ข้ามกาล
อุบัติเหตุทำให้พระจันทร์ย้อนอดีตมาอยู่ในวังของหม่อมเจ้าใครเลยจะคิดว่าชีวิตลูกกำพร้าผู้ต่ำต้อยเช่นพระจันทร์
จะมีดาวฤกษ์อย่างดวงอาทิตย์มาโคจรรอบตัวถึงสามดวง


ดวงแรกนั้นพระจันทร์ทั้งรักและเทิดทูน ยึดเป็นที่พึ่งทางใจเสมอมา
พระอาทิตย์ดวงนี้เมตตาพระจันทร์ยิ่งนัก แต่ก็สงวนท่าทีเหลือเกิน
ใจท่านคิดเช่นไร พระจันทร์ไม่อาจรู้ได้เลย


ดวงที่สองร้อนแรงดังเพลิงกัลป์ หยิ่งทระนงหนักหนา
ทั้งยังเป็นคู่อริกันมาช้านาน ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ในวันที่หนาวเหน็บที่สุด
พระอาทิตย์วายร้ายกลับเต็มใจมาอยู่เคียงข้างพระจันทร์
คอยส่องแสงให้ความอบอุ่นโดยไม่ต้องร้องขอ


ส่วนดวงที่สามพระจันทร์รักเคารพเสมอเหมือนพี่ชาย
ความที่เขามีคู่หมายซึ่งเหมาะสมกันอยู่แล้ว
พระจันทร์จึงไม่เคยคิดเป็นอื่น แต่โชคชะตากลับเล่นตลก
ส่งกามเทพมาแผลงศรทำให้พี่ชายเผลอรักพระจันทร์หมดใจ
Tags: พีเรียต ย้อนยุค ช่วงปี 2493-2507 คุณชาย ท่านชาย นายแพทย์ พระเอกในเรื่องไม่รู้เป็นใคร แต่หนุ่มๆ แซ่บเวอร์ วัง หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ ย้อนเวลา โรแมนติก คอมเมดี้ หวานๆ ดราม่าเบาๆ ภาษาอ่านง่าย

ตอน: บทที่ 9 นักเรียนพิเศษ

บทที่ 9 นักเรียนพิเศษ

มีมหาดเล็กของท่านชายทินกฤตมาที่วังในตอนเช้า ชายหนุ่มทั้งสองแจ้งแก่หม่อมเนียรว่ามารับตัวคุณชายอังศุธรตามรับสั่งของท่านชาย ได้ยินดังนั้นหม่อมเนียรก็โกรธจนคุมกิริยาเอาไว้ไม่ได้ เธอตะเพิดมหาดเล็กทั้งสองให้กลับออกไป พร้อมกับขว้างปาข้าวของเสียไม่มีดี

สาเหตุที่ทำให้หม่อมโกรธคือเธอมองว่าท่านชายกำลังจะชิงตัวลูกรักเอาไปให้มารหัวใจอบรม ซึ่งเป็นสิ่งที่หม่อมเนียรรับไม่ได้

หลายสัปดาห์ก่อนมีจดหมายจากท่านชายทินกรส่งมาจากเชียงใหม่ ใจความว่าให้ส่งตัวลูกชายทั้งสองคนมาหาเพื่อเรียนภาษากับมิชชันนารีชาวอังกฤษ จะได้เตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ ลูกชายที่เอ่ยถึงคนหนึ่งคือคุณชายอังศุธร ส่วนอีกคนคือคุณชายภาสกร ซึ่งเกิดจากหม่อมเรไร พี่สาวของหม่อมเนียร หม่อมเรไรบุญน้อยคลอดลูกชายได้ไม่นานก็จากโลกนี้ไป ท่านชายจึงเสกสมรสใหม่กับหม่อมเนียร

ท่านชายทินกรรักหม่อมเรไรอย่างสุดซึ้งแต่ไม่มีใครทราบว่าท่านรักหม่อมเนียรหรือไม่ กระนั้นท่านชายก็ไม่เคยคิดจะรับหม่อมเพิ่มอีกเลย จวบจนกระทั่งเสด็จไปที่เชียงใหม่และได้พบรักกับสตรีผู้หนึ่ง ผู้หญิงคนนี้เป็นหลานของเจ้าเมืองทางเหนือ มีนามว่าเจ้าบัวคำ ท่านชายขอเจ้าบัวคำมาจากเจ้าลุง แล้วจัดงานแต่งงานเสียใหญ่โต ทั้งยังสร้างตำหนักเอาไว้ที่เชียงใหม่ด้วย

การกระทำครั้งนี้เป็นการหักหน้าหม่อมเนียรอย่างรุนแรง แต่ด้วยสุขภาพไม่อำนวยเพราะเพิ่งให้กำเนิดธิดาคนเล็กกับทิฐิในใจว่าตนเป็นผู้ดี หม่อมจึงไม่ได้ตามไปราวี ได้แต่ปล่อยให้ท่านชายทำตามประสงค์ไป ท่านชายทินกรเองก็ทรงรู้ว่าทำผิดต่อภรรยาเอก ท่านก็กลับมางอนง้อขอโทษ แต่สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น หม่อมเนียรไม่เพียงแต่ไม่ให้อภัย ยังขับไล่ท่านชายให้ไปอยู่กับหม่อมใหม่ของท่าน

เจอกระทบกระทั่งอย่างนี้บ่อยเข้า ท่านชายก็เริ่มทนไม่ไหว สุดท้ายก็เสด็จไปอยู่เชียงใหม่จริงๆ พอมีลูกชายที่เกิดจากหม่อมบัวคำก็แทบจะลืมคุณหญิงอังศุมาลีที่มีอายุห่างกันไม่ถึงปีไปเลย นานทีปีหนจึงจะทรงกลับมาพบลูกทั้งสามสักครั้ง

แม้จะแยกกันอยู่แต่ท่านชายก็ยังดูแลรับผิดชอบครอบครัว ให้คนจัดการเรื่องเงินทองให้ลูกเมียใช้ไม่ขาดมือ คุณชายภาสกรได้เรียนในโรงเรียนประจำที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในพระนคร คุณชายอังศุธรอยากได้อะไร ขอเพียงแค่เขียนจดหมายมาขอก็ประทานให้ทันที ส่วนลูกหญิงคนเล็กนั้นท่านมักจะส่งของเล่นกับเสื้อผ้าเครื่องประดับที่คิดว่าน่ารักมาให้เสมอ ทว่าก็ถูกหม่อมเนียรสั่งให้คนเอาไปเผาทำลายเกือบหมด เพราะมองว่าหม่อมบัวคำเป็นคนเลือกแล้วบอกให้ท่านชายส่งมาเย้ยตน

หม่อมเนียรไม่ยอมปล่อยวางชีวิตเลยไม่เป็นสุข ทั้งยังส่งผลกระทบมาที่บรรดาลูกๆ ด้วย คุณชายภาสกรเบื่อหน่ายกับการพร่ำบ่นต่อว่าบิดาของคุณน้า จึงหนีไปอยู่เสียที่โรงเรียนประจำ คุณชายอังศุธรก็ถูกตามใจจนเหลิง กลายเป็นเด็กเกเรไม่เห็นหัวใคร ส่วนคุณหญิงอังศุมาลีนี่ยิ่งน่าเวทนาหนัก กลายเป็นเด็กเก็บกด เงียบขรึมผิดปกติ เพราะโดนเอาไปเปรียบเทียบกับน้องชายเสมอ ทั้งยังถูกอบรมแบบฝังหัวว่าจะต้องดีพร้อม ต่อให้เป็นผู้หญิงก็ห้ามแพ้ลูกของหม่อมบัวคำเด็ดขาด

เรื่องนี้จะโทษฝ่ายหญิงเสียทีเดียวก็ไม่ได้ ฝ่ายชายเองก็ผิดที่ไปมีคนอื่น แม้ว่าธรรมเนียมในสมัยนั้นพวกเจ้าขุนมูลนายจะมีภรรยาได้หลายคนก็ตาม

เมื่อท่านชายมีประสงค์จะให้ส่งตัวลูกไป หม่อมเนียรก็ส่งตัวไปแต่คุณชายภาสกร เนื่องจากเห็นว่าโตแล้วและเป็นคนเงียบขรึมหนักแน่น ไม่น่าจะอ่อนไหวไปกับคำพูดของทางนั้น ส่วนลูกของตัวเองหม่อมเนียรไม่ยอมปล่อยออกจากอก ในสายตาเธอคุณชายอังศุธรยังเด็กนัก จึงส่งจดหมายปฏิเสธท่านชายไป

ปกติท่านชายจะยอมอ่อนให้หม่อมเนียรเกือบทุกเรื่อง ทว่าเมื่อเป็นเรื่องลูกท่านกลับไม่ยอมลดราวาศอก ถึงจะไม่ได้อยู่ที่วังนี้ แต่ท่านก็ได้ยินเรื่องความประพฤติเกเรของบุตรชายผ่านหูมาไม่น้อย ท่านชายเล็งเห็นว่าถ้าไม่รีบเอาตัวมาดัดนิสัยเสียตอนนี้ เห็นทีจะเสียผู้เสียคน เลยมีโทรเลขลงมาว่าตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ถ้าหม่อมไม่ส่งตัวลูกขึ้นมาก็จะส่งคนไปรับ

แม้ท่านชายจะยื่นคำขาด หม่อมเนียรก็ยังเมินเฉย เธอคิดว่าท่านชายแค่ขู่เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าท่านจะกล้าหักหาญน้ำใจกันจริงๆ หม่อมเนียรโกรธจัดมาก เลยสั่งคนส่งโทรเลขโต้ตอบท่านชายกลับไปทันที

‘ถ้าฝ่าบาทอยากได้ชายศุไปให้เมียทางนั้นอบรมจริงๆ ก็ลงมาพรากจากอกแม่ด้วยองค์เองเถอะเพคะ’

ข้อความที่แสนประชดประชันแฝงความโกรธเกรี้ยวนี้ทำท่านชายทินกรอ่อนพระทัยเหลือกำลัง กระนั้นก็ทรงตั้งพระทัยเอาไว้แล้วว่า ต่อให้ต้องทะเลาะกันจนถึงขั้นหย่าขาดจากกันก็จะทรงเอาตัวลูกมาให้ได้



บรรดาคุณหญิงคุณชายและพระจันทร์ต่างก็ดำเนินชีวิตไปโดยไม่รับรู้ถึงปัญหาของบรรดาผู้ใหญ่รอบตัว ทั้งที่ได้รับผลกระทบมาเต็มๆ ปัญหาของคุณชายอังศุธรกับคุณหญิงอังศุมาลีนั้นเกิดขึ้นเพราะครอบครัว แต่ปัญหาของคนธรรมดาสามัญอย่างพระจันทร์กลับเกิดขึ้นเพราะผู้ใหญ่ในโรงเรียน ไม่รู้ว่าพระจันทร์โชคดีหรือโชคร้ายที่อาจารย์ใหญ่บังเอิญไปเจอกระดาษข้อสอบที่พระจันทร์ทำเอาไว้ แล้วนึกสนุกนั่งตรวจให้คะแนนขึ้นมา พอรวมคะแนนเสร็จท่านก็ให้คนตามเด็กเจ้าของกระดาษคำตอบนี้มาพบ

พระจันทร์รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ตัวเองถูกอาจารย์ใหญ่เรียกตัวตั้งแต่วันที่สามของการเรียน กระนั้นก็เข้าไปพบอย่างไม่กลัวเพราะมั่นใจว่าไม่ได้ทำผิด

อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนพินิจศึกษามีชื่อว่าคงลาภ เป็นชายอายุประมาณสี่สิบเศษ รูปร่างสันทัด อวบนิดๆ มีพุงน้อยๆ จุดเด่นคือผมดกดำ ผิดกับคิ้วที่บางเฉียบเสียจนแทบมองไม่เห็น พระจันทร์แทบจะกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่เมื่อเห็นความไม่เข้ากันนี้ พิจารณาดีๆ ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอาจารย์ใหญ่ใส่วิกหรือเปล่า

“หนูน่ะรึ เด็กหญิงพระจันทร์ ฟ้าแสน” คงลาภมองอย่างไม่เชื่อสายตานัก

ใครจะคิดว่าแม่หนูตัวเล็กเท่านี้จะทำข้อสอบแสนยากของเด็กมัธยมต้นได้คะแนนสูง

“ค่ะหนูเอง”

นามสกุลฟ้าแสน เป็นนามสกุลของนางสมใจ พุดจีบเองก็ใช้นามสกุลนี้ด้วยเหมือนกันเพราะเป็นนามสกุลพ่อ พระจันทร์ไม่ได้ถามต่อว่าทำไมเธอถึงไม่ได้ใช้นามสกุลพ่อตัวเอง เพราะพอเดาได้ว่าฝ่ายชายไม่คงคิดจะรับผิดชอบชีวิตลูกคนนี้

“ฉันเรียกมาวันนี้เพราะอยากถามว่าหนูทำข้อสอบพวกนี้เองใช่ไหม”

อาจารย์ใหญ่หยิบกระดาษข้อสอบออกมาให้ดู ซึ่งพระจันทร์ก็ยอมรับอย่างไม่ปิดบังว่าทำเอง

“บอกได้ไหมใครสอนเลขคณิตให้หนู”

“พี่สาวค่ะ”

“ก่อนหน้านี้หนูเรียนที่บ้านมาตลอดเลยใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ”

หลังจากนั้นอาจารย์ใหญ่ก็สอบถามอะไรอีกหลายๆ อย่าง พระจันทร์เน้นตอบให้สั้นและคลุมเครือเข้าไว้เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต ถ้าเป็นสมัยนี้แล้วมีเด็กแปดขวบทำข้อสอบเด็กมัธยมได้ คงเป็นข่าวได้ออกทีวี แต่ในยุคสมัยก่อนเธอคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็เลยต้องระวังเอาไว้

อาจารย์ใหญ่สรุปเรื่องราวและคิดเชื่อมโยงเอาเองว่าพระจันทร์มีความสามารถทางคณิตศาสตร์เกินอายุเพราะเรียนรู้มาจากพี่สาว คล้ายๆ กับที่ลูกชายคนเล็กของตนนั่งดูพี่สาวทำการบ้าน แล้วก็จำบทเรียนมาได้ แต่เด็กคนนี้พิเศษกว่ากันมาก

“เห็นว่าหนูมีความรู้เรื่องวิชาเลขคณิตค่อนข้างดี ไปเรียนกับเด็กประถมสามคงเบื่อ สนใจเลื่อนชั้นไปเรียนกับชั้นอื่นบางวิชาไหม”

อาจารย์ใหญ่ใช้คำว่าบางวิชาเพราะเห็นว่าวิชาสังคมและประวัติศาสตร์ยังอ่อนอยู่ สมควรให้เรียนกับระดับชั้นปกติ

“อยากค่ะ” พระจันทร์เผลอตอบออกไปเพราะเก็บกดมาหลายวัน

เธอยอมรับจากใจเลยว่าเบื่อมาก การนั่งทนฝืนความง่วงปล่อยให้เวลาผ่านไปเปล่าๆ ไม่ใช่วิสัยของพระจันทร์ แต่จะเอาอะไรอย่างอื่นมาทำก็ไม่ได้เพราะทั้งห้องมีนักเรียนอยู่แค่ยี่สิบคน แถมครูก็ยังคุมเข้มด้วย แค่คิดว่าต้องทนอยู่ในสภาพอย่างนี้อีกสี่ปี กว่าจะได้เรียนต่อยอดความรู้เดิมเธอก็แทบคลั่งแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นลองวิชาคณิตศาสตร์ก่อนก็แล้วกันนะ ถ้าหนูทำแบบฝึกหัดนี่ถูกหมด ครูจะให้หนูเป็นนักเรียนพิเศษ สามารถไปเรียนกับพวกพี่ๆ ชั้นมัธยมได้”

คงลาภขอทดสอบให้เห็นด้วยตาตัวเองก่อนเพื่อความมั่นใจ พระจันทร์รู้สึกได้ถึงแผนการบางอย่างในแววตาของอาจารย์ใหญ่ แต่ก็ยินยอมกระโดดเข้าไปในกับดัก กว่าจะรู้ว่าต้องเจอกับอะไรก็สายไปเสียแล้ว



ในโรงเรียนพินิจศึกษาแห่งนี้จะมีห้องเรียนสำหรับนักเรียนระดับประถมชั้นละสามห้อง ส่วนชั้นเรียนของเด็กมัธยมจะเหลือเพียงสองห้อง ชั้นที่มีปัญหามากที่สุดคือชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามห้องกอ เด็กในชั้นนี้ทั้งเกเรและไม่ตั้งใจเรียน สาเหตุหลักๆ เพราะเป็นผู้ชายทั้งห้อง ซ้ำร้ายแต่ละคนยังเป็นลูกหลานของผู้มีอุปการคุณต่อโรงเรียนทั้งสิ้น บรรดาคุณครูทั้งหลายจึงรับมือได้อย่างยากลำบาก

เด็กห้องนี้นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนแล้ว ยังขยันสรรหาของแปลกๆ มาแกล้งครูไม่เว้นแต่ละวัน ทำโทษก็แล้ว ดุก็แล้วกลับไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย เพราะมีเด็กเส้นใหญ่เจ้าปัญหาคอยชักจูงเพื่อนออกนอกลู่นอกทาง ซึ่งเด็กคนนี้ก็คือคุณชายอังศุธร หลานชายของอาจารย์ใหญ่

อาจารย์ใหญ่ตั้งใจจะอบรมหลานคนนี้หลายครั้ง แต่บ่นว่าอะไรมากไม่ได้ เพราะคุณชายสอบได้ที่หนึ่งเสมอ ความฉลาดหัวไวเกินเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันทำให้คุณชายอังศุธรเบื่อการสอนที่แสนจะเนิบนาบ เบื่อมากเข้าก็เลยชวนเพื่อนเล่น ไม่ก็แกล้งครู

คงลาภเข้าใจพฤติกรรมของหลานเลยหาทางดัดนิสัย คิดไปคิดมาหัวแทบแตกก็ไม่พบหนทางดีๆ เลยสักที ในขณะที่กำลังหมดหวังฟ้าก็ส่งนางฟ้าตัวจิ๋วมาช่วยแก้ปัญหา ทีนี้ล่ะคุณชายน้อยจะได้เลิกลำพอง ส่วนคนอื่นจะได้กลับมาตั้งอกตั้งใจเรียนเสียที

อาจารย์ใหญ่มองแต่ด้านบวก โดยลืมคิดไปเสียสนิทว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กหญิงตัวน้อยเช่นพระจันทร์ เมื่อต้องถูกจับมาอยู่กับเด็กโต

แผนการของอาจารย์ใหญ่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่บ่ายวันนั้นเลย ท่านสั่งให้คนยกโต๊ะเรียนไปวางเพิ่มเอาไว้หน้าห้องหนึ่งตัว นักเรียนที่เข้ามาเห็นต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงที่มาของโต๊ะตัวนี้ เพราะก่อนไปพักเที่ยงยังไม่เห็นมันวางอยู่เลย

“ใครรู้บ้างว่าโต๊ะนี่มาได้ยังไง” คุณชายถามคนในห้องอย่างมีอำนาจ แล้วไล่สายตาไปที่เพื่อนทีละคน

“เรากับนึกเป็นคนไปยกมาเอง ครูใหญ่สั่งให้เอามาวาง” ปัญญาซึ่งเป็นหัวหน้าห้องบอก

“เอามาทำไมวะ” เพิ่มศักดิ์ถาม

“ไม่รู้”

“อ้าว! แล้วทำไมไม่รู้จักถามวะ เป็นหัวหน้าห้องเสียเปล่า” เพิ่มศักดิ์โวยวาย เด็กอื่นเลยรุมต่อว่าด้วย

ปัญญาหน้าจ๋อย ได้แต่พึมพำเสียงอ่อยว่าลืม ถึงจะเป็นหัวหน้าห้องแต่เพื่อนฝูงก็หาได้ยำเกรงไม่ สาเหตุที่ได้เป็นเพราะโดนยัดเยียดหน้าที่ยิบย่อยอย่างการช่วยเก็บการบ้านไปส่งครู หรือขานบอกทำความเคารพต่างหาก สถานะที่แท้จริงจึงไม่ต่างจาก ‘เบ๊’ นัก ดีตรงที่ไม่ถูกใครแกล้งเพราะคุณชายอังศุธรห้ามไว้

ถึงจะเอาแต่ใจไปบ้างแต่ข้อดีอย่างที่สุดของคุณชายก็คือเป็นคนรักเพื่อนพ้องและยุติธรรม ลูกพี่ของทุกคนคนนี้ประกาศชัดว่าไม่มีทางยอมให้เกิดการกลั่นแกล้งกันในหมู่เพื่อนฝูงเด็ดขาด ดังนั้นพวกอ่อนแอทุกคนเลยยอมเป็นลูกไล่ของคุณชายด้วยความเต็มใจ ส่วนพวกเกเรทั้งหลายก็ยอมให้เพราะใจนักเลงกับความสามารถ

คุณชายอังศุธรไม่ใช่แค่เรียนเก่งแต่ยังต่อยตีเก่งด้วย วิชาหมัดมวยนี้เด็กชายแอบเรียนมาจากคนขับรถซึ่งเป็นอดีตนักมวยเก่า ความที่มีร่างกายสูงใหญ่แข็งแรงกว่าเด็กวัยเดียวกันอยู่แล้ว จึงล้มพวกลูกผู้ดีคนอื่นที่เก่งแต่ปากได้สบาย

“เงียบได้แล้ว น่ารำคาญ ครูใหญ่เข้ามาก็รู้เองนั่นแหละว่าโต๊ะใคร” คุณชายปรามเมื่อเห็นว่าเสียงชักจะดังเกินไป

เมื่อลูกพี่สั่งทุกคนก็เบาเสียงลงแล้วแยกย้ายกลับไปประจำที่เมื่อกริ่งหมดเวลาพักดัง ตารางเรียนในช่วงบ่ายนี้เป็นวิชาคณิตศาสตร์ สอนโดยอาจารย์ใหญ่ ต่อด้วยวิชาประวัติศาสตร์ของอาจารย์นงเยาว์ คุณชายไม่กล้าแผลงฤทธิ์มากเมื่อคุณลุงมาสอน แต่ก็ไม่ตั้งใจเรียนสักเท่าไร

หลังกริ่งดังประมาณครึ่งนาที อาจารย์ใหญ่ก็ปรากฏกายพร้อมกับเจ้าของโต๊ะปริศนา เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่เดินเข้ามาในห้องก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกระหึ่ม คุณชายอังศุธรแทบจะตกเก้าอี้เมื่อได้ยินว่าเด็กรับใช้ในวังจะมานั่งเรียนด้วย

“ยายเปี๊ยกนี่นะหรือครับจะมาเรียนกับพวกเรา ครูใหญ่พาเข้ามาผิดชั้นหรือเปล่าครับ” เพิ่มศักดิ์ยกมือขึ้นถามอย่างไม่เชื่อหู

“ได้ยินกันไม่ผิดหรอก พระจันทร์จะมาเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่ห้องนี้ทุกคาบ พร้อมกฎใหม่”

“กฎอะไรครับ”

“ต่อแต่นี้เราจะไม่มีการบ้าน” คำพูดนี้ทำให้เสียงเฮดังลั่น แล้วก็กลายเป็นเสียงถอนใจเมื่อได้ยินประโยคต่อมา “แต่ต้องมีการสอบก่อนเรียนทุกครั้ง ใครได้คะแนนน้อยต้องเรียนเสริม”

“นึกแล้วว่าครูใหญ่ต้องไม่ใจดี” เด็กคนหนึ่งพึมพำ

“คะแนนน้อยที่ว่าคือเท่าไรครับ” คุณชายอังศุธรยกมือขึ้นถาม

เด็กชายรู้สึกได้ว่าคุณลุงกำลังมีแผนการบางอย่างอยู่ ถ้าไม่ยุติธรรมก็จะทำการประท้วงเสียเลย

“น้อยกว่าพระจันทร์”

เสียงเฮกลับมาดังลั่นอีกครั้ง บ้างก็หัวเราะว่าอาจารย์ใหญ่กำลังเล่นตลกอะไรอยู่ คงลาภทำเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ แล้วให้ร่วมกันโหวตว่าจะกลับไปเรียนแบบเดิมหรือเดิมพันด้วยแบบใหม่

คนส่วนใหญ่ตกลงเพราะไม่อยากทำการบ้าน แม้จะแคลงใจแต่คุณชายก็ยอมทำตามความต้องการของพวกเพื่อนๆ เพราะอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ทุกคนทำการสอบด้วยข้อสอบที่อาจารย์ใหญ่เตรียมมา เสร็จแล้วก็แลกกันตรวจ ผู้ใหญ่เจ้าแผนการจงใจเอากระดาษคำตอบของพระจันทร์ไปให้คุณชายอังศุธรตรวจเพื่อที่จะได้เห็นกับตาว่าคู่แข่งที่ฟ้าส่งมาได้ถือกำเนิดแล้ว เด็กชายถึงกับอึ้งไปเลยเมื่อผลการสอบออกมาว่าพระจันทร์ได้คะแนนเต็ม

“อะไรนะคะแนนเต็ม!” นักเรียนในห้องหันรีหันขวางมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง

“ตรวจผิดหรือเปล่า” เพิ่มศักดิ์ว่า

“เอาไปดูเองแล้วกัน” คุณชายโยนกระดาษให้เพื่อนด้วยความรำคาญ

ไม่ว่าตรวจใหม่สักกี่ครั้งคะแนนของพระจันทร์ก็ยังเป็นคะแนนเต็ม ทุกคนเลยแทบไม่เชื่อตัวเองว่าจะทำคะแนนสอบได้น้อยกว่าเด็กชั้นประถม

อาจารย์ใหญ่ปล่อยให้วิพากษ์วิจารณ์กันพอหอมปากหอมคอ จากนั้นจึงสั่งให้เงียบแล้วคุยเรื่องเรียนเสริม

“เลิกเรียนใครที่ไม่ได้คะแนนเต็มให้อยู่ต่อ”

เสียงโอดครวญดังลั่น คงลาภจึงต้องเคาะไม้เรียวที่หยิบติดมือมา

“ตกลงกันแล้วก็ต้องตามนั้น ไม่มีการต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น เปิดหนังสือ เราจะเริ่มเรียนกันต่อแล้ว”

น้ำเสียงเฉียบขาดทำให้ทุกคนต้องทำตาม เพราะรู้ดีว่าอาจารย์ใหญ่มือหนัก และมักจะลงโทษอย่างจริงจังเสมอ

“เดี๋ยวครับ!” คุณชายยกมือขึ้นประท้วง “ข้อตกลงไม่ยุติธรรม เด็กตัวแค่นี้จะสอบได้คะแนนเต็มได้อย่างไร เด็กนี่ต้องท่องคำตอบเอาไว้แน่ๆ”

คงลาภยิ้มน้อยๆ กับคำประท้วง เขานึกอยู่แล้วว่าต้องมีนักเรียนคิดอย่างนี้ ก็เลยเตรียมรับมือมา

“ครูไม่ได้ให้พระจันทร์ท่องจำคำตอบแน่นอน พระจันทร์เห็นข้อสอบพร้อมๆ กับพวกเธอนี่แหละ ถ้าไม่เชื่อก็ลองตั้งโจทย์มาสักข้อสิ จะหาเอาจากในหนังสือเรียน แล้วมาเปลี่ยนตัวเลขครูก็ไม่ว่า แต่ตั้งโจทย์แล้วต้องคิดเองแก้เองให้ได้ด้วยล่ะ”

เด็กนักเรียนในห้องช่วยกันคิดโจทย์กันใหญ่ ห้องนี้มีคนเก่งคณิตศาสตร์อยู่สามคนคือคุณชาย ปัญญาและสมนึกซึ่งเป็นรองหัวหน้าห้อง สามคนเลยสุมหัวกันคิดโจทย์ยากๆ ออกมาได้หนึ่งข้อ

คุณชายอังศุธรรับหน้าที่ไปเขียนโจทย์เองบนกระดาน เด็กชายจงใจใช้ตัวเลขที่เป็นเศษส่วนเพราะจะได้คิดยากขึ้น เขียนเสร็จก็หันมามองพระจันทร์อย่างท้าทาย

“ออกไปทำสิพระจันทร์ เขียนวิธีการทำด้วยนะ พวกพี่ๆ เขาจะได้เข้าใจ”

ต่อลาภจงใจใช้คำว่า ‘พี่ๆ’ เพื่อให้นักเรียนได้สำนึกว่าขาดความหมั่นเพียรจนแพ้เด็ก

พระจันทร์รับคำแล้วลากเก้าอี้ไปที่หน้าห้อง เนื่องจากจุดที่คุณชายเขียนอยู่สูงเกินเอื้อม และตัวเธอเองก็สูงเลยกระดานดำมาไม่เท่าไร ท่าทางทุลักทุเลของเด็กหญิงสร้างความขบขันให้กับทุกคนโดยทั่วกัน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครขำออก เมื่อพระจันทร์แก้โจทย์ได้อย่างถูกต้อง แล้วเขียนวิธีทำออกมาเสียละเอียด

เย็นวันนั้นนักเรียนเกือบทุกคนในห้องกอเลยได้เรียนเสริมกันทั่วหน้า มีเพียงคุณชายอังศุธรกับสมนึกเท่านั้นที่ไม่ต้องเรียมซ่อม

++++++++++++++++++++++++++++++++
สวัสดีตอนดึกค่ะ แล้วนางก็มาตอนดึกอีกจนได้ 5555 เค้าทำงานเพลินอ่ะตัวเอง ไหนๆ ก็เที่ยงคืนแล้วเลยลงสักหน่อย สรุปว่านอนเร็วตื่นเช้าไม่รอดอีกแล้วค่ะ แต่ก็จะพยายามอีก ไฟท์ติ้ง!!!

เกร็ดความรู้ประจำตอน
ว่าด้วยเรื่องของ “พระนคร” คำนี้คือคำเรียกในอดีตของกรุงเทพมหานครค่ะ สมัยนั้นพระนครมีสถานะเป็นจังหวัดนะคะ เรียกกันว่าจังหวัดพระนคร แต่ยังแยกส่วนกันอยู่กับจังหวัดธนบุรี แบ่งเป็นสองฝั่งกั้นด้วยแม่น้ำเจ้าพระยา
ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2514 รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจรได้รวม จังหวัดพระนคร และ จังหวัดธนบุรี เข้าด้วยกันเป็น นครหลวงกรุงเทพธนบุรี และภายหลังการปรับปรุงการปกครองใหม่เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2515 จึงได้เปลี่ยนเป็นชื่อเป็น กรุงเทพมหานคร แต่นิยมเรียกกันว่า กรุงเทพฯ มาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 มิ.ย. 2556, 00:11:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 มิ.ย. 2556, 00:11:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 1990





<< บทที่ 8 ไปโรงเรียน   บทที่ 10 กลั่นแกล้ง >>
Auuuu 3 มิ.ย. 2556, 00:44:08 น.
พระจันทร์เก่งมากกก ระวังคนหมั่นไส้นะ


คิมหันตุ์ 3 มิ.ย. 2556, 01:11:44 น.
เกร็ดความรู้เลิศอีกแล้วค่ะ

ปล.คุณชาย สู้ไหมๆ อิอิ


mhengjhy 3 มิ.ย. 2556, 07:47:17 น.
เก๋มากค่ะ 5555


padeedee 3 มิ.ย. 2556, 12:23:57 น.
พระอาทิตบ์สามดวงออกมาหมดแล้วช่ไหมคะ
ดวงแรก-ท่านชายทินกฤติ
ดวงสอง-คุณชายอังศุธร
ดวงสาม-คุณชายภาสกร
ใช่ไหมเอ่ย


goldensun 3 มิ.ย. 2556, 18:50:54 น.
พระจันทร์เป็นเด็กเรียนดีอยู่แล้ว เทียบกับชั้นเรียนของคุณชายอังศุธร ชั้นเรียนเดิมก็น่าจะสูงกว่านี่คะ ชนะเห็นๆ
แต่จะโดนแกล้งรึเปล่านี่สิ แต่ก็จะแปลกๆนะคะ เพราะบอกว่า คุณชายไม่รังแกคนอ่อนแอกว่า หรือเฉพาะคนที่ยอมลงให้


เสรามณี 3 มิ.ย. 2556, 19:10:35 น.
คำผิดค่ัะ
บรรทัดสุดท้าย
-เย็นวันนั้นนักเรียนเกือบทุกคนในห้องกอเลยได้เรียนเสริมกันทั่วหน้า
=เย็นวันนั้นนักเรียนเกือบทุกคนในห้องก็เลยได้เรียนเสริมกันทั่วหน้า


Zephyr 3 มิ.ย. 2556, 20:06:21 น.
ฮิฮะ สะใจเล็กๆ โฮะๆๆๆ
นางเอกสุดๆอ่ะ ถึงจะตัวเล็กแต่ใจใหญ่นะเออ
เส้นใหญ่ด้วย หึหึ
สมน้ำหน้าคุณขาย เกเรนัก แพ้เพื่อนในร่างเด็กเลย


windy2000 4 ส.ค. 2556, 08:21:15 น.
เจอเต็มๆ. ทำยังดีหล่ะ ชายศุ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account