เพียงกลีบดอกไม้ล่องลอยไปในสายลม
..........
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 2 : เขามองฉันเหมือนพระราชากำลังมองผู้หญิงที่ถูกนำมาถวายตัวให้เป็นนางสนม

ตอนที่ 2 : เขามองฉันเหมือนพระราชากำลังมองผู้หญิงที่ถูกนำมาถวายตัวให้เป็นนางสนม

โรบินสันเซ็นทรัลแอร์พอร์ตเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หนึ่งในสองของตัวเมืองเชียงใหม่ นอกจากร้านค้าและตำแหน่งหน้าตาของเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง หน้าตาของมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากหลังจากวันที่ฉันจากเชียงใหม่ไป

การเหยียบเข้ามาในห้างสรรพสินค้าครั้งแรกเกิดขึ้นเพราะต้องติดตามวิรงรองมาช็อปปิ้ง แต่เพราะเพื่อนสาวของฉันเลือกที่จะซื้อของจากห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เท่านั้น ห้างที่ฉันรู้จักจึงมีอยู่แค่สองที่คือเซ็นทรัลกาดสวนแก้วกับโรบินสันเซ็นทรัลแอร์พอร์ต และวันนี้ ฉันเลือกอย่างหลัง

ที่ปรึกษาด้านความงามโค้งตัวเล็กน้อยหลังจากส่งเงินทอนให้ ฉันหิ้วถุงกระดาษใส่ลิปสติกสีแดงและน้ำหอม Hypnotic Poison ออกจากเคาน์เตอร์ของ Christian Dior ทั้งสองอย่างเป็นเครื่องมือประทินโฉมสองอย่างที่ฉันใช้มานานจนเคยชินและกลายเป็นของจำเป็นในชีวิตเหมือนปัจจัยสี่ หรือคิดอีกที หลายคนบอกว่ามันเป็นเครื่องมือที่ฉันใช้เปลี่ยนชีวิตตัวเอง

จากผู้หญิงหน้าซื่อแสนสุภาพกลายมาเป็นผู้หญิงเย่อหยิ่งและเซ็กซี่

อันที่จริงฉันไม่ได้ตั้งใจหยิ่งและยิ่งไม่รู้จักคำว่าเซ็กซี่ แต่หลังจากที่ฉันเริ่มแต้มลิปสติกสีแดงบนริมฝีปากและประพรมน้ำหอมที่มีกลิ่นเย้ายวน ฉันสังเกตว่าเหล่าเพื่อนสาวเริ่มหนีหน้าห่างจากไป แต่เหล่าผู้ชายกลับเข้ามาใกล้ฉันมากกว่าเดิม

ก่อนที่ฉันจะอกหักจากนักบิน ฉันคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยแต่งหน้าแต่งตัว หน้าของฉันรู้จักแค่แป้งเด็ก ริมฝีปากชอบทาลิปมันกลิ่นผลไม้ และมีฝีมือทำผมได้แค่รวบหางม้าและถักเปียสาม แต่หลังจากที่งานแต่งงานยิ่งใหญ่และสวยงามชวนฝันของนักบินกับแฮร์โฮสเตสผ่านพ้นไป ถึงจะได้เรียนรู้อะไรหลายสิ่งหลังจากที่ต้องเผชิญหน้ากับสภาพโทรมสุดขีดของตนเองในกระจก แต่ฉันก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าอะไรดลใจทำให้ฉันลุกขึ้นมาแต่งหน้าแต่งตัว

ฉันชอบทาลิปสติกสีแดงเพราะเป็นสีเดียวที่ทำให้ใบหน้าก่อนแต่งและหลังแต่งนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฉันชอบน้ำหอมยาพิษสะกดจิตของดิออร์เพราะกลิ่นของมันทำให้ฉันคิดถึงผลไม้ที่กำลังเน่า เป็นส่วนผสมระหว่างความหอมหวานกับความเย็นชาและชีวิตกับความตายไม่ต่างอะไรกับสาวสวยตาเศร้าที่นั่งอยู่ท่ามกลางความมืดตามลำพัง หอมหวนและยั่วยวนเกินกว่าจะห้ามใจ

ฉันเดินเข้าไปในแผนกขายชุดชั้นใน เดินดูและลากปลายนิ้วลูบไล้ชุดชั้นในสีดำที่ฉันโปรดปราน สำหรับฉันแล้ว สีดำคือความคลาสสิก คือสีสันสุดโปรดของปัจเจกชนที่หยิ่งทะนงในความเป็นตัวของตัวเองและเป็นสีที่สวยตลอดไม่ว่าจะปรากฏอยู่บนเสื้อผ้ารูปแบบไหน ฉันจึงพลั้งเผลอใจซื้อเสื้อผ้าสีดำมากกว่าสีอื่นใดจนใครๆคิดว่าฉันไว้ทุกข์ให้ใครสักคนไม่ยอมเลิกรา

หลังจากหยิบยกทรงไซส์สามสิบหกคัพซีสีดำสองตัวและสีเนื้อหนึ่งตัวเข้าไปในห้องลองเสื้อ ฉันปลดเสื้อเชิ้ตขาวของตัวเองออก กำลังลังเลว่าจะเปลือยท่อนบนเพื่อลองชุดชั้นในดีไหม เนื่องจากยี่ห้อนี้ไม่ใช่ยี่ห้อที่ฉันใช้ ขนาดไซส์และคัพจะเท่ากันหรือไม่ และไม่รู้ว่าหากใส่ชุดชั้นในยี่ห้อนี้จะให้ความรู้สึกอย่างไร แต่ยังไงก็คิดว่าน่าจะรู้สึกดีเพราะยี่ห้อนี้ราคาแพงกว่ายี่ห้อที่ฉันเคยซื้อบ่อยๆ อีกทั้งเป็นยี่ห้อยอดนิยมของเพื่อนสาวของฉันซึ่งนิยมใช้แต่ของหรูเลิศ

เพราะต้องการใช้เงินที่หามาได้ให้คุ้มค่า ฉันจึงตัดสินใจปลดบราเซียร์ของตนเองออก อีกทั้งต้องสะบัดผมที่ยาวเลยสะโพกของฉันไปรวมไว้ที่บ่าข้างหนึ่ง นึกรำคาญใจว่าทำไมฉันเป็นคนชอบปล่อยผมนักนะทั้งที่ผมของตัวเองก็ยาวมากจนวนรอบคอให้สามรอบและสามารถใช้รัดคอตายแทนเชือกได้

ฉันใช้มือรวบผมเป็นหางม้าไว้ หมุนรอบตัวเพื่อจะเสาะหาอะไรสักอย่างมารัดผม

จังหวะที่ฉันหันมาทางขวา ฉันถึงได้รู้ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกำลังจ้องมองฉันผ่านช่องว่างระหว่างผ้ากั้นกับผนัง
มีคนไม่น้อยที่สงสัยว่าฉันสามารถแยกประเภทเกย์มาดแมนออกจากกลุ่มผู้ชายแท้ๆได้อย่างไร ฉันไม่ได้บอกใครว่ามันเป็นเรื่องสัญชาตญาณล้วนๆ ถ้าผู้ชายคนนั้นเป็นผู้ชาย ฉันจะรู้สึกว่าตนเองกำลังได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่มีอันตราย มักจะได้กลิ่นอายแห่งความแข็งแกร่ง ความก้าวร้าวและการคุกคามซึ่งมันก่อกวน ‘คลื่น’ ที่สงบราบเรียบในจิตใจให้ไหวสะท้อนทุกครั้งที่ได้เข้าใกล้

ผู้ชายคนนี้ก็เช่นกัน เขาเป็นผู้ชาย เป็นผู้ชายทั้งภายนอกและภายใน ทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นเพศที่ทรงอำนาจในสังคมระบบปิตาธิปไตย เพศที่มีอำนาจและความสำคัญมากกว่า เพศที่เป็นนายในขณะที่เพศอื่นเป็นเพียงทาสหรือวัตถุ

เขามองฉันเหมือนพระราชากำลังมองผู้หญิงที่ถูกนำมาถวายตัวให้เป็นนางสนม

โดยปกติ ผู้ชายที่เข้ามาในแผนกชุดชั้นในของผู้หญิงมักจะเป็นผู้ชายที่มีพันธะแล้ว เพราะไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นแฟนหรือภรรยา เขาเป็นผู้ชายที่มีโอกาสได้ชื่นชมชุดชั้นในยามที่มันได้อยู่บนเนื้อหนังมังสาของผู้หญิงจริงๆ พวกผู้หญิงจึงมักลาก ‘พ่อทูนหัว’ ของพวกเธอมาช่วยเลือกช่วยซื้อให้

ผู้ชายคนนั้นก็คงเป็นพ่อทูนหัวของใครสักคน และฉันก็หวังว่าให้ใครคนนั้นมาลากพ่อทูนหัวของเธอกลับไปเร็วๆ
ฉันหันกลับไป รู้ดีว่าเขาต้องเห็น แต่ช่างประไร เห็นก็เอาไปไม่ได้ เพราะผู้หญิงมีความละอายที่จะเปิดเผยร่างกายของตนเองมากเกินไป บางทีมันทำให้ผู้ชายชั่วๆบางคนเอาความละอายของผู้หญิงไปเป็นเครื่องมือใช้ข่มเหงผู้หญิงคนนั้นจนเกินกว่าจะให้อภัย บางทีผู้หญิงเราต้องหัดใจกล้ากันบ้าง มันก็แค่สังขาร แค่กายเนื้อที่ท้ายที่สุดก็ต้องเหี่ยวเฉาหย่อนยาน ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ต้องทิ้งเอาไว้ให้เป็นอาหารของหนอนหรือไม่ก็ต้องนอนให้ไฟเผาจนมอดไหม้กลายเป็นขี้เถ้า

ฉันทดลองใส่บราเซียร์ยี่ห้อดัง ใช้มือทั้งสองคอยประคองกอบจัดรูปก้อนเนื้อหน้าอกอย่างทะนุถนอม มันช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด ฉันได้เชยชมความงามของตัวเองในชุดชั้นในที่สวยและกระชับพอดีกับทรวดทรง เป็นช่วงเวลาที่ฉันได้ลิ้มรสกลิ่นอายของเสน่ห์แห่งความเป็นหญิงของตนเอง รู้สึกดีพอๆกับการได้รับสัมผัสจากความรักของผู้ชาย ความรู้สึกนี้เองที่ทำให้ฉันรู้ว่าฉันสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากเพศตรงข้าม ฉันไม่จำเป็นต้องแต่งงานหรือครองคู่กับใครและไม่จำเป็นต้องแสวงหาความสุขจากผู้ชายคนไหน จินตนาการและความอ่อนไหวอันเป็นลักษณะของผู้หญิงกลายเป็นคุณสมบัติที่ทำให้ผู้หญิงเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันแสนดีโดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ชายด้วยซ้ำ

ฉันปลดบราเซียร์ที่ทดลองใส่แล้วใส่ของตัวเอง จากนั้นก็ใส่เสื้อเชิ้ต เลื่อนผ้าม่านเปิดออก

ผู้ชายคนนั้นหายไปแล้ว

แม้ไม่ได้ตกใจและสนใจมากนักแต่ก็ใช่ว่าฉันจะชอบเปิดเผยเนื้อตัวให้ใครดู เรื่องนี้มีคนเข้าใจฉันผิดบ่อยๆ เพราะใครๆก็นึกว่าฉันเป็นผู้หญิงใจแตกเพราะฉันชอบใส่เกาะอกสายเดี่ยวเดินร่อนรับเมนูจากลูกค้าในร้านโดยไม่มีทีท่าจะสะทกสะท้านต่อสายตาโลมเลียของผู้ชาย อีกทั้งยังพูดคุยเรื่องเซ็กส์ปานพูดถึงเรื่องประวัติศาสตร์หรือดินฟ้าอากาศ แถมชื่อเสียงฝ่ายแม่ของฉันก็ใช่ว่าจะดี แม่ฉันเป็นศิลปินสาวที่เคยมีผู้ชายเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนรูปและขึ้นชื่อว่าเขียนรูปเปลือยได้สวยที่สุดในคณะ แต่เรียนไม่จบเพราะถูกข่มขืนจนตั้งท้อง ฉันเกิดมาตอนนั้นและทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ไม่ทำแท้ง

ฉันหยิบยกทรงที่ลองไปจ่ายเงิน แต่สาวแคชเชียร์ไม่รับเงินของฉัน

“มีผู้ชายคนหนึ่งจ่ายให้คุณแล้วค่ะ”

“เขารู้ราคาหรือคะ”

“เขาจ่ายเกินราคาไว้ให้ค่ะ” และฉันเชื่อว่าการที่แม่พนักงานสาวมีทีท่าอมยิ้มเบิกบานเช่นนี้ แสดงว่า ‘ส่วนเกิน’ ลงกระเป๋าของเธอแน่นอน

ฉันรับถุงกระดาษมาเพิ่มที่มือขวาอีกถุง ถามย้ำ “ไม่ต้องจ่ายแน่นะคะ”

เธอยืนยันอย่างแข็งขัน

“ไม่ต้องจ่ายค่ะ”

บางทีเพราะประเพณีไทยกำหนดให้ผู้ชายต้องใช้เงินเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้หญิง ฉันจึงกล้าเอาชุดชั้นในที่ผู้ชายแปลกหน้าซื้อให้มาเป็นของตัวเองอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

ถึงกระนั้นก็เถิด ขณะที่ฉันนั่งอยู่บนรถแท็กซี่ ฉันเห็นใบหน้าของเขาเป็นเงาในกระจกของประตูรถ กลิ่นหอมคุ้นเคยของน้ำหอมกลิ่นโปรดทำให้ฉันคิดเลยเถิด คิดไปว่าพระเจ้าไม่น่าสร้างอดัมขึ้นมา ถ้าพระเจ้าสร้างอดัมก็ไม่น่าจะสร้างอีฟ ถ้ามีทั้งอดัมและอีฟก็ไม่ควรมีผลไม้ต้องห้าม ถ้ามีทั้งอดัม อีฟและผลไม้ต้องห้าม อีฟก็ไม่น่าจะสอยมันมากิน แต่เมื่ออีฟกินผลไม้ต้องห้ามแล้ว ฉันกลับสงสารอีฟเกินกว่าจะพูดว่าอีฟไม่ควรล่อลวงอดัมให้กินผลไม้ต้องห้ามผลนั้น

กล่าวกันว่าผลไม้ต้องห้ามในสวนอีเดนมีอยู่สองต้น ต้นหนึ่งคือผลไม้แห่งชีวิต อีกต้นหนึ่งคือผลไม้แห่งสติปัญญา ผลไม้ที่อีฟขโมยมาคือผลไม้ที่นำมาซึ่งสติปัญญาของมวลมนุษย์ เป็นผลไม้ที่ทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากความไร้เดียงสา มีผู้ตีความว่าผลไม้ผลนั้นทำให้อดัมและอีฟหลุดพ้นจากความเป็นเด็กกลายเป็นผู้ใหญ่และต่างคนต่างเรียนรู้ว่าตนเองนั้นแตกต่างกันในขณะเดียวกันก็ดึงดูดกันและกันอย่างรุนแรง

ทว่า..ยิ่งแรงดึงดูดนั้นรุนแรงมากขึ้นเท่าไร แต่ละฝ่ายก็กลับหวาดกลัวอีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น กลัวว่าอีกฝ่ายจะครอบงำ กลัวว่าอีกฝ่ายจะกลายเป็นนายและเราจะกลายเป็นทาส ระยะห่างระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายจึงยิ่งมากขึ้นไปตามวันเวลา จนท้ายที่สุดมันลุกลามไปถึงการทำลายล้าง ลุกลามไปถึงความเลวทรามที่ประวัติศาสตร์ของผู้ชายครอบงำสติปัญญาของผู้คนทั้งโลก ควบคุมกักกันผู้หญิงเอาไว้และทำลายผู้หญิงที่เขาไม่ต้องการ
สติปัญญานำมาซึ่งสิ่งใด ถึงแม้ว่ามนุษย์จะเรียกร้องต้องการความเฉลียวฉลาดซึ่งทำให้มนุษย์รู้จักทั้งความดีและความชั่ว แต่มนุษย์เคยถามตนเองหรือไม่ว่ามีจิตใจเข้มแข็งมากพอที่จะต้านทานความชั่วได้หรือเปล่า ถ้าเช่นนั้นการไม่รู้อะไรเลยจะดีกว่าหรือไม่ การที่พระเจ้าทรงสั่งห้ามไม่ให้มนุษย์กินผลไม้ต้องห้าม ไม่ต้องการให้มนุษย์ได้ครอบครองสติปัญญา ทำไมมนุษย์ไม่เคยคิดว่าอาจเป็นเพราะพระเจ้าต้องการปกป้องเขาไว้

ถ้าวันนั้น อีฟไม่ขโมยผลไม้แห่งสติปัญญามา อีฟไม่รู้ว่าอดัมเป็นผู้ชาย และอดัมไม่รู้ว่าอีฟเป็นผู้หญิง สองคนเป็นเพียงมนุษย์ที่อยู่ในสวนสวรรค์อีเดนและไม่ได้ก้าวออกมาจากที่นั่น ชะตากรรมของมวลมนุษย์จะมาถึงวันนี้หรือไม่

ถ้าโลกของเราไม่มีการแบ่งแยกเพศ ไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติและชนชั้น ถ้าพวกเราเป็นเพียงมนุษย์ที่มิได้กอบกุมและรับผิดชอบชะตากรรมของตนเอง เป็นเพียงอดัมกับอีฟที่เปลือยกายอยู่ในสวนสวรรค์อย่างไร้เดียงสา ถ้าบุตรและบุตรีของทั้งสองไม่เกิดขึ้นมา

โลกจะวุ่นวายและโหดร้ายขนาดนี้หรือไม่











เกือบชั่วโมงหลังจากถูกขังอยู่ในแท็กซี่ ฉันก็ได้ฤกษ์กลับมาถึงโรงแรม และขณะก้มหยิบคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูห้องก็มีโทรศัพท์ของเพื่อนสาวมานัดแนะไปฉลองการกลับมาเชียงใหม่อีกครั้งของฉันที่ผับเจ้าประจำในสมัยที่ฉันเป็นนักศึกษาอยู่ที่นี่

ฉันเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วเปิดประตูห้อง เดินเข้าไปวางถุงกระดาษที่ได้มาไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง ตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อเลือกชุด ในที่สุดก็หยิบชุดเดรสเกาะอกสีดำ ตัดเย็บด้วยผ้าซาตินเนื้อเงางามออกมาทาบตัวแล้ววางแปะลงบนปลายเตียง

ฉันจะใส่มันในคืนนี้

นัวร์ซาตินหรือซาตินดำคืออาภรณ์แห่งความลึกลับเย้ายวน มีผู้หญิงไม่กี่คนหรอกที่สามารถใส่ชุดที่ตัดเย็บจากผ้าซาตินได้สวยสง่าชวนตะลึง แต่ในขณะที่ฉันถือเสื้อโค้ทขนเสือดาวเดินบนรองเท้าส้นสูงสีดำไปยังหน้าโรงแรม มนุษย์เพศผู้ในล้อบบี้ไม่มีใครใช้สายตามองอะไรนอกจากมองฉัน

หากฉันไม่สวยในสายตาของพวกเขา ก็คงดูเหมือนอีตัวจนผู้คนตาค้าง

วิรงรอง..อาจารย์มหาวิทยาลัยเพื่อนสาวของฉันปรากฏตัวโดยก้าวเข้ามาพร้อมกับรองเท้าคลาสสิกพัมพ์สีแดงสดของซัลวาดอร์ เฟอร์รากาโม สวมเดรสสีแดงดำรัดรูปประดับดอกกุหลาบดอกโตที่ไหล่ซ้ายของคาเรน มิลเลนและแว่นกันแดดสีดำของคริสเตียน ดิออร์(ผู้หญิงคนนี้ใส่แว่นกันแดดทั้งกลางวันและกลางคืน)
เท่านั้นสายตาทุกคู่ที่มองฉันก็ย้ายไปหา...วิรงรอง

ว่ากันว่าผู้หญิงทุกคนแข่งขันกันตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความสวยความงามแต่ความรู้สึกเหล่านั้นจะพัฒนาไปสู่ความอิจฉาริษยาหรือไม่นั้นขึ้นอยู่ปัจจัยหลายอย่างในทางจิตวิญญาณ ในวันที่ฉันตระหนักถึงความจริงข้อนี้จึงสิ้นความสงสัยว่าเพราะเหตุใด วิรงรองจึงยากจนเพื่อนหญิง ข้าวของแบรนด์เนมราคาแพงทำให้ผู้หญิงคนนี้ไม่สุภาพ ความสวยโดดเด่นคือความก้าวร้าวต่อจิตใจของผู้หญิงส่วนใหญ่ที่หน้าตาบ้านๆ ความเก่งกาจคือความร้าย ความกล้าหาญคือความแรงและการที่ผู้ชายทุกคนตรึงสายตาอยู่ที่วิรงรองคือสิ่งที่ผู้หญิง
ทั่วไปไม่อาจให้อภัย

วิรงรองเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดแสงแรงกล้าและแผดเผาความมั่นใจของผู้หญิงพวกนั้นจนไหม้เป็นจุล พวกเธอจะไร้ตัวตนเมื่ออยู่ใกล้วิรงรอง ผู้ชายจะไม่ชายตามองพวกเธอเลยถ้ามีวิรงรองอยู่ตรงหน้า และไม่มีคำพูดใดช่วยปลอบใจพวกเธอได้เพราะ ‘ผู้หญิงสวยมักโง่’ คำพูดนี้ใช้กับวิรงรองผู้จบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งไม่ได้

จะเหลือความภาคภูมิใจอีกอย่างที่พวกเธอจะข่มผู้หญิงคนนี้ได้คือหาผู้ชายที่ดีกว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยหนุ่มคนรักของวิรงรองหรือไม่ก็สามารถแย่งเขาไปจากเธอซึ่งเพื่อนฉันคงหัวเราะงอหายถ้ามีผู้หญิงคนไหนคิดยืนยันคุณค่าของตัวเองด้วยวิธีนั้น

ถ้าเปรียบวิรงรองเป็นดวงอาทิตย์ ฉันก็เป็นเพียงดาวเคราะห์น้อย เมื่อวิรงรองอยู่ข้างกายฉันจะไม่มีใครมองฉันเช่นเดียวกับผู้หญิงคนอื่น แต่ทำไมฉันถึงคบหากับวิรงรองได้ ซึ่งฉันก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมผู้หญิงคนอื่นจึงไม่อาจเป็นเพื่อนกับวิรงรองได้

วิรงรองไม่เคยเดือดเนื้อร้อนใจเพราะเธอเองก็เหมือนจะรู้ดี

“อย่างรู้ตัวและไม่รู้ตัว ผู้หญิงส่วนใหญ่เหยียบย่ำผู้หญิงด้วยกันเอง ผู้หญิงไม่เคยเคารพผู้หญิง ผู้หญิงปรารถนาที่จะเป็นหนึ่ง เป็นศูนย์กลาง เป็นเจ้าหญิง เป็นราชินี เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่เหนือผู้หญิงทั้งปวง พวกเธอจึงได้กัดฟันวิ่งไล่ไขว่คว้าความสมบูรณ์แบบ ไร้มิตรภาพที่แท้จริง ไร้ความเป็นตัวของตัวเองและไร้อิสระเสรี”
วิรงรองเคยพูดว่าฉันแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไป ฉันเป็นตัวของตัวเอง มันบอกว่าคนที่เป็นตัวของตัวเองเท่านั้นที่ไม่เคยเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร ไม่เห็นว่าใครเหนือกว่าหรือต่ำต้อยกว่าตนเอง คนที่เป็นตัวของตัวเองเท่านั้นที่จะรู้จักเสรีภาพ และเมื่อมนุษย์เข้าใจและตระหนักถึงคุณค่าในเสรีภาพของตนเอง เขาก็จะเข้าใจและตระหนักถึงคุณค่าในเสรีภาพของผู้อื่น แล้วคนผู้นั้นจะสามารถรักและเคารพเพื่อนมนุษย์โดยมิเลือกเพศ วัย ชาติพันธุ์ ศาสนาหรือชนชั้นวรรณะ

แล้วโลกของเราก็จะเข้าสู่โลกแห่งอุดมคติ โลกหลังของหลังสมัยใหม่

เหตุผลที่ฉันไม่เคยอิจฉาวิรงรองเพราะคิดว่าหากวิรงรองคือความเป็นหนึ่งและความสมบูรณ์แบบในสายตาของผู้หญิงทั่วไป ความเป็นหนึ่งและความสมบูรณ์แบบนั้นก็เป็นเพียง ‘ตัวตน’ ของวิรงรองซึ่งไม่ได้ด้อยค่าไปกว่าความเป็นรองและความไม่สมบูรณ์แบบ การใช้แต่ของราคาแพงก็เช่นกัน มันก็แค่ ‘เสรีภาพ’ ของวิรงรอง เสรีภาพอย่างชอบธรรมที่เธอสามารถกระทำได้

นั่นไง..ฉันถึงได้สงสัยว่าทำไมผู้หญิงส่วนใหญ่ถึงคิดไม่เหมือนฉัน

“ซื้อคอฟฟี่บันให้อัน ยังไม่ได้กินข้าวเย็น”

ฉันโยนเสื้อโค้ทกับกระเป๋าคลัตซ์ให้หล่อนก่อนจะไปซื้อขนมปังให้ตามคำสั่ง พร้อมกับซื้อลาเต้เย็นกลับมาสองแก้วเพราะฉันเองก็ยังไม่ได้ทานอาหารเย็นเหมือนกัน ขืนปล่อยให้เหล้าลงกระเพาะตอนนี้มีหวังเมาง่าย
ฉันถือขนมกับกาแฟมาที่รถ ในขณะที่วิรงรองถือเสื้อโค้ทกับกระเป๋าของฉัน หลังจากกินขนมกับดื่มกาแฟจนหมดแก้ว วิรงรองก็ใช้เวลาเพียงห้านาทีขับรถไปยังผับที่เราได้พบกันครั้งแรกในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งถ้าฉันจำไม่ผิด ผับนี้ถูกตกแต่งใหม่โดยการวาดรูปเกี่ยวกับตำนานต้องห้ามในเทวปกรณัมของคริสต์ศาสนาเพิ่มเติมเข้าไป

วิรงรองโพสต์ท่าสุดเซ็กซี่นำเสนอภาพของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งถูกงูยักษ์ล้อมรัดร่างกายเปล่าเปลือย

“ฝีแปรงของยอดชู้ฉัน”

ฉันเพิ่งรู้ไม่นานว่า ‘ยอดชู้’ ของเพื่อนสาวมีความสามารถในเรื่องวาดรูปไม่น้อยไปกว่าความรู้ที่มีในสมอง แต่ไม่รู้ว่ามีแรงบันดาลใจอะไรทำให้เขาวาดรูปของลิลิธ

เรื่องราวของลิลิธ ราชินีแห่งรัตติกาลเป็นตำนานโบราณต้องห้ามจึงไม่มีใครใคร่พูดถึงหรือรับรู้ แต่ตามตำนานจริงๆ ผู้หญิงที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใช่ว่าจะมีแค่อีฟ ก่อนที่จะสร้างอีฟให้อดัม พระเจ้าสร้างผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาก่อน คือลิลิธ

ลิลิธเป็นผู้หญิงที่พระเจ้าสร้างด้วยดินเช่นเดียวกับอดัม แตกต่างจากอีฟที่พระเจ้าสร้างมาจากซี่โครงของอดัม ลิลิธจึงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์เทียบเท่าอดัม

ลิลิธรักอิสระ ตระหนักถึงเสรีแห่งชีวิต ที่สำคัญเธอไม่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ใต้อำนาจของอดัม เพราะว่าเธอถือว่าเธอเสมอภาคกับอดัม

พวกเฟมินิสต์เล่าว่าในวันที่ลิลิธถูกบังคับให้ปรนนิบัติรับใช้อดัม ลิลิธถึงกลับโต้พระเจ้าออกไปเลยว่า “มันวิเศษวิโสอะไรมากกว่าข้า ทำไมข้าต้องเกิดมาเพื่อปรนนิบัติรับใช้มัน!”

อดัมไม่พอใจลิลิธ อดัมจึงทอดทิ้งเธอและเรียกร้องให้พระเจ้าสร้างผู้หญิงคนใหม่ให้เขา พระเจ้าจึงแอบดึงเอากระดูกซี่โครงของเขาออกมาเพื่อสร้างเป็นอีฟ เมื่ออีฟกลายเป็นคู่ของอดัม ลิลิธก็ถูกขับไล่ออกจากสวนสวรรค์แห่งอีเดน

ลิลิธร่อนเร่ไปอย่างเดียวดายและไร้จุดหมาย ในขณะที่เธอกำลังเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย งูยักษ์ตัวหนึ่งก็เลื้อยเข้ามาและรัดร่างของเธอเอาไว้

งูยักษ์นั่นคือซาตาน

อันที่จริง นามว่าซาตานหมายถึงผู้ต่อต้านหรือปฏิปักษ์ ไม่ได้แปลว่าอสูรหรือปีศาจอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน เพราะหลังจากที่ลูซิเฟอร์ หัวหน้าทูตสวรรค์ตัดสินใจหันหลังให้พระเจ้า เขาชิงชังพระเจ้าจึงชิงชังแม้กระทั่งนามที่พระเจ้าผู้เป็นบิดาตั้งให้ เขาเปลี่ยนชื่อของตนใหม่ เรียกตนเองว่าซาตานซึ่งหมายถึงผู้ที่ต่อต้านและเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า

ภาพวาดของลิลิธ ภาพของหญิงมนุษย์แสนสวยผู้มีเรือนผมยาวสลวยถูกงูยักษ์เลื้อยรัดร่างกายเปล่าเปลือย ถ้าเป็นภาพที่แสดงความหมายเป็นนัยสัญลักษณ์ล่ะก็ ฉันจะแปลว่าผู้หญิงอย่างลิลิธเป็นที่รักของความชั่วร้ายและเป็นที่รักของผู้ชายเลว(พวกจิตวิเคราะห์ชอบให้ความหมายของงูว่าหมายถึงผู้ชาย)

แรงบันดาลใจของการเขียนรูปน่าจะมาจากใครสักคนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล วิรงรองกระซิบใส่หูฉัน

“เราเหมือนลิลิธมากกว่าอีฟ ว่าไหม”

ฉันไม่ตอบอะไร ได้แต่นั่งจิบมาการิต้าสีฟ้าพลางมองเรือนร่างระหงของเพื่อนสาวที่กำลังบิดไปมาอย่างเย้ายวน เส้นผมสีน้ำตาลที่บรรจงม้วนเคลื่อนไหวคลอเคลียร่างกายไปมาอย่างที่ผู้ชายทุกคนคงอยากจะจินตนาการว่าได้วางมือลงลูบไล้ผิวกายของเธอด้วยลีลานั้น

เดรสสีแดงที่วิรงรองสวม ภายใต้แสงไฟหลากสีดูสวยมากกว่าที่ฉันคิด เธอหันมาขยิบตาให้ฉัน ฉันชูแก้วทักทาย หลังจากนั้นเธอก็โยกย้ายส่ายสะโพกเต้นยั่วหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ในผับต่อไป

ในผับไม่ได้เปิดเพลงเทคโนฯทันสมัยเพราะผับนี้ไม่ใช่เป็นผับที่เปิดไว้เพื่อเอาใจวัยรุ่นหรือหรือนักเที่ยวกลางคืนทั่วไป แต่ที่นี่เป็นที่นัดพบซ่องสุมกันของผู้ที่สนใจศิลปะ ลูกค้าประจำที่นี่มีสองประเภทคือ พวกศิลปินกับพวกที่พยายามจะเป็นศิลปิน และนักศึกษากับอาจารย์มหาวิทยาลัยฝ่ายวิชาศิลปศาสตร์บางส่วนที่ถือโอกาสหลังจากทนเคร่งเครียดในสถาบันศึกษามาปลดปล่อยจิตวิญญาณที่แท้จริงของตนหรือไม่ก็มาเรียนรู้อะไรใหม่ๆจากใครสักคนที่ถูกคนทั่วไปมองข้าม

ฉันจิบเครื่องดื่มในมืออีกอึก พลางเงี่ยหูฟังเสียงเพลง shotgun blues ของ gun’n roses
บรรยากาศยุค 80 กรุ่นอวล บรรยากาศแห่งการดิ้นรนไขว่คว้าเสรีภาพและอิสระของยุคสมัยที่เต็มไปด้วยปัจเจกชนผู้ดิ้นรนโหยหาและบ้าคลั่งกับคำว่าอิสรภาพ พวกเขากล้าทำในสิ่งที่ตนต้องการ ไม่ยอมใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของบรรทัดฐานของสังคมและยินยอมรับความเจ็บปวดทั้งมวลโดยเชื่อว่าความเจ็บปวดเหล่านั้นจะช่วยให้เขาเข้าถึงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น

ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ในสถานแห่งนี้ ฉันจะได้เห็นอย่างที่คนยุค 80 เคยเห็น นั่นคือได้เห็นผู้คนแต่งตัวแต่งหน้าแปลกประหลาด ได้เห็นผู้หญิงผู้ชายเปลือยกายเต้นรำหรือแม้แต่ได้เห็นพวกเขาร่วมรักกันต่อหน้าต่อตาสาธารณะชน

เพลงเร็วจบ อาจารย์มหาวิทยาลัยเพื่อนฉันจึงย้ายก้นกลับมาหาฉันที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม สั่งแชมเปญขวดเล็กมาดื่มหนึ่งขวด

“งานสัมมนาตอนบ่ายโมงตรงพรุ่งนี้ อย่าลืมล่ะ”

“แล้วคอร์สฝึกสอนที่ขอมาจะเริ่มเมื่อไร”

“อีกสองวันหลังจากนั้น แกเตรียมตัวทันนะ”

“ต้องเตรียมอะไรบ้าง”

“เอกสารนิดหน่อยพอ ถ้าคิดว่าสมองของตัวเองจำได้ ปากพูดได้ หลังจากนั้นก็ต้องคอยดูแลวิจารณ์ผลงานของนักศึกษา” มันกระดกแชมเปญแล้วพูดต่อ “เอ้อ แต่ขอแรงหน่อยสิ เนื่องจากคอร์สฝึกสอนจัดให้แต่นักศึกษาไทย ไม่ได้จัดให้พวกนักศึกษานานาชาติน่ะ แต่ฉันสอนพวกเขาด้วย แกไปพูดให้พวกเขาฟังสักชั่วโมงหนึ่งได้ไหม ภาษาอังกฤษนะ พรุ่งนี้หลังจากงานสัมภาษณ์บนเวทีเลิกน่ะ”

“ฉันว่านักศึกษาต่างประเทศน่ะรู้จักโรมานซ์ติกาดีกว่าฉันเสียอีก”

“ไม่หรอกน่า นวนิยายเรื่องหนึ่ง เอ่อ Rusty Rose น่ะ ฉันไม่รู้ชื่อไทยเพราะอ่านฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่เรื่องนี้ดังมาก นักศึกษาของฉันก็รู้จักและชื่นชมแกก็เรื่องนี้แหละ พวกเขาจึงอยากให้แกไปสอนพวกเขาเขียนบ้าง”

ฉันมองนักร้องผมทองยาวสลวยกำลังขับขานเพลง Don’t Cry

Don’t you cry tonight
I still love you,Baby
Don’t you cry tonight

Don’t you cry tonight
There’s heaven above you,Baby
Don’t you cry tonight

ฉันหันไปตอบรับคำขอของวิรงรอง

“ได้”

“งั้นฉันจ่ายเครื่องดื่มคืนนี้เอง”

ธุระของฉันกับเพื่อนสาวมีแค่นั้น เมื่อรอบเพลงเร็วเวียนกลับมา วิรงรองออกไปเต้นอีกสองเพลงค่อยมาพาฉันกลับไปส่งที่โรงแรม ระหว่างทางมันถามถึงแม่ของฉันที่กำลังวุ่นวายกับร้านอาหารกับพ่อเลี้ยงของฉันที่เป็นอัมพาตครึ่งตัว ฉันตอบมันไปอย่างไร จำไม่ได้ จำได้แค่ว่าเมื่อกลับถึงโรงแรม ฉันได้พบกับผู้ชายที่เห็นหน้าอกของฉันอีกครั้งหนึ่ง

เขามากับหญิงสาวแสนสวยแต่งตัวเซ็กซี่ ตอนที่ฉันเห็นเขาและเขาเห็นฉัน เขาเพิ่งเงยหน้าขึ้นมาจากกิจกรรมฟัดกอดฟัดจูบกับเธอคนนั้นอยู่หน้าลิฟท์

ลิฟท์เป็นทั้งสถานที่ส่วนตัวและไม่ใช่สถานที่ส่วนตัว พอลิฟท์เปิด พวกเขาก้าวเข้าไป ฉันก็ก้าวเข้าไป พวกเขาบุกไปยึดมุมด้านหนึ่ง ส่วนฉันพยายามเพ่งสายตาและบังคับให้นิ้วกดชั้นที่ตัวเองพักอยู่ แล้วยืนพิงผนัง ง่วงแต่หลับตาไม่ลงเพราะเสียงครางอย่างวาบหวามของฝ่ายหญิง

จนกระทั่งลิฟท์เปิด ฉันก้าวออกไป เดินไปรูดคีย์การ์ดเปิดประตูห้อง จัดการอาบน้ำล้างหน้าก่อนจะโซเซมาล้มตัวนอนลงบนเตียงทั้งที่ร่างกายเปล่าเปลือย

ใกล้จะงีบหลับ มีเสียงเคาะประตู ฉันงัวเงียคว้าเสื้อคลุมขึ้นสวมลวกๆเดินไปเปิดประตู ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้า เขาก้าวเข้ามา คว้าร่างของฉันไปไว้ในอ้อมแขน จรดริมฝีปากของตัวเองลงมาแนบสนิทกับริมฝีปากของฉัน

ลมหายใจของเขาช่างผ่าวร้อน หนักหน่วงและกรุ่นไปด้วยกลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำให้ฉันมึนเมาในรสเหล้าคละเคล้ากับรสเสน่หา




สร้อยดอกหมาก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 เม.ย. 2554, 01:04:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.ย. 2555, 19:45:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 5354





<< ตอนที่ 1 : ความสดใสไร้เดียงสามันมีจุดเริ่มและมีจุดจบ   ตอนที่ 3 : เร็วเกินไปที่ฉันจะศรัทธาต่อสิ่งใด >>
ปลากัด 4 เม.ย. 2554, 09:44:45 น.
ชื่อตอนเก๋ดีค่ะ ^^


sai 4 เม.ย. 2554, 13:32:25 น.
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ คุณสร้อย^^


สร้อยดอกหมาก 4 เม.ย. 2554, 19:10:47 น.
ด้วยความยินดีค่ะ ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ ช่วงนี้สร้อยไม่ค่อยมีเวลา โพสแล้วห็หายแวบเลย อาจไม่ค่อยได้คุยอะไรกับคนอ่านเท่าไร


จุฬามณีเฟื่องนคร 5 เม.ย. 2554, 19:50:21 น.
ล้ำลึก


pinkpenguin 11 เม.ย. 2554, 20:46:20 น.
ไม่ค่อยได้คุยไม่ว่ากัน แต่อย่าหายไปเฉยๆน้า มาแต่งต่อไวไวเรื่อยๆนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account