ข้ามกาล
อุบัติเหตุทำให้พระจันทร์ย้อนอดีตมาอยู่ในวังของหม่อมเจ้าใครเลยจะคิดว่าชีวิตลูกกำพร้าผู้ต่ำต้อยเช่นพระจันทร์
จะมีดาวฤกษ์อย่างดวงอาทิตย์มาโคจรรอบตัวถึงสามดวง


ดวงแรกนั้นพระจันทร์ทั้งรักและเทิดทูน ยึดเป็นที่พึ่งทางใจเสมอมา
พระอาทิตย์ดวงนี้เมตตาพระจันทร์ยิ่งนัก แต่ก็สงวนท่าทีเหลือเกิน
ใจท่านคิดเช่นไร พระจันทร์ไม่อาจรู้ได้เลย


ดวงที่สองร้อนแรงดังเพลิงกัลป์ หยิ่งทระนงหนักหนา
ทั้งยังเป็นคู่อริกันมาช้านาน ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ในวันที่หนาวเหน็บที่สุด
พระอาทิตย์วายร้ายกลับเต็มใจมาอยู่เคียงข้างพระจันทร์
คอยส่องแสงให้ความอบอุ่นโดยไม่ต้องร้องขอ


ส่วนดวงที่สามพระจันทร์รักเคารพเสมอเหมือนพี่ชาย
ความที่เขามีคู่หมายซึ่งเหมาะสมกันอยู่แล้ว
พระจันทร์จึงไม่เคยคิดเป็นอื่น แต่โชคชะตากลับเล่นตลก
ส่งกามเทพมาแผลงศรทำให้พี่ชายเผลอรักพระจันทร์หมดใจ
Tags: พีเรียต ย้อนยุค ช่วงปี 2493-2507 คุณชาย ท่านชาย นายแพทย์ พระเอกในเรื่องไม่รู้เป็นใคร แต่หนุ่มๆ แซ่บเวอร์ วัง หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ ย้อนเวลา โรแมนติก คอมเมดี้ หวานๆ ดราม่าเบาๆ ภาษาอ่านง่าย

ตอน: บทที่ 11 ชิ้น?

บทที่ 11 ชิ้น?

วังชื่นชีวีเป็นวังที่ไม่มีกฎเกณฑ์มากนัก แต่ก็มีอยู่หลายเรื่องที่ท่านหญิงทรงเข้มงวดและกฎจะต้องเป็นกฎเสมอ มีอยู่ข้อหนึ่งที่ไม่ว่าใครได้ฟังก็ต้องชื่นชม นั่นคือท่านกำหนดให้บ่าวไพร่ของท่านต้องได้รับการศึกษาแบบไม่มีข้อยกเว้น สาเหตุเพราะท่านหญิงแสงแขต้องการให้เหล่าบริวารของท่านอ่านออกเขียนได้ มีวิชาความรู้ติดตัว เพื่อนำไปประกอบอาชีพในอนาคต

กับบริวารท่านยังไม่ปล่อยปละ แล้วมีหรือจะไม่ทรงเข้มงวดกับลูกหลาน ท่านหญิงแสงแขทรงเจ้าระเบียบในแบบของท่าน แต่ก็ทรงมีกุศโลบายอันชาญฉลาดเอาไว้หลอกล่อให้อยากเรียนหนังสือ ดังนั้นลูกหลานที่ท่านอบรมมาจึงรักเรียนและได้ชื่อว่าฉลาดหลักแหลมทุกคน

ในบรรดาหลานทั้งหมดคนที่ดื้อที่สุดเห็นจะเป็นคุณชายอังศุธร รายนี้ส่อเค้าว่าไม่กลัวไม้เรียวหรือคำดุด่ามาตั้งแต่เด็ก ท่านหญิงแสงแขจึงทรงใช้วิธีซื้อโทรทัศน์เอามาตั้งเอาไว้ในห้องนั่นเล่น หากต้องการจะดูก็ต้องเรียนหนังสือก่อน หรืออยากจะเล่นกับรพีภัคก็ต้องเรียนก่อนอีกเช่นกัน ด้วยเหตุนี้คุณชายอังศุธรเลยอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่ยังเล็ก

ที่ตำหนักของคุณชายไม่มีโทรทัศน์ให้ดูเพราะหม่อมแม่ของท่านเกรงว่ามันจะระเบิดตูมตาม อธิบายอย่างไรก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ ส่วนเรื่องเพื่อนนั้น หม่อมเนียรเข้มงวดชนิดที่ว่าห้ามลูกบ่าวไพร่คนไหนมาเล่นกับคุณชายเป็นอันขาด มิเช่นนั้นแล้วพ่อแม่จะต้องรับโทษ เด็กทุกคนในวังจึงพากันหลบเลี่ยงคุณชายกันหมด

พฤติกรรมของคุณชายดีขึ้นบ้างตอนได้ไปโรงเรียน แต่ก็มิวายแผลงฤทธิ์อย่างเด็กเอาแต่ใจ เคราะห์ดีที่รพีภัคยังคงเป็นเพื่อนรักที่สนิทที่สุด คุณชายคล้อยตามความคิดของเพื่อนคนนี้มากกว่าใคร ทำให้พฤติกรรมไม่ออกนอกกรอบมากนัก

รพีภัคเป็นคนใจเย็น สุภาพอ่อนโยน ทั้งยังเป็นเด็กที่มีความเป็นผู้ใหญ่เกินตัว จึงแอบสอนแอบเตือนคุณชายอย่างอ้อมๆ เสมอ ส่วนจะทำหรือไม่ทำนั้นเขาปล่อยให้คุณชายคิดเอาเอง ไม่พูดซ้ำจ้ำจี้จำไชเหมือนผู้ใหญ่ คุณชายก็เลยยอมฟัง

ระยะนี้รพีภัคสังเกตได้ว่าคุณชายอังศุธรดูแปลกไป ส่วนตัวต้นเหตุนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้อีกแล้วนอกจากเด็กน้อยที่ชื่อว่าพระจันทร์ เขาคิดเอาไว้แต่แรกแล้วว่าเธอน่าสนใจ แต่ไม่นึกเลยว่าจะทำให้คุณชายอังศุธรเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้

คุณชายเป็นเด็กหัวดีแต่ไม่ชอบเรียนนัก ทว่าพอพระจันทร์ข้ามชั้นมาเรียนด้วย คุณชายก็หอบตำรามาให้สอนบทเรียนล่วงหน้าทุกวันเพราะไม่อยากแพ้ให้ยายตัวเล็ก ระยะนี้เล่าเรื่องที่โรงเรียนทีไรก็มีแต่เรื่องของพระจันทร์ทั้งนั้น จนรพีภัคพลอยสนใจเด็กน้อยมากขึ้น

“รพีอยู่ไหม” เสียงเรียกของคุณชายอังศุธรดังมาจากข้างนอก

เวลามีเรื่องด่วนที่อยากเล่า คุณชายมักจะตะโกนเรียกอย่างนี้เสมอ เพราะถ้าเข้ามาทางประตูหน้าก็ต้องเสียเวลาไปกราบท่านป้า เผลอๆ อาจจะถูกกักตัวเอาไว้ยาวในกรณีที่รพีภัคเกิดไม่สบายขึ้นมาในตอนเย็น คุณชายจะได้ไม่ไปรบกวน

“อยู่ครับ” เจ้าของใบหน้าเกลี้ยงเกลาภายใต้กรอบแว่นชะโงกหน้าออกมา

ห้องของรพีภัคอยู่ชั้นล่างของตำหนัก แต่ตำหนักนี้ยกพื้นสูงคุณชายเลยต้องปีนโต๊ะที่ให้บ่าวเอามาทิ้งไว้ขึ้นไป จากนั้นก็นั่งลงบนขอบหน้าต่างแล้วเริ่มเล่าเรื่อง

“วันนี้เพิ่มศักดิ์มันได้คะแนนเลขคณิตเก้าเต็มสิบล่ะ เหลือเชื่อเลย”

“คนที่ไม่เคยสอบได้คะแนนเกินครึ่งคนนั้นใช่ไหมครับ”

“ใช่...คนนั้นแหละ”

แม้จะไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะปัญหาสุขภาพแต่รพีภัคก็รู้จักเพื่อนของคุณชายทุกคน เนื่องจากเด็กชายมาเล่าเรื่องของคนนั้นคนนี้ให้ฟังทุกวัน

“ทั้งหมดเป็นเพราะยายตัวเล็กนั่น”

ยายตัวเล็กที่เอ่ยถึงคือพระจันทร์อย่างไม่ต้องสงสัย รพีภัคจึงยิ้มน้อยๆ รอฟังเรื่องน่าสนุก

“พระจันทร์ทำอะไรหรือครับคุณชาย”

“สอนหนังสือให้ทุกเที่ยง ไอ้เพิ่มนี่ก็ไม่มีศักดิ์ศรีเลย ไปให้ศัตรูสอนได้ยังไงก็ไม่รู้” พูดแล้วก็ทำท่าฮึดฮัด

“สอนหนังสือ?” เด็กชายทวนคำพูด “ทำไมต้องสอนให้คนที่รังแกตัวเองด้วยล่ะครับ”

เมื่อหลายวันก่อนคุณชายมาเล่าว่าพระจันทร์กับเพิ่มศักดิ์มีเรื่องกัน ยายตัวเล็กสู้ยิบตา ขนาดเลือดอาบยังไม่ยอมแพ้ แถมยังไม่ร้องไห้สักแอะ ถ้าเป็นเรื่องเล่าของคนอื่นรพีภัคอาจจะไม่เชื่อทั้งหมด แต่พอเป็นเรื่องของพระจันทร์เขากลับไม่กังขา คงเพราะรู้สึกว่าแววตาของเด็กหญิงดูไม่ธรรมดากระมัง

“จะไปรู้ได้ยังไงเล่า แม่นั่นคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ยิ่งเห็นยิ่งรำคาญตา น่าหงุดหงิด”

“แล้วคุณชายจะทำยังไง” รพีภัคถาม

เด็กชายมักจะถามอย่างนี้เสมอเวลาบ่นเรื่องพระจันทร์ ไม่กี่อึดใจแผนการชั่วร้ายของคุณชายอังศุธรก็จะถูกคายออกมาหมด อันไหนพิเรนทร์ไปรพีภัคก็จะกล่อมให้เปลี่ยนแผนเสีย ด้วยเหตุนี้ใต้โต๊ะของพระจันทร์จึงไม่เคยมีสัตว์มีพิษหรือถูกเอาหมามุ่ยกับมดแดงมาปล่อยเลย ดังนั้นหากจะบอกว่ารพีภัคคือผู้พิทักษ์ที่คอยช่วยเหลือพระจันทร์อยู่ห่างๆ ก็คงไม่ผิดนัก



หลังจากสอบได้คะแนนเกือบเต็ม เพิ่มศักดิ์ก็มาขอบอกขอบใจพระจันทร์เป็นการใหญ่ เด็กชายสัญญาว่าจะตอบแทนเธออย่างแน่นอน อย่างน้อยๆ ถ้าใครมารังแกเขาก็จะช่วยปกป้อง

“ไหวเหรอ ขนาดฉันตัวเล็กเท่านี้ นายยังสู้ไม่ได้เลย” พระจันทร์ว่า

“ไม่เป็นไร ไม่ไหวก็ให้คุณชายช่วย เราเป็นเกลอกัน”

พระจันทร์ฟังแล้วขำกลิ้ง ไอ้คุณชายของเพิ่มศักดิ์นี่เป็นหัวโจกในการรุมแกล้งเธอเลยไม่ใช่หรือไง

“อย่าหัวเราะสิ เราช่วยได้จริงๆ นะ มีอะไรก็บอกได้เลย ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ”

“จ้าๆ จะจำไว้” เด็กสาวรับคำอย่างไม่คิดจะทวงบุญคุณ

พระจันทร์หลงคิดว่าต่อไปคงจะได้เพื่อนเพิ่มมาอีกหนึ่ง น่าเสียดายนักที่มิตรภาพระหว่างเด็กทั้งสองไม่มีโอกาสงอกเงยเพราะคำว่า ‘ชิ้น’ คำเดียว

เรื่องเกิดขึ้นเมื่อบังเอิญมีคนอื่นนอกจากคุณชายอังศุธร เห็นว่าพระจันทร์มานั่งสอนหนังสือและกินข้าวกับเพิ่มศักดิ์ในที่ลับตาคน เลยเอาไปล้อเลียนเป็นการใหญ่

“ไอ้เพิ่มกับพระจันทร์เป็นชิ้นกันโว้ย” เสียงตะโกนล้อเลียนดังขึ้นเมื่อเพิ่มศักดิ์เข้าไปในห้อง

“ชิ้นอะไรกัน ไม่ใช่สักหน่อย” เด็กชายโวยกลับ

“ไม่ใช่แล้วทำไมถึงไปนั่งกินข้าวด้วยกันวะ” คนล้อแย้ง

“ก็...”

เพิ่มศักดิ์เถียงไม่ออก จะบอกว่าเป็นเพื่อนกันก็ไม่ได้เพราะคุณชายประกาศออกชัดว่าพระจันทร์เป็นศัตรู ถ้ารู้ว่าไปให้สอนหนังสือเรื่องคงเลวร้ายไปกันใหญ่

“ชะช้า…อึ้งจนเถียงไม่ออกละสิ”

“ไม่ใช่โว้ย บอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ไง”

ยิ่งปฏิเสธเพื่อนๆ ยิ่งสนุก เด็กในห้องต่างเป็นลูกคู่ล้อเลียนว่า ‘ไอ้เพิ่มเป็นชิ้นกับพระจันทร์’ ซ้ำๆ อย่างนี้เสียจนโดนล้อโกรธหน้าแดง เลยถูกตีความหมายไปว่าอายเสียอีก

การล้อเลียนยุติลงได้เมื่อมีเสียงตวาดมาจากคุณชายอังศุธรว่าน่ารำคาญ เพิ่มศักดิ์นึกขอบใจที่คุณชายช่วยตน เด็กชายไม่รู้หรอกว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นเพราะคุณชายหงุดหงิดที่มีคนมาว่าพระจันทร์เป็นชิ้นกับคนอื่น

เรื่องใครเป็นชิ้นกับใครบ้างนี้ พวกเด็กๆ ล้อเลียนกันอย่างสนุกมานานแล้ว มีคู่ใหม่เกิดขึ้นเป็นต้องได้รู้โดยทั่วกัน จะจริงจะเท็จอย่างไรไม่สนขอให้ได้แซวเป็นอันว่ามีความสุข

ทางด้านคนที่เป็นข่าวอย่างพระจันทร์ เธองงกับคำว่าชิ้นอยู่นานกว่าจะรู้ว่ามันคืออะไร ถามคุณหญิงคุณหญิงก็ไม่ยอมตอบเอาแต่หน้าแดง เลยต้องขอให้วายุตาอธิบายให้ฟัง

“ชิ้นคือคนที่เขารักกัน คบหากัน” วายุตาเอานิ้วชี้สองนิ้วมาวางติดกันประกอบคำพูด

“อ๋อ...แฟนนี่เอง” พระจันทร์พึมพำ

“อะไรนะ แฟ...อะไร” วายุตาถามอย่างสนใจเมื่อได้ยินศัพท์ใหม่ไม่คุ้นหู

“แฟนค่ะ หมายถึงชิ้นนี่แหละ คนที่บ้านเก่าพระจันทร์เขาเรียกกันแบบนั้น” เด็กสาวอธิบาย

ตั้งแต่ย้อนเวลามาเธอหลุดคำศัพท์สมัยใหม่ไปหลายคำ ถ้าพวกผู้ใหญ่ได้ยินแล้วถามว่าคืออะไรก็จะบอกไปว่าพูดผิด แต่ถ้าเป็นเด็กๆ ช่างซักก็จะใช้ข้ออ้างว่าเป็นคำเรียกสมัยยังอยู่บ้านเก่า ได้ยินแบบนี้ก็จะคิดไปเองว่าคงเป็นภาษาถิ่นแล้วก็หมดความสนใจไป

“ออกเสียงยากจัง” วายุตาบ่น “ช่างเถอะ อยากรู้มากกว่าว่าเป็นชิ้นกันจริงไหม ว่าไงพระจันทร์” เด็กหญิงเข้ามากระแซะ

พระจันทร์หัวเราะขันแล้วปฏิเสธในทันที มองวายุตาทีไร พระจันทร์เหมือนได้มองตัวเองฉบับย่อส่วนทุกทีเพราะมีนิสัยคล้ายกันหลายอย่าง จะต่างก็ตรงวายุตาแก่แดดแก่ลมและโผงผางกว่า

“เลิกพูดกันได้แล้ว มันไม่ดีนะ” คุณหญิงขอร้อง

เธอทำท่าว่ารับไม่ได้เหมือนกับพูดเรื่องลามกอนาจารเป็นอย่างมาก ทำเอาบอกไม่ถูกเลยทีเดียวว่าคุณหญิงหรือวายุตากันแน่ที่แก่แดดกว่ากัน



หลังจากนั้นเรื่องชิ้นก็ลอยเข้าหูพระจันทร์มาเป็นระยะ เด็กสาวไม่เดือดร้อนนักเพราะมันน่ารำคาญน้อยกว่าโดนแกล้งแบบอื่น ติดจะเสียดายอยู่หน่อยตรงที่เพิ่มศักดิ์เว้นระยะห่างจากเธอ เจอหน้าเป็นต้องวิ่งหนีทุกทีไป สุดท้ายพระจันทร์ก็เลยไม่ได้เพื่อนใหม่

ไม่นานการล้อเลียนก็ยุติลงพร้อมกับการสอบปลายภาคที่มาถึง คราวนี้พระจันทร์กลายเป็นตัวปัญหาของพวกครูโดยไม่ตั้งใจ เพราะวิชาเรียนกระจายอยู่หลายชั้นปี พวกครูเลยไม่รู้ว่าจะรวมคะแนนและตัดเกรดอย่างไรดี

ทีแรกอาจารย์ใหญ่จะให้พระจันทร์สอบกับเด็กประถม แต่พอคุณชายอังศุธรรู้เข้าก็ประท้วงเพราะต้องการจะแข่งกับพระจันทร์ให้ได้ คุณชายต้องการวัดความสามารถว่าใครกันแน่ที่เป็นที่หนึ่ง ประชุมเครียดอยู่พักใหญ่ก็ได้ข้อสรุปว่าวิชาไหนเรียนกับชั้นไหนก็ให้สอบกับชั้นนั้น การตัดเกรดวัดคะแนนกันเป็นเปอร์เซ็นต์ตามวิชา ส่วนลำดับที่นั้นอาจารย์ใหญ่ตัดปัญหาด้วยการให้พระจันทร์เป็นเด็กชั้นอิสระ ซึ่งทั้งชั้นมีอยู่คนเดียว

คำตัดสินนี้รู้กันเงียบๆ เฉพาะในหมู่อาจารย์เพราะเกรงว่าถ้ารั่วไหลออกไปจะเป็นปัญหา ดังนั้นตลอดเวลาที่เรียนในโรงเรียนพินิจศึกษาแห่งนี้ พระจันทร์เลยไม่มีลำดับที่เพราะไม่มีคนแข่งด้วย เวลานางสมใจถาม ก็จะบอกว่าไม่รู้ ครูบอกมาว่าแค่สอบผ่านเท่านั้น

นางสมใจรู้สึกว่ามันแปลก แต่เมื่อได้เห็นสมุดพกที่มีคำชมจากอาจารย์มากมาย แกก็เป็นปลื้มแล้วว่าหลานแกเรียนดี ทำตัวน่ารัก ได้คุยฟุ้งไปอีกนานก็เป็นอันว่าหายคาใจ

มีเพียงคุณชายอังศุธรเท่านั้นที่เป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องนี้ เนื่องจากพระจันทร์สอบข้อสอบของชั้นมัธยมสามสองวิชาแล้วก็ได้เต็มเท่ากันทั้งคู่ เมื่อไม่มีอะไรมาตัดสิน เด็กชายเลยพานโกรธพระจันทร์จริงๆ รู้ผลคะแนนปุ๊บก็บุกมาหาเรื่องถึงเรือนปั๊บ

“ยายตัวเล็กขี้ขลาด วิชาที่เหลือสู้ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เลยไม่ยอมสอบ”

“พระจันทร์ไม่ได้ขี้ขลาดสักหน่อย ครูใหญ่สั่งให้เรียนให้สอบกับชั้นอื่น แล้วจะไปขัดคำสั่งได้ยังไง” พระจันทร์ย้อน

คุณชายนิ่งไปอึดใจหนึ่งเพราะเผลอคล้อยตามแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้

“ความผิดเธอนั่นแหละ ไม่รู้จักเรียนให้เก่งแล้วข้ามมาสอบชั้นเดียวกัน”

“ค่ะๆ พระจันทร์ผิดก็ได้” เด็กสาวยอมรับเพราะรำคาญเต็มแก่ “ถ้าอย่างนั้นคุณชายก็ชนะไปก็แล้วกันนะคะ เพราะทำข้อสอบของชั้นโตได้คะแนนเยอะแถมยังได้ที่หนึ่งอีก”

เด็กสาวยอมลงให้ง่าย แต่คุณชายเจ้าปัญหากลับโกรธเสียอย่างนั้นเพราะคิดว่าพระจันทร์ไม่เห็นตัวเองเป็นคู่แข่ง คนเอาแต่ใจออกอาการกระฟัดกระเฟียด

“จำเอาไว้เลย” ชี้หน้าอย่างอาฆาตเสร็จก็เดินกระแทกเท้าโครมๆ กลับตำหนัก

พระจันทร์คิดว่าจะหมดเรื่องแล้ว แต่ไม่กี่อึดใจคุณชายก็กลับมาอีก คราวนี้เอาหนังสือเรียนเก่าของตัวเองมาวางโครมลงตรงหน้าพระจันทร์บอกให้รีบเรียน รีบอ่าน แล้วรีบข้ามชั้นมาสอบแข่งกับตัวเองให้ได้ในภาคเรียนหน้า

“ถ้าทำไม่ได้ถือว่าแพ้” คุณชายตกลงเอาเองเสร็จสรรพ แล้วกระโดดขึ้นรถจักรยานคันโปรดปั่นหายไป

พระจันทร์ไม่คิดจะแข่งขันด้วย แต่เพราะว่าปิดภาคเรียนอยู่มีเวลาว่างเยอะเลยอ่านหนังสือเรียนที่คุณชายให้มาเล่น ในนั้นมีภาพวาดกับรอยขีดเขียนเต็มไปหมดสมกับเป็นหนังสือเรียนของเด็กผู้ชาย เวลาอ่านนอกจากจะได้ความรู้แล้ว ยังได้ทราบถึงความรู้สึกนึกคิดของคุณชายด้วย

มีหน้านึ่งมีประโยคสั้นๆ เขียนเอาไว้ว่า ‘คุณแม่เกลียดท่านพ่อ’ แล้วเป็นภาพคนสองคนทะเลาะกัน มองแล้วทำให้ทอดถอนใจ ทั้งที่เกิดมาสูงส่งเพียบพร้อม แต่ชีวิตของคุณชายก็ยังมิวายมีปัญหา

พระจันทร์ไม่เคยพบกับหม่อมเจ้าทินกรมาก่อน เคยแต่ได้ยินว่าท่านทรงมีอุปนิสัยคล้ายท่านหญิงแสงแข ตรงที่ไม่ถือองค์ เสวยง่ายและโปรดวิทยาการสมัยใหม่ โดยรวมจึงน่าจะเป็นคนดี แต่จะเป็นพ่อที่ดีด้วยหรือไม่นั้น เด็กสาวกำลังจะได้เห็นในอีกหลายวันข้างหน้า

+++++++++++++++++++++++++++++++++++
สวัสดีท้ายตอนค่า อ่านจนถึงตอนนี้เชื่อได้เลยว่าหลายท่านลงความเห็น “คุณชายอังศุธรนี่หนุ่มสายซึนใช่ไหมคะ” ถูกต้องแล้วคร้าบบบบ แต่เป็นซึนน่ารักนะค่า กรุณาอย่าเอาไปเปรียบเทียบกับอีตาศิวกร รายนั้นซึ้นคุ้มดีคุ้มร้าย เลเวลความน่ารักผิดกันแยะ (สะบัดบ็อบและเลี้ยงต้อยคุณชายต่อไป)

เกร็ดความรู้ประจำตอน
ว่าด้วยเรื่องของคำว่าแฟน "แฟน" มาจากภาษาอังกฤษ ที่ใช้มาตั้งแต่ประมาณ ปีค.ศ. 1889 (เทียบเป็นพ.ศ.2432) เป็นคำที่ย่อมาจากคำว่า “fanatic” หมายถึงผู้ที่ติดตาม ให้ความนิยม คลั่งไคล้ หลงใหล ยุคนั้นใช้กับแฟนกีฬาค่ะ ส่วนเข้ามาในไทยแล้วนิยมใช้แทนคู่รักเมื่อไรนั้นยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่คาดว่าจะอยู่ในช่วง 2500 โดยประมาณค่ะ
บางคนก็บอกว่าเพี้ยนมาจากคำว่า แฟร่น หรือ friend นั่นเอง อันนี้เขาบอกมาว่ามีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้าแล้ว แต่ไม่นิยมใช้กัน จากการสอบถามคุณยาย (ท่านจำความได้แล้วในช่วงสมัยสงครามโลก ยังได้วิ่งหลบระเบิดอยู่เลย 555 ) ท่านว่าคำว่าแฟนเพิ่งมาคุ้นหูตอนลูกโตเป็นสาวนี่เอง
ในหนังสือเล่มหนึ่งที่ได้อ่านผ่านตาเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวบ้านช่วงปี 2489-2510 โดยประมาณ เล่าจากประสบการณ์จริง ผู้เขียนบอกว่าสมัยที่เธอเป็นสาวนั้นยังไม่นิยมใช้คำว่าแฟนค่ะ ดังนั้นการบรรยายในเรื่องตอนพระจันทร์ยังเล็กจึงใช้คำว่า ‘ชิ้น’ ด้วยประการฉะนี้



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มิ.ย. 2556, 00:01:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 มิ.ย. 2556, 00:01:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 1866





<< บทที่ 10 กลั่นแกล้ง   บทที่ 12 เรื่องของเด็ก >>
Auuuu 7 มิ.ย. 2556, 00:36:20 น.
ชอบจัง ได้เกร็ดความรู้ด้วย


Hibara 7 มิ.ย. 2556, 11:16:19 น.
คุณแม่เล่าให้ฟังว่า สมัยคุณแม่ยังสาว (ตอนนี้คุณแม่ 61 แล้วค่ะ) ใครจีบกันอยู่ (ส่วนใหญ่ก็น่าจะผู้ชายจีบผู้หญิงแหละมั้งคะ เพราะสมัยก่อนผู้หญิงไม่น่ากล้าเท่าสมัยนี้) เค้าจะเหมาเรียกว่าเป็นแฟนหมดเลยค่ะ แต่คงเป็น "แฟน" ในอีกความหมายนึง ไม่ใช่แบบคู่ที่คบหาดูใจกันจริงๆ จังๆ


ปอกะเจา 7 มิ.ย. 2556, 11:27:11 น.
เพิ่งจะรู้นี่แหละว่า ชิ้นแปลว่าคนรักกัน เลยได้ความรู้เพิ่มอีกอย่างนึง ขอบคุณไรท์เตอร์นะคะ


jitsupa 7 มิ.ย. 2556, 14:37:47 น.
เคยอ่านเจอคำว่าชิ้น ที่ย่อมาจากคำเต็ม ๆ ว่าชิ้นเช้ หมายถึงคู่รักในเรื่องร่มฉัตรของทมยันตีค่ะ
ในเรื่องน่าจะเป็นเหตุการตั้งแต่สมัยปลายรัชการที่ 5 หรือต้นรัชการที่ 6 ค่ะ



goldensun 7 มิ.ย. 2556, 15:05:43 น.
ภาษาไทยวันละคำ กับคำว่า ชิ้น ถือเป็นคำที่หายไปตามกาลเวลาจริงๆ ถ้าตอนนี้ จะเรียกกิ๊กหรือแฟนคะ
ขำคุณชายอังศุธร เห็นพระจันทร์เป็นคู่แข่งเต็มที่เลย แปลกๆที่อยากชนะเด็กผู้หญิงที่เล็กกว่านะคะ แต่คงทึ่งพระจันทร์มากๆ เลยอยากชนะ


Zephyr 7 มิ.ย. 2556, 20:19:43 น.
คุณชายอาการหนักนะเนี่ย
พระจันทร์ไม่ทำ คอยดูนะ คุณชายก็หาเรื่องอยู่ดีอ่ะ
โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ตัวตนจริงๆน่าจะอายุพอๆกันนี่นะ


mhengjhy 7 มิ.ย. 2556, 20:55:02 น.
คุณชายยยย ฮิ้ววว


wane 8 มิ.ย. 2556, 01:22:26 น.
พระจันทร์สู้ๆ จ้า


cherryfirm 16 ก.ค. 2557, 22:21:48 น.
รออยู่นะคะ จะเป็นรูปปเล่มเมือไหร่กันน๊าาา
อยากให้เพิ่มตอนอ่านหนังสือคะ " มาอ่านเล่น " ดีกว่า "มาเล่น"เฉยๆนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account