ข้ามกาล
อุบัติเหตุทำให้พระจันทร์ย้อนอดีตมาอยู่ในวังของหม่อมเจ้าใครเลยจะคิดว่าชีวิตลูกกำพร้าผู้ต่ำต้อยเช่นพระจันทร์
จะมีดาวฤกษ์อย่างดวงอาทิตย์มาโคจรรอบตัวถึงสามดวง
ดวงแรกนั้นพระจันทร์ทั้งรักและเทิดทูน ยึดเป็นที่พึ่งทางใจเสมอมา
พระอาทิตย์ดวงนี้เมตตาพระจันทร์ยิ่งนัก แต่ก็สงวนท่าทีเหลือเกิน
ใจท่านคิดเช่นไร พระจันทร์ไม่อาจรู้ได้เลย
ดวงที่สองร้อนแรงดังเพลิงกัลป์ หยิ่งทระนงหนักหนา
ทั้งยังเป็นคู่อริกันมาช้านาน ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ในวันที่หนาวเหน็บที่สุด
พระอาทิตย์วายร้ายกลับเต็มใจมาอยู่เคียงข้างพระจันทร์
คอยส่องแสงให้ความอบอุ่นโดยไม่ต้องร้องขอ
ส่วนดวงที่สามพระจันทร์รักเคารพเสมอเหมือนพี่ชาย
ความที่เขามีคู่หมายซึ่งเหมาะสมกันอยู่แล้ว
พระจันทร์จึงไม่เคยคิดเป็นอื่น แต่โชคชะตากลับเล่นตลก
ส่งกามเทพมาแผลงศรทำให้พี่ชายเผลอรักพระจันทร์หมดใจ
จะมีดาวฤกษ์อย่างดวงอาทิตย์มาโคจรรอบตัวถึงสามดวง
ดวงแรกนั้นพระจันทร์ทั้งรักและเทิดทูน ยึดเป็นที่พึ่งทางใจเสมอมา
พระอาทิตย์ดวงนี้เมตตาพระจันทร์ยิ่งนัก แต่ก็สงวนท่าทีเหลือเกิน
ใจท่านคิดเช่นไร พระจันทร์ไม่อาจรู้ได้เลย
ดวงที่สองร้อนแรงดังเพลิงกัลป์ หยิ่งทระนงหนักหนา
ทั้งยังเป็นคู่อริกันมาช้านาน ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ในวันที่หนาวเหน็บที่สุด
พระอาทิตย์วายร้ายกลับเต็มใจมาอยู่เคียงข้างพระจันทร์
คอยส่องแสงให้ความอบอุ่นโดยไม่ต้องร้องขอ
ส่วนดวงที่สามพระจันทร์รักเคารพเสมอเหมือนพี่ชาย
ความที่เขามีคู่หมายซึ่งเหมาะสมกันอยู่แล้ว
พระจันทร์จึงไม่เคยคิดเป็นอื่น แต่โชคชะตากลับเล่นตลก
ส่งกามเทพมาแผลงศรทำให้พี่ชายเผลอรักพระจันทร์หมดใจ
Tags: พีเรียต ย้อนยุค ช่วงปี 2493-2507 คุณชาย ท่านชาย นายแพทย์ พระเอกในเรื่องไม่รู้เป็นใคร แต่หนุ่มๆ แซ่บเวอร์ วัง หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ ย้อนเวลา โรแมนติก คอมเมดี้ หวานๆ ดราม่าเบาๆ ภาษาอ่านง่าย
ตอน: บทที่ 4 ชีวิตที่เลือกไม่ได้
บทที่ 4 ชีวิตที่เลือกไม่ได้
‘ที่นี่ที่ไหน’ พระจันทร์ถามตัวเองเมื่อลืมตาขึ้นมาในห้องสีขาวโพลนกว้างสุดลูกหูลูกตา
เด็กสาวนั่งทำหน้างงอยู่อึดใจก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองประสบอุบัติเหตุ เธอก้มลงมองหาบาดแผลตามร่างกายแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าตัวเองกำลังลอยอยู่เหนือพื้นประมาณสองนิ้ว
‘ความฝันแน่ๆ’
พระจันทร์พยายามปลุกตัวเองให้ตื่นแต่ก็ไม่สำเร็จ เลยลองหยิกแขนขวาสุดแรงดู ผลคือเธอไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว ที่แปลกไปกว่านั้นคือเธอรู้สึกได้ว่าหัวใจไม่เต้นซ้ำยังไม่หายใจด้วย
เด็กสาวถอนหายใจออกมาเมื่อพบว่าตัวเองติดอยู่ในความฝันแสนพิลึก
“มีใครอยู่ไหมคะ” เธอตะโกนสุดเสียง แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ มีร่างคนมายืนแทนที่อากาศตรงหน้า
“รู้สึกตัวแล้วเหรอ” หญิงสาวผมยาวหน้าตาหมดจดถาม
พระจันทร์ยังไม่ทันได้ตอบเธอก็พูดเจื้อยแจ้วต่อไปแบบไม่สนใจคู่สนทนา
“ฉันตามหาเธอมาตั้งนานรู้ไหม ไม่คิดเลยว่าจะมาอยู่นี่ ที่จริงมันก็มีออกบ่อยนะเรื่องการสลับร่างเนี่ย แต่กรณีเธอนี่มันพิเศษจริงๆ ตรงที่สลับร่างกันตั้งแต่เป็นทารก แถมยังโดดข้ามกาลเวลามาตั้งไกล พวกเราประชุมกันแทบตายว่าจะจัดการยังไง ไม่ทันได้ข้อสรุป วิญญาณเธอสองคนก็กระเด็นมาที่ห้องพิพากษาเสียอย่างนั้น”
“คุณพูดอะไรคะ หนูไม่เข้าใจ” พระจันทร์ขัดก่อนที่จะงงมากไปกว่านี้
หญิงสาวแปลกหน้าเม้มปากอย่างใช้ความคิด อึดใจก็ยิ้มกว้างประหนึ่งค้นพบคำอธิบายดีๆ แต่พระจันทร์ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
“สรุปง่ายๆ คือระบบชะตากรรมพาเธอทั้งสองคนมาที่นี่เพื่อให้เลือกไง ตัดสินใจสิจ๊ะว่ากลับไปที่เดิมหรือไปอยู่ที่ใหม่”
“เธอสองคนนี่หมายถึงหนูกับใครคะ” พระจันทร์กลั้นใจไม่รัวคำถามเพราะเกรงว่าจะได้รับคำอธิบายที่ชวนมึนกลับมาอีก
“เธอคนนั้นไง อยู่ด้วยกันตั้งนานไม่เห็นเหรอ” หญิงสาวชี้ไปตรงที่ว่างข้างตัวพระจันทร์
เด็กสาวมีอันต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อพบว่าข้างกายมีร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงอายุประมาณหกเจ็ดขวบนั่งอยู่ เด็กน้อยใส่คอกระเช้า นุ่มผ้าซิ่น ไว้ผมสั้นยาวเลยติ่งหูมาหน่อย สีหน้าของเธอดูหวาดกลัวไม่น้อย เห็นแล้วก็นึกอยากปลอบขึ้นมา เลยขยับเข้าไปใกล้ แต่เด็กหญิงกลับถดตัวหนีแล้วมองกลับมาด้วยสายตาหวาดระแวง
“พี่ไม่ทำอะไรหนูหรอกจ้ะ พี่มาดีนะ บอกพี่ได้ไหมว่าหนูเป็นใคร” พระจันทร์ถามเสียงนุ่มแต่เด็กหญิงก็ไม่ยอมตอบ
ไม่ว่าพระจันทร์จะพยายามผูกมิตรด้วยอย่างไรเด็กน้อยก็ยังถอยหนี เมื่อจนใจจะสอบถามพระจันทร์ก็หันกลับมาหาอีกคน ที่แม้จะพูดไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ก็ยังยอมเปิดปากคุยด้วย
“คุณคะ คุณช่วยอธิบายให้หนูฟังหน่อยได้ไหมว่าอะไรเป็นอะไร หนูสับสนไปหมดแล้ว” พระจันทร์วิงวอน
“เฮ้อ! เธอนี่เข้าใจอะไรยากจัง” เจ้าหล่อนทำปากจิ๊จ๊ะแล้วมองพระจันทร์ด้วยสายตาของคนที่กำลังมองเด็กสมองทึบ “อธิบายเรื่องปรากฏการณ์การสลับวิญญาณไปเธอคงไม่เข้าใจ อืม...เอาเป็นว่าเธอต้องเลือกแล้วล่ะว่าจะเอายังไง เราจะได้ออกไปจากห้องพิพากษาเสียที”
พระจันทร์พยายามจับจุดสิ่งที่ได้ฟัง แล้วสรุปได้ว่าเธอกับเด็กหญิงคนนี้อาจจะสลับร่างกัน แต่จะสลับอย่างไร ที่ไหน เมื่อไร ซักไปก็คงไม่ได้คำตอบ ที่รู้อีกอย่างคือห้องสีขาวนี่คือห้องพิพากษา ส่วนจะเอาไว้ทำอะไรนั้นเด็กสาวไม่อยากคิดต่อ เพราะเริ่มกลัวว่านี่อาจจะไม่ใช่ความฝัน
“ถ้าหนูเลือกจะได้กลับบ้านใช่ไหมคะ”
“ใช่ แต่ต้องเห็นพ้องต้องกันทั้งสองฝ่ายนะ เพราะเธอสองคนสลับที่กันอยู่”
“ถ้าตกลงกันไม่ได้จะทำยังไงคะ” พระจันทร์ชำเลืองมองเด็กน้อย
“ก็ต้องเอาเรื่องเข้าประชุม บอกไว้ก่อนเลยนะว่าพวกเรางานยุ่งมาก ไม่ว่างมาคอยนานๆ หรอกนะ อีกอย่างถ้าไม่รีบกลับไปร่างเนื้อของพวกเธออาจตายก่อนก็ได้ ว่าไงล่ะจะกลับที่เดิมหรือจะไปที่ใหม่”
แม้จะไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือความฝันแต่พระจันทร์ก็ต้องตัดสินใจ
“ฉันอยากกลับเข้าร่างตัวเองค่ะ หมายถึงร่างที่ประสบอุบัติเหตุ”
“ร่างไหนล่ะ ก็ประสบอุบัติเหตุแล้วลอยมานี่ด้วยกันทั้งคู่”
“ก็ร่างของฉันไงคะ ร่างที่เป็นพระจันทร์”
“ฉันจะรู้กับเธอไหมเนี่ยว่าร่างไหน ชื่อก็จันทร์ๆ ด้วยกันทั้งคู่” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงรำคาญ
พระจันทร์เองก็หงุดหงิดไม่น้อย ทำไมเธอต้องมาเถียงกับคนคนนี้ด้วยก็ไม่รู้ เด็กสาวพยายามระงับโทสะแล้วเอ่ยอย่างใจเย็นว่า
“ร่างที่ฉันอยู่ก่อนจะมาที่ห้องนี้ค่ะ”
“อ๋อ! พูดอย่างนี้ตั้งแต่แรกก็เข้าใจแล้ว” เจ้าหล่อนบ่นอุบอิบพลางสะบัดข้อมือเร็วๆ อึดใจก็มีคทาอันหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือขาวเนียน
“ฉันจะ...” หญิงสาวชะงักไปแล้วทำท่าเงี่ยหูฟังบางอย่าง
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“จุ๊ๆ เงียบก่อน ฉันกำลังคุยกับหัวหน้า”
พระจันทร์จำต้องเงียบตามคำสั่ง เธอเห็นหญิงสาวยืดตัวตรงรับคำขึงขัง พักหนึ่งเธอก็ค้อมตัวให้กับอากาศแล้วจึงหันมาสบตาด้วย
“เสียใจด้วยนะ เธอตัดสินใจช้าไป ตามกฎเราไม่สามารถส่งดวงวิญญาณที่ไม่ใช่เจ้าของร่างที่แท้จริงไปตายได้ เพราะฉะนั้นเธอต้องกลับไปในที่ที่ตัวเองสมควรจะอยู่”
หญิงสาววาดคทาในมือเป็นวงกลมรอบตัวพระจันทร์และหันมาทำแบบเดียวกันรอบตัวเด็กหญิง
“ขอให้สนุกกับชีวิตที่ควรจะเป็นของเธอมาตั้งแต่ต้นนะ” หญิงสาวยิ้มพรายแล้วโบกมือลา
“เดี๋ยวค่ะ! คุณจะทำอะไรคะ”
พระจันทร์พยายามประท้วงแต่ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว ร่างเธอค่อยๆ จมลงกับพื้น เด็กสาวพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาแต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ มือเธอทะลุผ่านทุกอย่างที่อยู่รอบตัวไปหมด
“คุณจะส่งหนูไปไหน หนูอยากกลับร่างเดิม ให้หนูกลับไปเถอะค่ะ” พระจันทร์อ้อนวอนขณะที่ตัวกำลังจมหายลงไปถึงระดับอก
หญิงสาวปริศนาไม่สนใจฟังเสียงของพระจันทร์ เธอกำลังคุยกับเด็กหญิงที่ร่างกำลังจะจมหายไปเกือบหมดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
“ตอนตายเจ็บไม่มากหรอก อีกเดี๋ยวฉันจะไปรับเธอมาอีกรอบนะ”
นี่คือเสียงสุดท้ายที่พระจันทร์ได้ยินก่อนที่ร่างกายจะถูกดูดกลืนเข้าไปในความว่างเปล่าสีขาว เด็กสาวมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากแสงสว่างจ้ากับกระแสลมแรงที่แทบจะพัดตัวปลิว เธอหยีตาแล้วเอามือกันตัวเองเอาไว้ด้วยเกรงว่าจะมีอะไรลอยมา ความที่ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรทำให้หวาดกลัวจับจิต สิ่งเดียวที่ทำได้คือภาวนากับตัวเองซ้ำซากไปมา
‘ขอให้ตื่นจากฝัน ขอให้ตื่นจากฝัน ขอให้ตื่นจากฝัน’
กลางดึกสงัด ในห้องชั้นสองของเรือนไม้สองชั้นขนาดย่อม พุดจีบเฝ้ามองร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงที่นอนเพ้อไม่เป็นภาษาด้วยความเป็นห่วง เด็กสาวบรรจงบีบผ้าชุบน้ำจนหมาดแล้วน้ำมาเช็ดให้น้องอีกครั้งทั้งที่เพิ่งจะเช็ดตัวให้ไปเมื่อไม่กี่อึดใจ
“หนูจันทร์จะเป็นอะไรไหมจ๊ะ” เธอถามผู้ใหญ่ในที่นั้นเสียงเครือ
“คุณป้าสวดคาถาไล่ผีพรายกับติดยันต์ให้แล้ว คงไม่เป็นไรดอก” ว่านตอบแบบไม่ใคร่จะเต็มเสียงนัก
แจ่มจันทร์จมน้ำเมื่อวานซืน ตอนช่วยขึ้นมาได้ก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอตกค่ำเท่านั้นแหละกลับเป็นไข้ตัวร้อน กินยาก็แล้วเช็ดตัวก็แล้วทำอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น อาการอย่างนี้ตอนอยู่บ้านนอกเธอเห็นมานักต่อนักว่าไม่มีใครอยู่รอดได้เกินอาทิตย์สักคน พวกผู้ใหญ่บอกว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะผีพรายมันเล็งว่าจะเอาตัวไป เลยตามรังควานเพื่อให้มีตัวตายตัวแทน ทางแก้ไขคือให้รีบพาไปรดน้ำมนต์ปัดรังควาน ไม่ก็สวดคาถาติดยันต์เอาไว้ในห้องเหมือนอย่างที่นางสมใจกำลังทำให้ ส่วนจะได้ผลหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าผีร้ายฤทธิ์แรงแค่ไหนและคนถูกจ้องเอาชีวิตมีบุญพอได้อยู่หรือเปล่า
“คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองแจ่มจันทร์ด้วยเถอะเจ้าค่ะ มันยังเล็กนัก แค่กำพร้าพ่อกับแม่ก็น่าเวทนาพอแล้ว อย่าให้ผีพรายมาเอาชีวิตมันไปไวนักเลย” ว่านอดที่จะสวดภาวนาไม่ได้
พุดจีบเห็นดังนั้นก็ยกมือขึ้นไหว้ตาม เด็กสาวไม่ได้เปล่งเสียงอธิษฐานออกมาแต่ก็ตั้งจิตตั้งใจภาวนาเต็มที่ แจ่มจันทร์จมน้ำครั้งนี้เพราะความประมาทเลินเล่อของเธอเอง ถ้ามีน้ำใจนั่งเฝ้าตอนน้องลงเล่นน้ำสักนิดเรื่องคงไม่เกิด
“ดึกแล้วพวกเอ็งไปนอนกันเถอะไป ป้าจะเฝ้าแจ่มจันทร์เอง” นางสมใจออกคำสั่ง
“ค่ะคุณป้า” ว่านรับคำแล้วค่อยๆ ขยับลุกขึ้นมาจากพื้น
พุดจีบยังคงนิ่งไม่ไปไหน เด็กสาวมองดวงหน้าของเด็กน้อยที่แดงก่ำเพราะพิษไข้ด้วยความสงสารจับจิต เธอทิ้งน้องไปไม่ลง ทั้งยังกลัวจับใจว่าอาจต้องจากกันไปโดยไม่ได้ร่ำลา
“ให้ฉันอยู่เฝ้าด้วยนะจ๊ะ”
“อย่าเลย เอ็งมันพวกขวัญอ่อน เดี๋ยวผีมันก็เอาตัวไปแทนหรอก” นางสมใจขู่เพราะอยากให้พัก
พุดจีบเฝ้าแจ่มจันทร์อยู่ไม่ห่างมาสองวันแล้ว ข้าวปลาแทบไม่ยอมกิน คนที่มีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆ จึงอดห่วงไม่ได้
“พุดจีบไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณป้า พระก็มี หลวงพ่อท่านคงช่วยได้” เด็กสาวเอามือทาบตรงสร้อยพระที่ห้อยคออยู่ แล้วคลานเข่ามาหาผู้สูงวัย “ให้พุดจีบอยู่กับหนูจันทร์เถอะนะจ๊ะ”
นางสมใจมองสีหน้ากังวลของหลานสาวอย่างเข้าใจ แกจึงพยักหน้าน้อยๆ แล้วบอกให้ไปเตรียมที่นอนหมอนมุ้งมานอนในห้องนี้
สองป้าหลานผลัดกันลุกขึ้นมาเช็ดตัวให้เด็กน้อยตลอดคืน ผลแห่งความเพียรพยายามกับยาดีที่ได้มาทำให้เด็กหญิงสร่างไข้ในที่สุด ยามสายของวันใหม่ก็มีสติลืมตาขึ้นมา
พุดจีบเป็นคนแรกที่เห็นว่าแจ่มจันทร์ได้สติแล้ว เด็กสาวปราดเข้าไปหาแล้วเอามือแตะหน้าผากเด็กน้อย
“ไข้ลดแล้วค่ะคุณป้า โล่งอกไปที”
เด็กสาวมัวแต่ดีใจจึงไม่ทันสังเกตเห็นใบหน้างุนงงของเด็กน้อยยามเมื่อเห็นเธอ นางสมใจรีบปราดเข้ามาหาอีกคน แกเข้ามาแตะหน้าผากแล้ววัดอุณหภูมิเทียบกับตัวเอง
“ตัวยังรุมๆ อยู่ ไปขอน้ำร้อนในครัวมาเร็วจะได้กินกับยาไล่ไข้”
พุดจีบกระวีกระวาดทำตามคำสั่ง ส่วนนางสมใจก็หันไปเปิดกล่องยาหยิบของออกมาเตรียมเอาไว้
พระจันทร์มองคนทั้งสองด้วยความมึนงง เธอถามตัวเองว่าที่นี่คือที่ไหนแต่คำแรกที่ผ่านพ้นริมฝีปากออกมากลับกลายเป็นเสียงไอ ตอนนี้ลำคอของเธอแห้งผาก กลืนน้ำลายทีก็เจ็บที รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว
เธอหันไปมองหญิงร่างท้วมแปลกหน้า คะเนแล้วคนคนนี้น่าจะอายุสี่สิบปลายๆ การแต่งกายเหมือนคนแก่ที่เห็นทั่วไปในชนบทคือนุ่งผ้าถุงสวมเสื้อคอกระเช้า ท่าทางแกใจดีเพราะหันมายิ้มให้อย่างเมตตา พระจันทร์จึงตัดสินใจลองพูดด้วย
“ขอน้ำดื่มหน่อยได้ไหมคะ”
“รอเดี๋ยวนะ พุดจีบกำลังไปเอามาให้”
พระจันทร์พยักหน้าแทนการขานรับเพราะเจ็บคอจนไม่อยากเปล่งเสียง รออยู่พักหนึ่งเด็กสาวแปลกหน้าที่พระจันทร์เห็นเมื่อตอนตื่นก็กลับมาพร้อมกาน้ำร้อน
นางสมใจรับกาน้ำมา แกเทผงสมุนไพรลงไปในแก้วแล้วเทน้ำร้อนตาม จากนั้นก็รินน้ำจากเหยือกข้างเตียงมาผสม ใช้มือคนให้เข้ากันแล้วจึงยื่นให้พระจันทร์
“ดื่มให้หมดจะได้หายขาด”
พระจันทร์ย่นจมูกเมื่อได้กลิ่นเหม็นฉุนของน้ำในแก้ว ไหนจะเป็นการใช้มือคนแบบไม่ถูกสุขลักษณะอีก เห็นแล้วก็อดต่อรองว่าไม่ขอกินได้ไหม
“ต้องกิน ไม่อย่างนั้นผีมันจะกลับมาเอาตัวเอ็งไปนะ” นางสมใจขู่เสียงเข้ม
ประโยคนี้หาได้สร้างความกริ่งเกรงให้กับพระจันทร์ไม่ คนที่ใจเสียกลับกลายเป็นพุดจีบ เด็กสาวรีบขยับมานั่งข้างน้องแล้วปลอบกึ่งขอร้องว่าให้ดื่มเสีย
“ฝืนกินหน่อยเถอะนะจ๊ะหนูจันทร์ ยาไม่ขมมากหรอกจ้ะ ถ้ายอมกินหมดแก้วพี่พุดจีบจะไปตลาดแล้วซื้อขนมอร่อยๆ มาฝาก”
พระจันทร์เผลอไปสบตาเข้ากับเด็กสาวโดยไม่ได้ตั้งใจ ภาพของเธอคนนี้ซ้อนทับเข้ากับภาพของปียนุชอย่างประหลาด เมื่อพิจารณาดีๆ ก็พบว่ามีเค้าหน้าคล้ายกับเพื่อนสนิทหลายส่วน โดยเฉพาะแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีและห่วงใย เห็นแล้วก็อดที่จะทำตามคำขอร้องเธอไม่ได้
พระจันทร์ฝืนดื่มยาที่ทั้งขมทั้งฝาดไปจนหมดแก้ว ความจริงรสชาติมันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะต้องกินยาสารพัดชนิดมาตั้งแต่จำความได้ พวกบอระเพ็ดกับสมุนไพรรสขมๆ ล้วนเคยผ่านลิ้นมาแล้วทั้งสิ้น ทำให้กลายเป็นคนกินขมได้ไปโดยปริยาย
“เก่งมากจ้ะหนูจันทร์” พุดจีบชม แล้วรินน้ำเปล่าจากเหยือกใส่แก้วใบเดิมให้ล้างปาก
พอดื่มน้ำตามไปในปากกลับมีรสชาติหวานอย่างประหลาด คอที่เคยเจ็บก็ทุเลาลงด้วย จนอดที่จะอัศจรรย์ใจกับประสิทธิภาพของยาไม่ได้
“เอ็งคงหิวแล้ว เดี๋ยวป้าจะไปหาอะไรให้กินนะ”
พระจันทร์ยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะถดตัวลงนอนเพราะรู้สึกหนาว พุดจีบช่วยห่มผ้าให้เธอแล้วนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง
“นอนก่อนก็ได้นะหนูจันทร์ อาหารเสร็จแล้วพี่พุดจีบจะปลุก”
เด็กสาวไม่พูดเปล่าแต่ใช้มือลูบศีรษะของพระจันทร์ไปด้วย นานมากแล้วที่ไม่มีใครมาทำอย่างนี้กับพระจันทร์ พูดกันตรงๆคือตลอดชีวิตนี้อย่างเก่งก็มีคนมาลูบหัวทีสองทีด้วยความเอ็นดูแล้วก็ผละไป ไม่ใช่เป็นการลูบเป็นจังหวะนานๆ เหมือนการกล่อมอย่างนี้
“มองพี่ตาแป๋วเชียว อยากให้ร้องเพลงกล่อมใช่ไหม”
พระจันทร์พยักหน้ารับไปโดยไม่รู้ตัว อึดใจต่อมาเธอก็ได้ยินเสียงเพลงกล่อมเด็กแบบไทยๆ
“นกขมิ้นเหลืองอ่อนเอย
ค่ำแล้วจะนอนที่รังไหน
รังไหนนอนได้
สุมทุมพุ่มไม้เอย...ที่เคยนอน
ลมพระพายชายพัดเอย...มาอ่อน ๆ
เจ้าก็ร่อนเอย...มานอนรัง อืม...”
ลูกเอื้อนหวานๆ ดังกังวานก้อง เด็กสาวชื่อพุดจีบคนนี้มีเสียงที่ไพเราะเหลือเกิน มันเพราะจับใจจนทำให้น้ำตาคลอ
พระจันทร์หลับตาลงอย่างอ่อนล้า ใจหวังให้ตัวเองรีบตื่นขึ้นมาจากความฝันอันแปลกประหลาดนี่เสียที
------------------------------------------------------------
สวัสดีตอนดึกค่ะ ตอนนี้พระจันทร์ของเราข้ามเวลาไปแล้วนะคะ มีคนแซวว่าโน้มรักนางมากเลยใช่ไหม แบบว่าชีวิตนางเจอจัดหนักมาก ทั้งอุบัติเหตุทั้งป่วย ยอมรับเลยว่าทั้งรักทั้งชัง แบบหมั่นไส้ผู้ชายเยอะเกิ๊น
ขอสารภาพตามตรงนะคะว่าในบรรดานางเอกทั้งหมด โน้มรักสุดสวาทขาดใจอยู่แค่สองคนคือน้ำผึ้ง จากมธุรัตน์เสน่หา แล้วก็นิศารัตน์จากเรื่องกฤตยามหาภูตค่ะ นอกไม่อวย แล้วแต่กรรมกับบทเป็นตัวกำหนดทั้งสิ้น
ซึ่งบทของพระจันทร์นั้นถูกกำหนดมาว่านางต้องถึกทนประหนึ่งคูโบต้า ไม่อย่างนั้นอาจจะไม่รอดถึงตอนจบ
ไหนๆ ก็แวะมาทักทายกันแล้ว โน้มขอทิ้งเกร็ดความรู้เอาไว้ท้ายตอนนะคะ คือหาข้อมูลไว้เยอะมาก แต่ไม่ได้ใส่ลงไป จับโยนๆ เอาไว้อย่างระเกะระกะ ดังนั้นเลยเอามาแบ่งปันเสียหน่อย เราจะได้ทอล์กท้ายตอนแบบแลดูมีสาระกับชาวบ้านบ้าง
เกร็ดความรู้ประจำตอน
ทราบหรือไม่ว่าเพลงนกขมิ้นที่พุดจีบร้องนั้นมีหลานเวอร์ชั่นนะคะ ที่ร้องนี่เป็นเพลงกล่อมเด็กภาคกลางฉบับออริจินอลเลย เอี้อนกันให้ตายไปข้างนึงในจังหวะสามชั้น
นอกจากนี้ยังมีเนื้อเพลงในจังหวะสองชั้นและชั้นเดียวด้วยค่ะ แต่งโดยอาจารย์มนตรี ตราโมท เนื้อเพลงจะไม่เหมือนของสามชั้นนะคะ
ในส่วนของนกขมิ้นเวอร์ชั่นเพลงไทยสากลก็มีค่ะ ใครที่ชอบดูละครพีเรียตอาจจะได้ได้ยินเพลงที่ร้องว่า “ค่ำคืนฉันยืนอยู่เดียวดาย เหลียวมองรอบกายมิวายจะหวาดกลัว” นั่นแหละค่ะเพลงนกขมิ้น
อยากทราบเนื้องเพลงเวอร์ชั่นอื่นๆ ไปที่ลิงค์นี้ได้นะคะ ^O^
http://www.sopon.ac.th/sopon/sema_web/thaimusic/30nogkamint.html
‘ที่นี่ที่ไหน’ พระจันทร์ถามตัวเองเมื่อลืมตาขึ้นมาในห้องสีขาวโพลนกว้างสุดลูกหูลูกตา
เด็กสาวนั่งทำหน้างงอยู่อึดใจก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองประสบอุบัติเหตุ เธอก้มลงมองหาบาดแผลตามร่างกายแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าตัวเองกำลังลอยอยู่เหนือพื้นประมาณสองนิ้ว
‘ความฝันแน่ๆ’
พระจันทร์พยายามปลุกตัวเองให้ตื่นแต่ก็ไม่สำเร็จ เลยลองหยิกแขนขวาสุดแรงดู ผลคือเธอไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว ที่แปลกไปกว่านั้นคือเธอรู้สึกได้ว่าหัวใจไม่เต้นซ้ำยังไม่หายใจด้วย
เด็กสาวถอนหายใจออกมาเมื่อพบว่าตัวเองติดอยู่ในความฝันแสนพิลึก
“มีใครอยู่ไหมคะ” เธอตะโกนสุดเสียง แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ มีร่างคนมายืนแทนที่อากาศตรงหน้า
“รู้สึกตัวแล้วเหรอ” หญิงสาวผมยาวหน้าตาหมดจดถาม
พระจันทร์ยังไม่ทันได้ตอบเธอก็พูดเจื้อยแจ้วต่อไปแบบไม่สนใจคู่สนทนา
“ฉันตามหาเธอมาตั้งนานรู้ไหม ไม่คิดเลยว่าจะมาอยู่นี่ ที่จริงมันก็มีออกบ่อยนะเรื่องการสลับร่างเนี่ย แต่กรณีเธอนี่มันพิเศษจริงๆ ตรงที่สลับร่างกันตั้งแต่เป็นทารก แถมยังโดดข้ามกาลเวลามาตั้งไกล พวกเราประชุมกันแทบตายว่าจะจัดการยังไง ไม่ทันได้ข้อสรุป วิญญาณเธอสองคนก็กระเด็นมาที่ห้องพิพากษาเสียอย่างนั้น”
“คุณพูดอะไรคะ หนูไม่เข้าใจ” พระจันทร์ขัดก่อนที่จะงงมากไปกว่านี้
หญิงสาวแปลกหน้าเม้มปากอย่างใช้ความคิด อึดใจก็ยิ้มกว้างประหนึ่งค้นพบคำอธิบายดีๆ แต่พระจันทร์ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
“สรุปง่ายๆ คือระบบชะตากรรมพาเธอทั้งสองคนมาที่นี่เพื่อให้เลือกไง ตัดสินใจสิจ๊ะว่ากลับไปที่เดิมหรือไปอยู่ที่ใหม่”
“เธอสองคนนี่หมายถึงหนูกับใครคะ” พระจันทร์กลั้นใจไม่รัวคำถามเพราะเกรงว่าจะได้รับคำอธิบายที่ชวนมึนกลับมาอีก
“เธอคนนั้นไง อยู่ด้วยกันตั้งนานไม่เห็นเหรอ” หญิงสาวชี้ไปตรงที่ว่างข้างตัวพระจันทร์
เด็กสาวมีอันต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อพบว่าข้างกายมีร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงอายุประมาณหกเจ็ดขวบนั่งอยู่ เด็กน้อยใส่คอกระเช้า นุ่มผ้าซิ่น ไว้ผมสั้นยาวเลยติ่งหูมาหน่อย สีหน้าของเธอดูหวาดกลัวไม่น้อย เห็นแล้วก็นึกอยากปลอบขึ้นมา เลยขยับเข้าไปใกล้ แต่เด็กหญิงกลับถดตัวหนีแล้วมองกลับมาด้วยสายตาหวาดระแวง
“พี่ไม่ทำอะไรหนูหรอกจ้ะ พี่มาดีนะ บอกพี่ได้ไหมว่าหนูเป็นใคร” พระจันทร์ถามเสียงนุ่มแต่เด็กหญิงก็ไม่ยอมตอบ
ไม่ว่าพระจันทร์จะพยายามผูกมิตรด้วยอย่างไรเด็กน้อยก็ยังถอยหนี เมื่อจนใจจะสอบถามพระจันทร์ก็หันกลับมาหาอีกคน ที่แม้จะพูดไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ก็ยังยอมเปิดปากคุยด้วย
“คุณคะ คุณช่วยอธิบายให้หนูฟังหน่อยได้ไหมว่าอะไรเป็นอะไร หนูสับสนไปหมดแล้ว” พระจันทร์วิงวอน
“เฮ้อ! เธอนี่เข้าใจอะไรยากจัง” เจ้าหล่อนทำปากจิ๊จ๊ะแล้วมองพระจันทร์ด้วยสายตาของคนที่กำลังมองเด็กสมองทึบ “อธิบายเรื่องปรากฏการณ์การสลับวิญญาณไปเธอคงไม่เข้าใจ อืม...เอาเป็นว่าเธอต้องเลือกแล้วล่ะว่าจะเอายังไง เราจะได้ออกไปจากห้องพิพากษาเสียที”
พระจันทร์พยายามจับจุดสิ่งที่ได้ฟัง แล้วสรุปได้ว่าเธอกับเด็กหญิงคนนี้อาจจะสลับร่างกัน แต่จะสลับอย่างไร ที่ไหน เมื่อไร ซักไปก็คงไม่ได้คำตอบ ที่รู้อีกอย่างคือห้องสีขาวนี่คือห้องพิพากษา ส่วนจะเอาไว้ทำอะไรนั้นเด็กสาวไม่อยากคิดต่อ เพราะเริ่มกลัวว่านี่อาจจะไม่ใช่ความฝัน
“ถ้าหนูเลือกจะได้กลับบ้านใช่ไหมคะ”
“ใช่ แต่ต้องเห็นพ้องต้องกันทั้งสองฝ่ายนะ เพราะเธอสองคนสลับที่กันอยู่”
“ถ้าตกลงกันไม่ได้จะทำยังไงคะ” พระจันทร์ชำเลืองมองเด็กน้อย
“ก็ต้องเอาเรื่องเข้าประชุม บอกไว้ก่อนเลยนะว่าพวกเรางานยุ่งมาก ไม่ว่างมาคอยนานๆ หรอกนะ อีกอย่างถ้าไม่รีบกลับไปร่างเนื้อของพวกเธออาจตายก่อนก็ได้ ว่าไงล่ะจะกลับที่เดิมหรือจะไปที่ใหม่”
แม้จะไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือความฝันแต่พระจันทร์ก็ต้องตัดสินใจ
“ฉันอยากกลับเข้าร่างตัวเองค่ะ หมายถึงร่างที่ประสบอุบัติเหตุ”
“ร่างไหนล่ะ ก็ประสบอุบัติเหตุแล้วลอยมานี่ด้วยกันทั้งคู่”
“ก็ร่างของฉันไงคะ ร่างที่เป็นพระจันทร์”
“ฉันจะรู้กับเธอไหมเนี่ยว่าร่างไหน ชื่อก็จันทร์ๆ ด้วยกันทั้งคู่” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงรำคาญ
พระจันทร์เองก็หงุดหงิดไม่น้อย ทำไมเธอต้องมาเถียงกับคนคนนี้ด้วยก็ไม่รู้ เด็กสาวพยายามระงับโทสะแล้วเอ่ยอย่างใจเย็นว่า
“ร่างที่ฉันอยู่ก่อนจะมาที่ห้องนี้ค่ะ”
“อ๋อ! พูดอย่างนี้ตั้งแต่แรกก็เข้าใจแล้ว” เจ้าหล่อนบ่นอุบอิบพลางสะบัดข้อมือเร็วๆ อึดใจก็มีคทาอันหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือขาวเนียน
“ฉันจะ...” หญิงสาวชะงักไปแล้วทำท่าเงี่ยหูฟังบางอย่าง
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“จุ๊ๆ เงียบก่อน ฉันกำลังคุยกับหัวหน้า”
พระจันทร์จำต้องเงียบตามคำสั่ง เธอเห็นหญิงสาวยืดตัวตรงรับคำขึงขัง พักหนึ่งเธอก็ค้อมตัวให้กับอากาศแล้วจึงหันมาสบตาด้วย
“เสียใจด้วยนะ เธอตัดสินใจช้าไป ตามกฎเราไม่สามารถส่งดวงวิญญาณที่ไม่ใช่เจ้าของร่างที่แท้จริงไปตายได้ เพราะฉะนั้นเธอต้องกลับไปในที่ที่ตัวเองสมควรจะอยู่”
หญิงสาววาดคทาในมือเป็นวงกลมรอบตัวพระจันทร์และหันมาทำแบบเดียวกันรอบตัวเด็กหญิง
“ขอให้สนุกกับชีวิตที่ควรจะเป็นของเธอมาตั้งแต่ต้นนะ” หญิงสาวยิ้มพรายแล้วโบกมือลา
“เดี๋ยวค่ะ! คุณจะทำอะไรคะ”
พระจันทร์พยายามประท้วงแต่ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว ร่างเธอค่อยๆ จมลงกับพื้น เด็กสาวพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาแต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ มือเธอทะลุผ่านทุกอย่างที่อยู่รอบตัวไปหมด
“คุณจะส่งหนูไปไหน หนูอยากกลับร่างเดิม ให้หนูกลับไปเถอะค่ะ” พระจันทร์อ้อนวอนขณะที่ตัวกำลังจมหายลงไปถึงระดับอก
หญิงสาวปริศนาไม่สนใจฟังเสียงของพระจันทร์ เธอกำลังคุยกับเด็กหญิงที่ร่างกำลังจะจมหายไปเกือบหมดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
“ตอนตายเจ็บไม่มากหรอก อีกเดี๋ยวฉันจะไปรับเธอมาอีกรอบนะ”
นี่คือเสียงสุดท้ายที่พระจันทร์ได้ยินก่อนที่ร่างกายจะถูกดูดกลืนเข้าไปในความว่างเปล่าสีขาว เด็กสาวมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากแสงสว่างจ้ากับกระแสลมแรงที่แทบจะพัดตัวปลิว เธอหยีตาแล้วเอามือกันตัวเองเอาไว้ด้วยเกรงว่าจะมีอะไรลอยมา ความที่ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรทำให้หวาดกลัวจับจิต สิ่งเดียวที่ทำได้คือภาวนากับตัวเองซ้ำซากไปมา
‘ขอให้ตื่นจากฝัน ขอให้ตื่นจากฝัน ขอให้ตื่นจากฝัน’
กลางดึกสงัด ในห้องชั้นสองของเรือนไม้สองชั้นขนาดย่อม พุดจีบเฝ้ามองร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงที่นอนเพ้อไม่เป็นภาษาด้วยความเป็นห่วง เด็กสาวบรรจงบีบผ้าชุบน้ำจนหมาดแล้วน้ำมาเช็ดให้น้องอีกครั้งทั้งที่เพิ่งจะเช็ดตัวให้ไปเมื่อไม่กี่อึดใจ
“หนูจันทร์จะเป็นอะไรไหมจ๊ะ” เธอถามผู้ใหญ่ในที่นั้นเสียงเครือ
“คุณป้าสวดคาถาไล่ผีพรายกับติดยันต์ให้แล้ว คงไม่เป็นไรดอก” ว่านตอบแบบไม่ใคร่จะเต็มเสียงนัก
แจ่มจันทร์จมน้ำเมื่อวานซืน ตอนช่วยขึ้นมาได้ก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอตกค่ำเท่านั้นแหละกลับเป็นไข้ตัวร้อน กินยาก็แล้วเช็ดตัวก็แล้วทำอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น อาการอย่างนี้ตอนอยู่บ้านนอกเธอเห็นมานักต่อนักว่าไม่มีใครอยู่รอดได้เกินอาทิตย์สักคน พวกผู้ใหญ่บอกว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะผีพรายมันเล็งว่าจะเอาตัวไป เลยตามรังควานเพื่อให้มีตัวตายตัวแทน ทางแก้ไขคือให้รีบพาไปรดน้ำมนต์ปัดรังควาน ไม่ก็สวดคาถาติดยันต์เอาไว้ในห้องเหมือนอย่างที่นางสมใจกำลังทำให้ ส่วนจะได้ผลหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าผีร้ายฤทธิ์แรงแค่ไหนและคนถูกจ้องเอาชีวิตมีบุญพอได้อยู่หรือเปล่า
“คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองแจ่มจันทร์ด้วยเถอะเจ้าค่ะ มันยังเล็กนัก แค่กำพร้าพ่อกับแม่ก็น่าเวทนาพอแล้ว อย่าให้ผีพรายมาเอาชีวิตมันไปไวนักเลย” ว่านอดที่จะสวดภาวนาไม่ได้
พุดจีบเห็นดังนั้นก็ยกมือขึ้นไหว้ตาม เด็กสาวไม่ได้เปล่งเสียงอธิษฐานออกมาแต่ก็ตั้งจิตตั้งใจภาวนาเต็มที่ แจ่มจันทร์จมน้ำครั้งนี้เพราะความประมาทเลินเล่อของเธอเอง ถ้ามีน้ำใจนั่งเฝ้าตอนน้องลงเล่นน้ำสักนิดเรื่องคงไม่เกิด
“ดึกแล้วพวกเอ็งไปนอนกันเถอะไป ป้าจะเฝ้าแจ่มจันทร์เอง” นางสมใจออกคำสั่ง
“ค่ะคุณป้า” ว่านรับคำแล้วค่อยๆ ขยับลุกขึ้นมาจากพื้น
พุดจีบยังคงนิ่งไม่ไปไหน เด็กสาวมองดวงหน้าของเด็กน้อยที่แดงก่ำเพราะพิษไข้ด้วยความสงสารจับจิต เธอทิ้งน้องไปไม่ลง ทั้งยังกลัวจับใจว่าอาจต้องจากกันไปโดยไม่ได้ร่ำลา
“ให้ฉันอยู่เฝ้าด้วยนะจ๊ะ”
“อย่าเลย เอ็งมันพวกขวัญอ่อน เดี๋ยวผีมันก็เอาตัวไปแทนหรอก” นางสมใจขู่เพราะอยากให้พัก
พุดจีบเฝ้าแจ่มจันทร์อยู่ไม่ห่างมาสองวันแล้ว ข้าวปลาแทบไม่ยอมกิน คนที่มีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆ จึงอดห่วงไม่ได้
“พุดจีบไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณป้า พระก็มี หลวงพ่อท่านคงช่วยได้” เด็กสาวเอามือทาบตรงสร้อยพระที่ห้อยคออยู่ แล้วคลานเข่ามาหาผู้สูงวัย “ให้พุดจีบอยู่กับหนูจันทร์เถอะนะจ๊ะ”
นางสมใจมองสีหน้ากังวลของหลานสาวอย่างเข้าใจ แกจึงพยักหน้าน้อยๆ แล้วบอกให้ไปเตรียมที่นอนหมอนมุ้งมานอนในห้องนี้
สองป้าหลานผลัดกันลุกขึ้นมาเช็ดตัวให้เด็กน้อยตลอดคืน ผลแห่งความเพียรพยายามกับยาดีที่ได้มาทำให้เด็กหญิงสร่างไข้ในที่สุด ยามสายของวันใหม่ก็มีสติลืมตาขึ้นมา
พุดจีบเป็นคนแรกที่เห็นว่าแจ่มจันทร์ได้สติแล้ว เด็กสาวปราดเข้าไปหาแล้วเอามือแตะหน้าผากเด็กน้อย
“ไข้ลดแล้วค่ะคุณป้า โล่งอกไปที”
เด็กสาวมัวแต่ดีใจจึงไม่ทันสังเกตเห็นใบหน้างุนงงของเด็กน้อยยามเมื่อเห็นเธอ นางสมใจรีบปราดเข้ามาหาอีกคน แกเข้ามาแตะหน้าผากแล้ววัดอุณหภูมิเทียบกับตัวเอง
“ตัวยังรุมๆ อยู่ ไปขอน้ำร้อนในครัวมาเร็วจะได้กินกับยาไล่ไข้”
พุดจีบกระวีกระวาดทำตามคำสั่ง ส่วนนางสมใจก็หันไปเปิดกล่องยาหยิบของออกมาเตรียมเอาไว้
พระจันทร์มองคนทั้งสองด้วยความมึนงง เธอถามตัวเองว่าที่นี่คือที่ไหนแต่คำแรกที่ผ่านพ้นริมฝีปากออกมากลับกลายเป็นเสียงไอ ตอนนี้ลำคอของเธอแห้งผาก กลืนน้ำลายทีก็เจ็บที รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว
เธอหันไปมองหญิงร่างท้วมแปลกหน้า คะเนแล้วคนคนนี้น่าจะอายุสี่สิบปลายๆ การแต่งกายเหมือนคนแก่ที่เห็นทั่วไปในชนบทคือนุ่งผ้าถุงสวมเสื้อคอกระเช้า ท่าทางแกใจดีเพราะหันมายิ้มให้อย่างเมตตา พระจันทร์จึงตัดสินใจลองพูดด้วย
“ขอน้ำดื่มหน่อยได้ไหมคะ”
“รอเดี๋ยวนะ พุดจีบกำลังไปเอามาให้”
พระจันทร์พยักหน้าแทนการขานรับเพราะเจ็บคอจนไม่อยากเปล่งเสียง รออยู่พักหนึ่งเด็กสาวแปลกหน้าที่พระจันทร์เห็นเมื่อตอนตื่นก็กลับมาพร้อมกาน้ำร้อน
นางสมใจรับกาน้ำมา แกเทผงสมุนไพรลงไปในแก้วแล้วเทน้ำร้อนตาม จากนั้นก็รินน้ำจากเหยือกข้างเตียงมาผสม ใช้มือคนให้เข้ากันแล้วจึงยื่นให้พระจันทร์
“ดื่มให้หมดจะได้หายขาด”
พระจันทร์ย่นจมูกเมื่อได้กลิ่นเหม็นฉุนของน้ำในแก้ว ไหนจะเป็นการใช้มือคนแบบไม่ถูกสุขลักษณะอีก เห็นแล้วก็อดต่อรองว่าไม่ขอกินได้ไหม
“ต้องกิน ไม่อย่างนั้นผีมันจะกลับมาเอาตัวเอ็งไปนะ” นางสมใจขู่เสียงเข้ม
ประโยคนี้หาได้สร้างความกริ่งเกรงให้กับพระจันทร์ไม่ คนที่ใจเสียกลับกลายเป็นพุดจีบ เด็กสาวรีบขยับมานั่งข้างน้องแล้วปลอบกึ่งขอร้องว่าให้ดื่มเสีย
“ฝืนกินหน่อยเถอะนะจ๊ะหนูจันทร์ ยาไม่ขมมากหรอกจ้ะ ถ้ายอมกินหมดแก้วพี่พุดจีบจะไปตลาดแล้วซื้อขนมอร่อยๆ มาฝาก”
พระจันทร์เผลอไปสบตาเข้ากับเด็กสาวโดยไม่ได้ตั้งใจ ภาพของเธอคนนี้ซ้อนทับเข้ากับภาพของปียนุชอย่างประหลาด เมื่อพิจารณาดีๆ ก็พบว่ามีเค้าหน้าคล้ายกับเพื่อนสนิทหลายส่วน โดยเฉพาะแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีและห่วงใย เห็นแล้วก็อดที่จะทำตามคำขอร้องเธอไม่ได้
พระจันทร์ฝืนดื่มยาที่ทั้งขมทั้งฝาดไปจนหมดแก้ว ความจริงรสชาติมันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะต้องกินยาสารพัดชนิดมาตั้งแต่จำความได้ พวกบอระเพ็ดกับสมุนไพรรสขมๆ ล้วนเคยผ่านลิ้นมาแล้วทั้งสิ้น ทำให้กลายเป็นคนกินขมได้ไปโดยปริยาย
“เก่งมากจ้ะหนูจันทร์” พุดจีบชม แล้วรินน้ำเปล่าจากเหยือกใส่แก้วใบเดิมให้ล้างปาก
พอดื่มน้ำตามไปในปากกลับมีรสชาติหวานอย่างประหลาด คอที่เคยเจ็บก็ทุเลาลงด้วย จนอดที่จะอัศจรรย์ใจกับประสิทธิภาพของยาไม่ได้
“เอ็งคงหิวแล้ว เดี๋ยวป้าจะไปหาอะไรให้กินนะ”
พระจันทร์ยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะถดตัวลงนอนเพราะรู้สึกหนาว พุดจีบช่วยห่มผ้าให้เธอแล้วนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง
“นอนก่อนก็ได้นะหนูจันทร์ อาหารเสร็จแล้วพี่พุดจีบจะปลุก”
เด็กสาวไม่พูดเปล่าแต่ใช้มือลูบศีรษะของพระจันทร์ไปด้วย นานมากแล้วที่ไม่มีใครมาทำอย่างนี้กับพระจันทร์ พูดกันตรงๆคือตลอดชีวิตนี้อย่างเก่งก็มีคนมาลูบหัวทีสองทีด้วยความเอ็นดูแล้วก็ผละไป ไม่ใช่เป็นการลูบเป็นจังหวะนานๆ เหมือนการกล่อมอย่างนี้
“มองพี่ตาแป๋วเชียว อยากให้ร้องเพลงกล่อมใช่ไหม”
พระจันทร์พยักหน้ารับไปโดยไม่รู้ตัว อึดใจต่อมาเธอก็ได้ยินเสียงเพลงกล่อมเด็กแบบไทยๆ
“นกขมิ้นเหลืองอ่อนเอย
ค่ำแล้วจะนอนที่รังไหน
รังไหนนอนได้
สุมทุมพุ่มไม้เอย...ที่เคยนอน
ลมพระพายชายพัดเอย...มาอ่อน ๆ
เจ้าก็ร่อนเอย...มานอนรัง อืม...”
ลูกเอื้อนหวานๆ ดังกังวานก้อง เด็กสาวชื่อพุดจีบคนนี้มีเสียงที่ไพเราะเหลือเกิน มันเพราะจับใจจนทำให้น้ำตาคลอ
พระจันทร์หลับตาลงอย่างอ่อนล้า ใจหวังให้ตัวเองรีบตื่นขึ้นมาจากความฝันอันแปลกประหลาดนี่เสียที
------------------------------------------------------------
สวัสดีตอนดึกค่ะ ตอนนี้พระจันทร์ของเราข้ามเวลาไปแล้วนะคะ มีคนแซวว่าโน้มรักนางมากเลยใช่ไหม แบบว่าชีวิตนางเจอจัดหนักมาก ทั้งอุบัติเหตุทั้งป่วย ยอมรับเลยว่าทั้งรักทั้งชัง แบบหมั่นไส้ผู้ชายเยอะเกิ๊น
ขอสารภาพตามตรงนะคะว่าในบรรดานางเอกทั้งหมด โน้มรักสุดสวาทขาดใจอยู่แค่สองคนคือน้ำผึ้ง จากมธุรัตน์เสน่หา แล้วก็นิศารัตน์จากเรื่องกฤตยามหาภูตค่ะ นอกไม่อวย แล้วแต่กรรมกับบทเป็นตัวกำหนดทั้งสิ้น
ซึ่งบทของพระจันทร์นั้นถูกกำหนดมาว่านางต้องถึกทนประหนึ่งคูโบต้า ไม่อย่างนั้นอาจจะไม่รอดถึงตอนจบ
ไหนๆ ก็แวะมาทักทายกันแล้ว โน้มขอทิ้งเกร็ดความรู้เอาไว้ท้ายตอนนะคะ คือหาข้อมูลไว้เยอะมาก แต่ไม่ได้ใส่ลงไป จับโยนๆ เอาไว้อย่างระเกะระกะ ดังนั้นเลยเอามาแบ่งปันเสียหน่อย เราจะได้ทอล์กท้ายตอนแบบแลดูมีสาระกับชาวบ้านบ้าง
เกร็ดความรู้ประจำตอน
ทราบหรือไม่ว่าเพลงนกขมิ้นที่พุดจีบร้องนั้นมีหลานเวอร์ชั่นนะคะ ที่ร้องนี่เป็นเพลงกล่อมเด็กภาคกลางฉบับออริจินอลเลย เอี้อนกันให้ตายไปข้างนึงในจังหวะสามชั้น
นอกจากนี้ยังมีเนื้อเพลงในจังหวะสองชั้นและชั้นเดียวด้วยค่ะ แต่งโดยอาจารย์มนตรี ตราโมท เนื้อเพลงจะไม่เหมือนของสามชั้นนะคะ
ในส่วนของนกขมิ้นเวอร์ชั่นเพลงไทยสากลก็มีค่ะ ใครที่ชอบดูละครพีเรียตอาจจะได้ได้ยินเพลงที่ร้องว่า “ค่ำคืนฉันยืนอยู่เดียวดาย เหลียวมองรอบกายมิวายจะหวาดกลัว” นั่นแหละค่ะเพลงนกขมิ้น
อยากทราบเนื้องเพลงเวอร์ชั่นอื่นๆ ไปที่ลิงค์นี้ได้นะคะ ^O^
http://www.sopon.ac.th/sopon/sema_web/thaimusic/30nogkamint.html
นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 พ.ค. 2556, 01:05:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 พ.ค. 2556, 01:05:47 น.
จำนวนการเข้าชม : 2309
<< บทที่ 3 จดหมายถึงพระจันทร์ | บทที่ 5 ไล่ผี >> |
คิมหันตุ์ 24 พ.ค. 2556, 08:20:19 น.
พระจันทร์ คงหัวหมุนแย่เลย
พระจันทร์ คงหัวหมุนแย่เลย
goldensun 24 พ.ค. 2556, 21:02:13 น.
สลับวิญญาณตั้งแต่เกิด!!! งั้นที่ฝันก็ชีวิตจริงของพระจันทร์เองสิคะ
จากเริ่มจะสาวรุ่น เลยกลับไปต่ำสิบอีก ปรับตัวแย่เลย
สลับวิญญาณตั้งแต่เกิด!!! งั้นที่ฝันก็ชีวิตจริงของพระจันทร์เองสิคะ
จากเริ่มจะสาวรุ่น เลยกลับไปต่ำสิบอีก ปรับตัวแย่เลย
Zephyr 25 พ.ค. 2556, 23:28:21 น.
อั้ยยะ นอกจากจะข้ามเวลาแล้ว ยังโดนลดอายุอีก
แหม อิจฉานะเนี่ย แก่ช้าโดยไม่ต้องพึ่งโบทอกซ์ ชิชะ
ชายเยอะ ยังจะแก่ช้าอีก หมั่นไส้วุ้ย
ดีค่ะ จัดหนัก จัดเต็มเลยยยยยยย
อั้ยยะ นอกจากจะข้ามเวลาแล้ว ยังโดนลดอายุอีก
แหม อิจฉานะเนี่ย แก่ช้าโดยไม่ต้องพึ่งโบทอกซ์ ชิชะ
ชายเยอะ ยังจะแก่ช้าอีก หมั่นไส้วุ้ย
ดีค่ะ จัดหนัก จัดเต็มเลยยยยยยย