างจะเห็นด้วย เพราะเขาเองก็ไม่นับการอุ่นอาหารแช่แข็งเป็นการทำอาหารเหมือนกัน

มธุรัตน์กำลังจะลงมือกินอาหารเช้าตอนเขาลงมา ชายหนุ่มก็เลยนั่งลงกินด้วย ทั้งที่ปรกติเขาต้องออกไปรดน้ำต้มไม้ก่อน

ทั้งสองคนนั่งรับประทานอาหารเช้ากันอย่างเงียบๆ ในบรรยากาศผ่อนคลายของยามเช้า อิ่มแล้วชายหนุ่มก็เก็บล้างจาน แล้วออกไปรดน้ำต้นไม้ ส่วนมธุรัตน์ก็เดินกลับขึ้นไปข้างบน แล้วหอบเสื้อผ้าในตะกร้าลงมาซักที่ลานซักล้างหลังบ้าน

หญิงสาวหยีตาเมื่อเปิดมาเจอแสงแดดจ้า ต้องใช้เวลาปรับสายตาอยู่นานกว่าจะคุ้นกับแสงของดวงอาทิตย์

มธุรัตน์คุ้นกับแสงไฟนีออนมากกว่าแสงธรรมชาติ เพราะส่วนใหญ่เธอจะเข้านอนตอนเช้าและตื่นมาทำงานตอนกลางคืน ที่วันนี้ตื่นอย่างคนปรกติได้ก็เพราะเมื่อคืนเข้านอนเร็ว

หญิงสาวกวาดตามองหาเครื่องซักผ้า แล้วก็พบมันอยู่ในถังไม้ทรงสูงที่มีฝาปิดแบบบานพับ ถังไม้นี้ทำเอาไว้เพื่อซ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยใหม่ที่ดูขัดกับตัวบ้าน ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้ฝนสาดเข้ามาทำความเสียหายให้กับตัวเครื่อง เนื่องจากลานซักล้างตรงนี้มีหลังคาเพียงครึ่งเดียว ถ้าฝนสาดแรงๆ น้ำฝนอาจจะกระเซ็นเข้ามาได้

มธุรัตน์เปิดถังซักผ้าแล้วเทเสื้อผ้าจากตะกร้าลงไปจนหมด โดยไม่คิดจะแยกซักให้เสียเวลา บังเอิญว่าถังซักผ้าอันนี้เป็นถังขนาดใหญ่ สามารถซักผ้านวมผืนโตได้สบาย หญิงสาวก็เลยเดินกลับขึ้นไปเอาเป้ที่เริ่มมอมแมมของตัวเองลงมาซักด้วย

ระหว่างที่รอเครื่องซักผ้าทำงานเสร็จ มธุรัตน์ก็ลงนั่งพิงกับกำแพงบ้าน ทอดสายตามองทุ่งหญ้าสีเขียวสดตรงหน้า บรรยากาศในไร่อันเงียบสงบ ชวนให้เธอนึกถึงเนื้อหาในหนังสือที่ชักนำให้เธอออกจากห้องแคบๆ มาอยู่ในไร่กว้างแห่งนี้

แม้เธอกับนางเอกของเรื่องจะมีวัตถุประสงค์ในการเดินทางต่างกัน แต่ก็คิดตรงกันตรงที่การเดินสามารถช่วยแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ได้

นางเอกของเรื่องรู้สึกว่ามีบางอย่างในชีวิตของตัวเองที่ขาดหายไป เธอจึงเริ่มออกเดินทางเพื่อตามหาสิ่งนั้น โดยมีข้ออ้างกับใครๆ ว่า เธอเดินทางเพื่อเยียวยาบาดแผลที่เกิดจากการสูญเสียคนที่รัก ในขณะที่มธุรัตน์อยากเดินทาง เพราะต้องการปรับตัวให้ชินกับการอยู่โดยไม่มีพิมลตรา

ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกับมาตั้งแต่ชั้นประถม มธุรัตน์ย้ายมากลางเทอม ส่วนพิมลตราอยู่โรงเรียนนี้มาก่อนหน้าเธอหนึ่งปี

ตอนนั้นมธุรัตน์ไม่อยากจะอยู่โรงเรียนประจำ แต่ก็ต้องมาเพราะบิดางานยุ่งเกินกว่าจะดูแลเธอได้ ในขณะที่มารดาก็ไม่เคยมาดูดำดูดี เธอจึงต่อต้านพ่อแม่และโรงเรียนอยู่เงียบๆ

พอบิดามารดาหย่าขาดจากัน เธอก็ถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กมีปัญหา ไม่ค่อยมีใครอยากคบหากับมธุรัตน์ ที่มีนิสัยเงียบขรึมเก็บตัว มีเพียงพิมลตราเท่านั้นที่หยิบยื่นมิตรไมตรีมาให้

มธุรัตน์เคยเข้าใจว่าครอบครัวของเพื่อนคงสมบูรณ์พร้อม แต่เปล่าเลย พิมลตราขาดแม่เหมือนกับเธอ ส่วนพ่อก็งานยุ่งมากจนต้องส่งลูกสาวมาเรียนที่โรงเรียนประจำเหมือนกัน หญิงสาวจึงอดถามไม่ได้ว่าทำไมพิมลตราจึงยังดูสดใสร่าเริงได้เสมอ

พิมลตรายิ้มให้เธอแล้วตอบกลับมาว่า

‘พี่พลบอกให้ร่าเริงเข้าไว้ จะได้ไม่ต้องสงสารตัวเองหรือถูกใครสงสาร ถึงเป็นผู้หญิงแต่ก็ต้องเข้มแข็งแล้วก็มีศักดิ์ศรี’

มธุรัตน์ประทับใจในคำพูดนี้ ก็เลยเลิกต่อต้านที่บ้านกับทางโรงเรียน แม้จะทำตัวให้ร่าเริงอย่างพิมลตราไม่ได้ แต่เธอก็เลิกจมอยู่กับความเศร้า และไม่ร้องไห้เพราะเรื่องของพ่อกับแม่อีกเลยนับจากวันนั้น

จะว่าไปแล้วครั้งนั้นคือครั้งแรกที่เธอได้ยินชื่อของพลวัตจากปากของพิมลตรา เธอจินตนาการเอาไว้ว่าพี่ชายคนนี้ต้องดูสุขุมและเป็นผู้ใหญ่แน่ ทว่าเมื่อได้เจอตัวจริงหญิงสาวกลับรู้สึกผิดหวัง เพราะเขาตรงเข้ามาหยิกแก้มเธออย่างคนขี้เล่น แถมยังแต่งตัวตามสมัยนิยมเหมือนอย่างวัยรุ่นในสมัยนั้นอีกต่างหาก ดูไม่เหมือนคนที่สอนปรัชญาเรื่องศักดิ์ศรีให้กับน้องสาวเลย

คิดอะไรได้เพลินๆ พลวัตก็โผล่หน้าออกมาจากประตู การมาอย่างเงียบเชียบของเขาอาจจะทำให้คนอื่นตกใจ แต่ไม่ใช่สำหรับคนหูดีอย่างมธุรัตน์ หญิงสาวได้ยินเสียงฝีเท้าเขาก่อนที่จะเปิดประตูออกมาด้วยซ้ำ

“ผมจะไปเอาของที่สถานีรถไฟให้คุณ ไปด้วยกันไหม จะพาไปเที่ยวทุ่งทานตะวัน”

อำเภอมวกเหล็กมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ทั้งในตัวอำเภอและบริเวณที่มีอาณาเขตติดกัน โดยเฉพาะหน้าหนาวอย่างนี้ ดอกไม้จะบานสะพรั่งสวยเป็นพิเศษ

“ไปอาทิตย์หน้าได้ไหม ปวดขา”

เมื่อวานมธุรัตน์เดินไปกลับประมาณยี่สิบกิโลเมตร สำหรับคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายอย่างเธอ มันเป็นอะไรที่เรียกว่าสาหัสเลยทีเดียว ตอนนี้ผลของการหักโหมทำให้เธอปวดหนึบไปทั้งตัว จนแทบไม่อยากจะขยับไปไหน

“ไปนอนแช่น้ำเย็นสิ ใส่น้ำแข็งลงไปด้วยจะช่วยได้เยอะเลย พอพ้นสี่สิบแปดชั่วโมงค่อยแช่น้ำร้อน” พลวัตแนะนำ

สมัยเรียนเขาเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลของโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เรื่องบาดเจ็บหรือเรื่องหักโหมซ้อมจนปวดกล้ามเนื้อนั้นเป็นบ่อย เลยรู้จักวิธีการดูแลตัวเอง

“ห้ามขี้เกียจล่ะ จะให้คนงานเอาน้ำแข็งมาส่งให้”

“อืม” หญิงสาวรับคำแล้วหันไปทอดสายตามองทุ่งหญ้าต่อ

คุยกันเสร็จแล้วพลวัตก็ออกจากบ้านไป ทิ้งให้หญิงสาวอยู่ตามลำพัง

มธุรัตน์เริ่มจะติดใจบรรยากาศเย็นสบายกับภาพสบายตาของทุ่งหญ้า พอตากผ้ากับแช่ตัวเสร็จ หญิงสาวเลยเปลี่ยนมุมอ่านหนังสือมาอยู่ตรงลานซักล้างแทน

สักบ่ายสองโมง พลวัตก็กลับมาพร้อมเสื้อผ้ากับของใช้สองลังใหญ่ที่พิมลตราฝากมาให้

ชายหนุ่มวางของลงที่ห้องนั่งเล่น แล้วชะโงกหน้าไปดูที่อ่างล้างจาน พอเห็นว่าไม่มีช้อนส้อมหรือแก้วน้ำวางไว้ให้ล้างเขาก็รู้ว่าหญิงสาวยังไม่ได้กินอาหารเที่ยง เขาเลยหยิบเอาข้าวผัดที่ซื้อมาจากตลาด แกะใส่จานให้หญิงสาว

“ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม ลุกมากินก่อนเร็ว” พลวัตออกคำสั่ง

พอรอสักครู่แล้วไม่มีเสียงตอบรับ เขาก็เดินไปที่หลังบ้าน แล้วดึงแขนคนไม่รู้จักดูแลตัวเองให้มากินข้าว

“กินเสร็จแล้วค่อยอ่าน เอามานี่ก่อน” ชายหนุ่มยึดหนังสือของมธุรัตน์เอาไว้

หญิงสาวเลยตวัดสายตามองกลับมาเหมือนเด็กที่ถูกแย่งของเล่น

“ไม่ต้องใช้สายตาเถียงเลยนะ รีบกิน พิมจะได้ไม่บ่นว่าผมไม่รู้จักดูแลคุณ ค่อยๆ เคี้ยวด้วยเข้าใจไหม ไม่ใช่สักแต่ตักเข้าปากแล้วก็กลืน กินแบบนั้นได้ท้องอืดตายกันพอดี”

เห็นเขาบ่นเธอเป็นจริงเป็นจัง มธุรัตน์ก็เกือบจะหลุดยิ้มออกมา วูบหนึ่งเธอเห็นภาพของเพื่อนสาวซ้อนทับเข้ากับตัวเขา แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว

‘ตาคนนี้ขี้บ่นแล้วดุกว่าพิมเยอะเลย’

พลวัตยืนคุมจนหญิงสาวยอมนั่งลงกินอาหาร พอเธอตักข้าวเข้าปากได้สองคำ เขาก็ผละออกมาเพื่อเอาของของเธอไปเก็บไว้ที่ห้อง ชาหนุ่มช่วยแกะกล่องหยิบมือถือออกมาชาร์จแบตเตอรี่ ส่วนหน้าที่จัดการกับของที่เหลือเขายกให้เป็นของหญิงสาว เพราะเห็นว่าในนั้นมีของส่วนตัวอย่างชุดชั้นในอยู่ด้วย

พอโทรศัพท์มือถือพร้อมใช้งาน พลวัตก็หยิบมันไปยื่นให้มธุรัตน์ที่หลังบ้าน

“โทรหายัยพิมด้วยล่ะ จะได้เลิกจิกผมให้ไปเอาของเสียที”

มธุรัตน์พยักหน้ารับแล้วโทรหาเพื่อนสนิททันที เธอพูดกับพิมลตราไม่กี่ประโยคก่อนจะวางสายไป

สำหรับเธอกับพิมลตราแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องมีคำพูดให้มากความ แค่คำว่าสบายดีหรือแค่ได้ยินน้ำเสียงก็รู้กันแล้วว่าตอนนี้รู้สึกอะไรอยู่

คุยโทรศัพท์เสร็จ หญิงสาวก็กลับเข้าไปในบ้าน แล้วเปิดตู้เย็นหยิบเอาไอศกรีมรสสตรอเบอร์รีออกมาสองแท่ง แท่งหนึ่งเธอส่งให้พลวัต ส่วนอีกแท่งเอามานั่งกินเอง ยังไม่ทันที่จะได้กัดคำที่สอง เธอก็ได้ยินเสียงร้องของลูกแมวดังมาแต่ไกล

เสียงร้องนี้ดังเหมือนมันกำลังทรมานหรือบาดเจ็บอยู่ หญิงสาวจึงเดินออกไปดูทั้งที่ยังไม่ได้ใส่รองเท้า

มธุรัตน์มัวแต่ตั้งใจมองหาลูกแมว ไอศกรีมที่ถือมาถึงละลายเปรอะเสื้อเต็มไปหมด กว่าจะรู้ตัวเสื้อสีขาวที่ยืมพลวัตมาก็เปรอะไปหมดแล้ว เนื่องจากไหนๆ มันก็เลอะอยู่แล้ว หญิงสาวเลยถือโอกาสเช็ดมือที่เลอะน้ำหวานกับเสื้อเสียเลย

เดินหาได้อีกหน่อยเธอก็พบลูกแมวตัวน้อยที่ตามหา ดูตัวมันยังเล็กมาก ท่าทางคงจะพลัดหลงกับแม่

หญิงสาวย่อตัวลงนั่งในระดับเดียวกับมัน แล้วมองดูโดยไม่ส่งเสียง สักพักเจ้าตัวเล็กก็ขยับเข้ามาใกล้ แล้วเดินมาจ้องหน้าเธอ พลางร้องเหมียว เหมือนจะขอความช่วยเหลือ

“ก็ได้ ฉันจะช่วยแกเอง”

คนส่วนใหญ่มักจะกลัวมธุรัตน์ แต่พวกสัตว์กลับชอบหญิงสาว พวกมันมักจะเชื่องกับเธอ ทั้งที่ก็ไม่ได้ให้อาหารหรือทำอะไรให้เป็นพิเศษ

มธุรัตน์เองก็คุ้นกับสัตว์ เพราะคุณปู่คุณย่าของหญิงสาวเป็นสัตวแพทย์ด้วยกันทั้งคู่ ก่อนที่ท่านทั้งสองจะเสียชีวิต ปิดเทอมทีไร พ่อก็มักจะพาเธอไปฝากให้คุณปู่คุณย่าเลี้ยง หญิงสาวเลยสามารถปฐมบาลสัตว์บาดเจ็บ กับตรวจอาการผิดปรกติขั้นพื้นฐานได้

มธุรัตน์สังเกตท่าเดินและมองดูว่ามันมีบาดแผลหรือเปล่า แล้วก็โล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง เมื่อไม่เห็นบาดแผลภายนอก ท่าทางมันดูเหนื่อยอ่อน คงเป็นเพราะร้องหาแม่อยู่นาน

หญิงสาวพยายามสอดส่ายสายตาและเงี่ยหูฟังเสียงแม่แมว ในที่สุดก็ได้ยินเสียงแม่แมวร้องดังออกมาจากบริเวณรั้วที่ติดกับไร่ข้างๆ

จากตรงนี้จะต้องผ่านป่ารกชัฏไปก่อน กว่าจะถึงบริเวณที่มีเสียงเรียก เจ้าตัวเล็กดูอ่อนเพลียมาก คงเดินกลับเองไม่ไหวแน่ หญิงสาวเลยตัดสินใจอุ้มเจ้าแมวน้อย แล้วปีนข้ามรั้วแหวกดงหญ้าพามันกลับไปหาแม่

หลังเดินหาอยู่ราวสิบห้านาที มธุรัตน์ก็พบแม่แมวกับพี่น้องของเจ้าตัวเล็กอีกสองตัว พวกมันวิ่งเข้ามาหากันอย่างยินดี แล้วเลียตัวให้กันเป็นการใหญ่

แม่แมวกับลูกอีกสองตัวสวมปลอกคอ เธอเลยรู้ว่าเป็นแมวเลี้ยง ส่วนที่เจ้าตัวเล็กนี่ไม่ได้สวมปลอกคอ อาจเป็นเพราะมันหลุดหาย

ครู่ต่อมาหญิงสาวก็ได้ยินเสียงร้องเรียกหาแมวดังมาแต่ไกล เธอก็เลยโบกมือลาครอบครัวแมว แล้วเดินแหวกพงหญ้ากลับไปที่บ้าน

หญิงสาวสุดแสนจะสบายใจที่ได้ทำความดี แต่พอกลับบ้านกลับกลายเป็นว่าถูกพลวัตเอ็ดใส่ยกใหญ่ โทษฐานหายตัวออกไปจากบ้านโดยไม่บอกกล่าวเป็นครั้งที่สอง

“ไปไหนมา บอกแล้วใช่ไหมว่าให้บอกก่อน จะออกไปทั้งทีก็ไม่รู้จักใส่รองเท้าอีกต่างหาก”

เขาอุตส่าห์วางใจที่เห็นรองเท้าเธอถอดวางอยู่หน้าบ้าน ที่ไหนได้พอตกเย็นตั้งใจจะมาชวนให้ไปกินอาหารข้างนอกด้วยกัน เจ้าหล่อนกลับหายไปเสียแล้ว นี่ถ้าไม่เอะใจลองไปมองหาแถวหลังบ้าน เขาคงได้วิ่งพล่านออกตามหาเธอเป็นครั้งที่สามในรอบสัปดาห์แน่

“เดินไปดูอะไรนิดหน่อย”

หญิงสาวตอบคำถาม แล้วไม่โต้เถียงอะไรอีก เธอยอมให้เขาบ่นจนกว่าจะพอใจ เพราะถือว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด

“ค่ำมืดอย่างนี้มันอันตราย คุณเป็นผู้หญิงนะ หัดระวังตัวหน่อยสิ ถูกใครฉุดไปจะว่ายังไง” ชายหนุ่มบ่นไปสอนไปอย่างอ่อนใจ

บ่นได้อีกสองคำ เขาก็คร้านที่จะบ่นต่อ ก็เลยไล่ให้เธอไปอาบน้ำแล้วทำแผลให้อีกครั้ง

สภาพของมธุรัตน์ตอนนี้ดูแย่เสียยิ่งกว่าเมื่อวาน เสื้อผ้าเลอะเทอะมอมแมมไปหมด เหมือนเด็กซนที่ไปวิ่งเล่นคลุกดินคลุกทรายมาเต็มที่ มองแล้วก็เหมือนว่าตัวเองกำลังอยู่กับเด็กอายุไม่กี่ขวบ ไม่ใช่คนอายุยี่สิบเจ็ด

ทำแผลให้เสร็จก็เลยต้องมีมหกรรมจับเข่าคุยกันระหว่างพลวัตกับมธุรัตน์ เรื่องการออกไปข้างนอกตามลำพังของเธอ

“ถึงเราจะไม่สนิทกัน แต่คุณมาอยู่ที่นี่ก็ถือว่ามาอยู่ในความดูแลของผม ถ้าคุณเป็นอะไรไปผมก็ต้องรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นขอร้องล่ะ ช่วยอย่าไปไหนกลางคืน หรือไปไหนโดยไม่บอกอีกได้หรือเปล่า”

พลวัตเปิดประเด็นการสนทนาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ได้ ฉันรับปาก” หญิงสาวรับคำ แล้วเดินออกไปจากห้องนั่งเล่น

พลวัตมองตาเธอ แล้วถอนใจยาวๆ อย่างเหนื่อยใจ เพราะคิดว่ามธุรัตน์รับปากแบบขอไปทีเท่านั้น แต่แล้วเขาก็ยิ้มออกเมื่อหญิงสาวเดินกลับลงมาพร้อมโทรศัพท์มือถือ เธอยื่นมันไปให้เขา เพื่อให้กดเบอร์โทรศัพท์ของเขาให้

ชายหนุ่มรับมากดหมายเลขสิบหลักลงไปแล้วบันทึกชื่อ พอกดไปที่หน้ารายชื่อในโทรศัพท์ เขาก็ต้องแปลกใจที่มันมีเพียงเบอร์โทรศัพท์ของพิมลตรากับเขาเท่านั้นที่บันทึกอยู่ในเครื่อง

สภาพเครื่องบ่งว่าใช้มานานหลายปีแล้ว ไม่มีทางว่านี่จะเป็นเครื่องใหม่แกะกล่องแน่ ส่วนข้อสันนิษฐานว่าจะเป็นซิมการ์ดใหม่นั้นตัดทิ้งไปได้เลย เพราะพอเขาโทรเข้าเครื่องตัวเอง มันก็โชว์หลาว่านี่เป็นเบอร์มือถือของมธุรัตน์ เขาบันทึกเก็บไว้ในเครื่องเมื่อนานมาแล้ว เผื่อเอาไว้ในกรณีที่ติดต่อพิมลตราไม่ได้

การไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนคนอื่น อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกของคนที่เก็บตัวอย่างมธุรัตน์ แต่ว่าการไม่มีเบอร์ครอบครัวอยู่ในเครื่องนี่สิที่แปลก

‘เธอไม่มีญาติพี่น้องหรือไงนะ’

ชายหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเองด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป เพราะไม่อยากจะเสียมารยาทละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของหญิงสาว

คืนนั้นสองหนุ่มสาวแยกย้ายกันไปไปนอนโดยไม่รู้เลยว่า ได้มีข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องภูตผีวิญญาณแพร่กระจายไปทั่วไร่อย่างรวดเร็ว

ย้อนไปเมื่อราวหนึ่งชั่วโมงก่อน ขณะที่มธุรัตน์กำลังพาเจ้าแมวน้อยไปส่งที่บ้าน นายชาติคนงานขี้เมาประจำไร่ บังเอิญกำลังซ่อมแซมแนวรั้วอยู่ แต่กินเหล้าไปซ่อมรั้วไปก็เลยทำงานไม่เสร็จเสียที จนตะวันโพล้เพล้ใกล้ลับขอบฟ้า งานจึงสำเร็จลุล่วงไปได้

ระหว่างที่เขากำลังเดินทางกลับ ชายหนุ่มเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินไปทางเขตสุสานเก่า เขตนี้เป็นของไร่ติดกัน จะปรับพื้นที่ทีไรก็ต้องมีเหตุทำให้ไม่ได้ปรับอยู่ร่ำไป ชาวบ้านกับคนงานจึงเชื่อว่าเป็นเพราะที่ดินมีอาถรรพ์ ก็เลยต้องปล่อยเนื้อที่กว่าสามไร่เอาไว้อย่างนี้

นายชาติเดินตามไปดูหญิงสาวใกล้ๆ เนื่องจากสงสัยว่าเธอกำลังจะทำอะไร

สักพักหญิงสาวก็เอี้ยวตัวหันมามองทางเขา แล้วชายหนุ่มก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าตัวหญิงสาวเปรอะไปด้วยคราบสีแดงคล้ายเลือด เขารีบขยี้ตา ด้วยคิดว่าฤทธิ์สุราจะทำให้เบลอจนมองผิด แต่แล้วเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกที หญิงสาวผมยาวคนนั้นกลับหายไปต่อหน้าต่อตาเขาเสียแล้ว

มธุรัตน์ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์หายตัวได้ แต่ที่หญิงสาวหายไป ก็เพราะว่าบังเอิญสะดุดหกล้มเท่านั้นเอง แถวนั้นหญ้าขึ้นสูง จังหวะที่เธอล้มลงไป นายชาติก็เลยไม่เห็นตัวเธอ

ชายหนุ่มยืนมองความว่างเปล่าตรงหน้าด้วยอาการตกตะลึง พอได้สติเขาก็แหกปากร้องไม่เป็นประสาแล้ววิ่งหนีสุดชีวิตกลับไปที่บ้านพักของคนงาน แล้วเริ่มกระจายข่าวเรื่องผีผู้หญิงในป่าช้า

คนส่วนใหญ่ไม่มีใครเชื่อ เพราะคิดว่าเมาจนเห็นภาพหลอน แต่สำหรับในไร่ที่แทบจะไม่มีสิ่งบันเทิงอยู่เลย ข่าวลือจึงเป็นเรื่องเอาไว้คุยแก้เบื่อได้เป็นอย่างดี ไม่นานคนงานเกือบครึ่งไร่ก็รู้เรื่องเกี่ยวกับผีสาว และต่อเติมเสริมแต่งกันไปจนกลายเป็นเรื่องเล่าสยองขวัญไป


เรื่องเล่าที่ไม่มีมูลไม่นานก็มักจะเงียบหายไปเอง ทว่าเรื่องวิญญาณนี้กลับไม่ซาลงง่ายๆ เพราะตัวต้นเหตุอย่างมธุรัตน์ ขยันสร้างความเข้าใจผิด ด้วยการออกไปเดินเล่นในเวลาโพล้เพล้ทุกวัน

มธุรัตน์ต้องเดินไปแถวนั้น ก็เพราะเจ้าแมวเหมียวตัวน้อยที่ช่วยไว้เมื่อคราวก่อน ชอบแอบหนีแม่มาหาเธอเป็นประจำ ไล่อย่างไรก็ไม่ยอมกลับ เธอเลยต้องอุ้มมันลุยป่าไปส่งให้ครอบครัวทุกวัน

หญิงสาวไม่ได้บอกเรื่องแมวกับพลวัต เธอแค่ทิ้งโน้ตเอาไว้ที่โต๊ะอาหารว่าจะออกไปเดินเล่น แล้วกลับมาก่อนค่ำ ชายหนุ่มสงสัยอยู่บ้าง ที่เสื้อผ้าของมธุรัตน์เลอะเทอะกลับมาบ้านทุกวัน แต่เพราะมธุรัตน์มีนิสัยประหลาด เขาก็เลยคิดว่านี่เป็นเรื่องปรกติของเธอ

มธุรัตน์ข้ามไปกลับไร่ข้างๆ ได้ห้าวัน ข่าวลือเรื่องผีผู้หญิงในป่าช้าก็ดังมาถึงหูพลวัต

ชายหนุ่มแวะมาที่ออฟฟิศตอนเที่ยง ก็เลยนั่งกินข้าวกับผู้จัดการและบรรดาลูกจ้างในนั้น ระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารกันอยู่นี้เอง ลัดดา เลขานุการของผู้จัดการไร่ ก็เปิดประเด็นเรื่องผีขึ้นมา

“ระยะนี้คุณพลเห็นอะไรผิดปรกติแถวป่าช้าเก่าบ้างไหมคะ” หญิงสาวเลียบๆ เคียงๆ ถาม

พ้นแปลงปลูกหญ้าไปก็จะเป็นอาณาเขตของป่าช้าเก่า และบ้านคนที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือบ้านของชายหนุ่ม

“ไม่รู้สิ ผมไม่ค่อยได้สังเกต มีอะไรหรือ”

ทุกวันนี้เขาดูแค่หญ้าว่าเขียวดีไหม เติบโตแค่ไหนแล้วเท่านั้น ไม่ได้ใส่ใจสังเกตเรื่องอื่นเลย

“เขาว่าที่ป่าช้าเก่ามีผีค่ะ เป็นผีผู้หญิง ตาแดงก่ำน่ากลัวมาก ไม่ใช่แต่คนงานในไร่เราเท่านั้นที่เจอนะคะ คนงานไร่ข้างๆ ก็เจอกันหลายคน เขาว่าอาจจะเป็นวิญญาณของคนที่ถูกฆาตกรรม แล้วเอาศพมาทิ้งไว้ที่ป่าช้า ก็เลยวนเวียนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ไปผุดไปเกิด”

“เล่าเสียเป็นตุเป็นตะเชียวนะลัดดา ไปเห็นมากับตาหรือไง”

ทวียศเอ่ยแทรกขึ้นมา ก็เลยถูกเลขานุการสาวหันมาค้อนให้วงใหญ่

“ก็ไม่ได้เห็นมาหรอกค่ะ แต่ในไร่เขาลือกัน แสดงว่าต้องมีเรื่องจริงอยู่บ้างล่ะ”

“แล้วสวยไหมล่ะ ผมจะได้จีบ” ทวียศล้อเล่นต่อ

“แหม! ผู้จัดการล่ะก็ ของอย่างนี้ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่นะคะ”

“ดีออกไม่ใช่หรือ ได้ผีเป็นเมีย ไม่ต้องส่งเสียเลี้ยงดู ไม่ต้องห่วงเรื่องท้องให้ยุ่งยากอีกต่างหาก จริงไหมครับคุณพล”

พลวัตยิ้มรับแล้วหัวเราะออกมา แต่ก็ไม่คิดจะร่วมวิจารณ์ด้วย

“ทำไปพูดดีไปนะคะผู้จัดการ สาธุ! ขอให้เจอดีโดนหลอกเข้าสักวันเถอะ” ลัดดาพนมมือแช่งด้วยความหมั่นไส้

“สาธุด้วยคนสิ ผมล่ะอยากเห็นผีสักครั้งก่อนตายอยู่เหมือนกัน” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่กลัว

ทวียศไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เพราะตั้งแต่เกิดมาจนอายุเกือบจะแตะเลขสี่ เขายังไม่เคยเห็นผีหรือวิญญาณเลยสักครั้ง

“เฮ้อ! คุยกับคนไม่เชื่อก็อย่างนี้แหละ เหนื่อยใจเปล่าๆ ไม่คุยด้วยแล้ว”

ลัดดาเชิดหน้าทำงอนใส่ แล้วเก็บจานข้าวของตัวเองเอามาไว้ที่ตะกร้า

จานชามพวกนี้เป็นทรัพย์สินของไร่ ตกบ่ายแม่ครัวที่โรงอาหารจะส่งลูกมือมาเก็บกลับไปล้างให้ เพื่อนำมาใช้ใหม่ในวันรุ่งขึ้น

พอลัดดาไป สินทวีหัวหน้าคนงานก็เข้ามาในออฟฟิศ เขามาขออนุญาตเอาสายสิญจน์ล้อมบริเวณบ้านพักของคนงาน เพราะระยะนี้มีข่าวลือเรื่องผี เขาก็เลยอยากจะทำอะไรที่เป็นสิริมงคลเสียหน่อย จะได้เรียกขวัญคนงานกลับมา

“เรียกขวัญคนงานหรือเรียกขวัญตัวเองกันแน่นายสิน” ทวียศหยอกทันที

สองหนุ่มมีคำว่าทวีในชื่อเหมือนกัน แต่เรื่องความเชื่อนั้นต่างกันอย่างสุดขั้ว สินทวีเชื่ออย่างจริงจังว่าไสยศาสตร์มีจริง เลยสักยันต์เต็มตัว พกเครื่องรางของขลัง แถมยังขยันหาคาถาคุ้มกายดีๆ มาแบ่งปันให้คนอื่นอีกต่างหาก แต่ถึงกระนั้นก็ยังกลัวผีเข้าเส้นเลือด ชนิดที่ว่าต่อให้ถูกหักเงินเดือน ก็ไม่ยอมไปไหนมาไหนคนเดียวในเวลากลางคืนอย่างเด็ดขาด

“ก็ทั้งสองอย่างแหละผู้จัดการ” สินทวีอ้อมแอ้มตอบรับไป

เถียงกันทีไรเขาไม่เคยเถียงชนะผู้จัดการได้เสียที เพราะคิดช้าพูดช้ากว่ากันมาก

“จะล้อมสายสิญจน์หรือเรียกพระมาสวดก็ตามใจ เอาแต่พอดีล่ะ อย่าให้เอิกเกริก” พลวัตยอมอนุญาตง่ายๆ

ชายหนุ่มมักผ่อนปรนให้กับลูกน้องที่ทำงานดีและรับผิดชอบเสมอ หากสิ่งใดทำแล้วสบายใจ ไม่ทำให้งานเสีย เขาก็แทบจะไม่เคยขัด

“คุณพลเอาด้วยไหมครับ พรุ่งนี้ผมจะเอาไปล้อมที่บ้านให้ตั้งแต่เช้าเลย”

“ขอบใจ แต่ไม่ล่ะ ผมมีอัฐิลุงพฤกษ์อยู่แล้ว นี่ล่ะขลังมากกว่าอะไรทั้งหมด”

ชายหนุ่มใช้อัฐิของลุงซึ่งเป็นเจ้าของไร่คนก่อน มาเป็นข้ออ้างไม่ให้มีสายสิญจน์มาพันรุงรังที่บ้าน

ลุงพฤกษ์นับถือศาสนาคริสต์เลยมีการสร้างสุสานของลุงเอาไว้บนเนินทางทิศตะวันตกของไร่ แต่ภรรยาที่เสียชีวิตไปนานแล้วเป็นพุทธที่เคร่งครัด ลุงเลยทำพินัยกรรมเอาไว้ว่าถ้าแกตายให้เผาอย่างพุทธ แล้วทำหลุมศพแบบคริสต์ ให้แกและภรรยาได้หลับอย่างสงบด้วยกันในไร่แห่งนี้

พลวัตแบ่งอัฐิของลุงบางส่วนเก็บไว้ เพราะเป็นคำสั่งเสียก่อนตายว่าให้เอาอัฐิบางส่วนขึ้นหิ้งไว้ในบ้าน

ถ้าดูแลไร่ที่ลุงยกให้ไม่ดี ลุงจะได้มาเข้าฝันด่าแกได้สะดวกหน่อย’

ตอนลุงพฤกษ์พูดประโยคนี้ ลุงอาการหนักมากแล้ว แต่ก็ยังมีแก่ใจพูดล้อเล่นกับเขา

หลังจากนั้นไม่กี่วันลุงก็เสีย พลวัตจึงถือเอาคำล้อเล่นนี้เป็นคำสั่งเสีย เพื่อจะได้เก็บเถ้ากระดูกของคนที่เป็นเสมือนบิดาคนที่สองเอาไว้กราบไหว้

“ถ้าอย่างนั้นผมจะเก็บไว้ให้ก็แล้วกันนะครับ เผื่อว่าคุณพลเปลี่ยนใจ ก็มาเอาไปล้อมบ้านได้ทุกเมื่อ”

สินทวีบอกอย่างมีน้ำใจ แล้วขอตัวกลับไปทำงานในไร่ต่อ


ในวันนั้นทุกอย่างภายในไร่นายพฤกษ์ดำเนินไปอย่างเป็นปรกติ จวบจนกระทั่งดวงตะวันใกล้ลาลับขอบฟ้า เหตุการณ์เข้าใจผิดบางอย่างก็ได้เกิดขึ้น

ไกลออกไปจากบ้านของพลวัตไม่มาก มธุรัตน์กำลังกลับมาจากการไปส่งลูกแมวจอมซนกลับบ้าน หญิงสาวเดินผ่านบริเวณเดิม ที่เคยใช้เป็นเส้นทางประจำอย่างไม่เร่งรีบ

ตั้งแต่มีลูกแมวตัวน้อยมาเล่นด้วยที่ลานหลังบ้านทุกวัน หญิงสาวก็เริ่มตื่นและเข้านอนในเวลาที่คนปรกติเขาทำกัน

เจ้าแมวเหมียวมักจะมาร้องเรียกหาเธอ หลังจากพลวัตไปทำงานไม่นาน และคอยคลอเคลียไม่ก็เล่นอยู่ใกล้ๆ ระหว่างที่หญิงสาวนั่งอ่านนวนิยาย หรือร่างพล็อตเรื่องลงไปในสมุด

ระยะนี้มธุรัตน์ได้พล็อตนวนิยายดีๆ หลายเรื่อง แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นแนวสยองขวัญ ไม่ก็สืบสวนสอบสวนทั้งสิ้น ในหัวเธอไม่มีพล็อตนวนิยายรักผุดขึ้นมาเลยสักเรื่อง ทั้งที่ก็โหมอ่านแนวโรแมนติกมาตลอดสัปดาห์

ในช่วงที่กำลังเดินทอดน่องกลับบ้านนี้เอง มธุรัตน์ก็พบบางสิ่งที่ทำให้ต้องหยุดมอง เธอพบซากสุนัขตายถูกวางกองเอาไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ในป่าช้า

สุนัขจรจัดตัวนี้ถูกยาเบื่อของฟาร์มไก่เล่นงาน เลยมานอนตายอยู่กลางถนน คนขับรถส่งสินค้าไม่ทันระวังเลยขับรถทับมันจนไส้ทะลัก ทิ้งภาระให้พวกคนงานต้องขุดหลุมฝัง คนที่ถูกสั่งให้ขุดหลุมขี้เกียจขุด ก็เลยเอาซากมาโยนทิ้งไว้ในเขตป่าช้าเก่าที่ไม่มีใครผ่านไปผ่านมา

มธุรัตน์มองเศษซากของร่างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสิ่งมีชีวิตด้วยความสังเวชใจ หญิงสาวย่อตัวลงนั่งแล้วเพื่อเก็บทุกรายละเอียดของศพไว้ในความทรงจำ เธอเห็นว่ามันดูสยดสยองดี เหมาะจะใช้บรรยายสภาพของศพสุนัขจรจัดที่ถูกฆาตกรโรคจิตนำมาทรมาน

เมื่อดูจนเป็นที่พอใจแล้ว หญิงสาวก็เอามือลูบปิดตัวตาที่เบิกโพลงของเจ้าสุนัขเคราะห์ร้ายให้ปิดลง แล้วนั่งสวดมนต์แผ่เมตตาให้มัน

คุณย่าของหญิงสาวมักจะทำอย่างนี้เสมอ เวลามีสัตว์ในความดูแลตาย หญิงสาวจึงติดนิสัยมา

ในขณะที่หญิงสาวกำลังงึมงำท่องบทสวดมนต์อยู่นี้ สินทวี หัวหน้าคนงานของพลวัต บังเอิญเดินกลับมาจากการตรวจตรางานซ่อมรั้วพอดี ชายหนุ่มมากับลูกน้องอีกสองคน แต่ก็ยังเร่งฝีเท้าเมื่อรู้ว่าต้องผ่านเขตป่าช้าที่ได้ชื่อว่าผีดุหนักหนา

“นั่นอะไรน่ะลูกพี่”

อยู่ๆ ลูกน้องคนหนึ่งก็ชะงักเท้า แล้วชี้นิ้วไปที่เขตป่าช้า สินทวีจึงพลอยตรงหยุดเดินไปด้วย

“ผู้หญิงล่ะลูกพี่” อีกคนหนึ่งว่า แล้วเดินเข้าไปดู

ทั้งสามเห็นว่าเธอนั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางดงไม้สลัวๆ เลยเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล

สินทวีกับลูกน้องที่ชื่อชำนิคิดไปแล้วว่าหญิงสาวอาจจะเป็นผีที่เขาล่ำลือกัน แต่บุญชัยกลับคิดว่าเธออาจจะบาดเจ็บ หรือมีเรื่องให้ช่วยเหลือ

“คุณครับเป็นอะไรหรือเปล่า”

เสียงเรียกทำให้มธุรัตน์ที่ทำหลังสวดมนต์อยู่หันมามอง หญิงตอบกลับว่าไม่เป็นไร แต่เสียงเธอมันเบาเกินว่าที่อีกฝ่ายจะได้ยิน

“ผมไปดูแป๊บนะลูกพี่” ชายหนุ่มว่าแล้วเตรียมกระโดดข้ามรั้วไป แต่กลับถูกชำนิฉุดแขนเอาไว้

“อะไรของแกวะ” บุญชัยหันมามองใบหน้าซีดเผือดของเพื่อนด้วยความสงสัย

“ดะ...ดูนั่นก่อน” ชำนิเอ่ยเสียงสั่นแล้วชี้ไปที่ซากสุนัขตายที่อยู่ในสภาพไส้ทะลัก

“ผีปอบ!” สินทวีตะโกนลั่น เมื่อทอดสายตาไปเห็นภาพเดียวกันกับที่ลูกน้องเห็น

ทั้งสามคนยืนตัวแข็งทื่อแล้วกรอกตาสบสายตากันไปมา ทันทีที่มธุรัตน์ลุกขึ้น ทั้งลูกพี่และลูกน้องก็โกยแนบกันแบบไม่คิดชีวิต

หญิงสาวแค่จะลุกขึ้นมาอธิบายเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาทำให้พวกเขาตกใจกลัวเลย แต่เมื่อวิ่งเตลิดกันไปแล้ว เธอก็จนปัญญาที่จะวิ่งตาม

มธุรัตน์กลับมาสวดแผ่เมตตาต่อ แล้วตั้งจิตขอให้วิญญาณของสุนัขตัวนี้ไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดีกว่า จากนั้นจึงหาใบไม้มาปิดศพเอาไว้ก่อน ถ้าไม่มีใครมาฝังมัน พรุ่งนี้เธอจะขุดหลุมฝังให้เอง


รุ่งเช้าข่าวลือเรื่องผีปอบก็ดังกระหึ่มไปทั้งไร่ ครั้งนี้มีประจักษ์พยานพบเห็นหลายคน แถมหัวหน้าคนงานยังนอนจับไข้หัวโกร๋น จนภรรยาต้องพาไปให้พระอาจารย์ที่นับถือทำพิธีรดน้ำมนต์ให้ อาการจึงทุเลาลง คนงานในไร่เรื่องจึงจับกลุ่มคุยกันเรื่องนี้มากขึ้น จนไม่เป็นอันทำการทำงาน

พลวัตเริ่มสังเกตเห็นความผิดปรกติในช่วงบ่าย เมื่อสอบถามได้ความแล้ว ชายหนุ่มก็สั่งให้คนตามตัวต้นเหตุที่บอกว่าเห็นผีอย่างชำนิและบุญชัยมาพบ

รอสักครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มทั้งสองคนก็มารายงานตัวที่ห้องทำงานของพลวัตอย่างพร้อมเพรียง

“นั่งลง แล้วเล่าให้ละเอียดว่าเมื่อวานนี้ไปเจออะไรมาบ้าง”

สองหนุ่มหย่อนก้นลงตามคำสั่ง แล้วผลักกันไปมาเกี่ยงให้เพื่อนเล่า

“บุญชัย แกเล่ามาก่อน” พลวัตออกคำสั่ง จะได้เริ่มเข้าประเด็นกันเสียที

บุญชัยนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อเรียบเรียงความคิด แล้วเริ่มเล่าเรื่องให้ฟังอย่างช้าๆ

“เมื่อวานนี้พวกผมไปตรวจดูรั้วฝั่งแปลงหญ้ากับหัวหน้ามาครับ ขากลับผ่านตรงที่ติดกับป่าช้าเก่า ไอ้ชำนิมันเห็นผู้หญิงนั่งอยู่ในป่าช้า พวกเราก็เลยหยุดดูกัน ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังล้วงไส้หมาออกมากินครับ”

“ล้วงไส้ออกมากินงั้นหรือ แน่ใจนะ พวกแกเห็นกับตาเลยหรือเปล่าว่าผู้หญิงคนนั้นหยิบไส้หมาเข้าปาก” พลวัตซักรายละเอียดเพิ่ม

บุญชัยส่ายหน้าน้อยๆ บอกว่าเปล่า ส่วนชำนิเองก็ตอบปฏิเสธเช่นกัน

พลวัตไม่คิดอยู่แล้วว่าคนที่พวกคนงานเห็นจะใช่ผีสาง ผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นคนของไร่ข้างๆ ที่บังเอิญผ่านมา หรือถึงเธอจะกินไส้สัตว์จริง ก็คงเป็นคนบ้ามีความผิดปรกติทางจิต ถ้าเป็นอย่างหลัง เขาจะได้สั่งให้คนงานช่วยกันหาตัวให้พบ จะได้พาไปพบญาติหรือนำส่งโรงพยาบาล ปล่อยให้ออกมาเพ่นพ่านแบบนี้ก็รังแต่จะสร้างความเดือดร้อนต่อผู้อื่น และจะเป็นอันตรายกับตัวเองด้วย

“พวกแกไม่เห็นเขากินไส้ แล้วรู้ได้ยังไงว่าเป็นผีปอบ”

“เอ่อคือ...ลูกพี่ เอ้ย! พี่สินแกบอกว่าผี พวกผมก็เลยวิ่งหนีกันครับ” ชำนิสารภาพเสียงอ่อย

“แล้วสรุปว่าใช่ผีหรือไม่ใช่กันแน่” ชายหนุ่มถามเสียงเข้มขึ้น

ชำนิกับบุญชัยหันมาสบตากัน มองกันไปมองกันมาได้พักหนึ่งจึงพร้อมใจกันตอบ

“ไม่แน่ใจครับ”

“ไม่แน่ใจแล้วเอาไปพูดทำไม รู้หรือเปล่าว่าทำให้วุ่นวายกันไปหมด” ชายหนุ่มตบโต๊ะโครมใหญ่

สองหนุ่มจึงหน้าเจื่อนลงยิ่งกว่าเดิม เพราะนานทีปีหนพลวัตจะมีท่าทีโมโหอย่างนี้สักครั้ง

“รีบไปแก้ข่าวซะ ถ้ายังวุ่นวายเรื่องนี้กันไม่ได้เลิก พวกแกเจอหักเงินเดือนแน่”

สองหนุ่มหันหลังเดินออกไปทันทีเมื่อได้ยินคำสั่ง ก่อนที่ร่างของชายทั้งสองจะพ้นกรอบประตูไป ก็เหมือนมีบางอย่างมาสะกิดใจพลวัต เขาเลยเรียกตัวบุญนำเอาไว้ก่อน แล้วซักเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นอย่างละเอียด

“แกบอกลักษณะของผู้หญิงคนที่เห็นเมื่อวานมาอีกทีซิ”

“ผมยาวๆ ครับ ยาวมาก น่าจะประมาณสะโพกได้ ตาขวางๆ ผิวขาวจัด สวมชุดกระโปรงสีขาว คล้ายกับชุดนอนครับ”

ได้ฟังพลวัตก็แทบทรุดเอาหน้าโขกกับโต๊ะ ฟังอย่างไรมันก็คือมธุรัตน์ชัดๆ เขาจำได้แม่นว่าเมื่อวานเย็นตอนกลับจากบ้าน เธอสวมชุดกระโปรงยาวสีขาว

เวรแล้วไง เจ้าหล่อนก่อเรื่องอีกแล้ว

ชายหนุ่มรีบโบกมือไล่ให้บุญชัยออกไปจากห้อง ส่วนเขาก็ขับรถกลับไปที่บ้านทันที

ตอนที่พลวัตกลับมาถึง มธุรัตน์กำลังนั่งร่างพล็อตนวนิยาย โดยมีลูกแมวตัวน้อยวิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ

ชายหนุ่มตรงดิ่งไปที่มุมประจำของหญิงสาว แล้วเปิดประตูพรวดออกไป การมาของเขาทำให้เจ้าแมวน้อยที่เล่นอยู่ด้านหน้าประตูตกใจจนหงายหลัง

พอเห็นชายแปลกหน้าร่างสูงใหญ่ เจ้าเหมียวสีเทาตัวน้อยก็วิ่งปรู๊ดมาหลบหลังมธุรัตน์ แล้วพองขนขู่ฟ่อ

“คุณทำให้มันกลัว” มธุรัตน์ตำหนิ

เธออุ้มเจ้าแมวน้อยขึ้นมาบนตัก แล้วลูบหัวปลอบมัน

“ขอโทษที” ชายหนุ่มตอบกลับอย่างลืมตัว เพราะไม่คิดว่าจะถูกคนอย่างมธุรัตน์ตำหนิเอา

สักพักพอนึกขึ้นได้ว่าเขากลับมาด้วยเรื่องอะไร ชายหนุ่มก็หันไปเล่นงานหญิงสาวทันที

“เมื่อวานไปก่อเรื่องอะไรไว้”

เสียงที่ค่อนข้างดังของชายหนุ่ม ทำให้เจ้าแมวน้อยที่มีท่าทีสงบลงพองขนอีกครั้ง มธุรัตน์จึงเอามือขึ้นจุปากเป็นเชิงให้เขาเบาเสียงลง

“เมื่อวานคุณไปทำอะไรที่ป่าช้าเก่า แล้วซากหมาตายที่พวกคนงานเห็นฝีมือคุณหรือเปล่า”

พลวัตยอมลดเสียงลง ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่เขาประเด็นเสียที

“ฉันเอาลูกแมวไปส่งให้แม่มัน ขากลับมาก็เจอศพหมาวางทิ้งเอาไว้อยู่แล้ว”

“มีคนเห็นว่าคุณไปนั่งจ้องซากหมาตาย คุณคงไม่ได้ชิมไส้หรือหยิบชิ้นส่วนมันเข้าปากใช่ไหม”

ชายหนุ่มถามเอาไว้ก่อน ถ้าเกิดเจ้าหล่อนตอบว่าใช่ขึ้นมา เขาคงต้องโทรตามตัวพิมลตราให้พาเพื่อนไปโรงพยาบาลจิตเวชเป็นการด่วน

“ฉันไม่ชอบของดิบ” มธุรัตน์ปฏิเสธ แต่สายตาของเจ้าหล่อนที่มองมาขณะสบตาพลวัต มันให้ความรู้สึกเหมือนถ้ามีโอกาสก็อยากลองสักครั้งเหมือนกัน

“ดีแล้ว ห้ามคิดอะไรเพี้ยนๆ เชียวนะ ถ้าคุณกล้ากินผมจะเรียกยัยพิมมารับตัวคุณกลับไปจริงๆ ด้วย”

ขู่เสร็จพลวัตก็หันมาซักจอมสร้างปัญหาต่อ

“ถามหน่อยเถอะ คุณไปนั่งดูซากหมาตาย ให้ชาวบ้านเขาเข้าใจผิดว่าเป็นปอบทำไมไม่ทราบ”

“กายวิภาคศาสตร์เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ไม่ว่าของคนหรือของสัตว์”

มธุรัตน์ชื่นชอบพวกเรื่องสยองขวัญและภาพน่าสยดสยองเป็นพิเศษ เธอเรียกมันว่าศิลปะแห่งความกลัว และนำเอาศิลปะเหล่านี้มาใช้ในงานเขียน

รสนิยมกันแปลกประหลาดของมธุรัตน์ทำให้พลวัตต้องปวดหัวอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงสั่งห้ามไม่ให้เธอไปที่ป่าช้าอีกอย่างเด็ดขาด

“ก็ได้ แต่คุณจะต้องพาไมเคิลกลับบ้าน”

ไมเคิลที่ว่าคือเจ้าลูกแมวลายสีเทา ที่มีปลอกคอสีฟ้าตัวนี้

“แมวใคร แอบไปเอาแมวคนอื่นมาเล่นได้ยังไง”

ทีแรกพลวัตก็ไม่ได้สังเกตมันสักเท่าไร แต่เมื่อดูลวดลายและลักษณะของเจ้าเหมียวตัวนี้ดีๆ ก็พบว่ามันเป็นแมวพันธุ์อเมริกันชอร์ตแฮร์ที่มีลักษณะดีมาก ถ้าพ่อกับแม่มันเป็นของนำเข้า แล้วมีใบเพ็ดดีกรีด้วยละก็ ราคาลูกแมวตัวนี้จะอยู่ที่หลักหมื่นเลยทีเดียว

“มันมาเอง ไล่ก็ไม่ยอมกลับ ฉันเลยต้องเดินพามันไปส่งให้แม่มันทุกเย็น”

พลวัตกอดอกมองแมวเจ้าปัญหาอย่างครุ่นคิด แล้วก็นึกออกว่าภรรยาของเจ้าของไร่ข้างๆ เลี้ยงแมวอเมริกันชอร์ตแฮร์เอาไว้หลายตัว แล้วก็เลี้ยงแบบปล่อยเสียด้วย เพราะสุนัขในไร่นั้นต่างก็ถูกฝึกมาให้คุ้นกับแมว

“เรื่องนี้ผมจัดการเอง แต่คุณห้ามไปที่นั่นอีกรู้ไหม ตอนนี้คนงานในไร่เข้าใจผิดไปกันหมดว่าคุณเป็นผีปอบ”

มธุรัตน์พยักหน้ารับ แล้วลูบแมวน้อยบนตักอย่างอาวรณ์ เพราะต่อไปคงจะไม่ได้เล่นกับมันอีก

เธออยากเลี้ยงแมวมาตลอดแต่พิมลตราแพ้ขนสัตว์ หญิงสาวจึงทำเป็นเฉยๆ ไม่แสดงความปรารถนาออกมา ไม่อย่างนั้นพิมลตราคงจะแอบซื้อมาให้ แล้วก็ต้องทนหายใจไม่สะดวก เพราะขนของเจ้าแมวเหมียว

เมื่อบอกลามันเรียบร้อยแล้ว มธุรัตน์ก็ส่งแมวไปให้พลวัตที่ยื่นมือมาขอ แต่เจ้าแมวน้อยยังไม่อยากจะกลับบ้านในตอนนี้ มันก็เลยข่วนชายหนุ่มจนเลือดไหลซิบ

“โอ๊ย!”

ชายหนุ่มสะบัดมือเร่าๆ ด้วยความเจ็บปวด อึดใจเดียวบริเวณมือกับแขนของพลวัตก็มีแผลไม่รู้กี่สิบแผล

พลวัตพยายามใช้มือหนึ่งดึงคอมันไว้ ส่วนอีกมือก็รอบตัวมัน แต่ก็ไม่ได้ผลนัก เพราะเจ้าแมวตัวน้อยขัดขืนสุดกำลัง ในที่สุดก็ดิ้นหลุดแล้ววิ่งหนีไปหามธุรัตน์อีกจนได้

“มันไม่ชอบคุณ แล้วก็ยังไม่อยากกลับบ้าน”

มธุรัตน์อธิบายราวกับจะอ่านความคิดของเจ้าแมวน้อยออก

ในเมื่อเจ้าไมเคิลไม่ยอมไปกับเขา ชายหนุ่มเลยต้องเปลี่ยนแผนด้วยการให้มธุรัตน์นั่งรถไปไร่ข้างๆ ด้วยกัน

“ไปอาบน้ำแต่งตัว หวีผมเผ้าซะหน่อยก็ดีนะ” พลวัตแนะ

หญิงสาวพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ แต่พอกลับลงมาก็ยังอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องนัก พลวัตเลยต้องเสียเวลานั่งแปรงผมให้ แล้วมัดรวบมัดเอาไว้ไม่ให้เกะกะใบหน้า

พอเปิดหน้าให้เห็นชัดๆ พลวัตก็เลยได้เห็นกรอบหน้ารูปไข่ กับเครื่องหน้าสวยๆ ของหญิงสาว มธุรัตน์มีจมูกที่โด่งเรียวรับกับริมฝีปากอิ่ม แพขนตาเธองอนเป็นธรรมชาติ ที่เด่นคือขนตาล่างที่เรียงเส้นหนา มองผิวเผินเลยดูเหมือนกับว่าเขียนขอบตาล่างด้วย พอผสมรวมกับนัยน์ตาที่ดำสนิท ตาเธอก็เลยดูดุ แต่เวลาที่ทำตาเฉยๆ ไม่เพ่งมองอะไร ใบหน้าของเธอจะดูเป็นมิตรขึ้นมาทันที

ชายหนุ่มไปหาตลับแป้งกับลิปสติกที่พิมลตราลืมทิ้งไว้ มาปัดหน้าทาปากให้มธุรัตน์ จากนั้นก็ยืนมองผลงานของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ ถึงจะไม่ได้ทำอะไรให้มาก แต่หญิงสาวก็ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะทีเดียว

“ไปอุ้มเจ้าเหมียวมาสิ จะได้ไปกัน”

“ไม่เดินหรือ ใกล้กว่า ไม่เปลืองน้ำมันด้วย”

“ข้ามเขตรั้วไปโดยที่เจ้าของที่ดินไม่อนุญาต เขาเรียกว่าบุกรุกนะคุณ แล้วโผล่ไปเพ่นพ่านทางนั้นอีก เดี๋ยวก็ได้ลือกันแปลกๆ อีกหรอก”

ด้วยเหตุนี้ สองหนุ่มสาวกับลูกแมวตัวน้อยเลยต้องใช้รถยนต์ ซึ่งกว่าจะขับอ้อมไปถึงไร่ฝั่งตรงข้าม ก็กินเวลานานใกล้เคียงกับการเดินทีเดียว

ไร่ที่อยู่ติดกันนี้มีชื่อว่าไร่เรือนตะวัน อาณาเขตไร่นี้ไม่กว้างขวางมาก จึงดัดแปลงเป็นรีสอร์ท เนื้อที่ส่วนที่เหลือขุดสระกับปลูกไม้ดอกไม้ประดับเอาไว้เพื่อความสวยงาม พื้นที่ทำการเกษตรจริงๆ มีไม่เท่าไร เลยต้องรับนมโคกับองุ่นจากไร่พลวัตมาแปรรูปเป็นของฝากขาย ทั้งสองไร่จึงติดต่อกันอยู่เสมอ

คนเฝ้าประตูจำรถกระบะสีบรอนซ์เงินของพลวัตได้ ก็เลยเปิดแผงกั้นปล่อยให้ชายหนุ่มเข้าไปในอาณาเขตด้านหลังไร่ ซึ่งถือเป็นพื้นที่ส่วนตัว ไม่อนุญาตให้แขกที่มาพักเข้าไปเยี่ยมชม

ขับรถมาได้ราวสองร้อยเมตรก็จะพบกับบ้านสไตล์บาหลีสีขาวเทา ตั้งอยู่โดดเด่นกลางแมกไม้แสนสวยและน้ำตกจำลองขนาดใหญ่ บ้านหลังนี้ไม่มีรั้วกั้น แต่ก็สุนัขเฝ้าบ้านหลายตัววิ่งออกมาต้อนรับ เมื่อขับรถเข้ามาในโรงรถ

เสียงเห่าของสุนัขเป็นออดชั้นดีบอกให้รู้ว่ามีคนมา รออยู่บนรถได้สักอึดใจ ฝูงสุนัขที่ล้อมหน้าล้อมหลังรถอยู่ก็วิ่งหายเข้าไปทางหลังบ้านซึ่งเป็นที่ตั้งกรงของพวกมัน เป็นสัญญาบอกให้แขกที่มาเยี่ยมเยียนลงจากรถได้

“ทำตัวดีๆ ล่ะ อย่าไปจ้องใครเขาตาขวางให้ตกใจกลัวเข้าใจไหม” พลวัตกำชับก่อนจะลงรถ

มธุรัตน์พยักหน้ารับ ทั้งที่ความจริงแล้วเธอไม่เคยจ้องใครตาขวางสักที เพียงแต่สายตาสั้นก็เลยต้องเพ่งเท่านั้น

ลงรถมาได้ครึ่งทางก็มีผู้หญิงวัยประมาณสี่สิบเศษ หน้าตาผ่องใส ออกมาต้อนรับที่ปากประตูทางเข้า

เอมอร หรืออีกนัยคือภรรยาเจ้าของบ้าน เอ่ยทักทายสองหนุ่มสาวขึ้นก่อน พลวัตจึงรีบยกมือไหว้คนอายุมากกว่าอย่างรู้มารยาท

“คุณเจริญเข้าไปในเมืองค่ะคุณพล อีกสักครึ่งชั่วโมงก็คงกลับ แวะเข้ามานั่งรอก่อนสิคะ”

หญิงสาวเข้าใจว่าพลวัตมีธุระกับสามี จึงบอกไปอย่างนั้น

“ไม่เป็นไรครับคุณเอม ผมแค่เอาลูกแมวมาคืนเท่านั้น พอดีมันหลงไปที่ไร่น่ะครับ”

พลวัตหันมาพยักพเยิดให้มธุรัตน์ส่งลูกแมวคืนให้เจ้าของไป

“ตายจริง! ขอบคุณมากเลยนะคะคุณพล โชคดีจริงๆ ที่มันไม่เป็นอะไร”

เอมอรรับลูกแมวจากมือของมธุรัตน์มาอุ้มไว้อย่างถนอม เธอทำเสียงเล็กเสียงน้อยคุยกับมันว่าอย่าซนหนีไปเที่ยวอีก

ท่าทีรักสัตว์ของเธอทำให้มธุรัตน์รู้สึกยินดีกับเจ้าแมวน้อย ที่มีเจ้าของจิตใจดีและรักมัน

ขณะที่ยืนอยู่นี้ ก็มีแมวสายพันธุ์เดียวกันอีกหลายตัวออกมาคลอเคลียต้อนรับมธุรัตน์กับพลวัต ส่วนใหญ่มันตรงเข้าหามธุรัตน์เสียมากกว่า ทำเอาพลวัตกับเจ้าของบ้านแปลกใจไปตามๆ กัน เพราะเขาไม่เคยเห็นแมวพวกนี้เชื่องขนาดนี้กับใครมาก่อน ปรกติหากเขามา พวกมันก็มักจะทำเพียงมองผ่าน อย่างเก่งก็เข้ามาคลอเคลียทีสองทีแล้วก็ไปเท่านั้น

“สงสัยเด็กๆ มันจะถูกชะตากับคุณนะคะ พวกแมวนี่เขามีสัญชาตญาณ เขาจะเข้าหาคนที่มีจิตใจดี มีเมตตากับเขา”

เมื่อส่งแมวคืนเรียบร้อยแล้วพลวัตก็ขอตัวกลับ แต่เอมอรรั้งตัวเอาไว้ เพราะอยากจะเลี้ยงเค้กตอบแทนความมีน้ำใจของสองหนุ่มสาวเสียก่อน

“พี่เพิ่งทำเค้กบลูเบอร์รี่เสร็จเมื่อครู่นี่เอง อยู่ทานเป็นเพื่อนพี่ก่อนนะคะ คุณเจริญเขาต้องงดของหวาน พี่เลยต้องนั่งทานคนเดียวเป็นประจำ”

เอมอรรีบจูงแขนพามธุรัตน์เข้าไปในบ้าน ก่อนที่สองหนุ่มสาวจะทันได้ปฏิเสธ หญิงสาวมีท่าทีถูกชะตากับมธุรัตน์เป็นอย่างมาก เธอมองผ่านท่าทีทื่อๆ กับบรรยากาศอึมครึมรอบตัวหญิงสาวไป เพราะมั่นอกมั่นใจเหลือเกินว่า คนที่แมวเธอชอบจะต้องเป็นคนดีอย่างแน่นอน

คุยกันได้พักหนึ่งหญิงสาวจึงเริ่มสอบถามว่ามธุรัตน์ไปเจอแมวเธอได้อย่างไร มธุรัตน์เลยเริ่มเล่าเรื่องย่อๆ ตั้งแต่ต้นที่เธอได้ยินเสียงมันร้องหาแม่ ไปจนถึงที่มันแอบหนีออกจากบ้านมาเล่นด้วยทุกวัน

“ต้องให้ลำบากเดินมาส่งทุกวันเลยหรือคะ ขอโทษจริงๆ นะคะ” เอมอรเอ่ยอย่างเกรงใจ ด้วยไม่คิดว่าสัตว์เลี้ยงของเธอจะไปทำความเดือนร้อนให้ผู้อื่น

“เรื่องเอามาส่งไม่เป็นไรหรอกครับ ผมห่วงแต่ว่ามันจะถูกหมาในไร่ผมกัดเอาก็เท่านั้น”

เขาเลี้ยงสุนัขเอาไว้เฝ้าไร่เยอะพอสมควร แม้พวกมันส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตอื่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เคยวิ่งออกนอกเขตมาตรวจการณ์แถวบ้านพักของเขา

“ถ้าอย่างนั้นพี่คงต้องเลี้ยงเจ้าจอมซนนี่แบบระบบปิดเสียแล้วล่ะค่ะ”

ระบบการเลี้ยงแมวมีทั้งระบบเปิดและระบบปิด ระบบเปิดคือปล่อยให้ไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ ส่วนระบบปิดคือให้อยู่แต่ในบ้าน ระบบหลังนี้เอมอรจะใช้กับแมวที่เป็นสัด พวกพ่อพันธุ์จะได้ไม่หายไป ส่วนแม่พันธุ์จะได้ไม่ไปผสมกับแมวตัวอื่น

เมื่อกินเค้กเสร็จแล้ว พลวัตจึงขอตัวกลับ เอมอรก็ไม่รั้งไว้แต่อย่างใด ทั้งยังใจดีจัดเค้กที่ทานเหลือใส่กล่องกลับไปให้กินที่บ้านด้วย เพราะเห็นว่ามธุรัตน์ชอบกินและทานไปหลายชิ้น

ในขณะที่สองหนุ่มสาวกำลังจะกลับนั้นเอง เจ้าลูกแมวจอมซนก็วิ่งตามออกมาจากบ้าน แล้วกระโดดใช้เล็บเกาะกางกางยีนขายาวของมธุรัตน์เอาไว้แน่น

“ท่าทางมันจะชอบคุณน้ำผึ้งนะคะ อยากเลี้ยงกันหรือเปล่าคะ ถ้าชอบพี่จะยกให้”

ลูกแมวตัวนี้ราคาหลักหมื่นแต่มายกให้กันง่ายๆ พลวัตก็ต้องปฏิเสธออยู่แล้ว ชายหนุ่มขยับปากจะพูดแต่ก็เห็นประกายตาว่าอยากได้เสียเหลือเกินของมธุรัตน์ก่อน เขาก็เลยรอดูท่าทีของหญิงสาว

มธุรัตน์แกะเจ้าแมวน้อยออกมาจากกางเกง แล้วกอดมันเอาไว้แนบอก

“อยู่บ้านนี้น่ะดีแล้วนะไมเคิล อย่าตามไปเลย”

หญิงสาวส่งมันคืนเจ้าของด้วยแววตาอาลัยอย่างปิดไม่มิด เห็นแล้วพลวัตก็เริ่มสงสาร ก็เลยช่วยพูดให้หญิงสาวรับมันไว้

“ถ้าอยากเลี้ยงก็เอาไปสิ ถ้าเกรงใจจะรับฟรีก็ขอซื้อจากคุณเอมอรเอาก็ได้”

“พิมแพ้ขนแมว” มธุรัตน์เอ่ยเสียงสลด

วูบหนึ่งพลวัตเห็นภาพของมธุรัตน์เป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังจะถูกพรากจากสัตว์เลี้ยงแสนรัก ความเห็นใจมันเลยรื่นขึ้นมาในอก ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเสนอทางออกอีกทางให้

“ก็ฝากผมไว้ก่อน ไว้พิมแต่งงานเมื่อไร คุณค่อยมารับมันกลับไป”

ถึงพลวัตจะพูดอย่างนั้นแต่หญิงสาวก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธ

“เวลาพิมแวะมาจะทำยังไง”

ความใส่ใจที่เธอมีต่อน้องสาวเขาทำให้พลวัตรู้สึกประทับใจในตัวมธุรัตน์ขึ้นมา ชายหนุ่มก็เลยออกปากว่าจะรับเลี้ยงเจ้าตัวเล็กนี่เอง ถ้าถึงเวลาต้องกลับแล้วมธุรัตน์ไม่อยากเอามันไปจริงๆ ป่านนั้นมันคงคุ้นแล้วยอมอยู่กับเขาแล้ว

“ถ้าพี่เลี้ยงไว้เอง มันคงจะแอบหนีออกไปหาคุณอีก รับไว้เถอะนะคะ” เอมอรช่วยเสริม

มธุรัตน์มองดวงตาแป๋วแหววของลูกแมวน้อย สลับกับใบหน้าของพลวัตและเอมอรไปมา

ในขณะที่เธอกำลังลังเลไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี เจ้าไมเคิลก็ร้องเหมียวเหมือนจะออดอ้อนขอให้เธอรับมันไปอยู่ด้วย หัวใจของมธุรัตน์ก็เลยอ่อนยวบ

“อยากไปอยู่ด้วยกันมากเลยหรือ ก็ได้…ไปก็ได้” หญิงสาวกระซิบบอกแมวน้อย

“ขอบคุณมากค่ะ จะดูแลอย่างดีเลย” หญิงสาวสัญญาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

เธอค้อมศีรษะให้เอมอรและพลวัตแบบเก้าสิบองศา เพราะมือในอ้อมแขนมือลูกแมวน้อยอยู่เลยยกขึ้นมาไหว้ไม่ถนัด

เมื่อรับมาแล้วก็ต้องเลี้ยงให้ดีอย่างที่รับปาก มธุรัตน์เลยต้องอยู่ต่อ เพื่อถามข้อมูลเกี่ยวกับลูกแมว อาทิเช่นกินอาหารยี่ห้อไหน ใช้กระบะทรายเป็นหรือเปล่า รวมถึงสอบถามเรื่องวัคซีนด้วย

“พี่ให้สัตวแพทย์ที่ฟาร์มของคุณพลมาฉีดยาให้ค่ะ มีสมุดบันทึกข้อมูลสุขภาพอยู่ด้วย เดี๋ยวพี่ไปหยิบให้นะคะ”

เอมอรหายไปครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมของเต็มไม้เต็มมือ เธอมีกระบะทรายอันเก่าที่ไม่ใช่อยู่หลายอัน ก็เลยยกให้มธุรัตน์ พร้อมทรายแมวกับอาหารอีกถุงหนึ่ง นอกจากนี้เธอยังให้นมแพะกระป๋องกับคู่มือการเลี้ยงแมวมาให้ด้วย

หญิงสาวปฏิเสธที่จะรับเงินค่าลูกแมว เธอย้ำว่านี่คือน้ำใจที่เธออยากจะให้ ในเมื่อปฏิเสธไม่ได้ สุดท้ายแล้วสองหนุ่มสาวก็เลยต้องรับของทั้งหมดมาด้วยความเกรงใจ

“เอามาแล้วก็ต้องดูแลให้ดีล่ะ มันติดคุณมาก ไม่อย่างนั้นมันคงเสียใจแย่” พลวัตพูดขึ้นหลังจากออกรถมาได้สักระยะ

“อืม” หญิงสาวเอ่ยรับ แล้วส่งยิ้มกว้างให้กับเจ้าแมวน้อยบนตัก

พลวัตเหลียวไปมองมธุรัตน์ในจังหวะที่มธุรัตน์กำลังยิ้มพอดี รอยยิ้มสดใสของหญิงสาวลบภาพความอึมครึมที่เห็นจนชินตาไปจนสิ้น รอยยิ้มของเธอทำให้หัวใจของพลวัตเต้นถี่อย่างที่ไม่เคยเป็น นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาคิดว่า ‘ผู้หญิงคนนี้ก็น่ารักดีเหมือนกัน’



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 พ.ค. 2554, 09:09:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:31:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 2427





<< บทที่ 3 รสจูบ   บทที่ 5 พิธีกรรมไล่ผี >>
MYsister 31 พ.ค. 2554, 09:56:09 น.
นางเอกเวอร์ชั่นใหม่หรือค่ะ ฮามากก


หมูอ้วน 31 พ.ค. 2554, 14:57:11 น.
ขำมาก ๆ เลยค่ะ ข่าวลือเรื่องผี ๆ ฮิ...


ปูสีน้ำเงิน 31 พ.ค. 2554, 20:41:21 น.
นางเอกเวอร์ชั่นแปลกๆ แบบนี้ไม่เคยเจอแต่ก็ชอบนะ
รีบอัพตอนต่อไปล่ะ


Pat 1 มิ.ย. 2554, 08:01:50 น.
^^ บรรยากาศพาไป 5555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account