ดวงใจจ้าวรัตติกาล โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
'นางคือจันทราสว่างไสว นางคือจอมใจเมื่ออยู่เคียงขวัญ นางคือคู่แท้แห่งนิรันดร์ นางคือชีวันจ้าวรัตติกาล'
เขาไม่เคยเห็นค่าของสิ่งที่มีจวบจนวันที่เสียไป สายไปไหมหากจะวอนขอให้จันทร์จ้าวกลับมาอยู่เคียงข้าง
Tags: โรแมนติก เจ้าหญิงเจ้าชาย พระเอกขรึม นางเอกขรึมกว่า ความรัก การเมืองเล็กๆ

ตอน: บทที่ 6 ความเคลื่อนไหว

บทที่ 6 ความเคลื่อนไหว

เดือนสิบเอ็ดเป็นช่วงที่แคว้นกาลัญญุกับแคว้นใกล้เคียงกำลังเข้าสู่ฤดูหนาว ช่วงนี้อากาศในเมืองหลวงจัดว่าเย็นแต่ก็ไม่ถึงกับทารุณเพราะไม่มีหิมะตก มีเครื่องนุ่งห่มเนื้อหนากับผ้าห่มยัดนุ่นก็อุ่นสบายแล้ว

บรรยากาศน่านอนเช่นนี้เป็นใครก็ไม่อยากตื่น โดยเฉพาะกับจ้าวรัตติกาลที่มีความสุขกับหมอนข้างนุ่มนิ่มที่ทรงตะคองกอดไว้เสียเหลือเกิน

นอกจากนิ่มแล้วยังหอมแล้วก็อบอุ่นจนไม่อยากจะปล่อยเลยทีเดียวเชียว

ดังนั้นพอทรงรู้สึกตัวตื่นจึงเริ่มเกเรไม่อยากเข้าประชุมกับขุนนางในช่วงเช้า ทรงฝืนปรือพระเนตรขึ้นมาอย่างยากเย็นแล้วปิดลงอีกหลายต่อหลายครั้งกว่าจะเรียกพระสติได้

สิ่งแรกที่ทรงเห็นเมื่อตื่นเต็มตาคือเสี้ยวหน้าของพระชายา นางนอนหลับตาพริ้มหนุนแขนพระองค์อยู่ ทรงทอดพระเนตรดวงหน้านั้นอย่างเผลอไผล ด้วยองคาพยพบนใบหน้านางล้วนเหมาะเจาะเข้ากันอย่างกลมกลืน งามเอกอุยากหาใครเทียบได้

ทรงไม่เคยพบสตรีใดที่มีขนตางอนงามได้อย่างนาง คิ้วสีอ่อนของนางเรียบรับกับหน้าผากนูนได้รูป นางมีจมูกเล็กๆ แหลมเรียวน่าเอ็นดู ริมฝีปากก็อิ่มหยักเป็นรูปปากอย่างแจ่มชัด แล้วยังมีนวลปรางเนียนนุ่มกับคางมนนี่อีกเล่า ทอดพระเนตรแล้วชวนให้ฉงนสงกาจริงเชียวว่านางทำบุญมาด้วยอะไรกันหนอ ถึงได้รับประทานพรเช่นนี้มาองค์เทวา

ในพระทัยของจ้าวรัตติกาลราวกับถูกมนต์สะกด ทรงรู้ว่านางงามแต่ไม่เคยคิดว่าจะเปี่ยมด้วยเสน่ห์ถึงเพียงนี้ พระองค์ช่างโง่นักที่ไม่เคยใส่ใจพิจารณาพระชายาของพระองค์อย่างละเอียดถี่ถ้วนเลยสักครั้ง

ไม่รู้นานเท่าใดที่จ้าวรัตติกาลทอดพระเนตรมองนงคราญในอ้อมแขน ทรงตื่นจากภวังค์เมื่อเปลือกตาของพระชายาคนงามเปิดออก แต่แล้วก็ต้องถูกสะกดอีกครั้งด้วยดวงเนตรสีน้ำผึ้งแสนหวาน

“ตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ หม่อมฉันจะให้คนนำน้ำล้างหน้ามาให้”

กระแสเสียงนิ่มนวลของเจ้านิศามณีชวนให้เคลิ้มหนัก คนเมาค้างไม่สร่างง่วงจึงเผลอตัวยิ้มรับอย่างไม่ตั้งใจ แต่พอได้ล้างหน้าสติสัมปชัญญะก็กลับคืนมาครบถ้วน ก็ทรงถามตัวเองว่ามาประทับอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทรงจำเรื่องราวแทบไม่ได้เลย จากที่เคยมองพระชายาอย่างเคลิบเคลิ้มก็เปลี่ยนเป็นหวาดระแวงในพริบตา

“ข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”

พระสุรเสียงเย็นชาที่ได้สดับบอกเจ้านิศามณีว่าเด็กน้อยทีเล่นทายปริศนาด้วยกันเมื่อคืนได้หลับใหลไปแล้ว ตอนนี้คนที่ตื่นคือพระสวามีจอมหาเรื่องของพระนาง

“ฝ่าบาทเมาเพคะ”

เจ้านางตรัสอย่างรวบรัดโดยไม่เสียเวลาอธิบายรายละเอียดยิบย่อย ด้วยปรารถนาดีไม่อยากให้ทรงรู้สึกอับอาย

ทว่าจ้าวรัตติกาลกลับคิดไปในทางร้าย ทรงคิดว่านี่เป็นแผนการล่อลวงพระองค์ของเจ้านิศามณี ตอนนี้นางดำรงพระยศเป็นเพียงพระชายาไม่ใช่พระมเหสี เนื่องจากติดเงื่อนไขข้อหนึ่งคือไม่มีโอรสหรือธิดาไว้สืบราชสันตติวงศ์

กฎมณเฑียรบาลกล่าวไว้ว่าหากอภิเษกมาครบสองปีแล้วครรภ์ของพระชายายังว่างเปล่า จ้าวรัตติกาลสามารถรับพระสนมเข้ามาได้ หากพระสนมที่รับเข้ามาเป็นหญิงสูงศักดิ์และมีโอรสถวายให้ ครานั้นอำนาจของเจ้านิศามณีในวังฝั่งซ้ายย่อมต้องสั่นคลอน จอมนางอย่างนางไม่อยู่เฉยรอให้เวลานั้นมาถึงแน่

“เมาแล้วหลับ เจ้าคงผิดหวังสินะนิศามณี เสียใจด้วยที่ตำแหน่งพระมเหสีหลุดลอยไปจากมือเจ้าอีกแล้ว จำใส่ใจเอาไว้ให้ดีว่าข้าจะไม่มีวันยอมให้ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนการของเจ้าเป็นอันขาด”

ถึงจะจำไม่ได้ทั้งหมดแต่ที่มั่นใจก็คือทรงไม่ได้ร่วมอภิรมย์กับนางแน่นอน

เจ้านิศามณีไม่ทรงตอบ สีพระพักตร์ราบเรียบราวผนังฉาบปูนของเจ้านางยั่วอารมณ์พระสวามีขี้โมโหได้ชะงัดนัก

จ้าวรัตติกาลจึงทรงเมินเมื่อพระชายาส่งซับพระพักตร์ให้ ทรงใช้พระหัตถ์ลูบหยดน้ำที่พระพักตร์ทิ้งแล้วเสด็จออกจากห้องบรรทมทันที

จรีที่เฝ้าอยู่หน้าห้องจึงรีบตามเสด็จไป ในขณะที่คุณข้าหลวงทั้งสองเดินสวนเข้าไปถวายรับใช้ในเจ้านางในห้อง

พอจ้าวรัตติกาลเสด็จออกจากตำหนักไปแล้ว เจ้านิศามณีก็ทรงหัวเราะร่วนอย่างกลั้นไม่อยู่ ทรงขำจินตนาการอันบรรเจิดเลิศล้ำของพระสวามีเสียเหลือเกิน

พระนางน่ะหรือหวังตำแหน่งพระมเหสีขนาดมอมเหล้าหมายร่วมอภิรมย์กับจ้าวรัตติกาล ช่างคิดไปได้หนอ แค่ตำแหน่งธิดาเทพกับพระชายาก็หนักหนาแล้ว ไยพระนางต้องดิ้นรนหาภาระมาแบกบนบ่าเพิ่มด้วย

เสียงหัวเราะอย่างต่อเนื่องของเจ้านิศามณีเป็นของแปลกหูสำหรับข้ารับใช้ใกล้ชิด เจ้านางของวิฬาร์นั้นหัวเราะปีหนึ่งแทบจะนับครั้งได้ หรือจะทรงขำค้างกับสารพัดสัตว์ใหญ่น้อยของท่านจ้าวอย่างบุหรง รายนั้นหัวเราะเสียจนต้องหาผ้าเช็ดหน้ามาอุดปากกันเลยทีเดียว
เมื่อคืนเจ้านางเข้าบรรทมโดยไม่ได้ปิดประตูห้องพวกนางที่นอนเฝ้าอยู่ด้านหน้าจึงพลอยได้ยินไปด้วย วิฬ่าร์เองก็แอบหัวเราะอยู่เหมือนกันแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เรื่องจะเอามาหยอกเย้าเจ้าเหนือหัวหรือเอาไปพูดนั้นไม่ใช่สิ่งที่สมควรกระทำ

“น้ำล้างหน้าเพคะเจ้านาง” วิฬาร์รอจนเจ้านางหยุดหัวเราะแล้วจึงยกอ่างทองขึ้นตั้งโต๊ะถวาย

“ขอบใจมาก เรื่องของท่านจ้าวอย่าเอ็ดไปเชียว” เจ้านิศามณีรับสั่งย้ำเอาไว้

วิฬาร์นั้นค้อมกายรับปากอย่างแข็งขัน ในขณะที่บุหรงน้อมรับทั้งรอยยิ้ม คนเส้นตื้นพยายามกลั้นหัวเราะสุดความสามารถ สีหน้าจึงแดงก่ำแก้มป่องหน้าเหยเก พอเจ้านางได้ทอดพระเนตรก็ทรงพระสรวลตาม

“วันนี้เราอารมณ์ดีจริง ไปบอกห้องเครื่องว่าเที่ยงนี้เราจะเตรียมเครื่องเอง”

“เพคะ” บุหรงรับคำอย่างแข็งขัน

ฝีมืออาหารของเจ้านางนั้นเป็นหนึ่งไม่แพ้เรื่องอื่น ทำขนมหรืออาหารทีก็จะเผื่อแผ่ให้เหล่าข้าราชบริพารด้วย วันนี้ได้ลาภปากกันทั่วหน้าแล้ว


จ้าวรัตติกาลเสด็จกลับไปวังฝั่งซ้ายโดยใช้ราชรถส่วนพระองค์ บนรถมีจรีราชองครักษ์คนซื่อคอยถวายการอารักขาอยู่ด้วย เมื่อรถแล่นมาได้สักระยะหนึ่งจรีก็ถูกตำหนิ โทษฐานที่ไม่ห้ามปรามพระองค์ ปล่อยให้ถูกล่อลวงเข้าไปในตำหนักพระชายา พอบ่นมากเข้าจรีก็นึกอยากแย้งแต่ก็ไม่กล้าพูดได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ จนจ้าวรัตติกาลทรงสังเกตเห็น

“มีอะไรอยากพูดก็พูดมา”

“จะว่ามีมันก็มีหรอกฝ่าบาท แต่ถ้าไม่มีมันก็ใช่ คือ…ข้าพระองค์มิกล้ากราบทูล” จรีเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ จากที่นั่งอยู่ก็เปลี่ยนเป็นทรุดลงคุกเข่าเสีย เพื่อสื่อว่าถ้าได้ฟังต้องกริ้วแน่

“อยากพูดก็พูดออกมา อย่าทำให้รำคาญ

ราชองครักษ์หนุ่มกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เรื่องเมื่อคืนเป็นสิ่งไม่ควรจะเล่าแต่หากมีพระประสงค์แล้วจรีก็ขัดไม่ได้ จึงได้แต่ทำตาปริบๆ แล้วทูลถามจ้าวรัตติกาลเพื่อความมั่นใจไปว่า

“ฝ่าบาทอยากฟังเรื่องจริงหรือจะเอาสบายพระทัย”

จ้าวรัตติกาลไม่ตรัสตอบแต่ทรงทุบโต๊ะเสียงดังแทน ทำราชองครักษ์สะดุ้งเฮือกรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนถวายแทบไม่ทัน

ระดับจรีแล้วแน่นอนว่าต้องละเอียดทุกเหตุการณ์ไม่มีหมกเม้ม ตั้งแต่ทรงเดินดุ่มๆ เข้าไปในห้องพระชายาเองโดยไม่มีใครล่อลวงเลยสักคน เขากับคุณข้าหลวงห้ามจนไม่รู้จะห้ามอย่างไรก็ไม่ทรงฟัง และแน่นอนว่าเรื่องเล่นทายปริศนาสารพัดสัตว์ตัวใหญ่ย่อมไม่ตกหล่นแม้แต่รายละเอียดเดียว

ได้ฟังแล้วจ้าวรัตติกาลก็ทรงอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี พระพักตร์ขึ้นสีแดงก่ำ ป่านนี้พระชายากับบรรดาข้าหลวงคงหัวเราะเยาะพระองค์เป็นที่สนุกสนานแล้วกระมัง พอหันมาเห็นองครักษ์ที่ยังไม่ยอมหยุดยกตัวอย่างสารพัดปริศนาปัญญาอ่อน พระองค์ก็กริ้วไล่ตะเพิดจรีให้ลงจากรถไป

เพื่อข่มความอายวันนี้จึงปั้นสีพระพักตร์ให้เคร่งขรึมกว่าปกติ พอรวมเข้ากับโทสะที่มีต่อพระชายาพระอารมณ์จึงบึ้งตึงอยู่ตลอดเช้า กระทั่งว่าราชการเสร็จก็ยังไม่คลายลงแม้แต่น้อย

ตัวต้นเหตุที่ไม่รู้จักปิดปากอย่างจรีจึงได้แต่ร้อนๆ หนาวๆ อยู่ในใจ นึกอยากให้พี่ใหญ่กับพี่รองกลับมาโดยเร็ว ในบรรดาองครักษ์เงาทั้งห้ามีแต่อสิกับกริชเท่านั้นที่กล้าปะทะคารมกับท่านจ้าวแบบซึ่งหน้า ที่เหลือกลัวท่านจ้าวกันหัวหด มีพวกพี่ๆ อยู่ด้วยจะดีจะร้ายก็รู้พระทัย รู้จักพูดให้หายกริ้ว ไม่ปล่อยให้บรรยากาศอึมครึมเช่นนี้ มิน่าเล่าโตมรถึงทำท่าจะเป็นจะตายให้ได้ตอนพี่ใหญ่กับพี่รองถูกส่งออกไปทำงานพร้อมกัน

นึกถึงไม่ทันไรพี่รองก็มาเข้าเฝ้าแบบไม่บอกกล่าวล่วงหน้า กริชกลับมาอย่างเงียบเชียบทางประตูลับก่อนเวลาที่จรีจะเปลี่ยนเวรกับกำผลาไม่กี่นาที ราชองครักษ์หนุ่มจึงอยู่ถวายการรับใช้ต่อ เผื่อว่าถ้าพี่รองได้พักจะได้กลับออกนอกวังไปพร้อมกัน

“มีเรื่องเร่งด่วนอะไรถึงได้กลับมาก่อน” จ้าวรัตติกาลตรัสถาม

ทรงมีพระบัญชาให้อสิกับกริชเป็นผู้แทนพระองค์ไปตรวจเมืองชายแดนที่มีการร้องเรียนเรื่องเจ้าเมืองปกครองอย่างไม่เป็นธรรม แถบชายแดนมีเมืองน้อยใหญ่ที่เป็นปัญหาอยู่หลายเมือง อย่างน้อยก็น่าจะใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะทำภารกิจเสร็จ นี่ไม่ทันครึ่งเดือนก็กลับมาเสียแล้ว

“ขออภัยพระเจ้าค่ะ ข้าพระองค์มีเรื่องต้องกราบทูลให้ทราบจึงต้องขัดพระบัญชากลับมาก่อน”

อสิกับกริชตรวจพบสิ่งผิดปกติบริเวณชายแดน พี่ใหญ่รั้งอยู่ที่นั่นเพื่อดูสถานการณ์แล้วสั่งให้เขามารายงานด้วยตัวเอง หากสิ่งที่พี่ใหญ่กังวลเป็นจริง การส่งพิราบหรือส่งข่าวผ่านหน่วยลับอาจจะทำให้อีกฝ่ายไหวตัวได้

จ้าวทิวาทรงโบกพระหัตถ์เป็นสัญญาณให้มหาดเล็กที่ถวายงานอยู่ออกไป ด้วยทรงคาดการณ์ได้ว่าเป็นเรื่องลับ

กำผลาเห็นดังนั้นจึงลุกไปปิดประตูห้องแล้วเฝ้าอยู่ด้านหน้าอย่างรู้งาน หน้าที่เฝ้าประตูนี้จะเป็นขององครักษ์ผู้อ่อนอาวุโสที่สุด ณ ที่นั้นเสมอ

“มีอะไรก็ว่ามา”

“ข้าพระองค์สืบทราบมาว่ามีการรวมกำลังทหารตามหัวเมืองชายแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ถึงจะกระจายกันอยู่แต่ก็ไม่น่าจะเรียกรวมพลพร้อมกันแบบนี้”

หากเป็นเมืองขึ้นเมืองเดียวการรวมกำลังเพื่อเตรียมแข็งเมืองไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นี่ทั้งเมืองในราชอาณาจักรเอง และเมืองขึ้นอีกสองแห่ง ตลอดจนแคว้นคมิกที่มีกรณีพิพาทกันอยู่ก็ยังมีการเคลื่อนไหว เรื่องแบบนี้แม่ทัพตามชายแดนจะต้องรีบแจ้งให้รู้ แต่นี่กลับเงียบเชียบไม่มีข่าวคราวส่งเข้ามายังเมืองหลวงเลย เป็นเช่นนี้แล้วเกลือจะต้องเป็นหนอนแน่

“เอาแผนที่มา จุดไหนที่เจ้าเห็นว่ามีการรวมกำลังบ้าง”

จรีลุกไปหยิบแผนที่ขึ้นมากางถวายบนโต๊ะ ส่วนกริชก็หยิบดินสอมาทำเครื่องหมายลงบนแผ่นที่อย่างรวดเร็ว

“กากบาทคือที่ข้าพระองค์ได้มาจากหน่วยข่าวของพี่ชาย ส่วนเครื่องหมายวงกลมคือที่ข้าพระองค์กับพี่ใหญ่ตรวจพบด้วยตัวเองพระเจ้าค่ะ”

พี่ชายแท้ๆ ของกริชเป็นนายวาณิชมีชื่อ หูตากว้างขวาง ลองเป็นข่าวจากท่านคำรนแล้วย่อมไม่ผิดพลาด เพราะนายวาณิชที่ดีจะต้องรู้สถานการณ์บ้านเมืองจะได้กะเกณฑ์ได้ถูกว่าต้องกักตุนหรือค้าขายสิ่งใดถึงจะได้กำไรงาม

เครื่องหมายเจ็ดจุดเรียงกันเป็นแนวยาวทำให้ทรงย่นพระขนง ทางตะวันออกเฉียงใต้นั้นติดกับแคว้นน้อยใหญ่ห้าแคว้น เป็นเมืองขึ้นเสียสองเมือง ขัดแย้งกันอยู่หนึ่ง ส่วนอีกสองนั้นเป็นพันธมิตรกัน จากสัญลักษณ์ระบุว่าเมืองขึ้นทั้งสองกำลังแข็งเมือง หนึ่งแคว้นพันธมิตรระดมพลอย่างไม่ทราบสาเหตุ ส่วนแคว้นคมิกที่มีปัญหากันอยู่ก็รุกคืบเข้ามาในอาณาเขตของกาลัญญุเป็นอันมาก แต่กลับไม่มีข่าวการปะทะกันเข้ามาถึงพระเนตรพระกรรณเลย

‘ปัชชุนมัวทำอะไรอยู่ ไม่สิ…นื่คือฝีมือของปัชชุนต่างหาก’

“กริชไปผักผ่อนให้เต็มที่ เที่ยงคืนเข้าทางประตูลับมาพบข้า ข้ามีภารกิจลับให้เจ้าทำ จรีให้คนไปตามโตมรมา ข้าจะให้โตมรไปตามปัชชุนกลับ กำผลาเข้ามานี่ คัดคนที่ไว้ใจได้ฝีมือดีมาสักจำนวนหนึ่งแล้วส่งลงแดนใต้ไปช่วยงานอสิ เสร็จงานก็แยกไปแจ้งท่านแม่ทัพอวัชที่ด่านนอกว่าปัชชุนเคลื่อนไหวแล้ว คนรู้ยิ่งน้อยยิ่งดี ข้าอยากให้เรื่องนี้เงียบที่สุด”

จ้าวรัตติกาลทรงสั่งงานเร็วปรื๋อ แล้วทรงหยิบม้วนกระดาษขึ้นมาเขียนพระราชโองการถึงพระอนุชาให้กลับมาเมืองหลวงทันที

การที่ทรงให้องครักษ์เงาไปรับแทนที่จะส่งคนอื่นไปเพราะมีเหตุผล อย่างแรกเพื่อจะได้ไม่อ้างว่าไม่ได้รับพระราชโองการ ประการที่สองคือถึงจะยอมรับแต่อาจจะแกล้งป่วยและไม่ยอมกลับมาได้ จึงจงใจเลือกโตมรที่รอบจัดฉลาดทันคนไปรับมือกับปัชชุน ประการสุดท้ายคือเป็นการให้โอกาสพระอนุชา ถ้ายอมกลับมาและล้มเลิกแผนการที่ทำอยู่ตอนนี้จะทรงลงพระอาญาเพียงสถานเบา

ปัชชุนคิดอะไรอยู่มีหรือพระองค์จะเดาไม่ออก ทรงให้พระอนุชาไปเป็นแม่ทัพใหญ่ชายแดนเพื่อทดสอบความภักดีโดยเฉพาะ อำนาจล้นมือที่ปัชชุนได้มาไม่วันใดก็วันหนึ่งก็คงคิดการใหญ่อย่างเป็นกบฏเข้าสักวัน ไหนจะเรื่องที่พระองค์แย่งชิงนางในดวงใจไปอีกเล่า ทรงคิดอยู่แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึงสักวัน แม้จะเตรียมการรับมือไว้แต่ก็ทรงอดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้

ไม่ควรเลยที่พี่น้องท้องเดียวกันต้องมาห้ำหั่นกันเช่นนี้

เขียนพระราชโองการเสร็จได้ครู่หนึ่งโตมรก็มาเฝ้า ราชองครักษ์กราบทูลว่าสามารถออกเดินทางได้ในทันที ได้ชื่อว่าเป็นองครักษ์เงาก็ต้องเตรียมตัวเผื่อเหตุนี้ไว้ให้พร้อม เรื่องข้าวของเขาตระเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าให้เหมาะสมสำหรับแต่ละภารกิจแล้ว ส่วนเสบียงอาหารยิ่งไม่ต้องห่วงเพราะท่านแม่ที่รักยิ่งเพิ่งเอาเสบียงห่อใหญ่ผูกติดหลังม้ามาให้ ก่อนจะถูกตามตัวเข้าเฝ้าไม่กี่อึดใจนี่เอง

“ตามปัชชุนกลับมาให้ได้ จะทำใช้กำลังหรือทำอย่างไรก็สุดแล้วแต่เจ้า ขอให้ยังมีชีวิตอยู่จะแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น”

“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ” โตมรรับพระราชโองการ แล้วค้อมกายถวายความเคารพ

ก่อนไปราชองครักษ์หนุ่มแอบกระซิบบอกลาพี่สามว่า

”ขอให้โชคดี” ก่อนจะก้าวยาวๆ ผ่านธรณีประตูหายไป สร้างความงงงันให้กับจรีเป็นอย่างยิ่ง

คำนี้เขาต้องเป็นฝ่ายกล่าวแก่คนเดินทางมิใช่หรือ ไม่เคยได้ยินว่ามีธรรมเนียมให้คนเดินทางอวยพรคนอยู่เลยสักนิด

ขณะที่กำลังงงอยู่มหาดเล็กด้านนอกก็ขานว่าว่าพระชายาเสด็จ หันไปก็เห็นเจ้านิศามณีทรงเยื้องย่างอย่างสง่ามาแต่ไกล ด้านหลังมีขบวนนางกำนัลตามเสด็จมากลุ่มใหญ่ แต่ละคนยกเครื่องคาวหวานกลิ่นหอมยั่วน้ำลายมาด้วย องครักษ์เงาที่ยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าจึงเริ่มรู้สึกแสบท้อง
“หม่อมฉันนำพระกระยาหารเที่ยงมาถวายเพคะ เสวยก่อนแล้วค่อยทรงงานเถิดเพคะ”

คุณข้าหลวงจะตั้งเครื่องเที่ยงก็ตรัสว่ายุ่งอยู่ยังไม่เอา จนบ่ายสามก็ยังไม่เสวยอะไร มหาดเล็กไปเตือนก็ทรงตวาดใส่ เจ้านางจึงต้องเสด็จด้วยองค์เอง

“เราบอกแล้วไงว่าไม่หิว ยกออกไปเสีย”

จ้าวรัตติกาลรับสั่งเสียงดังจนนางกำนัลที่ตามเสด็จเจ้านางมาหน้าเจื่อนขวัญเสีย มือชะงักค้างไม่กล้าวางของลงบนโต๊ะ จะมีก็แต่คุณข้าหลวงรองซึ่งตามมาด้วยเท่านั้นที่กล้าวางของลง

“เจ้านางเสด็จไปที่ห้องเครื่องแล้วทรงลงมือปรุงเองทุกอย่างเลยนะเพคะ ชิมสักนิดรักษาน้ำใจคนทำหน่อยเถิดเพคะ” คุณข้าหลวงรองตะล่อม

“บอกให้เอาออกไป!”

คราวนี้เสียงตวาดดังเป็นสองเท่า ได้เห็นพระพักตร์พระชายาก็นึกกริ้ว ด้วยทรงคิดว่านางเสด็จมาถึงที่นี่เพื่อเยาะเย้ยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

“ไม่เสวยก็ไม่เป็นไรเพคะ แต่บรรดาองครักษ์คงหิวกันแย่แล้ว หม่อมฉันขอประทานอนุญาตยกเครื่องเสวยให้องครักษ์ทั้งหลายนะเพคะ”

“โครกกก!” เสียงท้องร้องดังลั่นสนั่นห้องขององครักษ์เงาดังขึ้นได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ฟ้องชัดว่าฝ่าบาททรมานตัวเองไม่พอ ยังทำให้องครักษ์ตาดำๆ ต้องพลอยอดด้วย

“ขออภัยพระเจ้าค่ะ” องครักษ์เงายิ้มแห้งๆ แล้วค้อมกายให้อย่างขอลุแก่โทษ

“เอาไว้ก็ได้ วางของเสร็จก็รีบไปเสีย ข้าจะทำงาน” จ้าวรัตติกาลตรัสโดยไม่หันมามองหน้าพระชายาเลยสักนิด

“ท่านจรีท่าทางจะหิวมาก เตรียมไว้ด้านในนี่สองชุดนะ ที่เหลือยกไปให้ด้านนอก” เจ้านิศามณีรับสั่งกับนางกำนัลแล้วเสด็จกลับออกไปก่อนใครเพื่อน

ที่เจ้านางให้เตรียมอาหารไว้สองชุดก็เพราะเผื่อเอาไว้ให้คนปากร้ายท่ามากในห้องด้วย ใครๆ ก็ดูออกว่าพระชายาทรงเป็นห่วง แต่ไม่อยากให้ท่านจ้าวเสียหน้าก็เลยรับสั่งเช่นนั้น แต่ท่านจ้าวของจรีก็ยังตรัสว่าร้ายพระชายาได้อย่างต่อเนื่อง

“ฝ่าบาทไม่เสวยจริงๆ หรือพระเจ้าคะ อีกนานกว่าจะถึงเวลากระยาหารเย็น เสวยสักนิดพระชายาไม่รู้หรอกพระเจ้าค่ะ”

จรีว่าพลางจดๆ จ้องๆ มองเครื่องคาวหวานตรงหน้าน้ำลายสอ ใจห่วงท่านจ้าว ท้องก็ร้องประท้วง สองจิตสองใจอยู่อย่างนี้

“น่ารำคาญจริง รีบกินแล้วก็หุบปากไปเลย”

จ้าวรัตติกาลทรงก้มพระพักตร์ลงกับโต๊ะทำเป็นขะมักเขม้นทรงงาน ได้กลิ่นอาหารก็ยิ่งหิวเลยยิ่งพาลใส่พระชายาเสียอย่างนั้น

“ร้ายนักรู้จักติดสินบนคน อย่าได้ไปเทใจให้นางเพราะของกินแค่นี้เชียว” ทรงหันมาตรัสกับราชองครักษ์ซึ่งตอนนี้กำลังตักของที่เรียกว่าสินบนเข้าปากไม่ยั้ง

“ของนางทำอร่อยนักหรือไงถึงได้กินแบบไม่ลืมหูลืมตา”

รับสั่งถามแบบกะทันหันของท่านจ้าวทำเอาราชองครักษ์ข้าวเกือบติดคอตาย ต้องทุบอกเสียหลายทีกว่าจะหายใจได้คล่อง

“ก็ฝ่าบาทสั่งให้รีบกิน ข้าพระองค์ก็เลยรีบ” ราชองครักษ์อธิบายเสียงอ่อย

“ก็แล้วไป ฝีมืออาหารของพระชายาจอมอวดดีจะเท่าไรกันเชียว ไปขอยาของหมอหลวงกันท้องเสียไว้ก่อนเป็นดี”

จ้าวรัตติกาลตรัสปรามาส โดยหารู้ไม่ว่าอาหารคาวหวานมื้อไหนที่เสวยได้มากหรือตรัสชม ล้วนเป็นฝีมือเจ้านางทั้งสิ้น

“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ” จรีไม่กล้าแย้ง จึงเออออรับคำ

หลังจากรับคำแล้วหากเป็นกำผลาคงหยุดกินเพื่อให้พอพระทัย อสิกับกริชจะพูดกันไปตามตรงว่าอาหารของเจ้านางไม่เลวเลยท่านจ้าวไม่ควรอคติ ส่วนโตมรนั้นคงคงหาวิธีตะล่อมให้ท่านจ้าวได้เสวยแบบไม่เสียหน้า แต่นี่เป็นจรีคนซื่อจึงไม่ทันได้คิดต่อ รับคำแล้วก็จบกัน ราชองครักษ์ยังคงกินต่อไปอย่างเอร็ดอร่อย ไม่นานอาหารสองชุดก็หมดเกลี้ยง

พอคุณข้าหลวงของเจ้านางมาเก็บจานแล้วถามว่าอร่อยรึเปล่า ก็เผลอตอบแบบลืมคิดว่าอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา จึงถูกสายพระเนตรกรุ่นโกรธของจ้าวรัตติกาลจ้องอยู่นานสองนาน แต่ก็ยังไม่รู้ตัวเอ่ยชมพระชายากับคุณข้าหลวงเป็นการใหญ่ เลยเจอพายุอารมณ์ของจ้าวรัตติกาลไปเต็มๆ

“เป็นถึงองครักษ์เงาแต่ติดกับกับอาหารเพียงเท่านี้ รู้ไปถึงไหนขายขี้หน้าเขาไปถึงนั่น ตะกละแบบนี้คืนนี้ไม่ต้องกินข้าวก็แล้วกัน”

ราชองครักษ์คนซื่อได้แต่ทำหน้าเหวอด้วยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแห่งความพิโรธ

‘จรีทำอะไรผิดหนอถึงต้องอาญาเข้าได้’

คนซื่อจนเซ่อเพิ่งมาสังเกตตอนนี้เองว่าท่านจ้าวพบหน้ากับพระชายาทีไรเป็นต้องกริ้วทุกที พรุ่งนี้มีงานพระราชทานเลี้ยงท่านทูตจากต่างเมือง พระชายาจะต้องมาร่วมงานด้วย หลังงานท่านจ้าวต้องกริ้วอีกแน่ รีบหาทางแลกเวรกับคนอื่นจะดีกว่า

ทว่ามานึกดูอีกทีก็พบว่าขณะนี้เหลือตนอยู่ถวายรับใช้ท่านจ้าวคนเดียว จะหนีก็หนีไม่ได้แล้ว มิน่าเล่าโตมรถึงได้บอกก่อนไปว่าขอให้โชคดี

พี่ใหญ่ พี่รอง น้องสี่ น้องห้า รีบกลับมาที จรีจะแย่แล้ว



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 มิ.ย. 2554, 06:05:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:54:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1934





<< บทที่ 5 ปริศนา 3   บทที่ 7 ฝนพรำ >>
หมูอ้วน 2 มิ.ย. 2554, 13:05:59 น.
ชอบองค์รักษ์จรีมาก ๆ เลยค่ะ
ใส ซื่อ ตรง ๆ ดีค่ะ อ่านแล้ว ฮาา มากมาย
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ


dino 2 มิ.ย. 2554, 18:54:34 น.
ชอบองค์รักษ์จรีเหมือนกันค่ะ น่า่รัก


แว่นใส 2 มิ.ย. 2554, 23:10:50 น.
น่าสงสารพี่น้องทั้งห้าหนุ่มจริง เจ้านายอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ


ลูกกวาดสีส้ม 2 มิ.ย. 2554, 23:12:42 น.
น่าเห็นในท่านองครักษ์นะคะ...อิอิ


kaze 3 มิ.ย. 2554, 11:26:12 น.
จรีน่ารักจริง :)


cherryfirm 4 มิ.ย. 2554, 14:48:55 น.
น่าสงสารจรี คนซื่อ รับมุกของจ้าวรัตติกาลไม่เคยทัน5555++


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account