เพียงกลีบดอกไม้ล่องลอยไปในสายลม
..........
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 3 : เร็วเกินไปที่ฉันจะศรัทธาต่อสิ่งใด
ในรสสัมผัสของริมฝีปากนุ่มหนา สมองของฉันหมุนคว้าง ภาพวาดของลิลิธผุดขึ้นมาจากหมอก จากนั้นก็ชัดเจนราวกับว่าฉันกำลังจ้องมองอยู่เบื้องหน้า
คนที่เป็นตัวของตัวเองไม่เคยโกหกตัวเองฉันใด ฉันก็ไม่เคยโกหกตัวเองฉันนั้น ถึงแม้ว่าโลกใบนี้จะชื่นชมบูชาผู้หญิงที่เป็นลูกสาวของอีฟผู้เป็นทาสของอดัมและถึงแม้ว่าฉันอยากจะเกิดมาเป็นลูกสาวของอีฟด้วยคน แต่ฉันก็ไม่เคยโกหกตัวเองว่ามารดาแห่งเผ่าพันธุ์ของฉันคือลิลิธ ฉันรู้ความจริงข้อนี้ในวันที่ได้จ้องตาแฟนคนแรก หลังจากที่ประสาทสัมผัส สมองและหัวใจได้รับรู้รวมทั้งยอมรับว่าฉันก็มีแรงปรารถนาที่จะสัมผัสร่างกายของผู้ชายเช่นเดียวกับผู้ชายที่ใคร่จะสัมผัสร่างกายของผู้หญิง
จำได้ในความทรงจำอย่างเลือนรางว่าฉันตื่นเต้นจนร่างสะท้านเมื่อแฟนคนแรกยื่นหน้าเข้ามาฝากรอยจุมพิตไว้บนริมฝีปาก ยังจำได้ว่าริมฝีปากของเขานุ่มนวลเหมือนกลีบกุหลาบที่มีชีวิต ลมหายใจของเขาที่ฉันสูดเข้าไปในปอดมีส่วนผสมของกลิ่นบุหรี่ผสมกลิ่นมินต์อ่อนๆ
เขาเป็นผู้ชายที่จูบเก่งที่สุดในโลก และจูบครั้งแรกกับเขาก็ตราตรึงสลักลึกอยู่ในใจฉันตลอดมาแม้ว่าฉันจะมาพบรักใหม่กับใคร ฉันก็ไม่เคยลืมจูบครั้งนั้น
แต่ริมฝีปากของผู้ชายคนนี้สิ อย่าว่าแต่จะทำให้ลืมจูบของแฟนเก่าเลย เขาทำให้ฉันลืมโลกทั้งโลก ลืมผู้ชายที่เหลือทั้งหมดไม่ว่าพวกเขาจะน่าสนใจมากกว่าผู้ชายคนนี้อีกร้อยเท่า
นึกถึงตอนที่อยู่ในลิฟท์ นึกถึงผู้หญิงที่เบียดอัดร่างอวบอิ่มของเธอเข้ากับเขา พลางเงยหน้าร้องขอริมฝีปากของเขาราวกับคนติดยาและเมื่อเขามอบให้จริงๆ เธอครวญครางอย่างสิ้นยางอาย ราวกับว่าเขาได้เปลื้องผ้าและกำลังร่วมรักกับเธออยู่ตรงนั้น
ฉันหลับตา นึกถึงเมื่อครั้งที่ใช้ชีวิตอยู่ในหอพักรวม หลายคืนที่ฉันนอนฟังเพลงรักที่บรรเลงด้วยเสียงครวญหวานสูงของผู้หญิงและเสียงครางแหบต่ำของผู้ชาย ผสมผสานกับเสียงหัวเตียงโลหะราคาถูกกระแทกกับผนังห้องจนฉันเก็บเป็นข้อมูลและสามารถสรุปออกมาได้ว่าคืนไหนที่ผู้หญิงคนนั้นถึงจุดสุดยอด คืนไหนที่เธอไม่ถึง คืนไหนที่พวกเขาร่วมรักกันอย่างอบอุ่นอ่อนโยนและคืนไหนที่พวกเขาเล่นรักกันอย่างรุนแรง
แม้สุ้มเสียงเหล่านั้นอาจสร้างความรำคาญ ความหมกมุ่นและความละอายให้ใครบางคน แต่สำหรับฉันมันเป็นเรื่องธรรมดาที่น่ารื่นรมย์เหมือนความสวยงามของชีวิตและน่าชิงชังเหมือนจิตใจที่ไร้เมตตาของมนุษย์
จินตนาการและทัศนคติในเรื่องเพศของฉันส่วนหนึ่งอาจได้มาจากการใช้ชีวิตอยู่กับกลุ่มนักศึกษาที่ใช้ชีวิตทางเพศอย่างเสรี มันไม่ใช่ประสบการณ์ที่เลวร้ายแต่ก็ไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดี ถึงกระนั้นมันเป็นประสบการณ์ในชีวิตหนึ่งที่มีผลทำให้ฉันเริ่มสงสัยในสิ่งที่คนทั่วไปแทบไม่เคยสงสัย
ฉันลืมตา จริงอย่างคาด แม้ว่าปากของเขาจะกำลังประกบแนบสนิทกับปากของผู้หญิงคนนั้น แต่ดวงตาของเขาจ้องมองฉันด้วยแววตาที่ทำให้ฉันต้องมองเขาตอบปานโดนมนต์สะกด
ถึงฉันจะเคยปรามาสเพศผู้อย่างแสบสันต์ว่าถึงพวกเขาจะมีจ้าวโลกแต่เขาก็ไม่มีวันได้เอากับผู้หญิงทั้งโลก แต่ผู้ชายคนนี้กลับมีแววตาที่สามารถทำให้ผู้หญิงทั้งโลกยอมให้เอาจริงๆ
ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก ผู้ชายคนนี้คงมีโอกาสเลือกผู้หญิงมากกว่าจะอ้อนวอนขอให้ผู้หญิงเลือกตนเอง เขาคงมีทั้งรูปลักษณ์และอำนาจที่สามารถลากผู้หญิงทุกคนที่ต้องการขึ้นเตียง ฉันจึงมองเห็นแค่ความหยิ่งผยองพองขนอยู่ในแววตาคู่นั้น
ความเกลียดชังอย่างไร้เหตุผล อันที่จริงฉันควรเรียกความรู้สึกนี้ว่าความอิจฉาริษยาแต่เมื่อใดที่ความอิจฉาริษยาเข้าครอบงำเท่ากับเป็นการยอมรับว่าฉันต้อยต่ำกว่าอีกฝ่าย เพราะฉะนั้นฉันจะเรียกความรู้สึกนี้ว่าความเกลียดชังอย่างไร้เหตุผลแทน ฉันไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าฉันอิจฉาริษยาใคร มันก็แค่ความรู้สึกหงุดหงิดมากๆเวลาที่คนอย่างฉันได้เห็นพวกคนที่เกิดมามีพร้อมทุกอย่าง พวกคนที่เกิดมาโดยไม่เคยต้องดิ้นรนเจ็บปวดและต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด พวกที่ไม่เคยถูกเกลียดชัง ไม่เคยถูกลมปากอันร้ายยิ่งกว่าคมมีดของใครกรีดใจ พวกมันมีเงิน พวกมันก็มีเกียรติและมีความสำคัญ ไอ้บ้าที่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ ไอ้บ้าพวกนี้ไม่เคยรู้สึกรู้สากับความเจ็บปวดของใคร ไอ้พวกบ้าอย่างสิ่งมีชีวิตเพศผู้ที่คิดว่าตัวเองจะพิชิตโลกได้เหมือนพระเจ้าอเล็กซานเดอร์และไอ้พวกบ้าอย่างสิ่งมีชีวิตเพศเมียที่คิดว่าแค่ตัวเองสวยก็สามารถได้ทุกอย่างที่ต้องการ
..พะอืดพะอม..แต่จงกลืนมันลงไป โลกมันน่าพะอืดพะอมแต่อาเจียนออกมาไม่ได้ มันน่าอาย..มันน่าขายขี้หน้า..
ฉันเปิดกระเป๋าคลัตซ์ พยายามโฟกัสปรับสายตาหาคีย์การ์ด ก่อนจะหยิบมันขึ้นมา หันส่วนที่พิมพ์หมายเลขห้องให้เขาเห็นเต็มตา จากนั้นก็เก็บมันลงกระเป๋า ยิ้มหวานแล้วบังคับเท้าให้ก้าวออกไปเมื่อประตูลิฟท์เปิด
การให้ท่าของผู้หญิง สำหรับผู้ชายบางคนมันมีความหมายเดียวกับคำว่าท้าทาย ถ้าผู้ชายคนนั้นรักตัวกลัวตาย ฉันก็จะนอนหัวเราะให้ท้องจุกไว้อาลัยให้กับความขี้ขลาดของเขาไปสามวัน
แต่นี่..เขามา
บ้าบิ่นดีจัง ระวังฉันจะคลั่งจนเอามีดปอกผลไม้ไล่จิ้มสักสี่สิบแผล
“คนสวย ถ้าผมจะรักคุณคืนนี้ ผมต้องจ่ายเท่าไร”
เขากระซิบถามอย่างนั้นขณะที่มือลดลงไปลูบไล้สะโพกของฉัน สำหรับผู้หญิงคนอื่นจะว่าอย่างไรถ้าผู้ชายคนหนึ่งต้องการเธอเพราะเข้าใจว่าเธอคือโสเภณีที่เขาจะได้นอนด้วยเพียงแค่จ่ายเงิน แต่สำหรับฉัน ฉันไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะฉันรู้จักตัวเองดี ต่อให้ฉันสวมชุดไทยห่มสไบนั่งพับเพียบร้อยมาลัยอยู่กลางเรือน ฉันก็ไม่มีกลิ่นอายของผู้หญิงดีสักน้อยนิด
แต่ฉันก็แก้ความเข้าใจผิดของเขาเสียใหม่
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงพวกนั้นนะคะ”
“คุณมีดวงตาของเมดูซา มีเสน่ห์ของผู้หญิงแพศยา มีกลิ่นหอมยั่วยวนเหมือนนางปีศาจ ผมเข้าใจอะไรผิด”
ดูคำชมของเขาสิ เขาว่าดวงตาของฉันสาปผู้ชายทุกคนเป็นหิน
ลมหายใจร้อนๆของเขาแผดเผาผิวแก้มฉัน เขาเริ่มมีคำถามใหม่ “ผมเข้าไปได้ไหม”
มืออุ่นของเขาแทรกเข้าไประหว่างรอยแยกของเสื้อคลุมลูบไล้ผิวเนื้อของฉัน ปลายนิ้วของเขาบอกเจตนาชัดว่าคำถาม ‘ผมเข้าไปได้ไหม’ คงไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการจะเข้าไปในห้องของฉันแค่อย่างเดียว
เขาก้มลงมาจูบฉันอีก จูบที่เนิบนิ่งแต่เย้ายวนใจเหมือนกับกลิ่นน้ำหอมของฉัน เท่านั้นฉันก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้มีความสามารถเหมือนพ่อมดดำที่สามารถร่ายคำสาปให้ฉันตกเป็นทาสสวาทของเขาได้อย่างง่ายดาย
ในอนุสติที่เหลืออยู่ ฉันได้ยินเสียงประตูปิดและล็อกอัตโนมัติเนื่องจากคีย์การ์ดยังเสียบคาอยู่ เสื้อคลุมของฉันถูกถอดออกจากตัวแล้วร่างของฉันก็ถูกโยนลงบนเตียง
เสียงนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์มือถือทำให้ฉันลืมตา ภายในห้องมืดสลัวเพราะแสงอาทิตย์ไม่สามารถลอดผ่านม่านบานเกล็ดที่ปิดสนิทเข้ามาได้ อากาศภายในยังคงเย็นฉ่ำด้วยแอร์คอนดิชั่นฯ ฉันพลิกตัวอยู่สองสามครั้ง ยื่นมือออกไปลูบไล้ความนุ่มนวลเย็นชืดของผ้าปูเตียง ดื่มด่ำกับกลิ่นอายแห่งความว่างเปล่าเดียวดายก่อนจะลุกขึ้นนั่งชันเข่า
บนเตียงไม่มีร่องรอยอะไรไปมากกว่ารอยยับจากการขยับเคลื่อนไหวในขณะหลับ ดังนั้นมันจึงแน่นอนว่าถึงแม้บทรักบทนั้นจะหอมหวานซาบซ่านเพียงใดแต่ความฝันมันก็คือความฝัน มันเกิดขึ้น ดำเนินไปและจบสิ้นแค่ในความฝัน
..เขาไม่ได้มาที่นี่
เสียงโทรศัพท์ ฉันคว้ามาแนบหู
“อิมพีเรียล แม่ปิง อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณเพชรลดา ขอเชิญรับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารเอื้องคำภายในเวลาเก้านาฬิกาค่ะ”
ฉันวางหูโทรศัพท์ก่อนจะทิ้งร่างลงไปนอนอีกครั้ง
ชัดเจนจนเกินไป..คือความรู้สึกในโลกแห่งความเป็นจริง
ลึกซึ้งจนเกินไป..คือความรู้สึกในโลกแห่งความฝัน
ทำไมผู้ชายคนนั้นไม่ตามมา
ใกล้จะแปดโมงเช้า ฉันสวมแม๊กซี่เดรสตัวยาว แต่งหน้าบางๆและสวมต่างหูวงใหญ่ ก่อนก้าวออกไป ฉันไม่ลืมคว้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คลงไปด้วย เนื่องจากฉันมีเวลาแค่สองวันสำหรับเอกสารที่จะใช้ในคอร์สฝึกสอนนักศึกษา
ผู้คนในห้องอาหารเอื้องคำยังคงมาก ฉันได้เมนูและสั่งกาแฟลาเต้เย็นหนึ่งแก้วพร้อมด้วยแพนเค้กหน้าแคนตาลูปและกล้วยหอมราดน้ำผึ้ง อาหารเช้าของฉันเป็นของหวานแทนที่จะเป็นของคาวอย่างไส้กรอกไข่ดาวอย่างที่คนส่วนใหญ่นิยมกัน
หนุ่มฝรั่งผมและตาสีน้ำตาลที่น่าจะเป็นอิตาเลียนหรือไม่ก็สเปนทักทายฉันด้วยรอยยิ้ม ฉันยิ้มตอบและเบือนหน้ามาสนใจหน้าจอและแป้นพิมพ์ตัวอักษรบนโน้ตบุ๊คของตัวเอง
เงาคนตรงหน้า..อาหารเช้าของฉันคงได้
“วางเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
ร่างนั้นยังคงนิ่ง พอดีบริกรชายเพิ่งมา
“อาหารได้แล้วครับ”
“กาแฟดำหนึ่งที่”
แก้วกาแฟเย็นและจานแพนเค้กของฉันลอยลงมาอยู่บนโต๊ะอาหารด้วยมือของเขา ผู้ชายที่ถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าฉันก่อนถาม
“หวังว่าคุณคงไม่ได้รอใคร”
ฉันส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะคิดได้ว่าไม่ควรส่ายหน้า
“คุณมาเที่ยวเชียงใหม่คนเดียว”
“ฉันมาทำงาน”
“คุณทำงานอะไร”
ฉันมองตาเพื่อค้นหาความหมายซ่อนเร้นในคำถามนั้น แต่ไม่พบอะไรนอกจากความอยากรู้อยากเห็น
“ฉันเขียนนวนิยาย”
ฉันไม่ชอบพูดว่า ‘ฉันเป็นนักเขียน’ เพราะคำว่า ‘นักเขียน’ ฉันเชื่อว่ามันเป็นคำที่เอาไว้ให้คนอ่านหนังสือใช้เรียกคนเขียนที่หนังสือที่พวกเขายอมรับในฝีมือมากกว่าที่คนเขียนหนังสือคนคนนั้นจะใช้เรียกตัวเอง
กาแฟดำมาแล้ว เขายกขึ้นจิบแล้วเงียบ การสนทนาเว้นช่วงว่างราวกับจะเปิดโอกาสให้ฉันได้ซักถามเรื่องของเขาบ้าง แต่ฉันไม่ถามและไม่มีอะไรจะถาม
เขาชี้ไปที่อาหารเช้าของฉัน
“คุณควรทานอาหารเช้าก่อนทำงาน ไม่งั้นสมองมันไม่แล่น”
ฉันเปลี่ยนใจกดหน้าจอโน้ตบุ๊คลงและนั่งเท้าคางมองเขา
ด้วยสายตาของคนที่ชอบศิลปะและความงามอย่างฉัน อดไม่ได้ที่ใจยังจะชื่นชมว่าผู้ชายคนนี้หล่อลากดิน ยิ่งเมื่ออยู่ใกล้กันแค่ระยะโต๊ะกั้น ฉันยิ่งเห็นว่าผู้ชายคนนี้หล่อกว่าเมื่อวาน หน้าตาดีกว่าเมื่อคืน ทั้งในความจริงและในความฝัน
หน้าคม ผมดำ ผิวขาวแต่กลับดูทรงอำนาจอย่างแปลกประหลาดทั้งที่ผู้ชายผิวขาวที่ฉันเคยเจอมามักจะดูบอบบาง อ่อนแอและสำอางมากกว่าจะดูน่าเกรงขาม ก้าวร้าว เต็มไปด้วยความทระนงและดิบเถื่อนอย่างที่มนุษย์ผู้ชายในความเชื่อของโลกปิตาธิปไตยควรจะเป็น
ดวงตาของเขาเป็นอวัยวะที่โดดเด่นที่สุดบนใบหน้า รูปร่างเรียวยาวแต่ขนาดไม่เล็ก สีดำจัด ดำเหมือนถ่าน เป็นประกายเหมือนผลึกนิลล้อแสง เหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าคืนเดือนมืดในชนบท คมกริบเหมือนมีด เคร่งขรึมเหมือนตาสิงโต เศร้าซึ้งเหมือนตาวัว น่ากลัวเหมือนตางู
เขาจ้องตาฉันอย่างผู้ชายที่มั่นใจในเสน่ห์ของตนเอง ยิ้มที่มุมปาก
ฉันหลุบตา ดื่มกาแฟเย็นและยกเอาจานแพนเค้กขึ้นมาวางไว้บนโน้ตบุ๊ค ใช้มีดหั่นขนมภาคเช้าเป็นชิ้นพอดีคำ
“ผม..เมธวัชร์”
“เพชรลดา”
ฉันตอบตามมารยาทแค่นั้นแล้วก้มหน้าก้มตากิน
“ตอนเที่ยงคุณว่างไหม”
“ไม่”
เมื่อเห็นดวงตาของเขายังรอคอยคำตอบที่ยาวกว่านั้น ฉันเลยพูดต่อ
“ฉันมีสัมมนาที่มหาวิทยาลัยตอนบ่ายโมงตรง”
“ตอนค่ำ”
“ฉันต้องอยู่สอนนักศึกษาจนมืด”
ทั้งหมดเป็นกำหนดการที่ ‘อาจ’เกิดขึ้นจริงในขณะที่ฉันเหมือนไม่ใช่ผู้หญิงจริงๆ เพราะส่วนใหญ่ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงแล้ว หากผู้ชายมาทำทีว่าสนใจ ถึงอย่างไรก็คงดีใจและอยากจะตอบรับไมตรีด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งเป็นผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลาและดูมาดว่ากระเป๋าจะมีเงินมากอย่างนี้ด้วยแล้ว ผู้หญิงที่ไม่ปฏิเสธเขาคงจะเอาฉันไปนับญาติกับควายหรือไม่ก็ลา หรือไม่ก็ตัวอะมีบา สัตว์ชั้นต่ำไร้สมอง
แต่บังเอิญฉันเป็นพวกเกิดมาทำอะไรตามอารมณ์และตอนนี้ฉันก็ไม่มีอารมณ์ ก็เหมือนเซ็กส์กับขนมหวาน..ต่อให้มันสุขสนุกสุดยอดหรือเอร็ดอร่อยมากเท่าไร แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตเหมือนน้ำ อากาศและปัจจัยสี่ ถ้าไม่มีอารมณ์จะกิน มันก็ไร้ประโยชน์
“คุณสัมภาษณ์ที่ไหน”
“คุณจะไปฟังหรือไง”
“ตอนบ่ายผมว่าง ไม่มีอะไรทำ”
ฉันกลืนแพนเค้กเข้าไปหลายคำแต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะจากไปตราบใดที่ยังไม่ได้คำตอบ
“ตึกขาว คณะมนุษย์ศาสตร์ ห้องประชุมใหญ่ชั้นแปด”
“คุณเขียนนวนิยายแนวไหน”
“คุณไปฟังก็รู้เอง”
ฉันพูดแค่นั้นก็วางส้อมกับมีดลง เหลือแพนเค้กมากกว่าครึ่งไว้ให้พ่อครัวเอากลับไปดูต่างหน้าก่อนจะลุกขึ้นคว้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของตัวเองออกมาจากโต๊ะและก้าวออกไปจากห้องอาหาร เขาทิ้งกาแฟดำไว้และเดินตามฉันออกมา แต่เมื่อฉันพ้นจากประตูห้องอาหาร ผู้หญิงในลิฟท์คนเมื่อวานก็พุ่งเข้ามาเกือบชนฉันกระเด็น ดีที่ฉันคุ้นเคยกับรองเท้าส้นสูงคู่โปรดของฉันเป็นอย่างดี ไม่งั้นคงล้มปากแตก
“คุณเมธวัชร์ขา ลงมาทานอาหารเช้าก็ไม่ปลุกลิลลี่เลย ลิลลี่โกรธแล้วนะ”
ลิลลี่ไม่ใช่แหม่มแน่ๆ แต่หน้าตาอย่างเดียวกระมังที่ฟ้องว่าผู้หญิงคนนั้นคือคนไทย เพราะผมของเธอก็ย้อมสีน้ำตาลประกายทอง ส่วนเสื้อผ้ากระเป๋านั้นดูท่าว่าจะเป็นของนอกประเทศทั้งหมด
เมคอัพอาร์ทติสชื่อดังที่ฉันรู้จักเคยบอกว่าใบหน้าของสาวไทยและสาวเอเชียเป็นใบหน้าที่ราบเรียบ ‘ไร้เทกเชอร์’ (อนุมานว่าน่าจะมาจากคำว่า texture ที่แปลว่าโครงสร้างพื้นฐานแต่ออกเสียงเท่ๆตามสไตล์ของผู้ชายที่เรียกผู้หญิงว่าชะนี) ไม่เหมือนใบหน้าของผู้หญิงตะวันตกดังนั้นการแต่งหน้าของสาวไทยจึงควรเน้นที่ดวงตาโดยการกรีดอายไลเนอร์และปัดมาสคาร่ารวมทั้งไฮไลท์สันจมูกขึ้นมาเพื่อให้ใบหน้าดูมี ‘เทกเชอร์’ ขึ้นมาบ้าง แต่ใบหน้าของเธอคนนี้ เจ้าตัวคงตระหนักว่ามัน ‘ไร้เทกเชอร์’ กว่าสาวไทยปกติมากจึงประโคมซะคมเข้มขนาดนั้น
ถึงกระนั้น ฉันก็กล้าเชิดหน้ายอมรับว่าผู้หญิงคนนี้สวยกว่าฉัน
และเป็นธรรมดา แม้ว่าพระเอกในละครจะชอบผู้หญิงจืดๆโทรมๆเหมือนนางเอก แต่ฉันเชื่อว่าผู้ชายแบบนี้ในชีวิตจริงชอบผู้หญิงที่เหมือนนางร้ายในละครมากกว่า
“มองอะไรยะ!”
ฉันตรวจโน้ตบุ๊คจนแน่ใจว่ามันไม่ได้ไปกระแทกอะไร จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นเพราะเสียงตวาดแว้ดแหวของเจ้าหล่อน ยัยนี่เหมือนนางร้ายในละครหลังข่าวจริงๆ โดยเฉพาะเสียงแหลมปรี๊ดและแววตาที่มองฉันประกาศอาณาเขตและความเป็นเจ้าของผู้ชายที่เธอเกาะอย่างโจ่งแจ้ง..ห้ามแย่งเด็ดขาด
ก็ไม่ได้คิดจะแย่ง
ฉันกอดโน้ตบุ๊คแล้วหันหลังเดินจากไป ไม่ถือสาความก้าวร้าวของผู้หญิงสวย ไม่ใช่เพราะฉันบูชาความสวย แต่เพราะฉันเป็นผู้หญิง ฉันจึงเข้าใจว่ากว่าผู้หญิงจะสวยได้ เธอต้องทนไดเอทอดอาหารที่อยากกินจนหงุดหงิด เธอต้องทนเจ็บตาใส่คอนแทคเลนส์หลากชนิด เธอต้องทนอึดอัดใส่ชั้นในบีบอัดทรวดทรง เธอต้องทนกับกลิ่นเหม็นของน้ำยาย้อมผมผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์จนสุขภาพจิตเสีย เธอต้องทนกินอาหารเสริมรักษาหุ่นบำรุงผิวบำรุงเล็บบำรุงผมเป็นกอบเป็นกำจนระบบตับไตไส้พุงและฮอร์โมนแปรปรวน ดังนั้นฉันจึงไม่แปลกใจที่ผู้หญิงที่เข้าขั้นสวยจัดๆจะมีอาการ ‘เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง’หรือโผล่หน้าเข้ามาก็อยากหาอะไรขว้างใส่หัวใครสักคนหรือเมื่อไม่ได้ดั่งใจก็ร้องกรี๊ดลั่น ก็..ผู้หญิงสวยน่ะ..ผู้หญิงปกติเสียเมื่อไร
พวกเธอสร้างเคราะห์กรรมให้ตนเองมามากพอแล้ว ฉันไม่อยากซ้ำเติม
ฉันขึ้นห้องไปนอนต่อชั่วขณะหนึ่งแต่แล้วกลับนอนไม่หลับ จึงลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ลงไปบอกประชาสัมพันธ์ว่ายกเลิกคำสั่งโทร.ปลุกตอนห้าโมงเพราะฉันจะไปมหาวิทยาลัยแล้ว
ทั้งที่คิดว่าสักห้าโมงเช้าจะทำตัวกลมกลืนไปทานอาหารกลางวันร่วมกับนักศึกษาในโรงอาหารคณะมนุษยศาสตร์ แต่โชคชะตาก็พาฉันกลับไปยืนระลึกถึงความหลังนิ่งค้างอยู่หน้าบอร์ดว่างบนกำแพงตึกขาว บอร์ดว่างที่ใครก็สามารถหยิบกระดาษปากกาที่เสียบไว้ในช่องว่างมาเขียนอะไรไว้ก็ได้ มันเหมือนการสนทนากับคนแปลกหน้าในคณะโดยที่ไม่มีใครเห็นหน้าใคร (เว้นจะมาเขียนต่อหน้ากันจังๆ)
ที่นี่คือเสรีภาพแห่งการแสดงความคิดเห็น
บอร์ดกระดานเก่ามาก และครั้งหนึ่งฉันเองก็เคยเขียนอะไรต่ออะไรไว้ที่นี่ ทั้งข้อความ ทั้งบทกวีและเรื่องสั้น บางครั้งก็ตัดพ้อร้องไห้ด้วยถ้อยอักษร..บางครั้งก็กัดแขวะใครบางคนด้วยแรงอารมณ์ของสาวรุ่น
วันนี้มันก็ยังคงเต็มไปกระดาษและตัวหนังสือ
*
สันติภาพคือช่องว่างระหว่างสงครามหนึ่งกับอีกสงครามหนึ่ง
*
ไอ้กร๊วก!
สงครามคือสิ่งที่ผู้ชนะต้องการ
คนแพ้เท่านั้นที่เรียกร้องสันติภาพ!
*
เจ้าของสองข้อความข้างบน สองทุ่มคืนนี้เชิญที่ผับพี่ดาวหลังมอ
กูจะร้อง Civil War ให้มึงฟัง
*
กูร้อง Imagine หลังหอชายสี่
สาวกป๋าจอห์นคนไหนมีกีตาร์โปร่ง เอาไปด้วย กูมีแต่เหล้า
*
พระเจ้าตายแล้ว
คนพูดก็ตายแล้ว
*
ถ้ามึงไม่ตามหาความหมายของการมีชีวิต
ก็กินปี้ขี้เยี่ยวให้พอใจแล้วตายโหงตายห่าไปซะ
*
ความรักของผู้ชายแม่งห่วยแตก มันคือสงครามและการยึดครอง อย่าพูดถึงเสรีภาพ
เพราะความรักคือการที่ผู้ชายคนหนึ่งกักขังพันธนาการผู้หญิงคนหนึ่งด้วยศักดิ์ศรีและความทะนงยโสโอหังทั้งหมดของมัน
หากผู้หญิงคนหนึ่งพยายามแหกกรงออกไป ผู้ชายคนนั้นก็จะใช้อำนาจที่เหนือกว่าลากหล่อนกลับมาหรือไม่ก็ทำลายหล่อนทิ้งเสีย
ยอมรับเสียเถิดว่า..โลกใบนี้ไม่มี..ความรัก ความรักเป็นเพียง ‘นาม’ ที่ ‘ถูกสร้าง’ขึ้นมาเพื่อเรียกอารมณ์ปรารถนาและปฏิกิริยาเคมีที่ถูกสร้างมาด้วยสัญชาตญาณแห่งการดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์
*
ผู้หญิงสามารถมีอำนาจเหนือผู้ชายหรือไม่ (และการที่เธอพยายามแสวงหาอำนาจเหนือผู้ชาย นั่นคือภาวะที่เธอตระหนักว่าเธอไร้อำนาจหรือเปล่า)
อะไรคืออำนาจของพวกเธอ? ความงาม ความสาว การต่อรอง เซ็กส์?
การที่ผู้หญิงสามารถเล่นเซ็กส์อย่างเสรีเหมือนผู้ชายคือการแสดงตนถึงความเทียบเท่าระหว่างเพศได้จริงๆ หรือนั่นคือการยอมรับอย่างศิโรราบอย่างแท้จริงว่าเธอไม่เท่าเทียมกับเขา
เพราะอะไร ทำไมผู้ชายจึงมีอำนาจเหนือผู้หญิงตลอดมา
ธรรมชาติหรือประวัติศาสตร์ที่สร้างสังคมปิตาธิปไตย
*
ความรักคือมายา ตัณหาคือของจริง
*
Love don’t kill,people do.
(ความรักไม่เคยฆ่าใคร คนต่างหากที่ฆ่า)
*
Love don’t die,people do.
(ความรักไม่เคยตาย คนต่างหากที่ตาย)
*
ฉันอ่านไป หัวเราะไป ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรือแปลกใหม่ มนุษย์ก็ยังทำเรื่องเดิมๆและยังคร่ำครวญอยู่กับเรื่องเดิมๆ เรื่องที่แม้กระทั่งฉันในอดีตก็เคยคร่ำครวญถึงมัน เรื่องที่ความหวังให้คำมั่นสัญญาว่าสักวันฉันจะเข้าใจ แต่เวลาผ่านไปจนมาถึงบัดนี้แล้ว ฉันก็ยังไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร อีกกี่ร้อยกี่พันวัน อีกกี่สิบกี่ร้อยปี ฉันจะ ‘ตายโหงตายห่า’ ไปจากโลกนี้ไปก่อนที่จะได้เข้าใจหรือไม่
แปลก ยิ่งมีชีวิตอยู่นานเท่าไร ยิ่งเรียนรู้มากเท่าไร ฉันก็รู้ว่าตนเองช่างไร้ค่า โง่งม ไร้ความสามารถและยิ่งสิ้นหวังกับการไร้หนทางออกไปสู่แสงสว่าง
ฉันช่างโง่เง่า โง่อย่างที่น่ากระทืบให้ตายที่เพียรเอาความรู้เท่าก้อนกำปั้นลงไปถมมหาสมุทรแห่งความโง่เขลาในวิญญาณของตนเอง ท้ายที่สุด..มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ฉันยังคงเหมือนคนตาบอดที่มองอะไรไม่เห็นสักอย่าง เป็นเพียงคนโง่คนหนึ่งที่แม้แต่เรื่องง่ายๆคือการช่วยตัวเองให้หลุดพ้นไปจากความสงสัยก็ยังทำไม่ได้
ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร แต่สำหรับฉัน เวลาในหนึ่งชั่วชีวิต..เร็วเกินไปที่จะคิดว่าฉันฉลาด เร็วเกินไปที่ฉันจะมีศาสนา และเร็วเกินไปที่ฉันจะศรัทธาต่อสิ่งใด
ฉันหยิบปากกาเขียนข้อความลงบนแผ่นกระดาษและแปะลงไปบนกระดาน
*
ฉันอยากรู้เรื่องราวของคนบนโลกใบนี้แต่ไม่มีอะไรเกี่ยวกับคนบนโลกใบนี้ที่ฉันสามารถล่วงรู้และเข้าใจได้เลย ถึงกระนั้น มีสิ่งหนึ่งที่ฉันพอจะเชื่อใจได้ว่าฉันรู้..ฉันเข้าใจ นั่นคือฉันรู้ว่า..ผลไม้ต้องห้ามผลนั้นได้เน่ามานานแล้ว และบัดนี้..มันเน่าเกินกว่าจะเยียวยา ความโง่งมกำลังจะกลับมาและการกลับมาของความโง่ในคราวนี้..ไม่น่าจะดี
*
คนที่เป็นตัวของตัวเองไม่เคยโกหกตัวเองฉันใด ฉันก็ไม่เคยโกหกตัวเองฉันนั้น ถึงแม้ว่าโลกใบนี้จะชื่นชมบูชาผู้หญิงที่เป็นลูกสาวของอีฟผู้เป็นทาสของอดัมและถึงแม้ว่าฉันอยากจะเกิดมาเป็นลูกสาวของอีฟด้วยคน แต่ฉันก็ไม่เคยโกหกตัวเองว่ามารดาแห่งเผ่าพันธุ์ของฉันคือลิลิธ ฉันรู้ความจริงข้อนี้ในวันที่ได้จ้องตาแฟนคนแรก หลังจากที่ประสาทสัมผัส สมองและหัวใจได้รับรู้รวมทั้งยอมรับว่าฉันก็มีแรงปรารถนาที่จะสัมผัสร่างกายของผู้ชายเช่นเดียวกับผู้ชายที่ใคร่จะสัมผัสร่างกายของผู้หญิง
จำได้ในความทรงจำอย่างเลือนรางว่าฉันตื่นเต้นจนร่างสะท้านเมื่อแฟนคนแรกยื่นหน้าเข้ามาฝากรอยจุมพิตไว้บนริมฝีปาก ยังจำได้ว่าริมฝีปากของเขานุ่มนวลเหมือนกลีบกุหลาบที่มีชีวิต ลมหายใจของเขาที่ฉันสูดเข้าไปในปอดมีส่วนผสมของกลิ่นบุหรี่ผสมกลิ่นมินต์อ่อนๆ
เขาเป็นผู้ชายที่จูบเก่งที่สุดในโลก และจูบครั้งแรกกับเขาก็ตราตรึงสลักลึกอยู่ในใจฉันตลอดมาแม้ว่าฉันจะมาพบรักใหม่กับใคร ฉันก็ไม่เคยลืมจูบครั้งนั้น
แต่ริมฝีปากของผู้ชายคนนี้สิ อย่าว่าแต่จะทำให้ลืมจูบของแฟนเก่าเลย เขาทำให้ฉันลืมโลกทั้งโลก ลืมผู้ชายที่เหลือทั้งหมดไม่ว่าพวกเขาจะน่าสนใจมากกว่าผู้ชายคนนี้อีกร้อยเท่า
นึกถึงตอนที่อยู่ในลิฟท์ นึกถึงผู้หญิงที่เบียดอัดร่างอวบอิ่มของเธอเข้ากับเขา พลางเงยหน้าร้องขอริมฝีปากของเขาราวกับคนติดยาและเมื่อเขามอบให้จริงๆ เธอครวญครางอย่างสิ้นยางอาย ราวกับว่าเขาได้เปลื้องผ้าและกำลังร่วมรักกับเธออยู่ตรงนั้น
ฉันหลับตา นึกถึงเมื่อครั้งที่ใช้ชีวิตอยู่ในหอพักรวม หลายคืนที่ฉันนอนฟังเพลงรักที่บรรเลงด้วยเสียงครวญหวานสูงของผู้หญิงและเสียงครางแหบต่ำของผู้ชาย ผสมผสานกับเสียงหัวเตียงโลหะราคาถูกกระแทกกับผนังห้องจนฉันเก็บเป็นข้อมูลและสามารถสรุปออกมาได้ว่าคืนไหนที่ผู้หญิงคนนั้นถึงจุดสุดยอด คืนไหนที่เธอไม่ถึง คืนไหนที่พวกเขาร่วมรักกันอย่างอบอุ่นอ่อนโยนและคืนไหนที่พวกเขาเล่นรักกันอย่างรุนแรง
แม้สุ้มเสียงเหล่านั้นอาจสร้างความรำคาญ ความหมกมุ่นและความละอายให้ใครบางคน แต่สำหรับฉันมันเป็นเรื่องธรรมดาที่น่ารื่นรมย์เหมือนความสวยงามของชีวิตและน่าชิงชังเหมือนจิตใจที่ไร้เมตตาของมนุษย์
จินตนาการและทัศนคติในเรื่องเพศของฉันส่วนหนึ่งอาจได้มาจากการใช้ชีวิตอยู่กับกลุ่มนักศึกษาที่ใช้ชีวิตทางเพศอย่างเสรี มันไม่ใช่ประสบการณ์ที่เลวร้ายแต่ก็ไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดี ถึงกระนั้นมันเป็นประสบการณ์ในชีวิตหนึ่งที่มีผลทำให้ฉันเริ่มสงสัยในสิ่งที่คนทั่วไปแทบไม่เคยสงสัย
ฉันลืมตา จริงอย่างคาด แม้ว่าปากของเขาจะกำลังประกบแนบสนิทกับปากของผู้หญิงคนนั้น แต่ดวงตาของเขาจ้องมองฉันด้วยแววตาที่ทำให้ฉันต้องมองเขาตอบปานโดนมนต์สะกด
ถึงฉันจะเคยปรามาสเพศผู้อย่างแสบสันต์ว่าถึงพวกเขาจะมีจ้าวโลกแต่เขาก็ไม่มีวันได้เอากับผู้หญิงทั้งโลก แต่ผู้ชายคนนี้กลับมีแววตาที่สามารถทำให้ผู้หญิงทั้งโลกยอมให้เอาจริงๆ
ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก ผู้ชายคนนี้คงมีโอกาสเลือกผู้หญิงมากกว่าจะอ้อนวอนขอให้ผู้หญิงเลือกตนเอง เขาคงมีทั้งรูปลักษณ์และอำนาจที่สามารถลากผู้หญิงทุกคนที่ต้องการขึ้นเตียง ฉันจึงมองเห็นแค่ความหยิ่งผยองพองขนอยู่ในแววตาคู่นั้น
ความเกลียดชังอย่างไร้เหตุผล อันที่จริงฉันควรเรียกความรู้สึกนี้ว่าความอิจฉาริษยาแต่เมื่อใดที่ความอิจฉาริษยาเข้าครอบงำเท่ากับเป็นการยอมรับว่าฉันต้อยต่ำกว่าอีกฝ่าย เพราะฉะนั้นฉันจะเรียกความรู้สึกนี้ว่าความเกลียดชังอย่างไร้เหตุผลแทน ฉันไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าฉันอิจฉาริษยาใคร มันก็แค่ความรู้สึกหงุดหงิดมากๆเวลาที่คนอย่างฉันได้เห็นพวกคนที่เกิดมามีพร้อมทุกอย่าง พวกคนที่เกิดมาโดยไม่เคยต้องดิ้นรนเจ็บปวดและต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด พวกที่ไม่เคยถูกเกลียดชัง ไม่เคยถูกลมปากอันร้ายยิ่งกว่าคมมีดของใครกรีดใจ พวกมันมีเงิน พวกมันก็มีเกียรติและมีความสำคัญ ไอ้บ้าที่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ ไอ้บ้าพวกนี้ไม่เคยรู้สึกรู้สากับความเจ็บปวดของใคร ไอ้พวกบ้าอย่างสิ่งมีชีวิตเพศผู้ที่คิดว่าตัวเองจะพิชิตโลกได้เหมือนพระเจ้าอเล็กซานเดอร์และไอ้พวกบ้าอย่างสิ่งมีชีวิตเพศเมียที่คิดว่าแค่ตัวเองสวยก็สามารถได้ทุกอย่างที่ต้องการ
..พะอืดพะอม..แต่จงกลืนมันลงไป โลกมันน่าพะอืดพะอมแต่อาเจียนออกมาไม่ได้ มันน่าอาย..มันน่าขายขี้หน้า..
ฉันเปิดกระเป๋าคลัตซ์ พยายามโฟกัสปรับสายตาหาคีย์การ์ด ก่อนจะหยิบมันขึ้นมา หันส่วนที่พิมพ์หมายเลขห้องให้เขาเห็นเต็มตา จากนั้นก็เก็บมันลงกระเป๋า ยิ้มหวานแล้วบังคับเท้าให้ก้าวออกไปเมื่อประตูลิฟท์เปิด
การให้ท่าของผู้หญิง สำหรับผู้ชายบางคนมันมีความหมายเดียวกับคำว่าท้าทาย ถ้าผู้ชายคนนั้นรักตัวกลัวตาย ฉันก็จะนอนหัวเราะให้ท้องจุกไว้อาลัยให้กับความขี้ขลาดของเขาไปสามวัน
แต่นี่..เขามา
บ้าบิ่นดีจัง ระวังฉันจะคลั่งจนเอามีดปอกผลไม้ไล่จิ้มสักสี่สิบแผล
“คนสวย ถ้าผมจะรักคุณคืนนี้ ผมต้องจ่ายเท่าไร”
เขากระซิบถามอย่างนั้นขณะที่มือลดลงไปลูบไล้สะโพกของฉัน สำหรับผู้หญิงคนอื่นจะว่าอย่างไรถ้าผู้ชายคนหนึ่งต้องการเธอเพราะเข้าใจว่าเธอคือโสเภณีที่เขาจะได้นอนด้วยเพียงแค่จ่ายเงิน แต่สำหรับฉัน ฉันไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะฉันรู้จักตัวเองดี ต่อให้ฉันสวมชุดไทยห่มสไบนั่งพับเพียบร้อยมาลัยอยู่กลางเรือน ฉันก็ไม่มีกลิ่นอายของผู้หญิงดีสักน้อยนิด
แต่ฉันก็แก้ความเข้าใจผิดของเขาเสียใหม่
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงพวกนั้นนะคะ”
“คุณมีดวงตาของเมดูซา มีเสน่ห์ของผู้หญิงแพศยา มีกลิ่นหอมยั่วยวนเหมือนนางปีศาจ ผมเข้าใจอะไรผิด”
ดูคำชมของเขาสิ เขาว่าดวงตาของฉันสาปผู้ชายทุกคนเป็นหิน
ลมหายใจร้อนๆของเขาแผดเผาผิวแก้มฉัน เขาเริ่มมีคำถามใหม่ “ผมเข้าไปได้ไหม”
มืออุ่นของเขาแทรกเข้าไประหว่างรอยแยกของเสื้อคลุมลูบไล้ผิวเนื้อของฉัน ปลายนิ้วของเขาบอกเจตนาชัดว่าคำถาม ‘ผมเข้าไปได้ไหม’ คงไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการจะเข้าไปในห้องของฉันแค่อย่างเดียว
เขาก้มลงมาจูบฉันอีก จูบที่เนิบนิ่งแต่เย้ายวนใจเหมือนกับกลิ่นน้ำหอมของฉัน เท่านั้นฉันก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้มีความสามารถเหมือนพ่อมดดำที่สามารถร่ายคำสาปให้ฉันตกเป็นทาสสวาทของเขาได้อย่างง่ายดาย
ในอนุสติที่เหลืออยู่ ฉันได้ยินเสียงประตูปิดและล็อกอัตโนมัติเนื่องจากคีย์การ์ดยังเสียบคาอยู่ เสื้อคลุมของฉันถูกถอดออกจากตัวแล้วร่างของฉันก็ถูกโยนลงบนเตียง
เสียงนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์มือถือทำให้ฉันลืมตา ภายในห้องมืดสลัวเพราะแสงอาทิตย์ไม่สามารถลอดผ่านม่านบานเกล็ดที่ปิดสนิทเข้ามาได้ อากาศภายในยังคงเย็นฉ่ำด้วยแอร์คอนดิชั่นฯ ฉันพลิกตัวอยู่สองสามครั้ง ยื่นมือออกไปลูบไล้ความนุ่มนวลเย็นชืดของผ้าปูเตียง ดื่มด่ำกับกลิ่นอายแห่งความว่างเปล่าเดียวดายก่อนจะลุกขึ้นนั่งชันเข่า
บนเตียงไม่มีร่องรอยอะไรไปมากกว่ารอยยับจากการขยับเคลื่อนไหวในขณะหลับ ดังนั้นมันจึงแน่นอนว่าถึงแม้บทรักบทนั้นจะหอมหวานซาบซ่านเพียงใดแต่ความฝันมันก็คือความฝัน มันเกิดขึ้น ดำเนินไปและจบสิ้นแค่ในความฝัน
..เขาไม่ได้มาที่นี่
เสียงโทรศัพท์ ฉันคว้ามาแนบหู
“อิมพีเรียล แม่ปิง อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณเพชรลดา ขอเชิญรับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารเอื้องคำภายในเวลาเก้านาฬิกาค่ะ”
ฉันวางหูโทรศัพท์ก่อนจะทิ้งร่างลงไปนอนอีกครั้ง
ชัดเจนจนเกินไป..คือความรู้สึกในโลกแห่งความเป็นจริง
ลึกซึ้งจนเกินไป..คือความรู้สึกในโลกแห่งความฝัน
ทำไมผู้ชายคนนั้นไม่ตามมา
ใกล้จะแปดโมงเช้า ฉันสวมแม๊กซี่เดรสตัวยาว แต่งหน้าบางๆและสวมต่างหูวงใหญ่ ก่อนก้าวออกไป ฉันไม่ลืมคว้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คลงไปด้วย เนื่องจากฉันมีเวลาแค่สองวันสำหรับเอกสารที่จะใช้ในคอร์สฝึกสอนนักศึกษา
ผู้คนในห้องอาหารเอื้องคำยังคงมาก ฉันได้เมนูและสั่งกาแฟลาเต้เย็นหนึ่งแก้วพร้อมด้วยแพนเค้กหน้าแคนตาลูปและกล้วยหอมราดน้ำผึ้ง อาหารเช้าของฉันเป็นของหวานแทนที่จะเป็นของคาวอย่างไส้กรอกไข่ดาวอย่างที่คนส่วนใหญ่นิยมกัน
หนุ่มฝรั่งผมและตาสีน้ำตาลที่น่าจะเป็นอิตาเลียนหรือไม่ก็สเปนทักทายฉันด้วยรอยยิ้ม ฉันยิ้มตอบและเบือนหน้ามาสนใจหน้าจอและแป้นพิมพ์ตัวอักษรบนโน้ตบุ๊คของตัวเอง
เงาคนตรงหน้า..อาหารเช้าของฉันคงได้
“วางเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
ร่างนั้นยังคงนิ่ง พอดีบริกรชายเพิ่งมา
“อาหารได้แล้วครับ”
“กาแฟดำหนึ่งที่”
แก้วกาแฟเย็นและจานแพนเค้กของฉันลอยลงมาอยู่บนโต๊ะอาหารด้วยมือของเขา ผู้ชายที่ถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าฉันก่อนถาม
“หวังว่าคุณคงไม่ได้รอใคร”
ฉันส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะคิดได้ว่าไม่ควรส่ายหน้า
“คุณมาเที่ยวเชียงใหม่คนเดียว”
“ฉันมาทำงาน”
“คุณทำงานอะไร”
ฉันมองตาเพื่อค้นหาความหมายซ่อนเร้นในคำถามนั้น แต่ไม่พบอะไรนอกจากความอยากรู้อยากเห็น
“ฉันเขียนนวนิยาย”
ฉันไม่ชอบพูดว่า ‘ฉันเป็นนักเขียน’ เพราะคำว่า ‘นักเขียน’ ฉันเชื่อว่ามันเป็นคำที่เอาไว้ให้คนอ่านหนังสือใช้เรียกคนเขียนที่หนังสือที่พวกเขายอมรับในฝีมือมากกว่าที่คนเขียนหนังสือคนคนนั้นจะใช้เรียกตัวเอง
กาแฟดำมาแล้ว เขายกขึ้นจิบแล้วเงียบ การสนทนาเว้นช่วงว่างราวกับจะเปิดโอกาสให้ฉันได้ซักถามเรื่องของเขาบ้าง แต่ฉันไม่ถามและไม่มีอะไรจะถาม
เขาชี้ไปที่อาหารเช้าของฉัน
“คุณควรทานอาหารเช้าก่อนทำงาน ไม่งั้นสมองมันไม่แล่น”
ฉันเปลี่ยนใจกดหน้าจอโน้ตบุ๊คลงและนั่งเท้าคางมองเขา
ด้วยสายตาของคนที่ชอบศิลปะและความงามอย่างฉัน อดไม่ได้ที่ใจยังจะชื่นชมว่าผู้ชายคนนี้หล่อลากดิน ยิ่งเมื่ออยู่ใกล้กันแค่ระยะโต๊ะกั้น ฉันยิ่งเห็นว่าผู้ชายคนนี้หล่อกว่าเมื่อวาน หน้าตาดีกว่าเมื่อคืน ทั้งในความจริงและในความฝัน
หน้าคม ผมดำ ผิวขาวแต่กลับดูทรงอำนาจอย่างแปลกประหลาดทั้งที่ผู้ชายผิวขาวที่ฉันเคยเจอมามักจะดูบอบบาง อ่อนแอและสำอางมากกว่าจะดูน่าเกรงขาม ก้าวร้าว เต็มไปด้วยความทระนงและดิบเถื่อนอย่างที่มนุษย์ผู้ชายในความเชื่อของโลกปิตาธิปไตยควรจะเป็น
ดวงตาของเขาเป็นอวัยวะที่โดดเด่นที่สุดบนใบหน้า รูปร่างเรียวยาวแต่ขนาดไม่เล็ก สีดำจัด ดำเหมือนถ่าน เป็นประกายเหมือนผลึกนิลล้อแสง เหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าคืนเดือนมืดในชนบท คมกริบเหมือนมีด เคร่งขรึมเหมือนตาสิงโต เศร้าซึ้งเหมือนตาวัว น่ากลัวเหมือนตางู
เขาจ้องตาฉันอย่างผู้ชายที่มั่นใจในเสน่ห์ของตนเอง ยิ้มที่มุมปาก
ฉันหลุบตา ดื่มกาแฟเย็นและยกเอาจานแพนเค้กขึ้นมาวางไว้บนโน้ตบุ๊ค ใช้มีดหั่นขนมภาคเช้าเป็นชิ้นพอดีคำ
“ผม..เมธวัชร์”
“เพชรลดา”
ฉันตอบตามมารยาทแค่นั้นแล้วก้มหน้าก้มตากิน
“ตอนเที่ยงคุณว่างไหม”
“ไม่”
เมื่อเห็นดวงตาของเขายังรอคอยคำตอบที่ยาวกว่านั้น ฉันเลยพูดต่อ
“ฉันมีสัมมนาที่มหาวิทยาลัยตอนบ่ายโมงตรง”
“ตอนค่ำ”
“ฉันต้องอยู่สอนนักศึกษาจนมืด”
ทั้งหมดเป็นกำหนดการที่ ‘อาจ’เกิดขึ้นจริงในขณะที่ฉันเหมือนไม่ใช่ผู้หญิงจริงๆ เพราะส่วนใหญ่ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงแล้ว หากผู้ชายมาทำทีว่าสนใจ ถึงอย่างไรก็คงดีใจและอยากจะตอบรับไมตรีด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งเป็นผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลาและดูมาดว่ากระเป๋าจะมีเงินมากอย่างนี้ด้วยแล้ว ผู้หญิงที่ไม่ปฏิเสธเขาคงจะเอาฉันไปนับญาติกับควายหรือไม่ก็ลา หรือไม่ก็ตัวอะมีบา สัตว์ชั้นต่ำไร้สมอง
แต่บังเอิญฉันเป็นพวกเกิดมาทำอะไรตามอารมณ์และตอนนี้ฉันก็ไม่มีอารมณ์ ก็เหมือนเซ็กส์กับขนมหวาน..ต่อให้มันสุขสนุกสุดยอดหรือเอร็ดอร่อยมากเท่าไร แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตเหมือนน้ำ อากาศและปัจจัยสี่ ถ้าไม่มีอารมณ์จะกิน มันก็ไร้ประโยชน์
“คุณสัมภาษณ์ที่ไหน”
“คุณจะไปฟังหรือไง”
“ตอนบ่ายผมว่าง ไม่มีอะไรทำ”
ฉันกลืนแพนเค้กเข้าไปหลายคำแต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะจากไปตราบใดที่ยังไม่ได้คำตอบ
“ตึกขาว คณะมนุษย์ศาสตร์ ห้องประชุมใหญ่ชั้นแปด”
“คุณเขียนนวนิยายแนวไหน”
“คุณไปฟังก็รู้เอง”
ฉันพูดแค่นั้นก็วางส้อมกับมีดลง เหลือแพนเค้กมากกว่าครึ่งไว้ให้พ่อครัวเอากลับไปดูต่างหน้าก่อนจะลุกขึ้นคว้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของตัวเองออกมาจากโต๊ะและก้าวออกไปจากห้องอาหาร เขาทิ้งกาแฟดำไว้และเดินตามฉันออกมา แต่เมื่อฉันพ้นจากประตูห้องอาหาร ผู้หญิงในลิฟท์คนเมื่อวานก็พุ่งเข้ามาเกือบชนฉันกระเด็น ดีที่ฉันคุ้นเคยกับรองเท้าส้นสูงคู่โปรดของฉันเป็นอย่างดี ไม่งั้นคงล้มปากแตก
“คุณเมธวัชร์ขา ลงมาทานอาหารเช้าก็ไม่ปลุกลิลลี่เลย ลิลลี่โกรธแล้วนะ”
ลิลลี่ไม่ใช่แหม่มแน่ๆ แต่หน้าตาอย่างเดียวกระมังที่ฟ้องว่าผู้หญิงคนนั้นคือคนไทย เพราะผมของเธอก็ย้อมสีน้ำตาลประกายทอง ส่วนเสื้อผ้ากระเป๋านั้นดูท่าว่าจะเป็นของนอกประเทศทั้งหมด
เมคอัพอาร์ทติสชื่อดังที่ฉันรู้จักเคยบอกว่าใบหน้าของสาวไทยและสาวเอเชียเป็นใบหน้าที่ราบเรียบ ‘ไร้เทกเชอร์’ (อนุมานว่าน่าจะมาจากคำว่า texture ที่แปลว่าโครงสร้างพื้นฐานแต่ออกเสียงเท่ๆตามสไตล์ของผู้ชายที่เรียกผู้หญิงว่าชะนี) ไม่เหมือนใบหน้าของผู้หญิงตะวันตกดังนั้นการแต่งหน้าของสาวไทยจึงควรเน้นที่ดวงตาโดยการกรีดอายไลเนอร์และปัดมาสคาร่ารวมทั้งไฮไลท์สันจมูกขึ้นมาเพื่อให้ใบหน้าดูมี ‘เทกเชอร์’ ขึ้นมาบ้าง แต่ใบหน้าของเธอคนนี้ เจ้าตัวคงตระหนักว่ามัน ‘ไร้เทกเชอร์’ กว่าสาวไทยปกติมากจึงประโคมซะคมเข้มขนาดนั้น
ถึงกระนั้น ฉันก็กล้าเชิดหน้ายอมรับว่าผู้หญิงคนนี้สวยกว่าฉัน
และเป็นธรรมดา แม้ว่าพระเอกในละครจะชอบผู้หญิงจืดๆโทรมๆเหมือนนางเอก แต่ฉันเชื่อว่าผู้ชายแบบนี้ในชีวิตจริงชอบผู้หญิงที่เหมือนนางร้ายในละครมากกว่า
“มองอะไรยะ!”
ฉันตรวจโน้ตบุ๊คจนแน่ใจว่ามันไม่ได้ไปกระแทกอะไร จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นเพราะเสียงตวาดแว้ดแหวของเจ้าหล่อน ยัยนี่เหมือนนางร้ายในละครหลังข่าวจริงๆ โดยเฉพาะเสียงแหลมปรี๊ดและแววตาที่มองฉันประกาศอาณาเขตและความเป็นเจ้าของผู้ชายที่เธอเกาะอย่างโจ่งแจ้ง..ห้ามแย่งเด็ดขาด
ก็ไม่ได้คิดจะแย่ง
ฉันกอดโน้ตบุ๊คแล้วหันหลังเดินจากไป ไม่ถือสาความก้าวร้าวของผู้หญิงสวย ไม่ใช่เพราะฉันบูชาความสวย แต่เพราะฉันเป็นผู้หญิง ฉันจึงเข้าใจว่ากว่าผู้หญิงจะสวยได้ เธอต้องทนไดเอทอดอาหารที่อยากกินจนหงุดหงิด เธอต้องทนเจ็บตาใส่คอนแทคเลนส์หลากชนิด เธอต้องทนอึดอัดใส่ชั้นในบีบอัดทรวดทรง เธอต้องทนกับกลิ่นเหม็นของน้ำยาย้อมผมผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์จนสุขภาพจิตเสีย เธอต้องทนกินอาหารเสริมรักษาหุ่นบำรุงผิวบำรุงเล็บบำรุงผมเป็นกอบเป็นกำจนระบบตับไตไส้พุงและฮอร์โมนแปรปรวน ดังนั้นฉันจึงไม่แปลกใจที่ผู้หญิงที่เข้าขั้นสวยจัดๆจะมีอาการ ‘เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง’หรือโผล่หน้าเข้ามาก็อยากหาอะไรขว้างใส่หัวใครสักคนหรือเมื่อไม่ได้ดั่งใจก็ร้องกรี๊ดลั่น ก็..ผู้หญิงสวยน่ะ..ผู้หญิงปกติเสียเมื่อไร
พวกเธอสร้างเคราะห์กรรมให้ตนเองมามากพอแล้ว ฉันไม่อยากซ้ำเติม
ฉันขึ้นห้องไปนอนต่อชั่วขณะหนึ่งแต่แล้วกลับนอนไม่หลับ จึงลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ลงไปบอกประชาสัมพันธ์ว่ายกเลิกคำสั่งโทร.ปลุกตอนห้าโมงเพราะฉันจะไปมหาวิทยาลัยแล้ว
ทั้งที่คิดว่าสักห้าโมงเช้าจะทำตัวกลมกลืนไปทานอาหารกลางวันร่วมกับนักศึกษาในโรงอาหารคณะมนุษยศาสตร์ แต่โชคชะตาก็พาฉันกลับไปยืนระลึกถึงความหลังนิ่งค้างอยู่หน้าบอร์ดว่างบนกำแพงตึกขาว บอร์ดว่างที่ใครก็สามารถหยิบกระดาษปากกาที่เสียบไว้ในช่องว่างมาเขียนอะไรไว้ก็ได้ มันเหมือนการสนทนากับคนแปลกหน้าในคณะโดยที่ไม่มีใครเห็นหน้าใคร (เว้นจะมาเขียนต่อหน้ากันจังๆ)
ที่นี่คือเสรีภาพแห่งการแสดงความคิดเห็น
บอร์ดกระดานเก่ามาก และครั้งหนึ่งฉันเองก็เคยเขียนอะไรต่ออะไรไว้ที่นี่ ทั้งข้อความ ทั้งบทกวีและเรื่องสั้น บางครั้งก็ตัดพ้อร้องไห้ด้วยถ้อยอักษร..บางครั้งก็กัดแขวะใครบางคนด้วยแรงอารมณ์ของสาวรุ่น
วันนี้มันก็ยังคงเต็มไปกระดาษและตัวหนังสือ
*
สันติภาพคือช่องว่างระหว่างสงครามหนึ่งกับอีกสงครามหนึ่ง
*
ไอ้กร๊วก!
สงครามคือสิ่งที่ผู้ชนะต้องการ
คนแพ้เท่านั้นที่เรียกร้องสันติภาพ!
*
เจ้าของสองข้อความข้างบน สองทุ่มคืนนี้เชิญที่ผับพี่ดาวหลังมอ
กูจะร้อง Civil War ให้มึงฟัง
*
กูร้อง Imagine หลังหอชายสี่
สาวกป๋าจอห์นคนไหนมีกีตาร์โปร่ง เอาไปด้วย กูมีแต่เหล้า
*
พระเจ้าตายแล้ว
คนพูดก็ตายแล้ว
*
ถ้ามึงไม่ตามหาความหมายของการมีชีวิต
ก็กินปี้ขี้เยี่ยวให้พอใจแล้วตายโหงตายห่าไปซะ
*
ความรักของผู้ชายแม่งห่วยแตก มันคือสงครามและการยึดครอง อย่าพูดถึงเสรีภาพ
เพราะความรักคือการที่ผู้ชายคนหนึ่งกักขังพันธนาการผู้หญิงคนหนึ่งด้วยศักดิ์ศรีและความทะนงยโสโอหังทั้งหมดของมัน
หากผู้หญิงคนหนึ่งพยายามแหกกรงออกไป ผู้ชายคนนั้นก็จะใช้อำนาจที่เหนือกว่าลากหล่อนกลับมาหรือไม่ก็ทำลายหล่อนทิ้งเสีย
ยอมรับเสียเถิดว่า..โลกใบนี้ไม่มี..ความรัก ความรักเป็นเพียง ‘นาม’ ที่ ‘ถูกสร้าง’ขึ้นมาเพื่อเรียกอารมณ์ปรารถนาและปฏิกิริยาเคมีที่ถูกสร้างมาด้วยสัญชาตญาณแห่งการดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์
*
ผู้หญิงสามารถมีอำนาจเหนือผู้ชายหรือไม่ (และการที่เธอพยายามแสวงหาอำนาจเหนือผู้ชาย นั่นคือภาวะที่เธอตระหนักว่าเธอไร้อำนาจหรือเปล่า)
อะไรคืออำนาจของพวกเธอ? ความงาม ความสาว การต่อรอง เซ็กส์?
การที่ผู้หญิงสามารถเล่นเซ็กส์อย่างเสรีเหมือนผู้ชายคือการแสดงตนถึงความเทียบเท่าระหว่างเพศได้จริงๆ หรือนั่นคือการยอมรับอย่างศิโรราบอย่างแท้จริงว่าเธอไม่เท่าเทียมกับเขา
เพราะอะไร ทำไมผู้ชายจึงมีอำนาจเหนือผู้หญิงตลอดมา
ธรรมชาติหรือประวัติศาสตร์ที่สร้างสังคมปิตาธิปไตย
*
ความรักคือมายา ตัณหาคือของจริง
*
Love don’t kill,people do.
(ความรักไม่เคยฆ่าใคร คนต่างหากที่ฆ่า)
*
Love don’t die,people do.
(ความรักไม่เคยตาย คนต่างหากที่ตาย)
*
ฉันอ่านไป หัวเราะไป ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรือแปลกใหม่ มนุษย์ก็ยังทำเรื่องเดิมๆและยังคร่ำครวญอยู่กับเรื่องเดิมๆ เรื่องที่แม้กระทั่งฉันในอดีตก็เคยคร่ำครวญถึงมัน เรื่องที่ความหวังให้คำมั่นสัญญาว่าสักวันฉันจะเข้าใจ แต่เวลาผ่านไปจนมาถึงบัดนี้แล้ว ฉันก็ยังไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร อีกกี่ร้อยกี่พันวัน อีกกี่สิบกี่ร้อยปี ฉันจะ ‘ตายโหงตายห่า’ ไปจากโลกนี้ไปก่อนที่จะได้เข้าใจหรือไม่
แปลก ยิ่งมีชีวิตอยู่นานเท่าไร ยิ่งเรียนรู้มากเท่าไร ฉันก็รู้ว่าตนเองช่างไร้ค่า โง่งม ไร้ความสามารถและยิ่งสิ้นหวังกับการไร้หนทางออกไปสู่แสงสว่าง
ฉันช่างโง่เง่า โง่อย่างที่น่ากระทืบให้ตายที่เพียรเอาความรู้เท่าก้อนกำปั้นลงไปถมมหาสมุทรแห่งความโง่เขลาในวิญญาณของตนเอง ท้ายที่สุด..มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ฉันยังคงเหมือนคนตาบอดที่มองอะไรไม่เห็นสักอย่าง เป็นเพียงคนโง่คนหนึ่งที่แม้แต่เรื่องง่ายๆคือการช่วยตัวเองให้หลุดพ้นไปจากความสงสัยก็ยังทำไม่ได้
ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร แต่สำหรับฉัน เวลาในหนึ่งชั่วชีวิต..เร็วเกินไปที่จะคิดว่าฉันฉลาด เร็วเกินไปที่ฉันจะมีศาสนา และเร็วเกินไปที่ฉันจะศรัทธาต่อสิ่งใด
ฉันหยิบปากกาเขียนข้อความลงบนแผ่นกระดาษและแปะลงไปบนกระดาน
*
ฉันอยากรู้เรื่องราวของคนบนโลกใบนี้แต่ไม่มีอะไรเกี่ยวกับคนบนโลกใบนี้ที่ฉันสามารถล่วงรู้และเข้าใจได้เลย ถึงกระนั้น มีสิ่งหนึ่งที่ฉันพอจะเชื่อใจได้ว่าฉันรู้..ฉันเข้าใจ นั่นคือฉันรู้ว่า..ผลไม้ต้องห้ามผลนั้นได้เน่ามานานแล้ว และบัดนี้..มันเน่าเกินกว่าจะเยียวยา ความโง่งมกำลังจะกลับมาและการกลับมาของความโง่ในคราวนี้..ไม่น่าจะดี
*
สร้อยดอกหมาก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 เม.ย. 2554, 19:04:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 เม.ย. 2554, 19:04:56 น.
จำนวนการเข้าชม : 4202
<< ตอนที่ 2 : เขามองฉันเหมือนพระราชากำลังมองผู้หญิงที่ถูกนำมาถวายตัวให้เป็นนางสนม | ตอนที่ 4 : ผู้ชายที่มั่นใจจนน่ากลัวและฉลาดจนน่าเกลียด >> |
ก้อนอิฐ 4 เม.ย. 2554, 19:58:24 น.
มารอตอนต่อไปจ่ะ
มารอตอนต่อไปจ่ะ
maybe 4 เม.ย. 2554, 20:43:53 น.
คุณสร้อยจะลงที่นี่ตลอดหรือเปล่าเอ่ย หรือลงที่ blog ด้วย
แล้วเรื่องสรวงสวรรค์แดนตะวันล่ะคะ ต้องขอ pass ไหมคะ เห็นคุณสร้อยเคยบอกว่าจะ up ใน blog
ตามมาให้กำลังใจค่ะ ^ ^
คุณสร้อยจะลงที่นี่ตลอดหรือเปล่าเอ่ย หรือลงที่ blog ด้วย
แล้วเรื่องสรวงสวรรค์แดนตะวันล่ะคะ ต้องขอ pass ไหมคะ เห็นคุณสร้อยเคยบอกว่าจะ up ใน blog
ตามมาให้กำลังใจค่ะ ^ ^
สร้อยดอกหมาก 4 เม.ย. 2554, 21:25:20 น.
ค่า ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็จะลงต่อไปเรื่อยๆค่ะ
ส่วนสรวงสวรรค์แดนตะวัน ถ้าเขียนแล้วก็ว่าจะมาลงที่นี่เช่นกันค่ะ(แต่สร้อยยังไม่ได้เขียนต่อเลยนะเออ ฮ่าๆ)
ค่า ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็จะลงต่อไปเรื่อยๆค่ะ
ส่วนสรวงสวรรค์แดนตะวัน ถ้าเขียนแล้วก็ว่าจะมาลงที่นี่เช่นกันค่ะ(แต่สร้อยยังไม่ได้เขียนต่อเลยนะเออ ฮ่าๆ)
จุฬามณีเฟื่องนคร 5 เม.ย. 2554, 20:04:46 น.
ปรบมือให้ครับ..เยี่ยม
ปรบมือให้ครับ..เยี่ยม
องุ่น 11 พ.ค. 2555, 03:49:34 น.
สนุกมากคะ
สนุกมากคะ