มธุรัตน์เสน่หา โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
เมื่อนักเขียนสาวจิตป่วนโคจรมาพบกับหนุ่มเจ้าของไร่เจ้าระเบียบ ความหื่นฮารั่วจึงบังเกิดขึ้น:"รสจูบมันเป็นยังไง" เจ้าหล่อนไม่ถามเปล่าแต่กระชากคอเขามาจูบด้วย แถมยังจดโน้ตหน้าตาเฉยว่า'รสจูบ = กาแฟ' โอ้ยยย! อยากบ้า!
Tags: หนุ่มชาวไร่ สาวนักเขียน โรแมนติก คอเมดี้ นางเอกแปลก ฮา รั่ว อ่านสบายคลายเครียด

ตอน: บทที่ 5 พิธีกรรมไล่ผี

บทที่ 5 พิธีกรรมไล่ผี

เมื่อพาเจ้าแมวจอมซนกลับมาที่บ้านแล้ว อย่างแรกที่พลวัตทำคือหามุมให้มันขับถ่าย ชายหนุ่มเลือกให้วางกระบะทรายของมันไว้ในห้องน้ำ จะได้ดูไม่เกะกะสายตาและทำความสะอาดได้ง่าย เพราะทรายแมวที่ได้มาเป็นแบบที่สามารถทิ้งลงชักโครกได้เลย

“หน้าที่ให้อาหารไมเคิลเป็นของคุณนะ”

พลวัตต้องออกไปทำงานแต่เช้า บางวันก็กลับมามืดมาก เลยยกหน้าที่นี้ให้มธุรัตน์

หญิงสาวพยักหน้ารับคำ แล้วก้มหน้าอ่านคู่มือการเลี้ยงแมวอย่างตั้งใจ เธอเคยแต่ช่วยดูแลสัตว์บาดเจ็บ ไม่ค่อยได้เลี้ยงอะไรจริงจัง จึงต้องรีบหาความรู้เอาไว้

ระหว่างที่มธุรัตน์อ่านหนังสือ พลวัตก็สอนให้ไมเคิลใช้ห้องน้ำแมว เขาอุ้มมันไปวางไว้บนกระบะทราย ซึ่งเจ้าไมเคิลก็ยอมให้อุ้มและเรียนรู้ว่านี่คือห้องน้ำของมัน ฉี่เสร็จแล้วมันก็มาคลอเคลียอ้อนพลวัต ความน่ารักของมันทำให้เขาเผลอลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้มันข่วนมือเขาเสียยับเยิน

ชายหนุ่มยกถ้วยชามของตัวเองชุดหนึ่งเอาไว้ใส่อาหารกับน้ำให้เจ้าไมเคิล แล้ววิ่งวุ่นเตรียมของให้มันสารพัดอย่าง ในขณะที่คนอยากเลี้ยงอย่างมธุรัตน์แทบไม่ได้ขยับทำอะไร หรือให้พูดให้ถูกคือขยับตามไม่ทันเสียมากกว่า เพราะชายหนุ่มดูจะเห่อเจ้าแมวน้อยเสียยิ่งกว่าเธออีก

ความจริงพลวัตเป็นคนรักสัตว์คนหนึ่ง แต่หลังจากสุนัขพันธุ์ลาบาดอร์ที่เคยเลี้ยงตายไปเมื่อหลายปีก่อน ชายหนุ่มก็ไม่ได้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้ในบ้านอีกเลย

เนื่องมีสมาธิใหม่วัยกำลังซนเพิ่มเข้ามา บรรยากาศในบ้านของพลวัตจึงดูแปลกไปกว่าที่เคย เขากับมธุรัตน์ไม่รีบแยกย้ายไปอยู่ห้องใครห้องมันเหมือนแต่ก่อน แต่กลับมารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นเพื่อเล่นกับเจ้าแมวน้อย

พลวัตทำของเล่นให้เจ้าไมเคิล ด้วยการเอาเชือกฟางมามัดติดกับปลายไม้แล้วฉีกให้เป็นฝอย จากนั้นก็โบกไปมาล่อให้เจ้าเหมียวก็โจนเข้าใส่ ซึ่งเจ้าไมเคิลก็วิ่งเข้างับในทันที

ชายหนุ่มไม่ยอมให้มันจับได้โดยง่าย ก็เลยตวัดปลายไม้หนีทำให้เจ้าตัวเล็กล้มกลิ้งไม่เป็นท่า แต่มันก็พลิกตัวขึ้นมาเล่นต่อได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พอเล่นจนเหนื่อยเจ้าไมเคิลก็หยุดพักเหนื่อยด้วยการเดินไปเลียน้ำในชาม จากนั้นก็กลับมาหาพลวัต แล้วปีนขึ้นมานั่งบนตักชายนหนุ่ม

“มันชอบคุณแล้ว” มธุรัตน์บอก

“แน่ล่ะ ผมไม่ใช่คนใจร้ายนี่” ชายหนุ่มยิ้มรับคำชม ก่อนจะชี้นิ้วไปที่เจ้าตัวเล็กอย่างนึกขึ้นได้ “เกือบลืมถามไปเลย ทำไมคุณตั้งชื่อมันว่าไมเคิลล่ะ ตั้งตามแมวในการ์ตูนหรือไง”

สมัยที่ยังเด็ก มีการ์ตูนเกี่ยวกับเจ้าแมวจอมป่วนชื่อว่าไมเคิลอยู่ แต่เจ้าแมวตัวนั้นเป็นแมวลายสีส้ม ไม่ใช่ลายสีเทาอย่างนี้

“เปล่า ตั้งตาม Michael Myers ฆาตกรโรคจิตในหนังเรื่อง Halloween”

พอได้รู้พลวัตก็ชักจะเริ่มสงสารเจ้าตัวเล็กขึ้นมา มีชื่อกับเขาทั้งที่แต่ดันไปชื่อเหมือนฆาตกรโรคจิตในหนังสยองขวัญเสียได้ แต่จะค้านก็สายไปเสียแล้ว เพราะเจ้าตัวเล็กจำได้ขึ้นใจว่าตัวเองชื่อ ‘ไมเคิล’

พลวัตเห่อสัตว์เลี้ยงตัวใหม่มาก ชายหนุ่มอยู่เล่นกับมันจนดึก ทำให้เช้าวันนี้ตื่นสายกว่าปรกติมาก พอเหลียวไปมองนาฬิกาเห็นว่าใกล้จะแปดโมงเช้าแล้ว เขาก็ผุดลุกขึ้นจากเตียง รีบอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว

พอลงมาด้านล่างเจ้าไมเคิลก็วิ่งเข้ามาทักทายอย่างร่าเริง

“อ้อนแต่เช้าเลยนะ แกกินอะไรหรือยังเนี่ย”

ชายหนุ่มกวาดตามองไปที่มุมครัว ก็เห็นว่ามธุรัตน์เทอาหารกับเตรียมน้ำไว้ให้เจ้าไมเคิลแล้ว ส่วนมื้อเช้าของเขาก็มีเหมือนๆ กับทุกวัน ไม่ขาดตกบกพร่อง

เขาดึงเดินไปรินกาแฟแล้วหยิบขนมปังเข้าปากแล้วเคี้ยวเร็วๆ จังหวะนั้นเองสายตาของพลวัตก็เหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตสีเหลืองสะท้อนแสงแปะอยู่ที่ตู้เย็น

‘ไปซื้อของให้ไมเคิล’

“อย่าบอกนะว่าจะเดินไปอีก”

ชายหนุ่มรีบตามออกไปในทันที เนื่องจากเป็นห่วงไม่อยากให้เธอต้องเดินไกลและกลับมาลำพังตอนพลบค่ำเหมือนเมื่อครั้งก่อน


ขับรถมาได้ครึ่งทาง พลวัตก็พบมธุรัตน์กำลังเดินอยู่ริมทาง ชายหนุ่มจึงบีบแตรเรียก ก่อนจะจอดรถที่ริมทาง

มธุรัตน์หันไปมองเสียงแตรที่ดังขึ้น พอเห็นว่าเป็นรถของพลวัตหญิงสาวก็หยุดเดิน

“มีอะไร” หญิงสาวถาม เมื่อชายหนุ่มเลื่อนกระจกรถลงมาจนสุด

“อยากไปไหนทำไมไม่บอก ผมจะได้ไปส่ง เห็นผมเป็นคนไร้น้ำใจหรือไง ถึงจะไหว้วานเรื่องแค่นี้ไม่ได้”

พลวัตเป็นผู้ชายและติดนิสัยดูแลคนอื่น เขาเลยค่อนข้างจะหัวเสียที่เธอไม่คิดจะพึ่งพาเขา

“คุณยังไม่ตื่น เลยกะจะโบกรถไป”

มธุรัตน์เห็นว่าในไร่มีรถเข้าออกตลอด ก็เลยตั้งใจจะขอติดรถไปที่ท่ารถสองแถวตรงรีสอร์ทข้างๆ

“เป็นผู้หญิงโบกรถมันอันตรายรู้ไหม” พลวัตดุใส่ทันที

ชายหนุ่มเปิดล็อกประตูฝั่งผู้โดยสายออก แล้วกวักมือเรียกให้หญิงสาวขึ้นมา

พอมธุรัตน์ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว พลวัตก็อบรมหญิงสาวชุดใหญ่เรื่องภัยสังคม เธอจึงต้องนั่งเงียบให้เขาบ่นเหมือนเคย เลยไม่มีโอกาสเล่าว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น

เมื่อประมาณห้านาทีก่อนที่พลวัตจะมา มธุรัตน์โบกรถกระบะคันหนึ่งที่กำลังจะออกไปนอกไร่ได้ คนขับชะลอรถมาจอดข้างเธอ แล้วเปิดกระจกถามว่าจะไปไหน

หญิงสาวจำแม่นได้ว่าคนขับรถคือคนที่วิ่งหนีเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นผีปอบ เลยตั้งใจว่าถ้าขึ้นรถไปแล้วจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง แต่พอเห็นหน้าเธอ เขาก็ตะโกนลั่นว่าผีหลอก แล้วรีบขับรถหนีไปเลย

ด้วยเหตุนี้ในระหว่างที่สองหนุ่มสาวเข้าเมืองไปซื้อของด้วยกัน ในไร่จึงเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น

สินทวีกลับบ้านไปเอาเครื่องรางของขลังมาใส่ตัวแบบเต็มพิกัด แล้วตรงดิ่งไปขอลาออกกับผู้จัดการ

“ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วครับผู้จัดการ อาถรรพ์มันแรงมาก กลางวันแท้ๆ ยังมีผีปอบออกมาอาละวาด” สินทวีเอ่ยเสียงสั่น ท่าทางเหมือนคนผวาหนัก

“ใจเย็นๆ ก่อน ผีอะไรที่ไหน อยู่ทำงานด้วยกันมาเป็นสิบปี ผมยังไม่เคยเห็นว่าไร่นี้จะมีผีเลย”

เรื่องผีสางนี่ควรจะต้องยุติตั้งแต่พลวัตให้สองคนงานไปแก้ข่าวแล้ว แต่ที่มันยังไม่จบก็เพราะพวกขวัญอ่อนเชื่อเรื่องเหลวไหลอย่างสินทวีนี่ล่ะ

“มีจริงๆ นะครับผู้จัดการ มันมาโบกรถให้ผมจอด ผมเห็นกับตาเลย”

“ผีมาโบกรถแล้วหายไปต่อหน้าต่อตากลางวันแสกๆ หรือไง” ทวียศเดา แต่ก็ไม่เข้าเค้าแม้แต่น้อย

“ไม่ใช่ครับ มันยังอยู่ มัน...หลอกผม มันเป็นปอบ”

“พูดอะไรให้มันรู้เรื่องหน่อยสิ ใครอยู่ด้วยบ้าน อธิบายมาที”

ผู้จัดการหันไปถามพวกคนงานแทน เพราะเห็นว่าคงจะคุยกับสินทวีที่กำลังขวัญกระเจิงไม่รู้เรื่อง

“มีผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งมาโบกรถครับ อยู่ๆ หัวหน้าก็บอกว่าเป็นผีปอบ แล้วขับรถหนีเธอมา” ชายหนุ่มที่อยู่ใกล้ที่สุดเป็นผู้ตอบ

“ผู้หญิงที่ไหน รู้จักไหมว่าเป็นใคร”

คนส่วนใหญ่ในที่นั้นส่ายหน้า แต่ครู่ต่อมาก็มีคนอุทานเสียงดังเหมือนเพิ่งนึกออก

“ใช่แล้วครับ! แขกของคุณพล มาพักอยู่ได้สักสองอาทิตย์แล้ว”

ได้ฟังทวียศก็นึกออกว่าพลวัตเคยเปรยเรื่องนี้ให้ฟัง เขาเองก็ไม่เคยเห็นเธอ รู้เพียงแต่ว่าเป็นเพื่อนของน้องสาวพลวัต

ถึงจะเป็นเพื่อนน้อง แต่มาอยู่ตั้งนานแถมยังอยู่กันตามลำพัง ชายหนุ่มก็เลยตีความไปว่าเธอเป็นคนรักของนายจ้าง ดังนั้นจึงไม่มีทางเป็นผีสางไปได้

“ได้ยินแล้วใช่ไหมนายสิน แขกของคุณพลจะเป็นผีปอบได้ยังไง”

“มันต้องเป็นผีปอบแน่ๆ ครับผู้จัดการ แต่มันแฝงตัวมา ผมเห็นกับตาว่ามันกินไส้หมา”

เนื่องจากตกใจกลัวสุดขีด สินทวีก็เลยเห็นภาพหลอนไป แล้วจินตนาการถึงความน่ากลัวของมธุรัตน์เพิ่งขึ้นหลายเท่าตัว

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ผี”

“ผู้จัดการไม่เจอกับตัวไม่มีทางเข้าใจผมหรอก ผมไม่ไหวแล้วครับ ให้ผมลาออกเถอะ”

สินทวียังคงสติแตกไม่เลิก ผู้จัดการจึงต้องตัดสินใจแก้สถานการณ์ไปก่อน

“เอาอย่างนี้ อย่าเพิ่งใจร้อนลาอออกวันนี้เลย รอคุณพลกลับมา แล้วมองหน้าแขกคนนั้นให้ชัดๆ ก่อน ว่าเป็นคนหรือผีกันแน่ ถ้ายังคิดว่าผีอีก ถึงตอนนั้นจะลาออกก็ตามใจ ผมจะไม่รั้งไว้แล้ว”

ทวียศพูดออกไปอย่างนี้ ก็เพื่อหวังจะให้สินทวีสงบสติอารมณ์ลงบ้าง แต่ที่ไหนได้ ชายหนุ่มกลับขับรถออกไปจากไร่ เพื่อไปตามพระอาจารย์มาไล่ผีเสียอย่างนั้น

ผู้จัดการหนุ่มเห็นท่าว่าเรื่องมันจะบานปลายไปกันใหญ่ เลยตัดสินใจโทรศัพท์หาพลวัต

“บ้าไปกันใหญ่แล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างหัวเสีย เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด

“ยิ่งกว่าบ้าอีกครับคุณพล ตอนนี้พวกคนงานบ้าจี้ตามนายสินไปตามๆ กัน เตรียมมารอดูกันใหญ่ว่าแขกที่มาพักใช่ผีหรือคนกันแน่”

“เอากันเข้าไป จะงมงายกันไปถึงไหน”

พลวัตเจอปัญหาหนักๆ มามาก แต่ไม่เคยเจอว่าหัวหน้าคนงานจะลาออกเพราะเรื่องไร้สาระอย่างนี้มาก่อน ชายหนุ่มก็เลยรู้สึกโมโหขึ้นมา

“ทางที่ดีคุณพลรีบพาคุณคนนั้นมาก่อนมืดนะครับ จะได้แสดงตัวตอนกลางวัน เรื่องจะได้จบๆ กันไป”

พลวัตเห็นด้วยกับทางออกที่ผู้จัดการเสนอ ก็เลยตั้งใจว่าซื้อของเสร็จจะรีบกลับไป แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องเปลี่ยนใจกะทันหันเมื่อหันไปพิจารณาสภาพของมธุรัตน์

ถึงจะหวีผมให้ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นได้ แต่สภาพโดยรวมของหญิงสาวก็ยังดูอึมครึมอยู่ดี ชายหนุ่มจึงตัดสินใจพาหญิงสาวแวะไปที่ที่หนึ่งก่อน

พลวัตมีเพื่อนสนิทเป็นช่างแต่งหน้ามีชื่อ ก็เลยโทรศัพท์ไปขอร้องให้ช่วยแปลงโฉมมธุรัตน์ให้ เมื่ออีกฝ่ายตอบตกลง ชายหนุ่มก็กลับรถแล้วหันไปพูดกับมธุรัตน์

“ผิวคุณขาวจัดแล้วก็ซีด พวกคนงานเลยพากันเข้าใจผิดไปหมดว่าคุณเป็นผี ก่อนกลับเข้าไร่ ไปตัดผมให้เป็นทรง กับแต่งตัวแต่งหน้าให้ดูสดใสหน่อยดีไหม”

ชายหนุ่มถามความสมัครใจของตามมารยาทเท่านั้น เพราะต่อให้เธอไม่ยอม เขาก็ต้องหาทางพาไปให้เพื่อนแปลงโฉมอยู่ดี

“ตามใจคุณ

มธุรัตน์ยอมไปแต่โดยดี เธอรู้ตัวว่ากำลังสร้างปัญหาให้กับพลวัต ก็เลยยอมให้เขาจัดการเรื่องนี้

นั่งรถมาได้สักพักใหญ่ พลวัตก็หยุดรถที่สตูดิโอถ่ายรูปแต่งงานแห่งหนึ่ง พอชายหนุ่มเดินเข้าไป พนักงานในร้านก็ปราดเข้าต้อนรับทันที

“เชิญทางนี้เลยค่ะ ถ้ายังไม่ได้ตัดสินใจ จะลองดูรายละเอียดแพ็คเกตก่อนก็ได้นะคะ”

พนักงานคนนี้เป็นลูกจ้างที่มาใหม่จึงไม่รู้จักชายหนุ่ม พลวัตเลยจำเป็นต้องชี้แจง

“เปล่าครับ ผมมาหาจรัส เอ่อ…ผมหมายถึงจิรัสยา”

พูดถึงไม่ทันขาดคำ หญิงสาวร่างสูง หน้าตาสวยหวานแบบไทยๆ ก็เดินกรีดกรายเข้ามาหา

จะมองกี่ครั้งพลวัตก็ทำใจให้เชื่อไม่ได้สักทีว่า คนตรงหน้าคืออดีตกัปตันทีมบาสเกตบอล ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มหล่อ ที่มีสาวๆ คลั่งไคล้มากที่สุดในโรงเรียน

ตอนใกล้จบมัธยมปลาย จรัสก็มาสารภาพกับเขาว่าอยากจะเป็นผู้หญิง ตอนนั้นพลวัตคิดเพียงว่าเพื่อนล้อเล่น ก็เลยบอกว่าถ้าตัดสินใจแน่แล้วก็ให้ลุยเลย จะเป็นกะเทยทั้งทีก็ต้องให้สวยชนิดผู้หญิงอาย

ใครเลยจะคาดคิดว่าจรัสถือคำพูดของเขาเป็นจริงเป็นจัง หลังจากผ่านการทำศัลยกรรมมาหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดไอ้จรัสก็กลายร่างเป็นนางสาวจิรัสยาอย่างที่เห็น

“สวัสดีจ้ะพล” จิรัสยาส่งยิ้มละไมมาให้

น้ำเสียงของเธอหวานใสเหมือนผู้หญิงทั่วไป จนดูไม่ออกเลยว่าเคยเป็นผู้ชายมาก่อน

“สวัสดีเจ ขอรบกวนหน่อยนะ” พลวัตส่งยิ้มกลับไปให้

“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้น่ะเรื่องเล็ก ดีเสียอีกจะได้เจอกันคุยกันบ้าง รู้หรือเปล่าว่าคิดถึง”

คำว่าคิดถึงของจิรัสยานั้นออกมาจากใจ ไม่ใช่คำหวานหรือสื่อไปทางชู้สาว

สำหรับจิรัสยาแล้ว พลวัตคือเพื่อนคนสำคัญคนหนึ่งของเธอ ตั้งแต่ประกาศตัวว่าอยากเป็นผู้หญิง เพื่อนในทีมบาสเกตบอลเกือบทุกคนก็เลิกคบกับจิรัสยา พวกนั้นคิดว่าที่เธอมาร่วมทีมก็เพราะคิดไม่ซื่อกับเพื่อนๆ จะเหลือก็แต่พลวัตเท่านั้นที่ยังคบหากันอยู่ และไม่เคยรังเกียจที่เธอเป็นแบบนี้ ดังนั้นพอชายหนุ่มมีเรื่องอยากให้ช่วย เธอจึงรับปากทันที โดยยอมเลื่อนนัดลูกค้าออกไปก่อน

“โทษทีที่ไม่ค่อยได้แวะมา พอดีงานในไร่มันยุ่งน่ะ” ชายหนุ่มพูดในเชิงแก้ต่าง

เขาเองก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่ไม่ได้แวะมาหาบ่อยนัก ทั้งที่รู้ว่าจิรัสยามีเพื่อนไม่มาก

“จะมุงานหาเงินไปถึงเมื่อไรกัน หาเวลาว่างให้ตัวเองบ้างสิ จะได้มีเพื่อนสะใภ้ให้เจแสดงฝีมือเสียที”

จิรัสยาขันอาสาว่าจะแต่งหน้าและออกแบบชุดให้เจ้าสาวของพลวัต แต่รอแล้วรออีกก็ไม่เห็นวี่แววว่าเพื่อนจะคบหาใครเลย

“แสดงฝีมือกับคนนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ไม่ต้องสวยอลังการมากหรอกนะ เอาแค่ว่าออกไปเดินตามถนนได้โดยที่คนอื่นไม่คิดว่าเป็นผีก็พอ”

ชายกำมือแล้วใช้นิ้วโป้งชี้ไปทางมธุรัตน์ ที่เดินตามมาด้านหลัง

หญิงสาวกำลงดูชุดชุดหนึ่งด้วยอาการสนอกสนใจเป็นอย่างมาก จิรัสยาจึงเดินเข้าไปทำความรู้จัก

“ชอบชุดนี้หรือคะ”

“ค่ะ มันเหมาะกับเลือดมาก”

คำพูดของหญิงสาวทำเอาคนในร้านที่ได้ยินพากันผงะ แต่จิรัสยากลับหัวเราะเพราะคิดว่าเป็นมุก

“ชุดนี้เจออกแบบสุดฝีมือเลยนะคะ ก็ลุ้นอยู่เหมือนกันว่าอยากให้มีผู้กำกับตาถึง มาขอซื้อไปถ่ายหนัง หนังผีก็ดีนะคะ เก๋ไปอีกแบบ”

หนึ่งสาวแท้กับหนึ่งสาวเทียมพูดคุยแนะนำตัวกันได้อีกสองสามประโยค จิรัสยาก็หันไปสั่งช่างให้ตัดมาดูแลมธุรัตน์

“เล็มผมแตกปลายทิ้งสักสองสามนิ้ว แล้วแต่งให้เป็นทรง กับตัดผมทรงหน้าม้าปัด ดีไหมคะ ไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก แต่รับประกันว่าเข้ากับคุณแน่”

ช่างผู้ชายที่ท่าทางกระเดียดไปทางหญิงหันมาบอกกับมธุรัตน์ เขาตาแหลมพอที่จะมองออกว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่มีเครื่องหน้าสวย เซตผมให้เป็นทรงเสียหน่อย ก็สวยได้โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มให้ยุ่งยาก

“แล้วแต่ค่ะ”

มธุรัตน์ไม่มีความรู้เรื่องทรงผม จึงปล่อยให้ทำทุกอย่างตามความเห็นของช่าง

เมื่อได้รับคำอนุญาต ช่างทำผมมือหนึ่งของร้านก็จัดจัดการแสดงฝีมืออย่างเต็มความสามารถ

ส่วนจิรัสยาก็สั่งให้เด็กในร้านออกไปซื้อคอนแทคเลนส์ให้มธุรัตน์ เธอเองก็สายตาสั้น ก็เลยดูออกว่ามธุรัตน์ทำตาแปลกๆ ก็เพราะมองเห็นไม่ชัด

“เรื่องเสื้อผ้าจะเอายังไงพล อยากให้แต่งสไตล์ไหน วินเทจ ราตรี หรือเดรสแบบใส่กลางวัน”

จิรัสยาเปลี่ยนเป้าหมายมาถามพลวัตแทน เพราะถ้าถามมธุรัตน์ คงจะตอบกลับมาอีกว่าตามใจ

“แบบที่ใกล้เคียงกับคนปรกติน่ะ ใส่เดินถนนได้ไม่เวอร์ แล้วก็ไม่เหมือนผี”

“ย้ำจริงนะไอ้ไม่เหมือนผีเนี่ย พูดอย่างนี้กับผู้หญิงมันไม่ดีนะ” จิรัสยาตีเข้าที่แขนชายหนุ่มเป็นเชิงตำหนิ

“ก็มันเป็นความจริงนี่นา ถ้าไม่เหมือนคงไม่เกิดเรื่องยุ่งหรอก”

“เรื่องอะไร เล่าให้จีฟังได้หรือเปล่า” จิรัสยาถามด้วยความสนใจ

พลวัตจึงเล่าคร่าวๆ ให้ฟัง ตั้งแต่แม่บ้านเขาหัวใจวาย จวบจนกระทั่งข่าวลือเรื่องฝีปอบ ผลคือจิรัสยาหัวร่องอหายจนน้ำตาเล็ด

“คิกๆ น้ำผึ้งนี่แปลกดีเนอะ เข้าใจไปอยู่ในที่ที่คนอื่นเขาไม่อยู่กัน”

“ไม่ใช่แค่แปลกอย่างด้วยนะ ยังประหลาดหลุดโลกสุดๆ ไปเลย” พลวัตผสมโรงนินทาไปด้วยเลย

นานทีปีหนจะได้เจอกัน เขาเลยถือโอกาสระบายเสียหน่อย เพราะตั้งแต่มธุรัตน์มาอยู่ที่นี่ เขาต้องรับมือกับเรื่องสารพัดเรื่องวุ่นวายที่เจ้าหล่อนขยันสร้าง

จิรัสยานั่งฟังเพื่อนบ่นโดยไม่เอ่ยขัด เจ้าหล่อนแอบยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย เมื่อเริ่มจับสังเกตบางอย่างได้

เวลาที่พลวัตพูดถึงมธุรัตน์ สีหน้าของชายหนุ่มจะดูอ่อนโยนกว่าที่เคย ถึงจะบ่นว่าหญิงสาวเป็นตัวสร้างปัญหา แต่น้ำเสียงก็แฝงเอาไว้ซึ่งความเอ็นดู พลวัตไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้กับใคร เว้นเสียแต่ตอนพูดถึงน้องสาวคนเล็กอย่างพิมลตรา จิรัสยาจึงมั่นใจว่ามธุรัตน์ ‘พิเศษกว่าคนอื่น’

“ไม่ต้องมายิ้มเยาะกันเลย” ชายหนุ่มตัดพ้อ เมื่อเห็นว่าเพื่อนเอาแต่ยิ้มแปลกๆ

“ไม่ได้ยิ้มเยาะ จียิ้มดีใจต่างหาก”

จิรัสยามองออกว่าพลวัตกำลังเปิดใจมีความรักอีกครั้ง ตั้งแต่เลิกกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่ได้คบหากับใครอีกเลย พลวัตมีข้อเสียคือใจอ่อนและแพ้ผู้หญิงสวย ก็เลยถูกหลอกใช้เป็นประจำ หนนี้ดูเหมือนจะฉลาดเลือกขึ้นมาบ้าง เพราะมองผิวเผินแล้ว มธุรัตน์ไม่มีอะไรที่ต้องกับรสนิยมของเขาเลย นอกจากผมยาวสลวย

“ดีใจอะไร”

“ความลับจ้ะ หนุ่มๆ ไม่เข้าใจหรอก”

จิรัสยาเอามือจุปาก แล้วเดินอมยิ้มออกไปจากร้าน เธอรู้แล้วว่าจะแต่งตัวให้มธุรัตน์สไตล์ไหน รับรองเลยว่าพลวัตเห็นแล้วจะต้องตะลึงแน่นอน


ณ เวลาเดียวกันนั้นเอง ที่ไร่ของพลวัต คนงานที่อยู่ในไร่แทบทุกคนต่างก็มารวมตัวกันที่หน้าบ้านของชายหนุ่ม ราวกับมีเทศกาลอะไรสักอย่าง

ผู้จัดการไร่อย่างทวียศก็ยังมากับเขาด้วย ชายหนุ่มไม่ได้แตกตื่นตามคนอื่น แต่ว่ามาเพื่อควบคุมสถานการณ์ไม่ให้มีอะไรเลยเถิด

เขาปล่อยให้ทุกคนมารวมตัวกันโดยที่ไม่ไล่กลับไปทำงาน เพราะอยากจะให้ทุกคนได้เห็นว่าแขกของพลวัตเป็นผู้หญิงธรรมดาไม่ใช่ผี เรื่องผีสางและข่าวลือทุกอย่างจะได้จบเสียที

พลวัตบอกว่าจะกลับเช้าไร่มาในตอนบ่าย ระหว่างนั้นเขาเลยเปิดโอกาสให้พ่อหมอที่สินทวีพามา ร่ายรำทำพิธีให้เต็มที่

พอเห็นว่าผู้จัดการไม่ว่าอะไร จึงมีการล้อมสายสิญจน์ที่ลานหน้าบ้าน แล้วเอาโต๊ะขนาดใหญ่ที่มีเครื่องเซ่นสารพัดอย่างมาตั้งวางเอาไว้ ทั้งยังมีวงดนตรีมาเล่นเพลงเสียงดังอึกทึก

“ผู้จัดการจะไม่ห้ามหน่อยหรือคะ มันชักจะเลยเถิดไปกันใหญ่แล้ว” ลัดดาสะกิดถาม

เธอตามมาทีหลัง เพราะได้รับคำสั่งให้จัดการเรื่องงานที่ค้างเอาไว้ให้เสร็จเสียก่อน พอเห็นคนมารวมตัวกันทั้งไร่ แถมยังมีพิธีกรรมอะไรแปลกๆ ก็เลยอดตกใจไม่ได้

“จะให้ผมห้ามยังไงไหวล่ะ มีแต่พวกงมงายทั้งนั้น ก็ต้องรอให้คุณพลกลับมานั่นแหละ จะได้ตาสว่างกันเสียที”

ลัดดาเข้าใจเจตนาของผู้จัดการ แต่หญิงสาวก็อดรู้สึกหวั่นใจไม่ได้ ยิ่งเห็นพ่อหมอร่ายรำกระบี่ แล้วเรียกเจ้าพ่ออะไรสักอย่างให้เข้ามาในร่าง ก็ยิ่งรู้สึกใจคอไม่ดีมากขึ้นตามลำดับ

เธอเชื่อเรื่องผีสาง แต่ก็ไม่ได้งมงายขนาดที่ว่าเชื่อไปเสียหมดทุกอย่าง เธอเคยดูสารคดีเรื่องพวกต้มตุ๋นแกล้งเป็นคนทรง แล้วทุบตีคนป่วยที่มีอาการจิต จึงนึกห่วงว่าเรื่องอาจจะเลยเถิดไปถึงขั้นมีการทำร้ายร่างกาย

หญิงสาวยืนใจคอไม่ดีดูพิธีกรรมอยู่ราวสิบนาที รถของพลวัตก็แล่นเข้ามาให้เห็นในระยะสายตา

ทันใดนั้นเองพ่อหมอก็เริ่มชักกระตุกสั่นไปทั่งร่าง แล้วทำตาเหลือกถลนประกาศก้องว่า ตัวเองเป็นท้าวเวสสุวรรณลงมาปราบมาร

“ปีศาจชั่วร้ายกำลังจะมาจากทางนั้น” พ่อหมอชี้นิ้วไปรถของพลวัต

พวกที่มุงกันอยู่จึงถอยออกห่างจากถนนที่รถกำลังแล่นมา มาหลบอยู่ด้านหลังพ่อหมอกันหมด

“คุณรออยู่ในรถก่อนนะ ขอผมลงไปดูสถานการณ์ก่อน”

แรกทีเดียวเขาคิดแค่ว่าพวกคนงานในไร่มารวมตัวกัน แต่พอเห็นว่ามีวงดนตรีกับการตั้งเครื่องเซ่นชายหนุ่มก็ยิ่งโมโหมากขึ้น

พลวัตเดินทำหน้าหน้าถมึงทึงลงมาจากรถ แล้วตะโกนถามทุกคนในที่นั้นเสียงเข้ม

“มารวมตัวกันทำไม ใครอนุญาตให้มาทำพิธีแถวนี้”

น้ำเสียงดุดันของชายหนุ่มทำให้บรรดาคนงานและลูกจ้างทั้งหลายที่มามุงดูกันอยู่ ก้มหน้านิ่งหลบตากันพัลวัน จะมีก็แต่พ่อหมอเท่านั้นที่ยังไม่สะทกสะท้าน แกกระทืบเท้า แล้วชี้หน้าพลวัตทันที

“ผู้ชายคนนี้ถูกวิญญาณร้ายครอบงำ อีผู้หญิงที่อยู่ในรถมันเป็นผี มันเป็นวิญญาณที่มีจิตอาฆาตแรงกล้า”

พ่อหมอพูดพลางชักกระตุก ทำท่าเหมือนปลากำลังขาดอากาศหายใจไปด้วย

พลวัตจึงตวัดสายตาไปที่สินทวีเป็นเชิงให้หยุดพิธีกรรมบ้าๆ นี่เสีย

สินทวีจึงขยับมาใกล้แล้วพยายามอธิบายในเชิงหวังดี ชายหนุ่มบอกว่าพ่อหมอเห็นไอดำจากร่างพลวัต แสดงว่าเขาถูกผีสาวครอบงำอยู่ ก็เลยมองไม่เห็นความจริง

“ยอมรับน้ำมนต์สักนิด แล้วคุณพลจะรู้สึกดีขึ้นเองครับ นะครับคุณพล นิดเดียว นิดนึง” สินทวียกมือไหว้เป็นเชิงขอร้อง

หัวหน้าคนงานคนนี้อายุมากกว่าพลวัตเป็นสิบปี ก็เลยไม่เคยยกมือไหว้กัน พอเห็นว่าอีกฝ่ายยอมขอร้องขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงขัดเสียไม่ได้

“เอ้า! จะพรมอะไรก็รีบๆ พรม แต่ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นก็รีบกลับไปซะ เข้าใจไหม” ชายหนุ่มประกาศกร้าว

ยังไม่ทันสิ้นเสียง พ่อหมอก็สาดน้ำมนต์ใส่ชายหนุ่มชุดใหญ่ จนเปียกโชกไปทั้งตัว

พลวัตยืนนิ่งให้พรมน้ำมนต์จนเป็นที่พอใจ แล้วจึงพูดเสียงดังให้ได้ยินกันทั่ว

“ก็ไม่เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นเลย ผมยังเป็นผม ไม่ได้ถูกใครครอบงำ ที่นี้จะหายงมงายกันได้หรือยัง”

เมื่อเห็นดังนั้น พวกไทยมุงทั้งหลายจึงเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงดัง และเริ่มเอนเอียงมองว่านี่เป็นการแสดงแหกตา

พ่อหมอเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดี ก็เลยพึมพำร่ายมนต์คาถา ออกท่าออกทางเป็นการใหญ่ แกทำตัวสั่นเหมือนคนชักกระตุกอีกครั้ง แล้วชี้นิ้วไปที่มธุรัตน์ซึ่งนั่งอยู่ในรถ

“ต้องปราบนังผีร้ายนี่ก่อน ผู้ชายคนนี้ถึงจะหลุดจากคำสาป” พ่อหมอตะโกนก้องแล้วสาดน้ำมนต์ไปที่รถเป็นการใหญ่

สักอึดใจมธุรัตน์ก็เดินลงมาจากรถ แล้วก็มีเสียงบรรดาลูกศิษย์ของแกตะโกนขึ้นมา

“ฤทธิ์น้ำมนต์ทำให้ผีร้ายมันทนไม่ไหวก็เลยต้องออกมา”

ผู้คนจึงเริ่มเอนเอียงกลับไปเชื่อพ่อหมออีกครั้ง แต่แล้วเสียงสนทนาที่ดังก้องอยู่ก็พลันเงียบลง เมื่อทุกคนได้เห็นหน้าผีร้ายกันชัดๆ

มธุรัตน์ตอนนี้ไม่เหลือเค้าความอึมครึมอยู่เลยแม้แต่น้อย หญิงสาวใส่คอนแทคเลนส์สีน้ำตาลอ่อน ทำให้ดวงตาแลดูอ่อนโยนขึ้น และเนื่องจากพลวัตให้โจทย์มาว่า อยากให้ใบหน้าของหญิงสาวดูเป็นมิตร จิรัสยาเลยใช้คอนซีเลอร์ลบมุมปากออกบางส่วน แล้วแต่งริมฝีปากจะได้ดูเหมือนอมยิ้มน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา

จิรัสยาแต่งหน้าให้หญิงสาวไม่เข้มมาก เธอเน้นโทนสีชมพูที่ทำให้ดูมีเลือดฝาดและขับผิวให้สดใส ส่วนผมยาวสลวยก็ถูกดัดเป็นลอนคลาย เพื่อให้เข้ากันกับชุดเดรสสั้นสีน้ำเงินเข้มที่เธอบรรจงเลือกมาให้

‘สวยจนตะลึงกันล่ะสิ’ พลวัตพูดกับตัวเองอย่างภาคภูมิใจ ที่เธอสวยอย่างนี้ได้ ก็เพราะเขาช่วยพาไปแปลงโฉม

ตอนเห็นมธุรัตน์ครั้งแรก เขาเองก็ถึงกับอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน เขารู้แต่แรกแล้วว่าที่จริงหญิงสาวเป็นคนหน้าตาดี เพราะทาแป้งกับมัดผมให้กับมือ แต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการมีสีสันเพิ่มเติมขึ้นมาบนใบหน้า จะขับให้เครื่องหน้าของมธุรัตน์ดูสวยได้ขนาดนี้ เธอดูเปล่งประกายราวกับถูกร่ายเวทมนตร์ใส่อย่างไรอย่างนั้น

ชายหนุ่มเว้นช่วงรอให้ทุกคนหายตะลึงกันก่อน แล้วจึงค่อยพูดดึงความสนใจจากผู้คนให้กลับมาที่ตน

“ผีร้ายอะไรกัน เห็นกันอยู่ว่าเป็นคนปรกติ บุญชัย ชำนิ บอกมาซิว่านี่ใช่ผู้หญิงที่พวกแกเห็นที่ป่าช้าหรือเปล่า”

เมื่อถูกเรียกสองหนุ่มสาวก็พยักหน้ารับว่าใช่

“แล้วพวกแกเห็นว่าคุณผู้หญิงคนนี้เขากินไส้หมาหรือเปล่า”

“เปล่าครับ พวกผมเจอเธอนั่งอยู่ข้างศพหมาเฉยๆ” บุญชัยรีบบอก

“เธอแค่บังเอิญไปอยู่ตรงนั้น พวกแกมีพยานหลักฐานอะไรไปว่าเขาเป็นผี รีบขอโทษคุณน้ำผึ้งเขาซะ” ชายหนุ่มตวาดเสียงเข้ม

ทว่าไม่ทันที่สองคนงานจะได้ขอโทษมธุรัตน์ พ่อหมอก็ขัดขึ้นเสียก่อน

“ข้ารู้ ข้าเห็น นังนี่มันเป็นปอบ มันกินไส้หมา ต่อไปก็จะกินไส้เด็กและคนงานในไร่นี้”

“คนปรกติเขาเห็นศพหมาก็ต้องเดินหนี แต่นังนี่ไปนั่งเฝ้าอยู่ มันจะต้องเปรี้ยวปากอยากกินของดิบแน่ แต่มีคนมาเจอก่อนเลยไม่กล้ากิน”

ลูกศิษย์ที่พ่อหมอพามาด้วยร้องสนับสนุน สถานการณ์ก็เลยพลิกกลับไปอีก

“หยุดเพ้อเจ้อกันสักที คุณน้ำผึ้งเขาเป็นคนใจดี เห็นซากสัตว์ตายก็สงสารไปแผ่เมตตากับขุดหลุมฝังให้ ถ้าไม่เชื่อก็ไปขุดดูก็ได้ ให้หมอโชคชันสูตรไปเลยว่าไส้มีอยู่เท่าไรเหลือครบหรือเปล่า”

พลวัตเริ่มอารมณ์เสียมากขึ้นเมื่อสถานการณ์ไม่คลี่คลายลงเสียที ทั้งยังมีพ่อหมอนักต้มตุ๋นมาปลุกปั่นสร้างความวุ่นวายอีก

คนที่มามุงเริ่มแบ่งกันเป็นสองฝั่งฝ่าย ฝ่ายหนึ่งก็ไม่เชื่อว่ามธุรัตน์เป็นผี ส่วนอีกฝ่ายก็คล้อยตามบรรดาลูกศิษย์ของพ่อหมอ แต่จะขุดศพสุนัขตายขึ้นมาดูมันก็ยุ่งยาก ทั้งตอนนี้นายสัตวแพทย์ประจำไร่ก็ไม่อยู่อีก พลวัตเกรงว่าจะยืดเยื้อ ก็เลยต้องหาทางอื่น

“คุณพลก็ลองให้พ่อหมอแกทำการปราบผีสิครับ ถ้าคุณน้ำผึ้งยังปรกติอยู่ก็แสดงว่าไม่ได้ถูกผีเข้า จะได้จบเรื่องเร็วๆ” คนงานในไร่คนหนึ่งเสนอ

พลวัตเห็นว่าพิธีกรรมคงเป็นแค่พรมน้ำมนต์ ก็เลยหันไปถามมธุรัตน์

“คุณจะเอายังไง ถ้าไม่อยากก็ไม่ต้องก็ได้นะ ผมจัดการเอง”

ชายหนุ่มไม่ค่อยอยากมธุรัตน์โดนพรมน้ำมนต์ เพราะเขาเสียดายเสื้อผ้าหน้าผมที่จิรัสยากับช่างในร้านอุตส่าห์แต่งให้ มธุรัตน์ในรูปลักษณ์อย่างนี้มองแล้วเพลินตาดี เขาก็เลยอยากจะมองเธอนานๆ

“ทดสอบก็ได้” หญิงสาวตอบรับด้วยดวงตาเป็นประกายวิบวับ

เธอเพิ่งเคยเห็นการทรงเจ้ากับการปราบผีเป็นครั้งแรก ก็เลยตื่นเต้นเป็นพิเศษ

พลวัตมองแล้วก็นึกเหนื่อยใจ ที่เจ้าหล่อนไม่เข้าใจสถานการณ์ในขณะนี้เลย ถ้าทุกคนเชื่อว่าเธอเป็นปอบจริง เธออาจจะถูกคุมตัวไว้ หรือในทางร้ายที่สุดก็อาจจะถูกทำร้ายได้ แต่จะห้ามก็ไม่ได้แล้ว เพราะเจ้าตัวดูเต็มอกเต็มใจให้ทดสอบเหลือเกิน ชายหนุ่มจึงได้แต่ยืนกอดอกคุมเชิงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกัน

มธุรัตน์เดินตรงเข้าไปเผชิญหน้ากับพ่อหมอในเขตสายสิญจน์ แล้วจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่บ่งว่าตื่นเต้นยินดีเสียมากกว่าครั่นคราม พ่อหมอจึงคิดไปว่าหญิงสาวอยากจะลองดีกับแก

“อีผีร้าย มึงเสร็จกูแน่” พ่อหมอประกาศกร้าว

สิ้นเสียงน้ำมนต์ชุดใหญ่ถูกปะพรมและพ่นใส่ตัวหญิงสาว มธุรัตน์ยืนนิ่งให้พรมอยู่พักหนึ่ง ก็ยังไม่มีอาการอะไรออกมา หญิงสาวเห็นว่าข้างนอกอากาศเย็น กว่าจะพรมหมดขัน เธอต้องยืนหนาวอีกนาน หญิงสาวก็เลยแย่งขันน้ำมนต์มาจากลูกศิษย์พ่อหมอ แล้วราดใส่ตัวเสียเลย

“เห็นหรือยังว่าฉันไม่ใช่ผี”

การกระทำของหญิงสาวเรียกเสียงครางฮือดังลั่น หลายคนมองอย่างสะใจที่เห็นพ่อหมอกำมะลอทำหน้าเหวอ ในขณะที่อีกหลายคนก็ยังคงหลงเชื่อคำพูดของพ่อหมอ

“อีผีตัวนี้มีฤทธิ์แก่กล้า ไปเอาหวายศักดิ์สิทธิ์มา”

พอรู้ว่ามีอุปกรณ์เสริมอย่างอื่น พลวัตก็หันไปสั่งให้ลัดดาโทรศัพท์แจ้งตำรวจ แล้วส่งกุญแจรถให้ผู้จัดการไร่

“ในรถผมมีปืน ไปเอามาให้ที”

ระหว่างผู้จัดการไร่วิ่งไปเอาปืน มหกรรมไล่โบยผีก็เกิดขึ้น มธุรัตน์หลบไม่ทันก็เลยถูกฟาดใส่เสียจนแขนแตกเลือดไหลซิบ

“โอ๊ย!” หญิงสาวร้องด้วยความเจ็บปวด

“หยุดได้แล้ว! บ้าไปกันใหญ่ ผีที่ไหนเลือดออกได้ ฉันจะแจ้งความจับแกข้อหาทำร้ายร่างกาย” พลวัตปราดเอาตัวเข้ามาขวาง

ชายหนุ่มกระชากหวายจนหลุดจากมือพ่อหมอ หักมันเป็นสองท่อนแล้วขว้างทิ้ง

ส่วนลัดดาก็วิ่งเข้ามาช่วยอีกคน หญิงสาวโอบตัวมธุรัตน์เอาไว้ แล้วดึงมาหลบด้านหลังพลวัต

“อย่ามาขัดขวางกู พวกมันถูกอีผีนี่ดลใจ พวกเอ็งไปลากตัวให้กูมาโบยเร็ว” พ่อหมอสั่งบรรดาลูกศิษย์ แล้วเรียกหาหวายสำรองมาจากลูกศิษย์อีกคน

บรรดาลูกศิษย์ก็เชื่อฟังพ่อหมอเสียเหลือเกิน พอสั่งให้จับ พวกนี้ก็กรูกันเข้ามา พวกคนงานฝ่ายที่ไม่เชื่อเรื่องภูตผีเห็นท่าไม่ดีก็เลยเข้าไปช่วยขวางไว้

“คนที่ผีเข้าน่าจะเป็นแกมากกว่า อวดอ้างเป็นร่างทรงแล้วมาทำร้ายคนดีๆ เขา” พลวัตตะโกนใส่หน้าพ่อหมอ

“รีบจับมันมา ก่อนที่คนในไร่นี้จะถูกพวกมันสะกดจนหมด” พ่อหมอยังคงกร่างแบบไม่กลัว ทั้งที่คนของฝ่ายตัวเองมีน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

พวกลูกศิษย์เห็นว่าเสียเปรียบเลยชักดาบไม้ออกมา เตรียมประจัญบานกับพวกคนงานในไร่

ก่อนที่จะมีเหตุตะลุมบอนกันเกิดขึ้น เสียงบางอย่างก็ดังแผดก้องขึ้นมาเสียงก่อน สะกดทุกคนให้อยู่นิ่งไม่ไหวติง

“ปั้ง...ปั้ง...ปั้ง!”

เสียงปืนดังติดกันอีกหลายนัด พร้อมการมาของผู้จัดการไร่

“นี่ครับคุณพล ผมไม่ขอถือไว้นาน มันไม่ค่อยคุ้นมือ” ทวียศส่งต่อปืนไปให้พลวัต

ชายหนุ่มจึงรับมา แล้วจ่อปากกระบอกปืนไปที่พ่อหมอซึ่งอวดอ้างตัวว่าเป็นร่างทรงในทันที

“แกกล้ามากที่มาทำร้ายคนของฉัน ในไร่ของฉัน”

ใบหน้าของพลวัตถมึงทึงด้วยความโกรธเกรี้ยว พ่อหมอไม่เพียงแต่ไล่ผีไม่สำเร็จเท่านั้น ยังปลุกปีศาจที่อยู่ในตัวของพลวัตให้ตื่นขึ้นมาด้วย ดวงตาวาวโรจน์ของชายหนุ่มบอกชัดว่าอาจจะสติขาดผึง แล้วฆ่าคนตายได้ทุกเมื่อ

“ยกมือขึ้น”

ชายหนุ่มออกคำสั่งกับพ่อหมอและบรรดาสานุศิษย์

อิทธิฤทธิ์ของปืนดูเหมือนจะกำราบร่างทรงได้อยู่หมัด เพราะพ่อหมอองค์ออกในทันที แกลนลานยกมือไหว้พลวัตบอกว่าที่ทำไปทั้งหมดเป็นเพราะท้าวเวสสุวรรณ ตัวแกไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วยเลย

“ผมจำอะไรไม่ได้จริงๆ ใจเย็นๆ วางปืนค่อยๆ พูดกันก่อนนะครับ”

ก่อเรื่องวุ่นวายเสียขนาดนี้ มีหรือที่พลวัตจะยอมอภัยให้ ชายหนุ่มมองหน้าพ่อหมออย่างไม่ใส่ใจเสียงคร่ำครวญ แล้วหันไปสั่งเสียงเฉียบกับพวกคนงาน

“จับพวกต้มตุ๋นนี่ไว้ แล้วส่งให้ตำรวจ แจ้งข้อหาบุกรุกกับทำร้ายร่างกายด้วย”

พูดจบพลวัตก็หันหน้าไปทางสินทวี ซึ่งขณะนี้ยืนหน้าซีดอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เนื่องจากทั้งเสียหน้า แล้วก็ผิดหวัง ที่อาจารย์ซึ่งเคารพนับถือมานาน กลายเป็นพวกต้มตุ๋นไปเสียได้

“ฉันไล่แกออก เก็บของแล้วออกไปให้พ้นไร่ภายในวันพรุ่งนี้ แล้วอย่าโผล่มาให้ฉันเห็นหน้าอีก” ชายหนุ่มประกาศกร้าว

จากนั้นก็ตรงเข้ามาฉุดมือมธุรัตน์ให้กลับเข้าไปทำแผลในบ้าน

ไม่มีใครในที่นั้นคิดจะวิงวอนขอร้องแทนสินทวีเลยสักคน เพราะบทลงโทษนี้เหมาะสมแล้วกับความผิดของชายหนุ่มแล้ว เป็นถึงหัวหน้าคนงานแต่งมงายไม่เข้าเรื่อง พาคนนอกเข้ามา ทั้งยังสร้างความวุ่นวายอีก บุญเท่าไรแล้วที่พลวัตไม่แจ้งจับด้วยอีกคน

เหนือสิ่งอื่นใด อารมณ์ของพลวัตตอนนี้ไม่ต่างจากพายุร้าย บรรดาลูกน้องที่อยู่ด้วยกันมานานต่างก็รู้นิสัยกันดี ชายหนุ่มเป็นคนรอมชอมแต่ก็เด็ดขาด พูดแล้วไม่มีทางคืนคำ ยิ่งไปเกลี้ยกล่อมก็ยิ่งจะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ไปกันใหญ่ ทุกคนจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งของชายหนุ่มเท่านั้น

ทวียศเดินเข้ามาตบไหล่สินทวีอย่างเห็นใจ แล้วอาสาจะช่วยหางานใหม่กับขนของให้

สินทวีพยักหน้ารับ แล้วเดินคอตกกลับไปที่บ้านพักอย่างยอมรับสภาพ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเอาความเชื่อทางไสยศาสตร์มาทำให้เกิดความวุ่นวายในไร่ ที่ผ่านมาพลวัตทำเพียงคาดโทษ ไม่เคยแม้แต่จะตัดเงินเดือนเลยสักครั้งเดียว เขาจึงกระหยิ่มใจทำอะไรไม่ยั้งคิด สุดท้ายก็เลยถูกไล่ออกดังที่เห็น

ทางด้านพลวัต พอเข้ามาแล้วชายหนุ่มก็ให้มธุรัตน์ไปเปลี่ยนชุด แล้วจัดการปฐมพยาบาลให้

ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังทำแผล เจ้าไมเคิลก็ป้วนเปี้ยนอยู่ไม่ห่าง มันกระโดดตะกายโซฟาขึ้นมานั่งข้างมธุรัตน์ แล้วนั่งมองการทำแผลเงียบๆ ท่าทางมันจะรู้ว่านายสาวบาดเจ็บ ทีแรกมันพยายามจะเลียแผลให้ แต่ถูกพลวัตดุเสียก่อน มันก็เลยเลียปลายนิ้วหญิงสาวแทน

“ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้สู้เอาปืนมาไล่ยิงมันแต่แรกก็ดีหรอก ไม่น่าปล่อยให้มันทดสอบอะไรบ้าบอจนทำให้คุณเจ็บตัวเลย”

พลวัตกัดฟันกรอดเพราะยังไม่หายเคือง ยิ่งเห็นรอยแผลแตกยาวกว่าฝ่ามือที่แขนขาวเนียน เขาก็ยิ่งคลั่ง ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีจากรอยแผล แล้วกำหมัดเดินไปเอาน้ำออกมาจากตู้เย็น

“กินซะ”

ชายหนุ่มกระแทกแก้วน้ำลงกับโต๊ะ ก่อนจะเอายาลดไข้กับยาแก้อักเสบยัดใส่มือหญิงสาว

มธุรัตน์หยิบยาเข้าปากแล้วดื่มน้ำตามไปครึ่งแก้ว กินเสร็จแล้วหญิงสาวก็นั่งกอดเข่ามองหน้าชายหนุ่ม รอให้เขาอารมณ์เย็นลง

พลวัตกับพิมลตราเป็นพี่น้องที่หน้าตาไม่เหมือนกัน แต่กลับมีนิสัยคล้ายกันอยู่หลายอย่าง ทั้งเรื่องนิสัยชอบดูแลคนอื่นและการแสดงออกเวลาโมโห

ถ้าพิมลตรารู้ว่าเธอถูกหวายฟาดจนเป็นแผล ก็คงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงไม่ต่างจากเขา

เวลาโกรธพิมลตราจะไม่ต้องการให้ใครมาพูดให้เธออารมณ์เย็นลง แต่จะขออยู่เงียบๆ คนเดียว ได้ทำอะไรปึงปังสักพักก็จะหายโกรธไปได้เอง

มธุรัตน์จึงลองนั่งเงียบไม่พูดอะไร แล้วก็เหมือนจะได้ผล เพราะสักพักใหญ่ๆ สีหน้าของพลก็คลายลง เขาลุกจากโต๊ะกินข้าวมานั่งข้างเธอ แล้วเอนหลังพิงกับโซฟาตัวยาว

“เจ็บมากหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย

ดวงตาของชายหนุ่มจับจ้องอยู่ที่เพดานห้อง เนื่องจากกำลังพยายามบังคับตัวเองไม่ให้หันไปมองบาดแผลของหญิงสาว เขาไม่อยากโกรธจนเผลอทำโครมครามใส่เธออย่างเมื่อครู่อีก

“ไม่เป็นไรหรอก ขอโทษนะที่ทำให้วุ่นวาย”

มธุรัตน์รอให้เขาใจเย็นลง ก็เพื่อจะพูดประโยคนี้ออกไป เธอรู้ดีว่านิสัยประหลาดของตัวเองมักจะนำความเดือดร้อนมาให้คนใกล้ตัวเสมอ เธอก็เลยคบเพื่อนไม่มาก เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นห่วงหรือเดือดร้อนเพราะตัวเธอ

“ไม่ใช่ความผิดคุณ” พลวัตแย้ง

คนผิดคือเขาต่างหากที่ไม่เรียกหัวหน้าคนงานมาคุยให้รู้เรื่องตั้งแต่แรก ทั้งยังหย่อนวินัยจนพวกคนงานพากันทำอะไรตามอำเภอใจ

พอบริหารไร่ได้กำไรมากเข้าหน่อย เขาก็มัวแต่เหลิงว่าบริหารจัดการไร่ได้ดี ทั้งที่ตัวประเมินผลมันไม่ได้มีแค่ตัวเงินเท่านั้น ถ้าลุงพฤกษ์เป็นคนให้คะแนน ครั้งนี้เขาคงสอบตก

“คุณก็ไม่ผิด” มธุรัตน์พูดราวกับจะอ่านความในใจของชายหนุ่มออก

“ก็แน่อยู่แล้วล่ะ ผมจะผิดได้ยังไงกัน” ชายหนุ่มตอบออกไปโดยอัตโนมัติ

พลวัตเป็นพวกที่มีความทระนงในตัวเองสูง ไม่ชอบให้ใครมาเป็นห่วงหรือสงสาร เขาจึงมักจะวางท่าว่าไม่เป็นไรเสมอ

หากเป็นคนอื่นพูดอย่างที่มธุรัตน์พูด เขาคงจะไม่ชอบใจที่ต้องให้ใครมาปลอบ แต่พอเป็นมธุรัตน์ ความรู้สึกที่ได้กลับต่างกัน

ความที่หญิงสาวเป็นคนตรง คำพูดของเธอจึงเป็นเหมือนกับกระจกเงาที่สะท้อนภาพอย่างตรงไปตรงมาไม่มีบิดเบือน พอเธอบอกว่าเขาไม่ผิด เขาก็รู้สึกคล้อยตามว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ

พลวัตรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างประหลาด ทั้งที่ปรกติเขาคงจะกล่าวโทษตัวเอง แล้วอารมณ์เสียอยู่ตลอดทั้งคืน ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจความหมายของการมีเพื่อน หรือใครสักคนอยู่เคียงข้างก็ตอนนี้นี่เอง

“เอาล่ะ! ไปเอาของที่ซื้อให้ไมเคิลมาให้มันดีกว่า”

ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง แล้วผุดลุกขึ้นจากโซฟาอย่างกระฉับกระเฉง ผิดกับตอนที่ทิ้งตัวลงมานั่งอย่างสิ้นเชิง

มธุรัตน์มองตามพลวัตไป เธอยิ้มน้อยๆ เมื่อชายหนุ่มกลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง หญิงสาวยกมือขึ้นมาลูบหัวเจ้าไมเคิล แล้วอุ้มมันมาวางไว้บนตัก

“ทำตัวให้น่ารักนะไมเคิล เขาจะได้อารมณ์ดี”

“เมี้ยว!” เจ้าตัวเล็กรับคำ แล้วเอาแก้มมาถูแขนหญิงสาว

รอสักอึดใจชายหนุ่มก็เดินกลับเข้ามาพร้อมข้าวของของเจ้าไมเคิล สองหนุ่มสาวซื้อถ้วยอาหารให้มันใหม่ เป็นแบบกันมด ส่วนน้ำก็ให้กินน้ำจากกระบอกใส่น้ำ เพราะสะอาดกว่าการใส่ชาม นอกจากนี้ยังมีอาหารแมว ของเล่น และของใช้อีกจิปาถะ

หยิบของออกมายังไม่หมดจากถุงก็มีเสียงเคาะประตูดังขัดขึ้นก่อน พลวัตจึงหยัดกายลุกขึ้นแล้วไปเปิดประตูบ้าน

คนที่มาพบเขาเป็นหญิงสาวร่างเล็กผอมบาง เธอคือปรียา ภรรยาของหัวหน้าคนงานที่เขาเพิ่งไล่ออกไปสดๆ ร้อนๆ

“มีอะไร” พลวัตปรับสีหน้าให้เคร่งขรึมขึ้นขณะถาม

เขาพอจะเดาออกว่าปรียาคงจะมาขอร้องไม่ให้เขาไล่สามีเธอออกเป็นแน่ แล้วก็จริงดังที่คาดเสียด้วย

“เรื่องพี่สินค่ะคุณพล ฉันอยากจะขอร้องคุณพล...” พูดได้เท่านี้ปรียาก็เริ่มสะอื้น

หญิงสาวฟูมฟายร้องไห้ขอให้เห็นใจเธอ ถ้าเขาไล่ครอบครัวเธอออกไปแล้วจะไปอยู่กันที่ไหน ลูกที่ยังเล็กอีกสองคนจะเอาอะไรกิน

เสียงคร่ำครวญของหญิงสาวทำให้มธุรัตน์อุ้มเจ้าแมวน้อยออกมายืนดู พอปรียาเห็นมธุรัตน์ เธอก็ขยับเข้ามาหา แล้วพูดขอร้องหญิงสาวอีกคน

“ยกโทษให้พี่สินด้วยเถอะนะคะคุณ อย่าฟ้องพี่สินเลย แค่พี่สินตกงาน ไม่มีบ้านให้อยู่ พวกเราสี่คนพ่อแม่ลูกก็เหมือนตกนรกแล้ว”

ผู้จัดการบอกว่าคุณพลไม่เอาเรื่องทางกฎหมายกับสามีเธอ แต่คุณผู้หญิงที่โดนทำร้ายจะเอาเรื่องหรือเปล่านั้นผู้จัดการบอกว่าไม่แน่ใจ เธอก็เลยรู้สึกเป็นกังวลมาก

“ฉันยกโทษให้ ไม่คิดจะฟ้องหรือแจ้งความอยู่แล้ว คุณไม่ต้องห่วง”

มธุรัตน์ตอบไปโดยไม่เสียเวลาคิดเลยสักนิดเดียว พูดจบหญิงสาวก็หมุนตัวกลับ ไม่อยู่รับคำขอบคุณที่ปรียาพร่ำบอกมา

“แล้วเรื่องพี่สินล่ะคะคุณ”

ปรียาชะเง้อมอง แล้วทำท่าจะตามเข้าไปในบ้าน ด้วยเห็นว่าเกลี้ยกล่อมให้มธุรัตน์ช่วยพูดกับพลวัตให้คงจะง่ายกว่า

พลวัตไม่อยากให้มธุรัตน์ต้องเกี่ยวข้องกับปัญหาที่เขาต้องเป็นผู้รับผิดชอบมากไปกว่านี้ จึงปราดมายืนกอดอกขวางทางเข้าเอาไว้

“เรื่องนายสิน ผมบอกว่าไล่ออกก็คือไล่ออก ถ้ายังไม่มีที่ไปผมอนุญาตให้ปรียากับลูกทำงานและพักที่นี่ต่อไปได้ ส่วนเงินเดือนผมมีค่าชดเชยให้จนกว่าจะนายสินจะได้งานใหม่ เลิกฟูมฟายแล้วไปก่อนที่จะโดนไล่ออกอีกคน”

ปรียายังคงพยายามมองไปที่มธุรัตน์อย่างมีความหวัง ทว่าหญิงสาวก็ไม่หันมาสบตาด้วย พลวัตเองก็เริ่มมีท่าทีว่าจะโมโหแล้ว หญิงสาวจึงปาดน้ำตาทิ้ง แล้วตัดสินใจขี่รถจักรยานยนตร์กลับบ้านไป

พลวัตมองร่างเล็กๆ ที่หายไปในความมืดแล้วก็ถอนใจยาว เขารู้ว่าได้ใช้ความเด็ดขาดและความเมตตาอย่างพอเหมาะแล้ว แต่กระนั้นใจหัวใจก็ยังรู้สึกผิด ที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ครอบครัวนี้ต้องมีปัญหา

ชายหนุ่มปิดประตูบ้านแล้วกลับมานั่งเงียบที่โซฟาอีกครั้ง สักพักเขาก็ตวัดสายตาขึ้นมามองมธุรัตน์ที่นั่งเล่นกับลูกแมวอยู่ไม่ไกล สายตาของชายหนุ่มเหมือนจะรอคอยให้หญิงสาวพูดอะไรสักอย่าง แต่เธอก็ไม่ได้ปริปากออกมา เขาจึงเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน

“มีอะไรจะพูดกับหรือเปล่า”

“ไม่ คุณล่ะ...ต้องการให้ฉันพูดอะไร”

คำพูดของเธอเป็นเหมือนลูกศรที่วิ่งมาปักกลางใจเขา

‘เธอพูดถูก’ เขาอยากจะให้เธอพูดขอร้องให้เขายอมยกโทษให้นายสิน หรือลดโทษให้ เพื่อจะได้ใช้เธอเป็นข้ออ้างให้ความรู้สึกผิดในใจเบาบางลง โดยที่เขายังคงรักษาภาพลักษณ์ความเด็ดขาดเอาไว้ได้

“จะเป็นอะไรหรือเปล่า ถ้าผมอ้างชื่อคุณแล้วให้ผู้จัดการรับนายสินเข้ามาทำงานใหม่ พอดีมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสักหน่อย ขอโทษด้วยที่ดึงคุณมาเกี่ยว” ชายหนุ่มพูดไปตามตรง

“ไม่เป็นไร ถ้าคุณอยากได้บันได ฉันก็จะเป็นให้”

คนที่อยู่ในตำแหน่งอย่างพลวัต เมื่อประกาศอะไรออกไปแล้วจะเปลี่ยนใจหรือกลับคำทีหลังย่อมไม่ได้ เธอเลยยอมให้อ้างชื่อโดยไม่เกี่ยงงอน

บทจะเข้าใจอะไรขึ้นมา มธุรัตน์ก็เข้าใจได้ง่ายๆ ทั้งยังมองสถานการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เธอคล้ายคนที่ผ่านโลกมามาก แต่ในบางเวลากลับเหมือนเด็กที่ไม่ประสีประสาอะไรเลย ความต่างอันสุดขั้วนี้ไม่น่าจะมาอยู่ในตัวคนคนเดียวกันได้ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว

“ไม่โกรธนายสินเลยหรือไง ที่เรียกเธอว่าผีปอบ แถมยังเป็นต้นเหตุทำให้ได้แผลอีก”

“ไม่ สนุกดี เกิดมาเพิ่งเคยเจอ”

พลวัตหัวเราะเสียงดังเมื่อได้ยิน เพราะมันเป็นคำตอบที่สมกับเป็นมธุรัตน์เสียเหลือเกิน

ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจมธุรัตน์ขึ้นมาบ้างนิดหน่อยแล้ว เธอเป็นคนอ่านยาก ที่อ่านได้ง่ายกว่าที่คิด สายตาคมๆ กับใบหน้าเรียบเฉยของเธอทำให้ตีความไปได้ต่างๆ นานา แต่ที่จริงแล้วแทบจะไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่ในนั้นเลย หญิงสาวมองทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมา และทำทุกอย่างตามความรู้สึกเท่านั้นเอง ถ้าจะเรียกให้น่าเอ็นดูอีกหน่อยก็คงต้องบอกว่า เป็นพวกขวานผ่าซากที่มีนิสัยซนเหมือนเด็ก

“ขอบคุณนะ”

พลวัตยิ้มให้ แล้วเดินไปขยี้ผมหญิงสาวเบาๆ ก่อนจะเดินไปโทรศัพท์ในห้องทำงาน เพื่อจัดการกับเรื่องของหัวหน้าคนงาน

มธุรัตน์นิ่งงันไปเมื่อมือใหญ่อบอุ่นทาบลงบนศีรษะ หญิงสาวยกมือขึ้นแตะผมตัวเอง เพื่อสัมผัสกับไออุ่นที่ยังคงค้างอยู่ ความร้อนจากมือเขาราวกับจะซึมผ่านมือเธอ แล่นเข้าไปที่หัวใจ ทำให้อุ่นซ่านขึ้นมาในอก เหมือนได้ย้อนไปเมื่อครั้งที่ครอบครัวของเธอยังไม่แตกสลาย พ่อมักจะลูบหัวเธออย่างนี้เสมอ เมื่อเลิกงานกลับมาบ้านในตอนเย็น

หญิงสาวปล่อยให้ความทรงจำแห่งความสุขไหลเข้ามาพอให้รู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ แล้วปิดผนึกมันลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ภาพเลวร้ายในอดีต จะย้อนกลับมาทำให้เจ็บปวดอีก



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 มิ.ย. 2554, 07:05:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:31:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 2438





<< บทที่ 4 ผีสาวในสุสาน   บทที่ 6 การยั่วยวนที่ไม่ได้เจตนา >>
วรรณ 1 มิ.ย. 2554, 10:18:16 น.
นู๋โน้ม คอเคล็ด ดีขึ้นหรือยัง อย่างนี้ต้องประคบร้อน ประคบเย็น หรือร้อนสลับเย็นเอ่ย
หายไว ๆ นะจ๊ะ คิดถึงน้ำผึ้ง ที่แปลก ไม่หวานจนเลี่ยน แต่น่าอร่อย 555


MYsister 1 มิ.ย. 2554, 11:30:24 น.
หวานเบาๆ


ปูสีน้ำเงิน 1 มิ.ย. 2554, 12:21:26 น.
อยู่ข้างน้ำผึ้งตลอดไปนะ คุณพลวัต


หมูอ้วน 1 มิ.ย. 2554, 14:02:01 น.
น่ารักดีค่ะ รออ่านตอนต่อไปจ้าา


Pat 1 มิ.ย. 2554, 19:11:14 น.
^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account