ข้ามกาล
อุบัติเหตุทำให้พระจันทร์ย้อนอดีตมาอยู่ในวังของหม่อมเจ้าใครเลยจะคิดว่าชีวิตลูกกำพร้าผู้ต่ำต้อยเช่นพระจันทร์
จะมีดาวฤกษ์อย่างดวงอาทิตย์มาโคจรรอบตัวถึงสามดวง


ดวงแรกนั้นพระจันทร์ทั้งรักและเทิดทูน ยึดเป็นที่พึ่งทางใจเสมอมา
พระอาทิตย์ดวงนี้เมตตาพระจันทร์ยิ่งนัก แต่ก็สงวนท่าทีเหลือเกิน
ใจท่านคิดเช่นไร พระจันทร์ไม่อาจรู้ได้เลย


ดวงที่สองร้อนแรงดังเพลิงกัลป์ หยิ่งทระนงหนักหนา
ทั้งยังเป็นคู่อริกันมาช้านาน ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ในวันที่หนาวเหน็บที่สุด
พระอาทิตย์วายร้ายกลับเต็มใจมาอยู่เคียงข้างพระจันทร์
คอยส่องแสงให้ความอบอุ่นโดยไม่ต้องร้องขอ


ส่วนดวงที่สามพระจันทร์รักเคารพเสมอเหมือนพี่ชาย
ความที่เขามีคู่หมายซึ่งเหมาะสมกันอยู่แล้ว
พระจันทร์จึงไม่เคยคิดเป็นอื่น แต่โชคชะตากลับเล่นตลก
ส่งกามเทพมาแผลงศรทำให้พี่ชายเผลอรักพระจันทร์หมดใจ
Tags: พีเรียต ย้อนยุค ช่วงปี 2493-2507 คุณชาย ท่านชาย นายแพทย์ พระเอกในเรื่องไม่รู้เป็นใคร แต่หนุ่มๆ แซ่บเวอร์ วัง หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ ย้อนเวลา โรแมนติก คอมเมดี้ หวานๆ ดราม่าเบาๆ ภาษาอ่านง่าย

ตอน: บทที่ 8 ไปโรงเรียน

บทที่ 8 ไปโรงเรียน

เมื่อกลับมาถึงเรือนที่พำนักนางสมใจก็เลิกดุหลาน แล้วหยิบเอาตำราออกมาเปิดดูทีละหน้า ว่ามีแบบไหนที่เคยสอนไปแล้วบ้าง

“ยังจำกอไก่ถึงฮอนกฮูกได้ครบไหม แล้วสระล่ะอ่านออกหรือเปล่า”

“จำได้ค่ะคุณป้า”

พอผู้ใหญ่ถามว่ามีอะไรบ้าง พระจันทร์ก็ท่องให้ฟังอย่างรวดเร็วและถูกต้อง สร้างความพอใจให้กับผู้สูงวัยเป็นอย่างมาก

“ดีมากที่เรียนแล้วไม่ลืม ต่อไปต้องตั้งใจนะ พยายามสอบให้ได้ อย่าทำให้หม่อมท่านผิดหวัง”

นางสมใจแบ่งความกดดันจากตัวเองมาลงที่หลาน พระจันทร์รับปากแต่สีหน้าสีตาดูไม่กระตือรือร้นเท่าไร ผู้เป็นป้าก็เลยข้ามให้ไปอ่านหนังสือของชั้นปอสามเลย จะได้รู้ว่าความยากเป็นอย่างไร

ของยากของป้ากลับเป็นของง่ายสำหรับพระจันทร์ กระนั้นเธอก็ต้องแกล้งอ่านผิดบ้างถูกบ้าง เพื่อไม่ให้ดูเก่งเกินไป เด็กสาวแสดงอย่างสมบทบาทในทีแรกแต่ทำได้ไม่นานนักก็เริ่มเบื่อไม่อยากอ่านข้อความซ้ำๆ หรือท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทอง ก็เลยอ่านให้ถูกต้องเสียตั้งแต่ต้นจะได้จบเรื่องกันไป

โชคดีไม่ถูกจับได้หนำซ้ำนางสมใจยังชื่นชมหนักหนากับความหัวไวของหลานสาว แกค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อยว่าพระจันทร์จะสอบผ่านได้เรียนชั้นประถมสามพร้อมคุณหญิงอังศุมาลี

หมดจากภาษาไทยก็เป็นวิชาเลขคณิต นางสมใจสอนได้แต่บวกกับลบ เรื่องคูณเรื่องหารแกไม่คล่องก็เลยต้องให้พุดจีบมาสอนเอง พุดจีบเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่สาม สำหรับในสมัยที่การศึกษาภาคบังคับอยู่แค่ปอสี่ การได้เรียนจบมัธยมต้นก็มากเกินพอแล้ว แต่ก็นางสมใจก็ยังไม่พอใจอยากให้หลานได้สำเร็จการศึกษาในชั้นมัธยมปลายไม่ก็ไปเรียนโรงเรียนครูต่อ

พุดจีบเรียนไม่เก่งนักเลยสอบไม่ติด เด็กสาวนึกโล่งอกว่าคงจะไม่ได้เรียนแล้ว แต่คุณป้าก็เคี่ยวเข็ญให้ลองสอบเข้าดูอีกครั้งและสมัครที่อื่นเอาไว้ด้วย พุดจีบก็เลยต้องทำตาม ในระหว่างรอสอบใหม่ก็ช่วยงานในวังและทบทวนตำราไปด้วย

“หนูจันทร์นับเลขได้มากที่สุดเท่าไรจ๊ะ”

“อินฟินิตี้ค่ะ” พระจันทร์เผลอหลุดคำศัพท์สมัยใหม่ออกมา

“ว่าอะไรนะจ๊ะ”

“พระจันทร์หมายถึงนับได้เยอะมากค่ะ” เด็กสาวยิ้มแห้งๆ กลบเกลื่อน

พุดจีบไม่ติดใจสงสัยแต่ให้ลงนับดู พระจันทร์ก็นับไปเรื่อยๆ จนได้ร้อยห้าสิบพุดจีบจึงพอใจ พอถึงคราวบวกลบก็ทำได้คล่องแคล่ว แต่ถ้าเป็นเรื่องคูณหารต้องแกล้งว่าทำไม่เป็น เพราะเดี๋ยวจะถูกซักว่าใครเป็นคนสอน

ผลจากการแกล้งโง่ทำให้ต้องทนกล้ำกลืนเรียนพื้นฐานอย่างสูตรคูณต่อไป กว่าจะได้ลงมือทำโจทย์เลขจริงๆ ก็ตกเย็นแล้ว

“หนูจันทร์เก่งจัง ถูกหมดทุกข้อเลย” พุดจีบเอ่ยอย่างชื่นชม

เธอยังคงติดเรียกพระจันทร์ว่าหนูจันทร์อยู่ และไม่คิดจะเปลี่ยนไปเรียกอย่างอื่น ซึ่งพระจันทร์เองก็ยอมให้เรียกอย่างนั้นเป็นกรณีพิเศษ

“พี่พุดจีบสอนเก่ง” พระจันทร์เลือกประจบไว้ก่อน

คำชมนี้ไม่เกินไปจากความจริงนัก ถึงจะไม่ใช่คนเรียนเก่ง แต่พุดจีบก็เป็นคนใจเย็น รู้จักเลือกคำมาอธิบายให้เด็กเล็กเข้าใจได้ง่าย

“ไม่หรอกจ้ะ หนูจันทร์ต่างหากที่ฉลาด” เด็กสาวมองน้องอย่างชื่นชม เธอเริ่มมองเห็นว่าจะมีคนมาช่วยแบกรับความหวังของคุณป้า “หนูจันทร์อยากเรียนสูงๆ ไหม”

“อยากค่ะ” พระจันทร์ตอบทันที

แม่ใหญ่ปลูกฝังให้เด็กๆ ในบ้านเด็กอบอุ่นรักการเรียน ท่านพร่ำบอกเสมอว่าคนเราเมื่อเกิดมาต้องรู้จักพึ่งตัวเอง ความรู้ไม่เพียงแต่เป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จ ยังเป็นทั้งอาวุธและเกราะคุ้มกายให้รอดพ้นจากปัญหา พระจันทร์ไม่ได้ฟังคำสอนนี้แค่เพียงผ่าน เธอคิดตามไปด้วยเมื่อเห็นจริงอย่างที่แม่ใหญ่บอกจึงมุมานะเรียนโดยไม่ย่อท้อ

“เอาให้จบมัธยมปลายเลยนะ”

“ไม่ค่ะ” พระจันทร์ส่าย ทำเอาพุดจีบผิดหวัง

“ทำไมล่ะ”

“มัธยมน้อยไป พระจันทร์จะเรียนให้สูงกว่านั้น”

พระจันทร์มีความทะเยอทะยานอยู่ในใจมานานแล้วว่าจะต้องเรียนจบดอกเตอร์ให้ได้

“อยากเรียนจบแปดเลยหรือ ดีจริงๆ ถ้าบอกคุณป้า คุณป้าต้องชอบใจแน่”

“จบแปด…คืออะไรคะ” พระจันทร์ไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนก็เลยงง

พุดจีบยิ้มขันความไม่รู้ของเด็กน้อย

“เวลาเราจบมัธยมศึกษาชั้นปีที่หกแล้ว ถ้าอยากเรียนต่อก็ต้องสอบเข้าชั้นเตรียมอุดมหนึ่ง พอเรียนจบเตรียมอุดมสองถึงจะเรียกว่าจบแปด”

“อ๋อ! เรียกอย่างนี้เพราะว่าเรียนรวมกันแปดปีนี่เอง” พระจันทร์พยักหน้าหงึกหงักว่ารับรู้ “แล้วมหาวิทยาลัยละคะ”

“ต้องรอจบเตรียมอุดมสองก่อนจะถึงจะมีสิทธิ์เข้าเรียนได้”

พระจันทร์ซักถามสิ่งที่สงสัยหลายอย่างจึงได้รู้ว่าระบบการศึกษาในขณะนี้แตกต่างจากปัจจุบัน ผลจากสงครามเมื่อหลายปีก่อนทำให้ชั้นประถมศึกษาลดระยะเวลาการเรียนลงเหลือแค่สี่ปี จากนั้นถึงเป็นมัธยมศึกษาตอนต้นสามปี มัธยมศึกษาตอนปลายสามปีและต้องเรียนเตรียมอุดมศึกษาอีกสองปี ถึงจะมีสิทธิ์เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ถึงแตกต่างแต่จำนวนปีที่ต้องเรียนก็ยังเท่ากันอยู่

“พระจันทร์จะเรียนเตรียมอุดมฯ แล้วก็จะเรียนต่อมหาวิทยาลัย” พระจันทร์พูดประโยคนี้ออกมาเมื่อนางสมใจกลับมาถึง

ทุกคนต่างพากันหัวเราะด้วยความเอ็นดู ไม่มีใครคิดหรอกว่าพระจันทร์จะได้เรียนมหาวิทยาลัยจริงๆ อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย ผู้ชายเองถ้าไม่ขวนขวายอย่างหนักหรือร่ำรวยด้วยเกียรติและเงินทองจริงๆ ก็ยากนักที่จะได้รับการศึกษาสูงถึงขั้นนั้น



เวลาสองสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พอถึงเช้าวันจันทร์พระจันทร์ก็เดินทางโดยรถยนต์พร้อมกับหม่อมเนียรและคุณหญิงไปที่โรงเรียนพินิจศึกษา โรงเรียนแห่งนี้เปิดสอนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม เป็นโรงเรียนขนาดกลางที่มีนักเรียนรวมกันไม่ถึงสามร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นลูกผู้ดีมีเงิน ตัวอาคารจึงดูโอ่อ่าสวยงาม

โรงเรียนก่อตั้งมาประมาณยี่สิบปีแล้ว ผู้ก่อตั้งคือพระยาพินิจ ท่านเป็นอดีตข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการและเป็นญาติของหม่อมเนียร จึงสามารถฝากลูกให้เข้ามากลางเทอมได้

“สวัสดีค่ะหม่อม ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ” รองอาจารย์ใหญ่รีบเข้ามาต้อนรับ

“สวัสดีคุณนง วันนี้ฉันพาลูกหญิงมาสอบเข้าโรงเรียน ฝากคุณช่วยเป็นธุระด้วยนะ”

“ได้ค่ะหม่อม ดิฉันจัดห้องสอบเอาไว้ให้แล้วค่ะ เชิญทางนี้นะคะ”

ท่าทีพินอบพิเทาของรองอาจารย์ใหญ่ทำให้พระจันทร์นึกสงสัยว่าการเข้าเรียนของคุณหญิงครั้งนี้จะมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง แล้วก็จริงเสียด้วยเพราะเดินมาได้สักพักนงเยาว์ก็คุยเรื่องสร้างตึกเรียนใหม่

“ไว้คุยเรื่องนี้ระหว่างที่รอลูกหญิงสอบก็แล้วกัน ทำเสร็จแล้วรู้ผลทันทีเลยใช่ไหม ฉันจะได้อยู่รอฟังผล”

คำพูดของหม่อมคือการบอกอย่างอ้อมๆ ว่าถ้าลูกหญิงกับเด็กของท่านสอบผ่านได้เข้าเรียน โรงเรียนก็จะได้เงินบริจาคก้อนใหญ่ แต่ถ้าไม่ก็เป็นอันว่าอด

“ไม่นานหรอกค่ะคุณหญิง อย่างเก่งก็ชั่วโมงสองชั่วโมงเท่านั้น ที่จริงคุณหญิงอังศุมาลีไม่จำเป็นต้องเสียเวลาสอบก็ได้นะคะ ดิฉันทราบจากครูที่ส่งไปสอนว่าคุณหญิงฉลาดเฉลียว เก่งไม่น้อยหน้าคุณชายอังศุธรเลย”

หม่อมเนียรยิ้มน้อยๆ รับคำยกยอ ท่านชายทินกรมีโอรสธิดาหลายคน แต่ก็ไม่มีลูกของหม่อมคนไหนที่โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์และสติปัญญาเท่าลูกของตนอีกแล้ว

พวกผู้ใหญ่คุยกันอีกสองสามคำก็มาถึงสถานที่สอบพอดี ห้องที่จัดเตรียมเอาไว้คือห้องของอาจารย์ใหญ่ วันนี้เจ้าของห้องต้องไปทำธุระตอนเช้า แต่นงเยาว์ก็ยืนยันว่าอาจารย์ใหญ่กลับมาทันพบหม่อมเนียรแน่นอน

ในห้องมีโต๊ะเล็กจัดแยกเอาไว้คนละมุมห้องสองตัว บนโต๊ะมีกระดาษวางคว่ำหน้าเอาไว้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันคือข้อสอบ

“ศิริลักษณ์ เธอช่วยคุมสอบทีนะ ดูแลเด็กๆ ให้ดีล่ะอย่าให้มีปัญหา” นงเยาว์บอกครูสาว

“ได้ค่ะครูนงเยาว์” ศิริลักษณ์รับคำเสียงหวาน

ครูคนนี้ดูยังสาวอยู่มากคะเนแล้วอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบห้า ท่าทางใจดีเพราะหันมายิ้มให้คุณหญิงกับพระจันทร์อย่างเป็นมิตร

“มาทางนี้เลยจ้ะ เลือกเอาตามสบายเลยว่าอยากจะนั่งตรงไหน”

พระจันทร์ไม่ขยับเพราะรอให้คุณหญิงอังศุมาลีเลือกก่อน แต่คุณหญิงไม่กล้าตัดสินใจจึงหันไปทางหม่อมแม่รอให้ท่านออกคำสั่ง หม่อมเนียรบงการทางสายตาว่าให้เลือกโต๊ะที่อยู่ติดกับริมประตู เห็นดังนั้นเด็กหญิงจึงค่อยเดินไปนั่ง เหลือมุมตรงข้างหน้าต่างให้พระจันทร์

พอนั่งลงที่โต๊ะพระจันทร์ก็หยิบเครื่องเขียนที่พุดจีบให้ยืมออกมา แล้วพลิกข้อสอบลงมือทำ เด็กสาวย่นหัวคิ้วเล็กน้อยเมื่อพบกับข้อสอบที่ยากเกินความสามารถของเด็กประถม แต่ก็ไม่ได้เอะใจว่าข้อสอบมีปัญหา เธอคิดว่าทางโรงเรียนคงออกข้อสอบให้ยากเข้าไว้เพื่อวัดความสามารถที่แท้จริงของเด็ก ก็เลยทำอย่างสุดความสามารถเพราะไม่รู้ว่าเกณฑ์สอบได้สอบผ่านอยู่ที่เท่าไร

ข้อสอบมีอยู่ร้อยข้อ นอกจากวิชาคณิตศาสตร์ที่เป็นแบบเติมคำแล้ว นอกนั้นเป็นกากบาทหมด พระจันทร์ทำวิชาคณิตศาสตร์กับภาษาไทยได้อย่างสบาย แต่มาตกม้าตายเอาตรงข้อสอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบัน ทุกอย่างที่เป็นปัจจุบันของที่นี่ล้วนกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้วในยุคของพระจันทร์ ขนาดมีตัวเลือกมาให้ยังเดาไม่ถูกเลยว่าใครเป็นใคร ในส่วนนี้ก็เลยทำมั่วไปเต็มที่ ส่วนพวกวิชาศาสนากับจริยธรรมพระจันทร์ท่องจำมาอย่างดี เสียดายไม่มีเนื้อหาออกเลยสักข้อแต่เป็นอะไรที่ยากกว่าแทน โชคดีมีความรู้เดิมติดตัวมาไม่อย่างนั้นก็คงทำไม่ได้

พระจันทร์ทำข้อสอบเสร็จโดยใช้เวลาไม่นาน แต่ก็อ้อยอิ่งแกล้งพลิกหน้ากระดาษ ถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ รอจนคุณหญิงอังศุมาลีลุกไปก่อนแล้วค่อยลุกตาม แต่เด็กหญิงก็ไม่ลุกเสียทีจนกระทั่งหมดเวลา

“ตั้งใจทำกันจนหมดเวลาเลย มีความพยายามดีมากค่ะ” ศิริลักษณ์ชมขณะเดินมาเก็บข้อสอบ

ครูคนนี้ยิ้มแย้มตลอดจนพระจันทร์เริ่มจะถูกอัธยาศัย เก็บข้อสอบเสร็จศิริลักษณ์ก็ตรวจให้คะแนนเลย ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวออกจากห้องเธอก็เรียกเด็กทั้งสองเอาไว้ก่อน

“เดี๋ยวนะคะอย่าเพิ่งไป ข้อสอบมีปัญหา”

รอยยิ้มบนใบหน้าของครูสาวหายไป เธอเดินเร็วๆ ออกไปจากห้อง พระจันทร์กับคุณหญิงจึงได้แต่มองตากันอย่างสงสัย แล้วก็ได้ยินเสียงผู้ใหญ่ดังมาจากข้างนอกว่าเอาข้อสอบมาให้ทำผิดชุด

“ขอโทษจริงๆ ค่ะ ดิฉันหยิบสับมากับของนักเรียนชั้นมัธยมสาม”

“สะเพร่าอย่างนี้ได้ยังไง หม่อมท่านก็เสียเวลาแย่สิ” รองอาจารย์ใหญ่เอ็ด แล้วหันไปขอโทษขอโพยหม่อมเนียรเป็นการใหญ่

หม่อมท่านหน้าตึงเล็กน้อยแต่ก็ไม่โวยวายออกมาให้เสียกิริยา

“รีบสอบใหม่ก็แล้วกัน ฉันจะรออีกสักพัก ถ้าคราวนี้ผิดพลาดอีก เห็นทีลูกหญิงจะไม่มีวาสนาได้เรียนที่นี่”

น้ำเสียงเย็นๆ ของหม่อมเนียรทำให้ครูทั้งสองคนหน้าเสีย โดยเฉพาะศิริลักษณ์ที่ถูกเอ็ดสองต่อ หญิงสาวรีบวิ่งไปเอาข้อสอบที่ห้องพักครู แล้วกระหืดกระหอบกลับมาหาเด็กทั้งสอง

“พวกหนูต้องสอบใหม่นะคะ พอดีครูหยิบข้อสอบมาผิด”

เด็กทั้งสองสอบใหม่แบบไม่เกี่ยงงอน ข้อสอบใหม่นี้มีแค่ห้าสิบข้อเท่านั้น คุณหญิงทำเสร็จอย่างรวดเร็ว พระจันทร์เลยได้ลุกตามออกมาเร็วด้วย

ผลการสอบก็ออกมาว่าผ่านได้เข้าเรียนด้วยกันทั้งคู่ คุณหญิงทำข้อสอบผิดแค่สองข้อเท่านั้น รองอาจารย์ใหญ่รีบมารายงานเพราะต้องการประจบ หม่อมเนียรจึงได้ทีคุยโวว่าถ้าลูกหญิงไม่เหนื่อยเพราะข้อสอบก่อนหน้านี้คงจะได้คะแนนเต็ม

ศิริลักษณ์เห็นท่าทีโอ้อวดว่าลูกของตนเก่งหนักหนาก็ชักใหม่ไส้ แต่ก็ทำได้เพียงเก็บอาการ ความที่คับอกคับใจอยากพูดก็เลยแอบกระซิบบอกพระจันทร์ก่อนกลับว่าเธอได้คะแนนเต็ม เด็กสาวยิ้มรับแต่ไม่รู้สึกภูมิใจเลยสักนิด เลยเก็บผลคะแนนเอาไว้ในใจ แล้วบอกนางสมใจไปแค่ว่าสอบผ่าน

รายงานผลเสร็จพระจันทร์ก็หมดความสนใจกับเรื่องสอบ เธอไม่รู้หรอกว่าข้อสอบของชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามที่ตัวเองทำไว้ยังถูกทิ้งเอาไว้ในห้องอาจารย์ใหญ่เพราะความสะเพร่าของศิริลักษณ์ ใครจะคิดว่ากระดาษข้อสอบแผ่นเดียวจะเป็นชนวนเหตุทำให้ชีวิตของพระจันทร์ต้องปั่นป่วน



พระจันทร์ไม่ตื่นเต้นกับการไปโรงเรียนเท่าไร ในทางตรงกันข้ามกลับรู้สึกเบื่อที่ต้องกลับไปเรียนประถมอีกครั้ง นางสมใจเสียอีกที่ตื่นเต้นเป็นหนักหนา รีบเอาเครื่องแบบนักเรียนที่หม่อมเนียรให้มามารีดเสียเรียบกริบ หนำซ้ำยังเจียดเงินซื้อชุดเครื่องเขียนใหม่เอี่ยมมาให้พระจันทร์ด้วย

พระจันทร์มองผู้ปกครองขี้เห่อของตัวเองยิ้มๆ เธอรู้สึกว่าโชคดีอยู่เหมือนกันที่นางสมใจเห็นความสำคัญเรื่องการศึกษา ถ้าถูกห้ามไม่ให้เรียนพระจันทร์ก็ต้องทำตาม เพราะสถานะของตัวเองเป็นแค่เด็กแปดขวบ แทบไม่มีทางดิ้นรนทำอะไรได้เลย

นางสมใจมาส่งพระจันทร์ที่หน้าตำหนักของท่านชายทินกรตั้งแต่เช้า กว่าคุณหญิงจะลงมาพระจันทร์ก็นั่งหาวไปตั้งหลายรอบ ที่ร้ายไปกว่าคือผู้ร่วมทางในวันนี้มีคุณชายจอมเกเรพ่วงมาด้วย เธอลืมไปเสียสนิทเลยว่าเด็กชายเรียนอยู่ที่นี่

“แม่นี่มานั่งเสนอหน้าในรถทำไม” คุณชายอังศุธรโวยวายทันทีเมื่อเห็นหน้าพระจันทร์

พระจันทร์จงใจไม่ตอบคำถามเพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นการโต้คารมกันไปเสียเปล่าๆ คุณหญิงเองก็นั่งเงียบไม่พูดไม่จา กุ้งนาง พี่เลี้ยงของคุณหญิงเลยต้องตอบคำถามแทน

“หม่อมท่านสั่งให้แม่พระจันทร์ไปเรียนเป็นเพื่อนคุณหญิงค่ะ”

พูดถึงหม่อมเนียรพระจันทร์ก็นึกสงสัยว่าทำไมหม่อมถึงไม่มาส่งลูกไปโรงเรียนวันแรก ทั้งที่ออกจะประคบประหงมธิดาเสียขนาดนั้น

“เกะกะ จะเอามาทำไมให้หนักรถก็ไม่รู้” เด็กชายไม่พูดเปล่าแต่ยังเตะเบาะรถตรงที่นั่งของพระจันทร์แรงๆ ด้วย

ความสนใจของพระจันทร์ถูกดึงไปที่คุณชายอังศุธร เธอเตือนตัวเองว่าให้ทำเป็นไม่สนใจ แต่คุณชายจอมเกเรก็ยังมิวายมากระตุกผมจนหน้าหงาย

“โอ๊ย! เจ็บนะ” เด็กสาวหันไปมองคุณชายเจ้าปัญหาตาเขียว แต่เจ้าตัวกลับทำไม่รู้ไม่ชี้มองวิวข้างทางเสียอย่างนั้น

พระจันทร์ข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ ประสบการณ์สอนให้เธอรู้ว่าควรจะต่อสู้กับเด็กเกเรด้วยขันติ ยิ่งในสถานการณ์ที่เสียเปรียบยิ่งต้องวางเฉย ตอนนี้พระจันทร์เป็นบ่าวคุณชาย รถที่นั่งก็รถคุณชาย คนรับใช้ก็เป็นพวกคุณชายอีก สังเกตจากที่ยิ้มขันตอนโดนเธอโดนแกล้ง ก็รู้แล้วว่าเป็นคนอย่างไร

คุณชายอังศุธรแกล้งดึงผมพระจันทร์อีกครั้ง แต่คราวนี้เธอไม่ร้องโอดโอย ไม่แม้แต่จะหันมา คุณชายเลยออกแรงดึงมากขึ้น แต่อีกฝ่ายก็ยังคงมีปฏิกิริยาเฉยชาอย่างเดิม จอมเกเรเริ่มไม่สนุกประจวบเหมาะกับที่รถแล่นมาถึงโรงเรียนพอดี การกลั่นแกล้งจึงยุติลง

คุณชายกระโดดลงจากรถไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนแทบจะทันทีที่รถจอด ทิ้งน้องสาวให้เข้าไปในอาคารเรียนตามลำพัง ถึงจะมีพี่เลี้ยงกับพระจันทร์แต่มันก็ไม่เหมือนมากับญาติ คุณหญิงอังศุมาลีมองพี่ชายวิ่งหายไปตาละห้อย เห็นแล้วพระจันทร์ก็นึกสงสารและตำหนิคุณชายไปพร้อมๆ กันที่ไม่รู้จักห่วงน้อง

คุณหญิงอังศุมาลีจับมือพี่เลี้ยงเอาไว้แน่นขณะที่ก้าวเข้าไปในตัวอาคารของชั้นประถมศึกษา เด็กหญิงรู้สึกเกร็งจนเหงื่อซึมเมื่อเห็นสายตามากมายจับจ้องมาที่ตัวเอง ใจเธอคิดกังวลไปว่าคนเหล่านี้จะมารุมแกล้งหรือเปล่าและจะรังเกียจเธอไหม ยิ่งเดินเข้ามาในอาคารมากเท่าไร หน้าเธอก็ยิ่งซีดลงมากขึ้นเรื่อยๆ ขอบตามีน้ำรื้นพร้อมจะร้องไห้ออกมาได้ทุกขณะ

คุณหญิงยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่าสายตาของเด็กอื่นที่มองมาเป็นเพียงแค่ความกระหายใคร่รู้เท่านั้น ไม่มีใครจงใจคุกคามเธอเลย หากสังเกตให้ดีส่วนใหญ่เป็นสายตาชื่นชมทั้งนั้น ถึงจะอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนแต่คุณหญิงเธอก็ยังน่าเอ็นดู ผิวขาวเนียนละเอียด เครื่องหน้าจิ้มลิ้ม แม้แต่เด็กด้วยกันยังกระซิบกระซาบออกปากชม

พระจันทร์อยากจะช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นจึงบอกไปว่า

“ได้ยินไหมคะมีแต่คนชมว่าคุณหญิงน่ารัก อยากเป็นเพื่อนด้วย”

พวงแก้มของเด็กหญิงแดงขึ้นมาเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้นจากพื้นมามองรอบตัว สิ่งแรกที่เห็นคือรอยยิ้มของเด็กกลุ่มหนึ่ง ซึ่งทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง

พระจันทร์ชวนคุณหญิงคุยหลายอย่างเพื่อให้เธอสบายใจ แต่คนที่ทำให้คุณหญิงยิ้มออกมาได้จริงๆ คือเด็กผู้หญิงอีกคน ซึ่งพระจันทร์ลงความเห็นว่าน่ารักพอฟัดพอเหวี่ยงกับเจ้านายของเธอ

“หญิงอัง มานี่เร็ว” เด็กคนนั้นโบกมือหย็อยๆ เรียก

คุณหญิงปล่อยมือพี่เลี้ยงแล้วไปหาในทันที พระจันทร์มารู้ทีหลังว่าเด็กคนนี้ชื่อวายุตาและเธอคือเหตุผลว่าทำไมคุณหญิงถึงได้อยากมาโรงเรียน

ก่อนหน้านี้ทั้งสองเคยเจอกันสองสามครั้งเพราะหม่อมเนียรรู้จักกับมารดาของเด็กหญิง บ้านของวายุตาอยู่ในซอยเดียวกันกับวังชื่นชีวี แต่เด็กทั้งสองแทบไม่เคยได้เล่นด้วยกันเพราะหม่อมเนียรเก็บธิดาเอาไว้ให้อยู่แต่ในตำหนัก วายุตาจึงบอกคุณหญิงว่าถ้าอยากเล่นกันบ่อยๆ ก็ให้มาที่โรงเรียน จะได้เจอกันทุกวัน ด้วยเหตุนี้คุณหญิงอังศุมาลีเลยรวบรวมความกล้าขออนุญาตมารดามาเรียนอีกครั้ง

พระจันทร์รู้สึกสบายใจที่คุณหญิงมีเพื่อนและยิ้มได้ สถานการณ์การไปโรงเรียนวันแรกจึงไม่เลวร้ายอย่างที่คิด ในขณะที่ชีวิตโรงเรียนดำเนินไปได้ด้วยดี ที่วังชื่นชีวีกลับมีปัญหาใหญ่ ซึ่งก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้หม่อมเนียรไม่สามารถไปโรงเรียนกับธิดาในวันเปิดเรียนวันแรกได้

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มาลุ้นกันนะคะว่าทำไมหม่อมเนียรถึงไปส่งลูกไปโรงเรียนไม่ได้ สปอยเบาๆ ว่าดราม่าครอบครัวก็แล้วกันนะคะ นอกนั้นไม่บอกใบ้ จุ๊ๆ อย่างเดียว

เกร็ดความรู้ประจำตอน
ในเรื่องนี้จะเห็นว่ายุคที่พระจันทร์เกิดจะมีถึงแค่ป.4 เท่านั้น ที่ต้องรวบอย่างนี้เพราะเป็นแผนการศึกษาที่ปรับปรุงในช่วงสงคราม เพื่อเร่งรัดให้ประชาชนอ่านออกเขียนได้เร็วๆ แล้วออกมาทำงานเพื่อชาติค่ะ แต่หลังจากนั้นก็มีการปรับปรุงแผนการศึกษาอีกหลายครั้ง
ในปีพ.ศ.2503 มีการปรับเปลี่ยนให้ระบบประถมศึกษามีถึง ป.7 แล้วก็มีระดับมัธยมศึกษาที่ใช้เวลาเรียน 5-6 ปี เรียกกันง่ายๆ ว่ามศ.5 มศ.6 แล้วถึงจะเป็นระดับอุดมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยนั่นเอง ส่วนเตรียมอุดมศึกษาถูกยุบไปค่ะ
น้องๆ หลายคนอาจจะไม่คุ้นกับคำว่า ป.7 แต่อีกหลายคนอาจจะได้ยินผ่านหูมา ใครเกิดทันได้เรียนขอยกมือขึ้นไหว้งามๆ ด้วยความเคารพนะคะ เพราะคาดว่าคงเป็นรุ่นคุณน้าคนเขียน
แล้วสงสัยไหมเอ่ยว่า ป.7 หายไปตอนไหน ป.7 หายไปเพราะการปรับปรุงแผนการศึกษาใหม่ใน พ.ศ.2520 ค่ะ เหลือแค่ถึง ป.6 เท่านั้น ส่วนมัธยมศึกษาก็ใช้เวลาเรียน 6 ปี จากนั้นก็จะเป็นระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งก็ยึดจำนวนปีในการเรียนแบบนี้มาถึงปัจจุบันจ้า




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 มิ.ย. 2556, 00:07:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 มิ.ย. 2556, 00:07:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 2290





<< บทที่ 7 คุณหญิงคุณชาย   บทที่ 9 นักเรียนพิเศษ >>
wane 1 มิ.ย. 2556, 06:34:01 น.
อยากรู้จัง วันเวลาเปลี่ยนไป วิญญาณของพระจันทร์ที่อยู่ในร่างของหนูจันทร์จะโตขึ้นตามไปด้วย หรือยังคง อายุ 14 เท่าเดิม


goldensun 1 มิ.ย. 2556, 06:37:06 น.
พระจันทร์คงสนุกกับชีวิตในโรงเรียนแน่ แต่คงป่วนถ้าครูใหญ่เห็นคำตอบของข้อสอบ
มัธยมสามนี่ ก็เทียบกับประถมเจ็ดสิคะ


คิมหันตุ์ 1 มิ.ย. 2556, 21:50:55 น.
คุณชายใจร้ายแท้เล๊าาาาาาาา


Zephyr 1 มิ.ย. 2556, 22:25:54 น.
ฮ่ายยยย ใช้เรื่องที่นางทำข้อสอบ ม.สาม ได้ป่าว
หม่อมป้าเนียร ท่านเลยโกรธ...... ป้าของพระจันทร์
กลายเป็นดราม่าเล็กๆซึ่งอาจจะใหญ่ตามมา หึหึ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account