เสน่หาในเพลิงแค้น
ความรักของ 'ธนาดล' ผลิบานท่ามกลางความแค้นที่รอวันสะสาง 'ธนาดล' จะทำเช่นไรหากต้องเลือกระหว่างความรักกับความแค้นที่มีตัวแปรชื่อ 'รัตติกาล' เจ้าของหัวใจที่หักห้ามรักร้อนจากเขาคนนั้น เมื่อปฏิเสธความรักอันหอมหวาน หากผลักไสแล้วใจกลับร้าวราน หัวใจดวงนี้ฤาไม่ใช่ของเธออีกต่อไป
Tags: สโนไวท์

ตอน: บทที่ 16

บทที่ 16

“ตอนเที่ยงพี่จะมาทานข้าวด้วย”

“ที่นี่มีแต่ข้าวกล่องนะ พี่ดลจะทานได้หรือคะ” แม้รัตติกาลจะทราบว่าเขาไม่ได้เป็นคนกินยาก แต่ก็อดกังวลไม่ได้ว่าเขาจะรับประทานอาหารตามสั่งกล่องสามสิบบาทได้

“พูดอย่างกับไม่รู้จักพี่แน่ะ” ธนาดลดีใจที่รัตติกาลเป็นห่วง

“งั้นเจอกันตอนเที่ยงนะคะ” รัตติกาลโบกมือหยอยๆ จนรถยุโรปไปจนลับสายตา

ธนาดลเข้าบริษัทเพื่อสานต่องานที่บวรทำค้างไว้ก่อนนี้ ชายหนุ่มชื่นชมการทำงานของพี่เขยที่ล่วงลับไปว่าทำงานได้ดีเยี่ยม นี่อาจเป็นข้อดีอย่างเดียวของบวรก็เป็นได้ ชายหนุ่มเคลียร์งานเสร็จเร็วกว่าที่คิดจึงแอบไปดูพี่บัณฑิตตัวโข่งของน้องๆ

วันนี้นิสิตปีสองมารับน้องกันบางตาจึงมีหน่วยกล้าตายมาขอแรงรัตติกาลให้สอนรุ่นน้องบูมมหาวิทยาลัย รัตติกาลไม่รอช้าตอบตกลงรุ่นน้องไปอย่างยินดี หญิงสาวรวบผมเป็นหางม้าแกว่งไกว อวดลำคอเรียวละหง เธอสวมเสื้อกล้ามสีขาว และกางเกงยีนห้าส่วนทำให้รูปร่างสัดส่วนของรัตติกาลน่ามองไปทุกส่วน

ธนาดลมองแฟนสาวที่ก้มๆ เงยๆ ไม่วางตา ใจจริงแล้วเขาอยากจะไปดึงรัตติกาลออกมาเสียให้ได้เมื่อหญิงสาวต้องบูมมหาวิทยาลัยกว่ายี่สิบครั้งต่อหน้ารุ่นน้องนับร้อยคน

ไม่ระวังตัวบ้างเลย

เข็มวินาทีของธนาดลเดินไปอย่างช้าๆ ชายหนุ่มกระวนกระวายใจที่ต้องทนเห็นรัตติกาลในสภาพล่อแหลมดังกล่าว

“มันจะยากสักแค่ไหนเชียว” คนเรียนเมืองนอกมาตั้งแต่ไฮสคูลไม่ทราบเลยว่าการบูมนั้นยากกว่าที่เห็น ธนาดลหัวเสียว่ารุ่นน้องของรัตติกาลที่ต้องบูมหลายครั้ง แต่ไม่ได้เรื่องสักที

กว่ารุ่นพี่จะให้รุ่นน้องพักรับประทานอาหารกลางวัน ธนาดลดื่มนำ้อัดลมไปเกือบสี่กระป๋อง และขนมถุงเกือบห้าถุง

รัตติกาลถือกล่องข้าว และใช้แขนหนีบขวดนำ้เดินมาหาธนาดลที่นั่งบนโต๊ะหินอ่อน หญิงสาวหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อใบหน้าที่เคยยิ้มเสมอของธนาดลนั้นปั้นปึ่ง

“ทานข้าวกันค่ะ” รัตติกาลวางกล่องข้าวไว้บนโต๊ะ

“อิ่มแล้ว กินขนมรอจนอิ่ม” ธนาดลพยักเพยิดไปที่กระป๋องนำ้อัดลม และซองขนม

“งั้นนิกซ์ขอทานข้าวก่อนนะคะ”

“อืม” ธนาดลตอบเสียงห้วนทำให้รัตติกาลตัวลีบ

ข้าวกระเพราไก่มื้อเที่ยงของรัตติกาลฝืดคอ รัตติกาลรับประทานข้าวกล่องไม่หมดทั้งที่ตั้งใจว่าจะทานให้หมดทั้งสองกล่องเสียด้วยซำ้

“ต้องอยู่ต่อหรือเปล่า”

“ไม่แล้วค่ะ นิกซ์เหนื่อยแล้ว” ครั้นเห็นบรรยากาศอึมครึมทำให้รัตติกาลตอบอย่างคนปากไม่ตรงกับใจ

เมื่อรัตติกาลเอากล่องโฟม กระป๋องนำ้อัดลม และซองขนมไปทิ้ง ธนาดลจึงสตาร์ทรถรอหญิงสาว

รัตติกาลเหลือบมองคนหน้าขรึมอย่างเกรงๆ ไม่ทราบว่าชายหนุ่มคิดอะไรอยู่ หญิงสาวกลัวว่าเขาจะกลับไปเป็นปีศาจร้ายตัวเดิม เมื่อไม่มีทางเลือกเธอจึงต้องไปกับเขา

“ใครใช้ให้ใส่เสื้อคอกว้างขนาดนี้ฮึ คราวหน้าคราวหลังก็แต่งตัวให้มันมิดชิดกว่านี้หน่อย” ธนาดลอดบ่นไม่ได้เมื่ออยู่กันสองคนบนรถ

“นิกซ์สวมเสื้อคลุมทับแล้วค่ะ ไม่ต้องห่วง” รัตติกาลบอกพลางกระชับเสื้อคลุมสีม่วงเข้าหากัน

“แต่ตอนที่บูมเห็นไปถึงไหนต่อไหน...โป๊” คนขี้หวงยังติง

ธนาดลอยากควกลูกตารุ่นร้องต่างเพศของรัตติกาลที่ต่างมองแฟนสาวของตนอย่างชื่นชม ชายหนุ่มลืมคิดไปว่าเอกภาษาอังกฤษนั้นมีจำนวนประชาการเพศชายหนึ่งในสามของประชากรเพศหญิง ที่สำคัญประชากรเพศชายที่ว่านั้นเป็นชายรักชายกว่าครึ่งหนึ่ง

“โธ่พี่ดลก็ โป๊ที่ไหนกัน เขาเรียกว่าเรียกนำ้จิ้ม”

“อยากเช็คเรตติ้งว่างอย่างนั้นเถอะ”

“เปล่าสักหน่อย ปรักปรำกันเห็นๆ ” รัตติกาลยังไม่ยอมรับ

“ครั้งที่แล้วยังไม่เข็ดใช่ไหม” ธนาดลรื้อฟื้นคดีความครั้งเก่า “โดนทำโทษทั้งคืนแน่”

“พี่ดล” รัตติกาลหน้าแดง หญิงสาวทราบว่าเขาจะลงโทษเธอด้วยวิธีไหน เธอคิดในใจว่าไม่น่าไปกระตุกหนวดเสือเลย

“เรียกทำไม ยังไงคืนนี้ก็หนีไม่รอด” ธนาดลไม่ให้หญิงสาวได้โอดครวญต่อไป ชายหนุ่มออกรถพาเธอไปโรงภาพยนตร์กลางกรุงทันที

“ไม่เอานะคะ นิกซ์กลัวว่าแม่กลับมาแล้วจะไม่เจอ” รัตติกาลกังวลว่าถ้าเขาจะทำโทษเธออย่างที่ว่าจริงๆ เธอจะไม่ได้พบกับมารดา อาจกล่าวได้ว่ารัตติาลไม่ได้เจอกับมารดาตั้งแต่โดนธนาดลจับตัวไปเชียงใหม่

“อะไรกันนิกซ์ ยังไม่เจอแม่อย่างนั้นหรือ” ธนาดลพลอยตกอกตกใจไปด้วย

“ค่ะ” รัตติกาลพยักหน้ายืนยันคำตอบ

“ถ้าพี่ปิดงานของพี่ได้เมื่อไหร่ พี่จะช่วยตามหาแม่นะ”

“จริงๆ นะคะ” รัตติกาลเริ่มมีความหวัง

“จ้ะ พี่จะหาแม่ของนิกซ์ให้เจอ แล้วจัดการสู่ขอเป็นเรื่องเป็นราว จะได้ไม่ต้องลักกินขโมยกิน ผิดจารีตประเพณีอย่างนี้ไง” แม้ธนาดลจะเติบโตมาในวัฒนธรรมตะวันตกแต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยลืมขนบธรรมเนียมอันดีงาม

“คนบ้า พูดอะไรก็ไม่รู้” คนถูกลักกินขโมยกินอายม้วน เสมองนอกหน้าต่างอย่างขวยเขิน


///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////


มณฑกานต์มองอดีตสามีอย่างยินดีเมื่ออีกฝ่ายแจ้งว่าทราบเบาะแสของลูกสาวคนเดียวแล้ว มณฑกานต์ไม่เคยติดต่อสามีอีกเลยตั้งแต่เหตุการณ์รุนแรงครั้งนั้น แต่เพราะร้อนใจกับการหายตัวไปของรัตติกาลกว่าสัปดาห์ มณฑกานต์จึงยอมลดทิฐิขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย

“ลูกคงโตเป็นสาวแล้วสินะ” คนละเลยหน้าที่เอ่ยอย่างสำนึกผิด

“ช่างเถอะ เรื่องมันก็นานมาแล้ว” มารดาของรัตติกาลเอ่ยอย่างขอไปที “ขอบใจนะที่ช่วยเป็นธุระเรื่องลูกให้”

“ผมขอทำหน้าที่ที่พ่อควรกระทำ”

“อืม หมดธุระแล้ว ขอตัวนะ” มณฑกานต์ไม่ได้ยินดียินร้ายกับคำพูดดังกล่าว เธอลุกขึ้นจากไปทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธ

“เดี๋ยวมณ ถ้าผมอยากไปพบลูกบ้างจะได้ไหม” บิดาของรัตติกาลถามอย่างไม่แน่ใจ

“ก็แล้วแต่คุณสิ มณไม่มีสิทธิ์ห้ามคุณหรอก” มณฑากานต์ไม่ได้พูดขณะที่ยืนหันหลังให้ เธอกำลังจะเดินจากไปก็ชะงัก “มณไม่ทราบว่าทำไมคุณอยากพบลูก ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาสิบแปดปีมานี้คุณไม่เคยคิดอยากพบแกเลย”

///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////


เมศร์นึกเสียดายที่ตนรีบคืนเบี้ยแก้แก่สักรินทร์ไป หลังจากงานศพของบวรเพียงไม่กี่วันชายหนุ่มก็ต้องพบเจอกับเหตุการณ์มหัศจรรย์พันธุ์ลึก ในฝันของเมศร์ เขาได้พบกับร่างโปรงแสงของเมรยาที่ยังไม่ยอมไปไหน ปากของเมรยาพรำ่ว่าสมุดจดงานของเธอหายไป ผีสาวเฝ้าวนเวียนอยู่ในคอนโดมีเนียมที่เมศร์ทราบดีว่าคือห้องของเมรยานั่นเอง ชายหนุ่มฝันเรื่องเดียวกันซำ้ๆ มากว่าสามวันทำให้เมศร์ตัดสินใจไปยังห้องปริศนาดังกล่าว

เมศร์สะเดาะกลอนประตูเข้าไปในห้องของเมรยาอย่างง่ายดาย สภาพในห้องทำให้ชายหนุ่มขนลุกอย่างช่วยไม่ได้เมื่อมันเหมือนกับภาพที่เห็นในฝันไม่ผิดเพี้ยน

“สมุดจดงานอย่างนั้นหรือ” เมศร์ค้นหาสมุดเล่มที่เมรยาบอกว่าหายไปจากกองหนังสือในห้องทำงานที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบ “ไม่เห็นมีอะไรเลย”

ชายหนุ่มนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรงเมื่อไม่อาจหาเบาะแสใดๆ ได้เลย เมศร์ไม่อาจทราบเลยว่าวิญญาณของเมรยานั้นทั้งยินดี และโกรธชายหนุ่ม

เมรยาถลึงตามองคนที่ทำให้โต๊ะทำงานของเธอรก แม้ว่าจะดีใจที่เขาช่วยทวงความยุติธรรมให้เธอ

เมศร์เผลอปัดหมอนอิงหล่นจากโซฟา ทำให้เขาพบสมุดเล่มเล็กสองเล่มที่อยู่ในซอกของโซฟา ชายหนุ่มมั่นใจทันทีว่ามันคือกุญแจไขเรื่องราวทั้งหมด มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาไม่มั่นใจคือสมุดจดงานของเมรยคือเล่มสีนำ้ตาลหรือสีเขียวกันแน่

“เล่มสีนำ้ตาล” เมศร์ได้ยินเสียงหวานกระซิบบอก ชายหนุ่มไม่รอช้าเปิดมันอ่านทันที

สิ่งที่ปรากฏในสมุดจดงานของเมรยาทำให้เมศร์สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวที่เขาสงสัยราวกับว่าสมุดเล่มดังกล่าวคือจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายของการฆาตกรรมเมรยา และบวรก็ว่าได้


///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

“นิกซ์...นิกซ์ใช่ไหมลูก” เสียงเรียกจากชายวัยหกสิบเศษทำให้รัตติกาล และธนาดลหันไปมอง

ชายชราก้าวลงจากรถตู้สีขาวมองรัตติกาลอย่างดีใจก่อนกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหาหญิงสาว ชายชราจับมือรัตติกาลไว้ราวกับกลัวว่าเธอจะหายไป

“พ...พ่อ” ธนาดลมองบิดาของตนอย่างแปลกใจ

“อ้าวดล ไหนมาอยู่กับน้องได้ล่ะ” บทสนทนาอย่างเป็นกันเองทำให้รัตติกาลมองคนทั้งคู่สลับกันไปมา “นี่น้องน้อยไงดล ส่วนนี่...พี่ธนาไง ลูกหนูจำได้ไหม”

รัตติกาลอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน หญิงสาวเหลือบมองธนาดลที่แววตาตกใจไม่แพ้กัน

เสียงของชายชราบอกอย่างยินดี ปลุกความทรงจำของคนทั้งคู่ที่ถูกเก็บไว้มานานแสนนานให้แล่นในสมองอีกครั้ง

บ่อยครั้งในวัยเยาว์ที่ธนาดลได้เจอเด็กหญิงแก้มแดงที่ผู้เป็นบิดาแนะนำว่าเป็นน้องสาวของเขา ความผิดพลาดอยู่ที่ว่าชายหนุ่มไม่สนใจว่าเด็กสาวชื่ออะไรเพราะธนาดลเรียกเด็กหญิงจนติดปากแล้วว่า...น้องน้อย

ความยินดีที่ได้พบบิดาพาความเศร้ามาสู่รัตติกาล ความรู้สึกแรกพุ่งเข้าจู่โจมหญิงสาวคือรังเกียจตนเองเต็มที รัตติกาลค่อยๆ ดึงมือชายชราออกด้วยกลัวว่าเขาจะสัมผัสความน่ารังเกียจจากเธอ

สำหรับธนาดลรู้สึกเหมือนถูกใครเอามีดเฉือนหัวใจให้ตายทั้งเป็น ชายหนุ่มยังจำวัยเด็กของตนได้ดีว่าเขาอยากได้น้องสาวมากหลังจากที่เพื่อนๆ หลายคนเล่าถึงความน่ารักของน้องสาวให้ฟัง

“น้อง...น้อย” ธนาดลฝืนเรียกรัตติกาลโดยที่ชายหนุ่มแทบไม่ได้ยินเสียงของตนเอง

‘นี่น้องน้อยของดล’

ธนาดลเดินตามบิดาไปยังบ้านในชุมชนแออัด ตอนแรกชายหนุ่มไม่ประทับใจกับสภาพความแวดล้อมดังกล่าวเพราะนอกจากอากาศร้อนแล้วสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนก็ไม่ได้ดีมากนัก สิ่งที่ถูกใจธนาดลเป็นที่สุดคือเด็กหญิงวัยแรกเกิดมองมาที่เขายิ้มๆ

‘ให้ผมอุ้มน้องได้ไหมครับ’

ว่าแล้วธนาดลก็ได้รับอนุญาตให้อุ้มน้องน้อยสมใจ ‘ได้สิ นี่เป็นน้องของดลนะ ต่อไปนี้ดลก็มีน้องสาวแล้วนะ’

‘แล้วแม่ล่ะครับ แม่จะรู้ไหม’

‘ดลอย่าบอกแม่นะลูก สักวันพ่อจะบอกแม่เอง’

ธนาดลทำตามที่บิดาบอก จากวันนั้นเป็นต้นมา ชายหนุ่มมักมาขลุกกับน้องน้อย ไม่สนใจการเรียนพิเศษหรือการเรียนดนตรีที่มารดาหามาให้อีกต่อไป เขาไม่ได้สนใจอะไรอีกต่อไปเพราะตอนนี้เขามีน้องน้อยสมใจแล้ว ธนาดลรักน้องน้อยของเขามาก จนกระทั่งเด็กญิงอยู่ในวัยช่างพูด ธนาดลก็สอนให้เธอเรียกเขาว่า...พี่ธนา

แม้ว่าเธอและเขาจะไม่ได้มีแม่คนเดียวกัน ทว่านอกจากนั้นไม่อยากจะคิด...มันน่าละอายเกินไป
ธนาดลมองรัตติกาลที่นิ่งเงียบ หญิงสาวมีสภาพของคนหัวใจแตกสลายไม่ต่างกับชายหนุ่มนัก โชคร้ายที่เขาเห็นเธอลูบท้องตนเองเบาๆ

นี่โชคชะตาเล่นตลกอะไรกับเขา ให้เขาขึ้นสวรรค์ด้วยการพบกับรักแท้ไม่ทันไรก็ให้เขาต้องลงนรกด้วยรักต้องห้าม

ภายในร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยา ร้านอาหารถูกตกแต่งให้เต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น แสงไฟสลัวสามารถปกปิดใบหน้าอมทุกข์ของคนทั้งคู่ได้ดี

“เป็นอย่างไรบ้างลูก สบายดีไหม”

รัตติกาลหลับตาไล่ความทุกข์ออกจากจิตใจ หญิงสาวภาวนาให้สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงแค่ฝันร้ายที่ตื่นขึ้นมาก็หายไป

“นิกซ์” ชายชราสะกิดเรียกหญิงสาวอีกครั้ง

“คะ คุณว่าอะไรนะคะ”

“ไม่เอาน่า เรียกพ่อดีกว่า”

ส่วนหนึ่งของความทรงจำเธอผุดขึ้นมา ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเธอก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อมีเขา...ธนาดล

“ขอเวลาให้น้องหน่อยครับพ่อ น้องคงยังปรับตัวไม่ได้” ธนาดลกระแอมเตือนบิดา

รัตติกาลส่งสายตาตัดพ้อมาให้ธนาดล ทั้งคู่ประสานสายตากัน ไม่มีคำพูดออกจากปากเธอและเขา

“ทานข้าวก่อนดีกว่า กับข้าวน่ากินทั้งนั้น” ชายชราเอ่ยทำลายบรรยากาศความตึงเครียดเมื่อบริกรยกอาหารมาเสิร์ฟ

รัตติกาลได้แต่เขี่ยอาหารไปมาไม่ได้สนใจอาหารตรงหน้าเลยสักนิด

บทสนทนาแสนอึดอัดสำหรับบุคคลทั้งสาม จนกระทั่งเวลาที่สมควร ธนาดลขอตัวไปส่งรัตติกาลที่แมนชั่นซึ่งบิดาของทั้งคู่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

ธนาดล และรัตติกาลยังคงนิ่งเงียบไม่ไหวติง ธนาดลขับรถวนไปวนมาก่อนจะเปิดไฟกระพริบแล้วจอดข้างถนน

“นิกซ์...”

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น มันก็แค่...ฝันร้าย” รัตติกาลยกมือปิดปากชายหนุ่มไว้

ธนาดลมองรัตติกาลอย่างค้นคว้าก็พบดวงตาตื่นตระหนกของหญิงสาว “พี่...”

“ชู่ว...”

นิ้วชี้เรียวของหญิงสาวจรดริมฝีปากชายหนุ่มแล้วสวมกอดเขาไว้แน่น ภายในห้องโดยสารของรถยนต์คันหรูปราศจากบทรสนทนาของคนทั้งคู่ มีแต่เพียงเสียงเครื่องยนต์และเสียงลมหายใจแผ่วเบาของเขาและเธอเท่านั้น

///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////


ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ผู้โดยสารขาออกปรากฏร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีดำสนิทและกางเกงยีนสีดำยิ่งเพิ่มความสูงของธนาดล เขายิ้มให้เจ้าหน้าที่แล้วเดินไปตามทาง

ธนาดลมองแผ่นดินบ้านเกิดตัวเองอีกครั้ง ปล่อยจิตใจตนเองล่องลอยไปกับห้วงความทรงจำ ก่อนถูกเรียกด้วยแอร์โฮสเตสสาวสวยว่าจะรับกาแฟหรือเปล่า

ชีวิตนี้ยังอีกยาวไกล

กระดาษโน้ตสีเหลืองที่เสียบไว้หน้าประตู ลายมือหวัดคุ้นตาทำให้รัตติกาลที่เพิ่งตื่นนอนในสภาพตาบวมช้ำมีสติขึ้นมาทันที เสียงรองเท้ากระทบพื้นบ่งบอกว่าเขายังเดินไปไม่ไกล หากเมื่อร้องเรียกเขา ไม่มีทีท่าว่าร่างสูงนั้นจะหันมามอง

“พี่ธนา” รัตติกาลกรีดร้องสุดเสียงเมื่อเขาทะยานรถให้เคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็ว

ธนาดลมองผ่านกระจกก็พบร่างบางทรุดลงกับพื้น...ร้องไห้ทำให้เขาต้องเพิ่มความเร็วขึ้นอีก มือหนากดวิทยุเพื่อกลบเสียงเต้นของหัวใจ วิทยุคลื่นโปรดของรัตติกาลที่มีแต่เพลงเศร้าทำให้ชายหนุ่มรู้สึกถึงของเหลวอุ่นๆ ร้อนผะผ่าวบริเวณดวงตา

เขาไม่ได้ร้องไห้ น้ำตามันไหลเองต่างหาก

ระหว่างเราฉันนั้นรู้ มันคงเป็นไปไม่ได้ 
ระหว่างเราฉันนั้นรู้ ระหว่างเรา ฉันเข้าใจ 
โลกความจริงมันรุนแรง เกินกว่าใครจะรับไหว 
ฉันนั้นรู้ ฉันนั้นรู้ ว่าตัวฉันต้องห้ามใจ 

ในเรื่องจริงเธอได้ยืน อยู่บนทางอันแสนไกล 
แต่ฉันยังคงเก็บเธอเอาไว้ 

อยู่ในจิตนาการ อยู่ในฝันฉันข้างในโลกความจริง 
(วันพรุ่งนี้) เป็นเช่นไร ฉันไม่รู้ไม่สนใจ 
อยู่ในจิตนาการ อยู่ในฝันฉันเรื่อยไป 
จะเก็บเรื่องราวของเราเอาไว้...ในจินตนาการ (เพลงจะเก็บเรื่องราวของเราเอาไว้ ของ โซฟา)


///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เวลาผ่านไปจากสัปดาห์เป็นเดือน จากเดือนเป็นสองเดือน สิ่งที่เหมือนเดิมในทุกๆ วันคือรัตติกาลยังคงคิดถึงธนาดล บัณฑิตว่างงานมีเพียงเสียงเพลงจากวิทยุเป็นเพื่อนแก้เหงา กิจวัตรประจำวันของรัตติกาลช่างน่าเบื่อ หญิงสาวหายใจทิ้งไปวันๆ ใช้ชีวิตอย่างเรื่องเปื่อย และไร้จุดหมาย

หลังจากชำระร่างกายด้วยความเหนื่อยอ่อน รัตติกาลจรดปากกาบนสมุดบันทึกประจำวันบันทึกเรื่องราวของเขา และเธอโดยใช้ตัวอักษรมาร้อยเรียงเป็นความรัก ความห่วงใย และความคนึงหา รัตติกาลอยากให้ความรักของเธอยังมีตัวตนอยู่ในไดอารี่เล่มสีเทา...สีที่เขาชอบ

หญิงสาวยังเขียนว่าวันนี้เขา และเธอยังได้พบเจอกัน รัตติกาลหัวเราะกับความคิดตัวเอง เธอยังคงหลอกตัวเองเหมือนเดิม


///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////


“นี่คุณ ไม่รู้จริงๆ หรือว่าเพื่อนคุณไปไหน” ภานุมาศไม่ชอบใจนักที่ธนาดลหายไปอย่างนี้แบบนี้...เพื่อนเธอก็แย่น่ะสิ

“นี่ ยังชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นไม่เปลี่ยนเลยนะแม่คุณ”

“อ๊าย...นี่คุณว่าฉันแส่เรื่องของชาวบ้านหรอ” ว่าแล้วมือบางก็ฟาดที่ท่อนแขนแข็งแรงเขาไปที่หนึ่ง
ไม่เจ็บหรอกแรงเท่ามด สักรินทร์บอกกับตัวเอง

“ผมไม่ได้ว่าอะไรคุณสักหน่อย ร้อนตัว”

“ไม่คุยด้วยแล้ว คุยกับคุณมีแต่เข้าตัว”

ภานุมาศลุกขึ้นก็หน้าคะมำเมื่อสักรินทร์คว้าเอวเธอไว้ ก่อนดึงให้นั่งลงตามเดิมพลางส่งสายตาดุๆ มาเตือนเธอ

“ปล่อยนะ”

“ผมบอกให้อยู่นิ่งๆ หรือว่าอยากให้ผมจัดการคุณ...บนพื้น” คำขู่ของสักรินทร์ทำให้ภานุมาศหน้าแดงอย่างช่วยไม่ได้

สักรินทร์จึงฉวยโอกาสจุมพิตหน้าผากของหญิงสาวทันที พลางใช้พละกำลังที่มากกว่าบังคับให้เธออยู่ในอ้อมแขน

“คุณเบื่อฉันหรือยัง”

“ทำไมถามผมแบบนั้น” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ

ภานุมาศจึงขยายความต่อว่าเธอไม่แน่ใจในความรักที่เขามีให้เธอ “ถ้าคุณจะทิ้งฉันก็บอกฉันให้รู้ก่อนด้วยนะ ฉันจะได้เตรียมใจ”

“ฮื่อ...ไม่เอาน่า” สักรินทร์จูบเรียกความมั่นใจเธออีกครั้ง เขายิ้มน้อยๆ เมื่อเธอซบกับอกเขา “แต่งงานกับผมนะ”

“คะ!?” ภานุมาศสะดุ้งกับวาจาของเขา

“นะ...นะครับ” เสียงออดอ้อนของเขาทำให้หญิงสาวรู้สึกดีก่อนจะแปลกใจเมื่อสักรินทร์หายเข้าไปในห้องแล้วเดินออกมาอย่างอารมณ์เสีย

“เป็นอะไรไปคะคุณ”

“คุณจะแต่งงานกับผมใช่ไหมถ้าผมขอคุณด้วยดอกกุหลาบเหี่ยวๆ ช่อนี้”

สักรินทร์ว่าพลางชูกุหลาบที่เคยเป็นสีแดงสดแต่บัดนี้กลับกลายเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนอง ชายหนุ่มยังรอคำตอบจากเธอด้วยสีหน้าที่ไม่มั่นใจมากนัก

“โธ่...ฉันไม่ได้จะแต่งงานกับดอกกุหลาบนี่สักหน่อย” ภานุมาศว่าแล้วก็กระโดดกอดชายหนุ่มแน่นทำให้สักรินทร์เองก็ยิ้มจนแก้มปริกับคำตอบของเธอ

เมื่อได้คำตอบที่พึงพอใจ สักรินทร์จุดเทียนหอมรอบห้องนั่งเล่นแล้วเปิดเพลงสากลฟังสบายคลอเพื่อสร้างบรรยากาศฉลองความสำเร็จอีกอย่างของชีวิต สักรินทร์โค้งตัวของภานุมาศเต้นรำซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด

“ผมจะซื้อชุดใหม่ให้คุณ คุณอยากได้หลุยส์ กุชชี่...”

“ไม่อยากได้อะไรทั้งนั้นค่ะ แค่ฉันมีคุณก็พอแล้ว”

“ไม่พอหรอก ผมอยากมีลูก ลูกสาวน่ารักๆ เหมือนคุณสักสี่คนก็พอ”

“ฮื่อ บ้าน่าฉันยังเรียนไม่จบ ยังไม่ได้ทำงาน”

ภานุมาศยิ้มอายๆ กับความคิดของเขา หญิงสาวผละออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่มก่อนกระดกไวน์สีแดงปานเลือดนกเข้าปากเป็นแก้วที่สาม

“จะรออีกนิดจะเป็นไรไป สักห้าปีคุณคงพร้อมนะ”

“บ้า...สามปีก็พอย่ะ” หญิงสาวหลบสายตาเขา ก่อนหัวเราะกับความคออ่อนของตัวเองเมื่อรู้สึกมึนๆ จนชายหนุ่มสังเกตได้

“ไม่ไหวเลย สาวน้อยขี้เมา”

“ฉันไม่ได้เมาสักหน่อยแค่ไม่ได้ดื่มนาน...มาเต้นกันดีกว่า”

ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่บอกว่าตัวเองไม่เมา น้ำเสียงอ้อแอ้ฟังแทบไม่เป็นศัพท์นั้นทำให้เขาอยากทำอะไรเธอสักอย่างไม่ใช่ปล่อยให้เธอเต้นยั่วอย่างที่เป็นอยู่นี่หรอก สักรินทร์อดหัวเราะกับอาการเมาของเธอไม่ได้ ร่างบางกดเปลี่ยนเพลงขับไล่บรรยากาศที่น่าโรแมนติกออกไปก่อนยักย้ายร่างกายตามเสียงเพลง


///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ขอโทษนะคะสำหรับนักอ่านทุกท่าน ธุระยืดเยื้อกว่าที่คิด นี่เพิ่งกลับมาถึงแล้วนุ่นก็ลงให้อ่านกันเลยนะคะ ขออนุญาตไม่ตอบคอมเม้นท์แล้วกันเพราะง่วงมาก สารภาพตรงๆ เลยค่ะ ยังไงก็ขอขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ สำหรับบทต่อไปจะรีบมาลงให้นะคะ เหลืออีกประมาณสามตอนแล้วนะคะสำหรับเรื่องเสน่หาในเพลิงแค้น แต่รับรองว่ามีเรื่องต่อไปอัพลงทันทีค่ะ :]





เรียงอักษร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 มิ.ย. 2554, 02:08:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 มิ.ย. 2554, 02:13:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 2219





<< บทที่ 15   บทที่ี่่่ี่ 17 >>
angle101 1 มิ.ย. 2554, 09:05:42 น.
กรี๊ดคร้า คิดถึงมากมาย


นิชาภา 1 มิ.ย. 2554, 15:35:54 น.
มาเจิมจ้ะ กรี๊ดดดดด เขียนเก่งมากมาย แอบอ่านแล้วใช้ได้เลย คุณน้องเลิศมากกกกกค่า ^O^


lovemuay 1 มิ.ย. 2554, 19:30:13 น.
อ้าว? นึกว่านิกซ์เป็นลูกของบวรซะอีก เรื่อนี้ค้องมีเบื้องหลังแน่เลย^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account