ดวงใจจ้าวรัตติกาล โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
'นางคือจันทราสว่างไสว นางคือจอมใจเมื่ออยู่เคียงขวัญ นางคือคู่แท้แห่งนิรันดร์ นางคือชีวันจ้าวรัตติกาล'
เขาไม่เคยเห็นค่าของสิ่งที่มีจวบจนวันที่เสียไป สายไปไหมหากจะวอนขอให้จันทร์จ้าวกลับมาอยู่เคียงข้าง
Tags: โรแมนติก เจ้าหญิงเจ้าชาย พระเอกขรึม นางเอกขรึมกว่า ความรัก การเมืองเล็กๆ

ตอน: บทที่ 5 ปริศนา 3

บทที่ 5 ปริศนา 3

หลังจากเจ้านิศามณีเสด็จกลับตกเย็นก็เป็นการประชุมร่วมระหว่างสองวัง ขึ้นสิบห้าค่ำนี้วังฝั่งขวาเป็นเจ้าภาพจัดงาน เจ้านิศามณีจึงต้องเสร็จไปตรวจตราดูความเรียบร้อยของสถานที่และการตระเตรียมอาหาร

เทียบกันระหว่างสองวังแล้วนางในของวังฝั่งขวาจะทำงานได้ละเอียดถี่ถ้วนกว่าวังฝั่งซ้ายมาก เพราะมีคุณข้าหลวงใหญ่ซึ่งเป็นคนเก่าแก่ช่วยดูแลงานให้ ผิดกับวังฝั่งซ้ายที่คุณข้าหลวงคนก่อนลาออกไป ส่วนคุณข้าหลวงคนปัจจุบันก็เจ็บออดๆ แอดๆ อีกไม่นานคงต้องออกไปอีกคน เจ้านิศามณีจึงคัดเลือกนางกำนัลที่พอมีฝีมือจากวังฝั่งซ้ายให้ติดตามมาศึกษางานที่วังฝั่งขวาด้วย จะได้เป็นกำลังให้คุณข้าหลวงรองที่จะขึ้นมารับตำแหน่งในอีกไม่ช้า

สถานที่แรกที่เสด็จไปคือห้องประชุม ห้องนี้ถูกจัดตกแต่งเรียบร้อยแล้วจะเหลือก็แต่ยกดอกไม้มาประดับเท่านั้น ทรงตรวจสอบจำนวนเก้าอี้ว่าครบตามรายนามที่ส่งใบแจ้งมาหรือไม่ เมื่อเห็นว่าครบถ้วนดีแล้วก็เสด็จไปดูชุดโต๊ะสำรองด้านหลังม่านว่ามีเหลืออยู่เท่าไร โต๊ะเก้าอี้เหล่านี้ต้องมีเตรียมเอาไว้เผื่อในกรณีที่มีขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์ถูกเรียกเข้าประชุมอย่างกะทันหัน จำนวนสำรองมาตรฐานแบบเผื่อขาดก็คือสิบที่นั่ง

“พวกเจ้าต้องอย่าลืมว่าด้านปลายสุดของโต๊ะจะต้องเว้นว่างไว้สำหรับต่อโต๊ะ เวลาจะจัดเก้าอี้เพิ่มก็ต้องดูด้วยว่าท่านที่นั่งท้ายสุดเป็นใคร หากมีตำแหน่งต่ำกว่าผู้มาใหม่ก็ให้ใช้เก้าอี้ธรรมดา ตำแหน่งเสมอกันให้จัดเบาะรองนั่งหนึ่งใบ หากตำแหน่งสูงกว่าก็ต้องเพิ่งเบาะรองนั่งเป็นสอง”

เจ้านางทรงอธิบายให้เหล่านางกำนัลที่ติดตามมาด้วยฟัง แล้วทรงมีรับสั่งให้มหาดเล็กคลี่แผนผังการจัดวางให้ดู

“ที่ต้องจำไว้อีกเรื่องคือลำดับการนั่ง เก้าอี้ทางฝั่งซ้ายขวายี่สิบสี่ตัวแรกคือที่สำหรับท่านเจ้ากรมกับท่านราชเลขา ถึงทางกรมพิธีการจะแจ้งมาว่าท่านไม่สามารถมาร่วมประชุมได้ก็ต้องจัดให้ครบ เพราะเป็นธรรมเนียมว่าใครไม่มาก็จะเว้นที่ว่างเอาไว้ ดังนั้นห้ามเผลอตัดออกอย่างเด็ดขาดเข้าใจไหม”

“เข้าใจเพคะเจ้านาง” นางกำนัลที่ตามเสด็จมาเอ่ยรับอย่างพร้อมเพรียง

สำหรับเหล่านางในแล้วการที่เจ้านางทรงมาฝึกอบรมให้ด้วยพระองค์เองถือว่าได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นพวกนางจึงตั้งใจเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น

เสร็จจากเรื่องสถานที่ก็เสด็จไปดูเรื่องอาหารต่อ รายการของคาวหวานสำหรับจัดเลี้ยงคุณข้าหลวงห้องเครื่องส่งมาให้เจ้านางทรงเลือกเมื่อสัปดาห์ก่อนแล้ว เจ้านิศามณีสั่งเปลี่ยนรายการสองสามอย่างแล้วส่งรายการที่แก้ไขคืนไป พอถึงเวลาก็จะเสด็จมาชิมเป็นขั้นตอนสุดท้าย เรื่องการจัดการภายในนั้นทางห้องเครื่องจะรับผิดชอบกันเอง จึงทรงยกหน้าที่การอธิบายงานให้คุณข้าหลวงห้องเครื่องไป

ก่อนการประชุมจะเริ่มยังเหลือเวลาอีกมากจึงเสด็จมาพักผ่อนที่ตำหนักเดิม เจ้านางมีรับสั่งกับคุณข้าหลวงว่าห้ามใครมารบกวนเพราะจะทรงเอนหลังก่อนเวลาการประชุมสักพัก

พอปลอดคนเจ้านางที่แสร้งทำเป็นหลับก็ทรงลุกขึ้นมาจากแท่นบรรทม ทรงลูบแหวนทับทิมที่นิ้วชี้เบาๆ อึดใจเดียวสายลมเย็นก็โบกพัดเข้ามาในห้อง เป็นสัญญาณให้รู้ว่าคนที่เรียกหามาถึงแล้ว

“เรียบร้อยดีหรือไม่” ทรงกระซิบถามถึงงานที่มีรับสั่งให้ทำ

“เรียบร้อยดีพระเจ้าค่ะเจ้านาง” น้ำเสียงนุ่มนวลดังขึ้น

ประโยคนี้มีเพียงเจ้านิศามณีเท่านั้นที่ได้ยิน เช่นเดียวกับร่างในชุดดำตรงหน้า ที่มีเพียงผู้ถือครองแหวนทับทิมอัสดงเท่านั้นจึงจะสามารถมองเห็นได้

“ขอบใจเจ้ามากนะต้องเหนื่อยเจ้าอีกแล้ว วันนี้วังฝั่งขวามีประชุม มีแต่ขนมอร่อยทั้งนั้นเราเลยแบ่งมาให้เจ้าด้วย”

เจ้านางทรงยกถาดขนมอบสีสวยให้คนที่กำลังคุกเข่าอยู่

ในบรรดาองครักษ์ทั้งหมดเจ้านิศามณีทรงให้ความเอ็นดูกรวินท์มากกว่าใคร ด้วยสงสารที่มีชีวิตน่าเวทนายิ่งนัก เพิ่งสิบสามสิบสี่ก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือฆ่าคนแล้ว แววตาหมดอาลัยของเด็กหนุ่มวัยไม่ต่างจากพระอนุชาทำให้ทรงตัดสินพระทัยไว้ชีวิตมือสังหารรายนี้

เจ้านิศามณีไม่เคยหวังให้กรวินท์ภักดีด้วย เพียงแต่อยากให้รู้ผิดชอบชั่วดีและใช้ชีวิตตามวัยอย่างคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ทว่าชะตาของเด็กหนุ่มผู้นี้ได้ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว พลังเวทกับพรสวรรค์ในตัวทำให้กรวินท์ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาสามัญได้ สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นหนึ่งในหน่วยลับของเสด็จพ่อ

แล้ววันหนึ่งกรวินท์ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยก่อนจะกลับมาอีกครั้งในฐานะขมังเวทมนตร์ดำ กรวินท์บุกเข้าวังหลวงอย่างห้าวหาญ แล้วมาหมอบกราบอยู่ที่ปลายแท่นบรรทมโดยไม่มีผู้ใดรู้เห็น หักหน้าองครักษ์ทั้งวังว่าไร้ฝีมือจะคุ้มกันเจ้านาง

‘นับจากวันที่เจ้านางทรงช่วยชีวิตไว้ กรวินท์ก็ได้ตั้งใจแล้วว่าชีวิตนี้จะขอถวายแด่เจ้านาง หากเจ้านางไม่ทรงรับไว้ กรวินท์ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร’

แววตาจริงใจไม่โป้ปดทำให้ทรงตัดสินใจรับกรวินท์มาไว้ข้างกาย ขมังเวทมนตร์ดำอย่างกรวินท์ นอกจากทำชั่วแล้วก็ไม่มีหนทางอื่นให้เลือกอีก ดังนั้นแม้จะถูกคัดค้านเรื่องกรวินท์สักเพียงไหนก็ไม่ทรงฟัง

“กินทั้งที่ยังร้อนสิ ของอบมาใหม่ๆ เอากลับไปจะเย็นชืดเสียหมด” เจ้านิศามณีทรงท้วงเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยิบผ้าสีดำมาห่อขนมเอาไว้

“จะกินก็ต้องถอดหน้ากาก หน้าอัปลักษณ์ของกรวินท์จะทำให้ระคายพระเนตร”

หลังสำเร็จวิชาตามใบหน้าแขนขาก็มีอักขระน่าเกลียดขึ้นมาเต็มไปหมด จนต้องใส่เสื้อผ้าแขนยาวกับหน้ากากปิดบังเอาไว้ ด้วยเกรงว่าจะทำให้เจ้านางตื่นกลัว

“ไม่น่าเกลียดสักหน่อย ดูแล้วก็เป็นรอยสักที่สวยดี ทำให้ดูคมคายขึ้นตั้งเยอะ”

กรวินท์จัดว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามทีเดียว แต่บอกไปเท่าไรก็ไม่เคยเชื่อสักที

“กรวินท์มีเรื่องต้องกราบทูลเจ้านาง หน่วยลับของจ้าวทิวากลับมาจากแดนใต้แล้ว” ขมังเวทมนตร์ดำเปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น เพราะไม่อยากใจอ่อนยอมถอดหน้ากากต่อหน้าพระพักตร์เจ้านาง

ในชีวิตกรวินท์ไม่เคยกลัวอะไรนอกจากการถูกเจ้านางผลักไส อักขระมนตราตามตัวมันเพิ่มขึ้นจากครั้งสุดท้ายที่เจ้านางเห็นตั้งมาก เจ้านางเป็นสตรีย่อมชื่นชอบให้มีสิ่งสวยงามอยู่รอบตัว กรวินท์จึงกลัวฝังใจว่าถ้าเจ้านางเห็นใบหน้าจะนึกรังเกียจแล้วไม่เรียกใช้อีก

“จ้าวทิวาใช้ให้ไปสืบเรื่องใด”

การปกครองดินแดนเหนือใต้ของจ้าวทั้งสองไม่เคยยุ่งเกี่ยวกัน ต่อให้ทินกรเอาแต่ใจไม่รู้มารยาทแค่ไหนก็น่าจะรู้ว่าไม่ควรส่งหน่วยลับไปแดนใต้

“ข้อความที่ส่งมาเป็นอักษรลับ กรวินท์ด้อยปัญญาจึงไม่เข้าใจ รู้แต่ว่าเกี่ยวกับเจ้าปัชชุน”

นามของพระสหายสนิททำให้ทรงรู้สึกผิดอยู่ในพระทัย เจ้านางทรงไม่ได้พบหน้าเจ้าปัชชุนมานานแล้ว เนื่องด้วยกฎมณเฑียรบาลระบุไว้ว่านอกจากรัชทายาท โอรสของกษัตริย์องค์อื่นจะต้องออกไปอยู่นอกวังเมื่อพระชนมายุได้สิบเจ็ดชันษา จะกลับมาเมืองหลวงได้ก็ต่อเมื่อถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าเท่านั้น

ที่ผ่านมาถึงต้องห่างกันเพียงไหนก็ยังมีจดหมายไว้ติดต่อซักถามข่าวคราวกันไม่ขาด อยู่ๆ พระนางมาตัดสัมพันธ์เช่นนี้ ปัชชุนคงจะเสียใจที่พระนางเลือกตำแหน่งพระชายามากกว่ามิตรภาพ

ตอนนี้ปัชชุนเป็นแม่ทัพประจำอยู่ชายแดนทิศตะวันตกเฉียงใต้ ต้องรบพุ่งกับชนกลุ่มน้อยอยู่เป็นนิจ ทั้งยังมีปัญหาเรื่องการรุกล้ำดินแดนกับแคว้นคมิกซึ่งเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ถึงภารกิจจะมากแต่ก็ไม่มีกิจการงานใดที่ทินกรจะต้องไปข้องเกี่ยวด้วย

เจ้านางไม่อยากคิดในแง่ร้ายเพราะยังขาดข้อมูลอยู่มาก บางทีปัชชุนอาจจะแค่ถามข่าวของพระนางจากทินกรก็เป็นได้ แต่ความที่เป็นคนรอบคอบจึงรับสั่งกับกรวินท์เผื่อเอาไว้

“เราต้องรบกวนเจ้าอีกแล้วกรวินท์ ไปสืบมาทีว่าจ้าวทิวากับเจ้าปัชชุนสมคบคิดทำอะไรกัน หากต้องไปแดนใต้ก็ไปได้เลยไม่ต้องห่วงเรา”

ขมังเวทมนตร์ดำค้อมกายรับพระบัญชาด้วยความเต็มใจ แล้วท่องมนตรากลายร่างเป็นสายลมพัดหายไป


ตกเย็นการประชุมระหว่างขุนทางของสองวังก็เริ่มขึ้น ประธานในพิธีคือจ้าวทิวาและจ้าวรัตติกาลประทับอยู่หัวโต๊ะ ตรงกลางมีเจ้านิศามณีนั่งคั่นอยู่

ตามธรรมเนียมแล้วผู้ที่จะมาร่วมประชุมได้ต้องเป็นพระมเหสีเท่านั้น ผู้ที่ดำรงพระยศเป็นแค่พระชายาอย่างเจ้านิศามณีย่อมไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม แต่ที่มาประทับอยู่ตรงนี้ได้ก็ด้วยมาในฐานะธิดาเทพ ตำแหน่งสูงสุดของสตรีที่มีสิทธิ์และเสียงในสภาขุนนางเทียบเท่ากับจ้าวทั้งสอง

ความที่ทรงวางตัวอย่างยุติธรรมไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนเกินงาม เจ้านางจึงเปรียบเสมือนผู้รักษาสมดุลอำนาจระหว่างวังทั้งสองไปโดยปริยาย ทำให้เป็นที่ยำเกรงของขุนนางทั้งสองฝ่าย

วันนี้องค์ประชุมอยู่กันอย่างครบครันทั้งสองวัง ครึ่งแรกเป็นหน้าที่ของตัวแทนแต่ละวังมาสรุปย่อความเป็นไปของแดนเหนือใต้ให้ฟัง แล้วจึงปรึกษาหารือกันเรื่องการบริหารจัดการเมืองหลวงซึ่งเป็นเขตปกครองร่วม

“เราขอเสนอให้มีการจัดตั้งโรงยาหลวงขึ้นมาใหม่”

ตรัสจบไม่ทันไรจ้าวทิวาก็ได้รับเสียงคัดค้านจากเจ้ากรมแพทย์ของวังฝั่งซ้ายในทันที

“ขออภัยฝ่าบาท ข้าพระองค์ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้พระเจ้าค่ะ โรงยานี้เคยจัดตั้งมาแล้วเมื่อสี่ปีก่อน แต่ก็ล้มเลิกไปเพราะสิ้นเปลืองงบประมาณและยากแก่การดูแล ครั้งนั้นเจ้ากรมแพทย์ฝั่งขวาก็เห็นด้วยว่าควรจะยกเลิก ข้าพระองค์จึงขอกราบทูลให้ทรงพิจารณาทบทวนอีกสักครั้ง”

แผนผังการปกครองของกาลัญญุแบ่งเป็นทั้งหมดสิบเอ็ดกรมหลักและสองกรมพิเศษ เจ้ากรมมีทั้งของวังฝั่งซ้ายแล้วก็วังฝั่งขวา เว้นเสียแต่กรมพิเศษคือกรมทหารกับกรมคลังที่ไม่มีเจ้ากรม เพราะขึ้นตรงต่อจ้าวทิวากับจ้าวรัตติกาลเลย

ถ้าเป็นเรื่องทั่วไปของเมืองหลวงหากเจ้ากรมทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันก็สามารถจัดการได้เลย แต่หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เห็นชอบก็ต้องเอาเข้าที่ประชุมให้ท่านจ้าวทั้งสองเป็นผู้ตัดสิน เว้นแต่ว่าเรื่องนั้นเป็นพระประสงค์ แม้จะไม่เห็นด้วยทั้งสองฝ่ายแต่บางเรื่องก็ต้องปล่อยไปอยู่ดี หากเห็นว่าส่งผลกระทบต่อบ้านเมืองมากก็ต้องผลักดันเข้าที่ประชุมให้บรรดาเจ้ากรมทั้งหลายช่วยกันทัดทาน

“ครั้งนั้นก็ส่วนครั้งนั้น ครั้งนี้ก็ส่วนครั้งนี้สิท่าน ครั้งนั้นข้าเห็นด้วยกับการให้ยกเลิกเพราะยังหาระบบที่เหมาะสมมาบริหารจัดการไม่ได้ แต่ครั้งนี้ข้าเห็นด้วยทีเดียวล่ะ ลองฟังรายละเอียดดูก่อนแล้วค่อยแย้งเถิด” เจ้ากรมแพทย์ฝั่งขวารีบเอ่ยเมื่อถูกอ้างถึง

จ้าวทิวาทรงกระแอมเสียทีก่อนจะเริ่มชี้แจงระบบการจัดการโรงยาหลวงใหม่ให้ขุนนางทั้งหลายได้รับรู้

“ระบบเก่านั้นใช้ขุนนางของกรมวังในการบริหารจัดการ หมอที่ใช้มาจากกรมแพทย์ ส่วนยาเป็นของหลวงซึ่งมีราคาแพง กว่าจะเบิกจ่ายกันได้ต้องผ่านหลายขั้นตอนทำให้มีโอกาสโกงกินกันได้ง่าย ถ้าเปลี่ยนเป็นการดูแลรับผิดชอบของกรมแพทย์กรมเดียวก็จะสะดวกในการตรวจสอบมากยิ่งขึ้น”

นอกจากนี้ยังทรงเสนอให้รับซื้อสมุนไพรจากชาวบ้านมาทำยาเอง ซึ่งจะเป็นทั้งการสร้างงานและประหยัดงบประมาณไปด้วย ส่วนยาหายากหรือยาราคาแพงค่อยมาเบิกจากหลวงเอาตามสมควร ตอนนี้พระองค์ให้กรมแพทย์เตรียมการไปบางส่วนแล้ว ทั้งราคายาและรายชื่อยาหายากก็มีไว้พร้อมสรรพ ระบบบัญชีเบิกจ่ายก็วางไว้คร่าวๆ แล้ว หากเห็นสมควรให้จัดตั้งก็สามารถสั่งการได้ในทันที

จ้าวทิวาชี้แจงเสร็จที่ประชุมก็เงียบกริบเนื่องจากหาข้อติงไม่ได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าปริปากด้วยกำลังรอความเห็นของจ้าวรัตติกาลกับเจ้านิศามณีอยู่ เมื่อเจ้าทั้งสองไม่ตรัสอะไรนั่นก็หมายความว่าเห็นด้วยทุกประการ เหล่าขุนนางจึงพร้อมใจกันสนับสนุน

เสร็จจากเรื่องการจัดการวังหลวงก็มาถึงข้อเสนอแนะในการบริหารราชการของจ้าวทิวา คืนนี้จ้าวทิวาถูกติน้อยกว่าที่เคย เหตุเพราะครึ่งปีหลังมานี้ทรงปฏิบัติราชกิจได้ดีขึ้นมาก ส่วนอีกสาเหตุคือมีเจ้านิศามณีมานั่งส่งยิ้มหวานๆ เย็นๆ ในที่ประชุมด้วย

ภาพรอยยิ้มชวนมองของพระชายาติดตรึงอยู่ในพระทัยของจ้าวรัตติกาลได้ไม่ถึงครึ่งวัน ภาพลักษณ์ที่เห็นจนชินตาก็ทำลายความน่าเอ็นดูไปจนสิ้น แค่นางผินหน้ามายิ้มนิ่มๆ ใส่บรรดาเจ้ากรมของพระองค์เท่านั้นเอง ข้อบกพร่องของจ้าวทิวาก็หายไปหลายประเด็น เห็นเช่นนี้แล้วก็ทรงอดนึกไม่ได้ว่ารอยยิ้มน่ารักเมื่อตอนเที่ยงเป็นเพียงภาพฝัน

พอถึงเวลางานเลี้ยงกระยาหารค่ำก็ทรงเฝ้ามองพระชายาทุกอิริยาบถ เผื่อว่าจะยิ้มเหมือนเมื่อตอนกลางวันให้ได้เห็นอีก แต่จนแล้วจนรอดเจ้านิศามณีก็ไม่แสดงสีหน้าอื่นใดเลยนอกจากหน้านิ่งกับยิ้มตามมารยาท

“ดื่มอีกหน่อยนะเจ้าพี่ เหล้าองุ่นถังนี้รสดีเหลือเกิน” จ้าวทิวาหันมารินเหล้าใส่แก้วให้

พอผูกสัมพันธ์เป็นเครือญาติผ่านการแต่งงานแล้ว นอกเวลาราชกิจจ้าวทั้งสองเรียกกันอย่างพี่น้องโดยไม่ถือสาเรื่องราชาศัพท์หรือพิธีการ

“ขอบใจทินกร”

จ้าวรัตติกาลทรงรับมาดื่มจนหมดแก้วทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากพระชายา

คนสุขุมช่างระวังตัวอย่างจ้าวรัตติกาลวันนี้ดูเหม่อผิดสังเกต จ้าวทิวาจึงทรงนึกสนุกกระซิบสั่งคนให้เอาเหล้าแรงมาเปลี่ยนให้ แล้วรินให้พระเชษฐภรรดาอย่างไม่ขาดตอน เผื่อจะได้เห็นจ้าวรัตติกาลทรงเมามายกับเขาบ้าง

เมื่อมหาดเล็กนำเหล้าแรงมารินถวายจ้าวทิวาจึงแค่จิบแต่พอไม่ให้ผิดสังเกต แล้วเฝ้ามองจ้าวรัตติกาลที่ดื่มไปหลายแก้วอย่างกระหยิ่มใจ ทว่าท้ายที่สุดคนที่ตั้งท่าจะฟุบไปก่อนกลับกลายเป็นจ้าวทิวาไปเสียได้ ส่วนจ้าวรัตติกาลนั้นสีพระพักตร์ไม่เปลี่ยนไปเลย ทั้งยังดูมีสติดีไม่มีเค้าว่าเมาเลยสักนิด

“ทินกรท่าจะไม่ไหวแล้ว หม่อมฉันขอไปดูน้องหน่อยนะเพคะ แล้วจะรีบกลับมา” เจ้านิศามณีหันมาตรัสกับพระสวามี

“ข้าเองก็จะเข้านอนแล้ว เจ้าก็ไปพักเลยก็ได้ไม่ต้องเสียเวลากลับมาหรอก”

จ้าวรัตติกาลทรงประกาศว่าจะเสด็จกลับตำหนัก เหล่าข้าราชบริพารทั้งหลายที่ดื่มกินกันอยู่จึงลุกขึ้นส่งเสด็จ

เมื่อเจ้าทั้งสามแยกย้ายกันไปงานเลี้ยงก็ยุติลงไปโดยปริยาย เหล่าเจ้ากรมกับขุนนางทั้งหลายต่างทยอยกันนั่งรถม้าประจำตำแหน่งกลับบ้านกันไปทีละคนสองคน ไม่นานห้องโถงใหญ่ก็เริ่มร้างผู้คน จะเหลือก็แต่ฝ่ายรับผิดชอบงานเลี้ยงที่ยืนเรียงกันหน้าสลอนให้เจ้านางสอบปากคำว่าใครเป็นคนเอาเหล้าหมื่นบุปผาขึ้นโต๊ะ

สุดท้ายก็มีมหาเล็กนายหนึ่งก้าวออกมารับผิดด้วยอาการตัวสั่นงันงก

“ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว โปรดอภัยด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ”

เจ้านิศามณีขึ้นชื่อว่าทรงมีพระเมตตาแต่ก็เจ้าระเบียบไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน กฎถือเป็นกฎ ผิดถือเป็นผิด มิเช่นนั้นแล้วก็คงไม่สามารถปกครองฝ่ายในของทั้งสองวังได้เพียงลำพัง

“เราห้ามแล้วมิใช่หรือว่าอย่าได้ถวายเหล้าแรงเกินไปให้ท่านจ้าว แล้วทำไมยังกล้ายกมา” เจ้านิศามณีตรัสถามด้วยสุรเสียงเข้มกว่าปกติ

ทินกรคออ่อนมาก เมาทีก็เอะอะที บุญเท่าไรแล้วที่วันนี้เมาพับไป หากเผอเรอเช่นนี้บ่อยครั้งเข้าภาพพจน์ที่เพียรสร้างมิพังหมดหรือ

“ท่านจ้าวมีรับสั่งให้เอามา ข้าพระองค์เลยมิกล้าขัด” มหาดเล็กหนุ่มอ้อมแอ้มกราบทูล

“หากท่านจ้าวอยู่ตามลำพังอยากได้สิ่งใดก็อย่าได้ขัด แต่นี่เป็นงานเลี้ยงมีขุนนางอยู่ตั้งมาก เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำอะไรนอกคำสั่งเรา”

ตรัสเสร็จก็มีรับสั่งให้ทหารองค์รักษ์นำตัวมหาดเล็กไปโบยและให้กักบริเวณเป็นเวลาสามเดือน

“จงดูเอาไว้ให้ดี นี่คือโทษของผู้ที่ขัดคำสั่งเรา หากไม่อยากถูกลงอาญาก็จงระวังอย่าให้มีเรื่องผิดพลาดเช่นนี้เกิดขึ้นอีก” ทรงหันมาสำทับกับฝ่ายในทั้งหลายก่อนจะผินกายกลับตำหนัก

พอพ้นสายตาผู้คนแล้วเจ้านิศามณีก็ทรงพึมพำขอโทษมหาดเล็กผู้นั้นในใจ ครั้งนี้จะโทษมหาดเล็กฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ทินกรต่างหากที่ไม่รู้จักประมาณตน ทว่าการปกครองนั้นต้องใช้ทั้งพระเดชแล้วก็พระคุณ พระนางจึงทรงหมดทางเลี่ยง

สมัยเสด็จแม่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ พระนางเคยคิดว่าทรงใจร้ายไร้เมตตา แต่พอมาปกครองฝ่ายในด้วยตนเองจึงได้สำนึกว่าบางครั้งก็จำเป็นต้องเด็ดขาดเพื่อไม่ให้เสียการปกครอง ถึงจะรู้สึกผิดและเจ็บปวดเพียงไหนก็ต้องฝืนใจตนเองให้ได้

นี่แหละหนอชีวิตของจอมนาง แทบจะหาความสุขกายสบายใจไม่ได้เลย

เจ้านิศามณีเสด็จกลับตำหนักไปสรงน้ำอย่างลวกๆ แล้วเปลี่ยนผ้าทรงเป็นชุดนอนเนื้อบาง

เมื่อคืนพระนางพักผ่อนน้อยจึงอยากรีบบรรทม ความอ่อนล้าทำให้ไม่ทันสังเกตว่าคุณข้าหลวงทั้งสองไม่ได้ตามมาถวายการรับใช้ด้านใน ทั้งยังไม่ได้จุดไฟในห้องไว้ให้ด้วย

ในขณะที่กำลังจะเอนกายลงบนเตียงมือแข็งแรงข้างหนึ่งก็ฉุดพระนางลงไปซบกับแผงอกกว้าง พอปรับสายตาได้ก็เห็นว่าคนร้ายที่บุกมายึดแท่นบรรทมคือจ้าวรัตติกาล เพราะอย่างนี้นี่เองบุหรงกับวิฬาร์ถึงไม่กล้าตามเข้ามา

“ฝ่าบาทเพคะ นี่มันห้องนอนหม่อมฉันนะเพคะ” เจ้านิศามณีทรงค่อยๆ แกะมือพระสวามีออก ทว่าจ้าวรัตติกาลกลับไม่ยอมปล่อยโดยง่าย

“ห้องเจ้าก็คือห้องข้า ผัวเมียก็ต้องนอนด้วยกานสิ”

เสียงยานคางตอนคางท้ายประโยคกับกลิ่นเหล้าหมื่นบุปผาจากพระโอษฐ์บ่งว่าท่านจ้าวกำลังเมาได้ที่เลยทีเดียว เห็นแล้วเจ้านางก็ต้องถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เพิ่งจัดการเช็ดตัวให้พระอนุชาไปเมื่อครู่นี่เอง ไม่ทันไรก็ต้องมารับมือคนเมาอีกแล้ว

เหตุที่จ้าวรัตติกาลเสด็จมาที่นี่ได้ก็เพราะทรงรู้สึกมึนจึงแวะพักเอนหลังที่ห้องโถงรับรอง ทว่าแทนที่จะดีขึ้นกลับกลายเป็นเปิดโอกาสให้เหล้าออกฤทธิ์มากขึ้น พอพระสติหายไปหลายส่วนสิ่งเดียวที่ทรงนึกออกคือรอยยิ้มน่ารักของพระชายา ทรงนึกอยากเจอหน้านางขึ้นมา เลยเสด็จมาหาที่ตำหนักนี้โดยไม่ฟังคำทัดท้านของจรีเลยแม้แต่น้อย องครักษ์เงากับคุณข้าหลวงจึงจำต้องปล่อยให้เสด็จเข้ามาดังที่เห็น

“ทรงเมาแล้วนะเพคะ รับพระสุธารสสักหน่อยดีไหมเพคะ”

“ข้าไม่มาว ไม่ดื่มอะไรทั้งน้าน มาเล่นอะไรสนุกๆ กันดีกว่า”

จ้าวรัตติกาลทรงลุกขึ้นแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยร่างบางนุ่มนิ่มไปจากพระกร ทั้งยังทอดพระเนตรพระชายาพระเนตรเยิ้มเสียจนทำให้เริ่มหวั่น

ก่อนหน้าท่านจ้าวเคยสนใจไยดีกันเสียที่ไหน จนพระนางเชื่ออย่างสนิทใจว่าพระองค์ไม่ปรารถนาจะมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน แล้วอยู่ๆ ก็ทรงเปลี่ยนไปเพราะน้ำเปลี่ยนนิสัย ถึงจะเตรียมใจรับเหตุการณ์เช่นนี้มาบ้างแต่มันก็ปุบปับเสียจนทำอะไรไม่ถูก

จ้าวรัตติกาลทรงซบพระพักตร์ลงกับต้นคอหอมกรุ่น แล้วเลื่อนพระนาสิกไปฝังไว้ใกล้ๆ พระกรรณของพระชายา

“มาเล่นกันนะ นิศามณี”

“พะ…เพคะ” เจ้านิศามณีตรัสตอบด้วยความตกใจเสียมากกว่าจะตอบรับ

“งั้นเริ่มเลยนะ”

แล้วพระหัตถ์ข้างหนึ่งก็เริ่มลูบไล้ไปมาที่ต้นแขนนวลเนียน ทำพระหทัยของเจ้านิศามณีเต้นรัวเหมือนกลอง เจ้านางทรงจินตนาการถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า ภาพน่าอายในหนังสือที่คุณข้าหลวงนำมาให้ดูก่อนเข้าพิธีอภิเษกวนเวียนอยู่ในห้วงความคิด ทรงหลับตาแน่นปลุกปลอบใจตัวเองไม่ให้หวาดกลัว

‘หญิงที่ออกเรือนแล้วต้องผ่านเรื่องอย่างนี้ทั้งนั้น เราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้’

ทรงบอกกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา จนไม่ทันฟังว่าสวามีตรัสอะไรด้วย พอตั้งสติได้ก็เหมือนจะได้ยินแว่วๆ ว่าช้างอะไรสักอย่าง

“ช้างอะไรเพคะ” เจ้านางตรัสถามอย่างไม่เข้าใจ

“ช้างขึ้นอืดไงเล่า เมื่อครู่เราถามเจ้าว่า อารายเอ่ยใหญ่กว่าช้าง เจ้าเงียบไม่ตอบเราก็เลยเฉลย” ตรัสแล้วก็ทรงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างชอบใจ แล้วตรัสถามใหม่ว่า

“อะไรเอ่ยหย่ายกว่าช้างขึ้นอืด”

“ไม่ทราบเพคะ”

เจ้านิศามณีนึกไม่ออกจริงๆ เพราะมัวแต่ตะลึงอยู่ ใครจะคิดว่าจ้าวรัตติกาลจะเมาแล้วจะเล่นอะไรเป็นเด็กเช่นนี้

“คนฉลาดอย่างเจ้าก็จนแต้มเป็นหรือนี่ ฮ่ะๆ เฉลยก็ได้ ช้างขึ้นอืดตัวหย้ายหย่ายไงเล่า”

คราวนี้ทั้งสองหัวเราะขึ้นพร้อมกัน คนหนึ่งเส้นตื้นเพราะความเมาส่วนอีกคนขำตัวเองที่คิดลึกไปเสียไกลลิบลิ่ว

ต่อจากนั้นเจ้านิศามณีก็ทรงนั่งทายปริศนาสารพัดสัตว์ตัวหย้ายหย่ายอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่นของจ้าวรัตติกาลไปตลอดคืน



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 มิ.ย. 2554, 07:08:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:54:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1991





<< บทที่ 4 ปริศนา 2   บทที่ 6 ความเคลื่อนไหว >>
ลูกกวาดสีส้ม 1 มิ.ย. 2554, 09:50:03 น.
วันนี้ท่านจ้าวน่ารักจังนะคะ


แว่นใส 1 มิ.ย. 2554, 11:10:57 น.
น่ารักกันจริงเชียว


หมูอ้วน 1 มิ.ย. 2554, 14:14:32 น.
ขอหัวเราะด้วยคนค่ะ น่ารักจังเลย ฮาาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account