ข้ามกาล
อุบัติเหตุทำให้พระจันทร์ย้อนอดีตมาอยู่ในวังของหม่อมเจ้าใครเลยจะคิดว่าชีวิตลูกกำพร้าผู้ต่ำต้อยเช่นพระจันทร์
จะมีดาวฤกษ์อย่างดวงอาทิตย์มาโคจรรอบตัวถึงสามดวง
ดวงแรกนั้นพระจันทร์ทั้งรักและเทิดทูน ยึดเป็นที่พึ่งทางใจเสมอมา
พระอาทิตย์ดวงนี้เมตตาพระจันทร์ยิ่งนัก แต่ก็สงวนท่าทีเหลือเกิน
ใจท่านคิดเช่นไร พระจันทร์ไม่อาจรู้ได้เลย
ดวงที่สองร้อนแรงดังเพลิงกัลป์ หยิ่งทระนงหนักหนา
ทั้งยังเป็นคู่อริกันมาช้านาน ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ในวันที่หนาวเหน็บที่สุด
พระอาทิตย์วายร้ายกลับเต็มใจมาอยู่เคียงข้างพระจันทร์
คอยส่องแสงให้ความอบอุ่นโดยไม่ต้องร้องขอ
ส่วนดวงที่สามพระจันทร์รักเคารพเสมอเหมือนพี่ชาย
ความที่เขามีคู่หมายซึ่งเหมาะสมกันอยู่แล้ว
พระจันทร์จึงไม่เคยคิดเป็นอื่น แต่โชคชะตากลับเล่นตลก
ส่งกามเทพมาแผลงศรทำให้พี่ชายเผลอรักพระจันทร์หมดใจ
จะมีดาวฤกษ์อย่างดวงอาทิตย์มาโคจรรอบตัวถึงสามดวง
ดวงแรกนั้นพระจันทร์ทั้งรักและเทิดทูน ยึดเป็นที่พึ่งทางใจเสมอมา
พระอาทิตย์ดวงนี้เมตตาพระจันทร์ยิ่งนัก แต่ก็สงวนท่าทีเหลือเกิน
ใจท่านคิดเช่นไร พระจันทร์ไม่อาจรู้ได้เลย
ดวงที่สองร้อนแรงดังเพลิงกัลป์ หยิ่งทระนงหนักหนา
ทั้งยังเป็นคู่อริกันมาช้านาน ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ในวันที่หนาวเหน็บที่สุด
พระอาทิตย์วายร้ายกลับเต็มใจมาอยู่เคียงข้างพระจันทร์
คอยส่องแสงให้ความอบอุ่นโดยไม่ต้องร้องขอ
ส่วนดวงที่สามพระจันทร์รักเคารพเสมอเหมือนพี่ชาย
ความที่เขามีคู่หมายซึ่งเหมาะสมกันอยู่แล้ว
พระจันทร์จึงไม่เคยคิดเป็นอื่น แต่โชคชะตากลับเล่นตลก
ส่งกามเทพมาแผลงศรทำให้พี่ชายเผลอรักพระจันทร์หมดใจ
Tags: พีเรียต ย้อนยุค ช่วงปี 2493-2507 คุณชาย ท่านชาย นายแพทย์ พระเอกในเรื่องไม่รู้เป็นใคร แต่หนุ่มๆ แซ่บเวอร์ วัง หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ ย้อนเวลา โรแมนติก คอมเมดี้ หวานๆ ดราม่าเบาๆ ภาษาอ่านง่าย
ตอน: บทที่ 12 เรื่องของเด็ก
บทที่ 12 เรื่องของเด็ก
เมื่อหม่อมเนียรไม่ยอมส่งตัวลูกชายคนเล็กขึ้นมาเชียงใหม่ ท่านชายก็เลยเสด็จลงมารับตัวเองจริงๆ ทรงเลือกเวลาที่ลูกปิดภาคเรียนแล้วเพื่อที่จะได้ไม่กระทบกับการเรียน เนื่องจากเล็งเห็นว่าปัญหาจะยืดเยื้อแน่นอน
ท่านชายเสด็จมาที่วังอย่างเงียบๆ ในตอนค่ำ กลับมาแล้วก็ไม่ไปประทับที่ตำหนักตัวเอง แต่มาอยู่กับท่านพี่เสียก่อนหนึ่งคืน รุ่งขึ้นจึงค่อยขอประทานคำปรึกษา ทรงคิดตรึกตรองมาดีแล้วว่าถ้าพูดเองหม่อมเนียรคงไม่ยอมฟัง มิวายต้องทะเลาะเบาะแว้งกันใหญ่โตเสียเปล่าๆ
แม้ไม่เคยรักหม่อมคนนี้แต่ก็เอ็นดูอยู่มากในฐานะของน้องสาวคนรัก ที่เสกสมรสด้วยก็เพราะเห็นแก่โอรสที่ยังเล็ก ขาดแม่เสียคนคงลำบาก มีน้าแท้ๆ คอยดูแลย่อมดีกว่าคนอื่น ถึงอุปนิสัยจะเข้ากันไม่ได้ แต่ท่านชายก็ไม่อาจปฏิเสธว่าตลอดชีวิตการสมรส หม่อมเนียรทำหน้าที่ของแม่และภรรยาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ตามแบบแผนที่คนหัวเก่าพึงกระทำ ดังนั้นท่านจึงคิดจะถนอมน้ำใจให้ได้มากที่สุด
ท่านหญิงแสงแขทรงรับฟังปัญหาของอนุชาและให้คำปรึกษาด้วยความเต็มใจ ตกบ่ายก็มีรับสั่งให้คนไปตามหม่อมเนียรมาเฝ้า
หม่อมเนียรกำลังจัดดอกไม้มาตกแต่งตำหนักตอนที่ถูกตามตัว เมื่อเป็นเรื่องของท่านหญิง หม่อมก็กระวีกระวาดปฏิบัติตาม รีบไปเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อยแล้วไปเฝ้า หม่อมยังยิ้มแย้มดีอยู่ตอนที่เข้าไปในตำหนัก จนเมื่อเห็นว่ามีใครประทับข้างกันอยู่กับท่านหญิง รอยยิ้มในหน้าก็มลายหายไปสิ้น
เธอโกรธจนแทบจะระงับโทสะเอาไว้ไม่ได้ เมื่อเห็นว่าสามีมาตามคำประชดประชันในโทรเลขจริงๆ หนำซ้ำยังไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ทำตัวราวกับโจรที่จะมาลักลูกกลับไป หญิงสาวข่มความโกรธเอาไว้แล้วก้มลงกราบท่านหญิง แต่ไม่ยอมกราบท่านชาย แสร้งทำเมินเหมือนเป็นอากาศธาตุ
“ฉันเรียกแม่เนียรมาวันนี้เพราะเรื่องของชายศุ รู้แล้วใช่ไหมว่าพ่อกรเขาอยากเอาตัวลูกไปอยู่เชียงใหม่สักพัก จะได้เตรียมตัวไปเรียนเมืองนอก”
ท่านหญิงมักจะใช้คำอย่างเป็นกันเองกับคนในครอบครัว พี่น้องลูกหลานทุกคนท่านก็สั่งให้พูดกับท่านอย่างธรรมดา มีก็แต่หม่อมเนียรเท่านั้นที่ไม่ยอมทำตาม เธอยังรักษาธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดเพราะถือว่าตัวเองไม่ใช่เจ้า
“ทราบเพคะ”
“แล้วแม่เนียรเห็นว่าเป็นอย่างไร”
“หากท่านชายทรงทำเพื่อลูกหม่อมฉันก็ไม่ขัดเพคะ เพียงแต่ไม่เห็นด้วยว่าต้องไปเตรียมตัวถึงที่เชียงใหม่ พระนครเจริญกว่าตั้งมาก ข้าวของใช้ก็มีครบ ถึงเวลาต้องไปอย่างไรก็ต้องกลับมานี่อยู่ดี ทำไมต้องเดินทางให้ยุ่งยากด้วย”
“ก็ถูกของหล่อนนะ ว่าอย่างไรเล่าพ่อกร ตกลงตามนั้นไหม”
“น้องอยากอบรมลูกด้วยตัวเองขอรับท่านพี่ อยากให้ไปเจออากาศบริสุทธิ์กับป่าเขาด้วย จะได้ปรับตัวให้คุ้นเคยกับอากาศเย็น”
‘เจออากาศหรือเจอนังนั่นกันแน่’
หม่อมเนียรกัดกระพุ้งแก้มจนเจ็บเพื่อไม่ให้คำคำนี้หลุดลอดออกมา
“ต่างคนต่างก็มีเหตุผล เถียงกันทั้งวันคงไม่จบแน่ ให้ฉันตัดสินมันก็เป็นเรื่องของผัวเมีย ถึงจะเป็นน้องก็ไม่สะดวกใจจะพูดนักหรอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถามความสมัครใจลูกก่อนดีไหม”
“อย่าดีกว่าขอรับ/หม่อมฉันไม่เห็นด้วยเพคะ”
ท่านชายและหม่อมเนียรต่างก็ไม่รู้ว่าท่านหญิงจะใช้วิธีนี้ ต่างฝ่ายต่างก็กลัวว่าลูกจะเข้าข้างคนใดคนหนึ่ง
“สามัคคีกันจริงนะเรื่องอย่างนี้” ท่านหญิงแสงแขแย้มสรวล “ทำไมถึงไม่ให้ลูกตัดสินใจฮึ”
“ชายศุยังคิดอ่านไม่คล่องขอรับ/ชายศุยังเล็กเพคะ” สามีภรรยาพร้อมใจตอบอีกครั้ง
“จะย่างสิบสามแล้ว ไม่เรียกว่าเด็กนะพ่อกรแม่เนียร จะเลี้ยงลูกให้เป็นลูกแหง่ไปถึงไหน ไม่หัดคิดอ่านเสียตอนนี้ต่อไปจะทำอะไรเป็น ฉันก็ไม่อยากจะสอดมือไปยุ่งหรอกนะ แต่ถ้าพ่อกับแม่ยังตกลงไม่ได้ก็ต้องให้ลูกตัดสินใจเอง”
ท่านหญิงตรัสนิ่มๆ แต่ก็มีความหนักแน่นอยู่ในสุรเสียง เป็นที่รู้กันว่าท่านตัดสินใจให้แล้ว สองสามีภรรยาก็เลยต้องปฏิบัติตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สักอึดใจใหญ่คุณชายอังศุธรก็ถูกตามตัวมาพบ เด็กชายดวงตาเป็นประกายเมื่อเห็นท่านพ่อ รีบคลานเข้าไปกราบถึงตัก ทำเอาหม่อมเนียรใจเสีย
หากจะถามตามตรงว่าลูกรักใครมากกว่ากันก็ต้องตอบว่ารักท่านชายมากกว่า ประการแรกเพราะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ประการที่สองเพราะท่านพ่อไม่เคร่งครัดเรื่องธรรมเนียมมากและมีเหตุผลกว่าหม่อมแม่ ลูกเลยชอบที่จะอยู่ด้วย
“ท่านพ่อกลับมาตอนไหนครับ มีของฝากชายไหม”
“สำรวมหน่อยชายศุ ไม่เห็นหรือว่าท่านป้าก็อยู่ด้วย” หม่อมเนียรติง เหตุผลที่แท้จริงคือต้องรีบขัดก่อนจะมีรายการสินบนในรูปแบบของฝากออกมาให้ได้ยิน
คุณชายรีบมากราบท่านป้า แล้วคลานกลับมานั่งข้างท่านพ่อ ใบหน้ามีรอยยิ้มกว้างแต้มอยู่บ่งบอกว่ามีความสุขที่ได้อยู่กับพ่อ ชวนให้นึกน้อยใจและเจ็บแค้นไปพร้อมๆ กัน ถ้าไม่มีนางแพศยานั่น ครอบครัวเธอคงไม่แตกแยก ลูกกับพ่อคงไม่ต้องพรากจากกันอย่างนี้
ท่านหญิงแสงแขให้เวลาสองพ่อลูกทักทายกันพักหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยธุระที่เรียกหลานชายมาในวันนี้ ท่านหญิงอธิบายรายละเอียดทุกอย่างให้ฟัง แล้วสรุปให้อีกทีว่าท่านพ่อกับหม่อมแม่จะให้คุณชายไปเรียนเมืองนอก ถ้าให้ตัดสินใจว่าไปก็ต้องเลือกว่าจะอยู่เตรียมตัวที่เชียงใหม่หรือที่พระนคร
“ท่านพ่อจะส่งชายไปที่ไหนครับ”
“ไปอังกฤษลูก ไปอยู่กับท่านอาทินกฤต ไม่ได้ไปคนเดียวนะ ชายภาสก็ไปด้วย”
“ชายอยากไปเที่ยวอังกฤษครับ จริงๆ อยากไปทั่วโลกเลย แต่ถ้าท่านพ่อจะส่งชายไปเรียน ชายขอเลือกประเทศที่จะไปเองดีกว่า เพราะสถานศึกษาแต่ละแห่งก็มีจุดแข็งจุดด้อยต่างกัน อีกอย่างประเทศในยุโรปใช้ภาษาไม่เหมือนกัน ใช่ว่าเก่งอังกฤษแล้วจะเอาตัวรอดได้ หากจะไปก็ต้องเตรียมตัวให้ดี ชายไม่อยากสักแต่ว่าไปเพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นนักเรียนนอก แต่อยากไปอย่างมีจุดหมายในชีวิต ตอนนี้ชายเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไรกันแน่ ขอเวลาชายอีกสักภาคเรียนได้ไหมครับ แล้วชายจะให้คำตอบท่านพ่อว่าชายอยากเป็นอะไร แล้วอยากไปเรียนที่ไหนกันแน่”
ท่านชายทินกรทั้งอึ้งและทึ่งในตัวบุตรชาย ทรงไม่เคยเห็นแง่มุมนี้ของบุตรชายมาก่อนเช่นเดียวกันกับหม่อมเนียร เมื่อลูกพูดมาอย่างมีเหตุผลเสียขนาดนี้มีหรือจะขัดข้อง
“ตกลง พ่อให้เวลาชายคิดอีกครึ่งปี หลังจากนั้นพ่อจะกลับมาเอาคำตอบ”
ท่านชายทรงซักต่ออีกว่าใครกันที่เป็นคนสอนให้เด็กชายพูดอะไรอย่างนี้ คำตอบที่ได้คือไม่มีใครสอน คุณชายอังศุธรแค่ฟังมาจากหนังสือ แล้วคิดตามเท่านั้น
“ฟังจากหนังสือ เป็นอย่างไรกัน มีแต่ต้องอ่านไม่ใช่รึ” ท่านชายถามอีก
“รพีอ่านให้ฟังขอรับ”
ที่ต้องอ่านให้ฟังก็เพราะมันเป็นหนังสือภาษาอังกฤษ คุณชายขี้เกียจแปลแต่ก็อยากรู้เนื้อหา เลยใช้คนโตกว่าเสียเลย
ท่านชายทินกรทรงคลายความวิตกกังวลเรื่องลูกจะเสียคนลงมาก ดังนั้นจึงไม่ดึงดันพาตัวกลับไปเชียงใหม่ด้วย ทำให้ความมึนตึงระหว่างท่านชายกับหม่อมเนียรสลายไปหลายส่วน
พวกผู้ใหญ่ต่างพากันชื่นชมความคิดของเด็กอย่างคุณชาย ไม่มีใครรู้หรอกว่าเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้คุณชายไม่อยากไปไหนคือพระจันทร์ ตราบใดที่ยังเอาชนะไม่ได้ก็ไม่มีวันหายคาใจแน่ ถึงจะเป็นเด็กแต่ก็มีทิฐิมานะรุนแรง สมกับที่มีเลือดของหม่อมเนียรไหลอยู่ในตัว ลองยึดมั่นถือมั่นแล้วก็ยากที่จะปล่อยวาง
คุณชายอังศุธรหมายมาดเอาไว้แล้วว่าจะออกไปเผชิญโลกกว้างอย่างภาคภูมิ ก่อนจะไปก็ต้องผ่านด่านยายเด็กตัวจ้อยนี่ก่อน ไม่อย่างนั้นจะไม่มีวันยอมไปไหนเป็นอันขาด
ท่านชายทินกรประทับอยู่ที่วังชื่นชีวีประมาณหนึ่งสัปดาห์ก็เสด็จกลับเชียงใหม่ ท่านชายทรงรักษาสัญญาโดยการไม่พาลูกไปด้วย หม่อมเนียนสบายใจได้ไม่เกินสามวัน ก็มีอันต้องเป็นลมล้มพับไป เมื่ออยู่ๆ คุณชายอังศุธรหายออกไปจากบ้าน ทิ้งไว้เพียงจดหมายว่าจะไปเที่ยวเชียงใหม่ ใกล้เปิดเรียนเมื่อไรจะกลับมาหาหม่อมแม่พร้อมของฝาก
วีรกรรมของคุณชายครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้หม่อมแม่เป็นลม แต่ยังทำให้คุณหญิงวนันดาพลอยหน้ามืดไปด้วย เพราะคุณชายไม่ได้พกไปแค่กระเป๋าเดินทาง แต่ยังพารพีภัคที่สุขภาพไม่แข็งแรงไปด้วย กว่าจะติดตามได้ว่าอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร ปลอดภัยดีหรือไม่ พวกแม่ๆ ก็แทบหัวอกไหม้ มีเพียงท่านหญิงองค์เดียวกระมังที่ยังหัวเราะได้หลังรู้ว่าหลานปลอดภัยแล้ว ท่านตรัสว่า
‘รพีนี่มันก็ใจเด็ดนะ ยอมตามชายศุไป แทบไม่เอาอะไรติดตัวไปเลย’
ไม่มีใครรู้หรอกว่าตัวการที่แท้จริงคือรพีภัค เห็นเงียบๆ เรียบร้อยอย่างนี้ แต่กลับมีความเป็นขบถในตัวสูง เขาเกลียดสายตาของใครๆ ที่มองมาอย่างกับมองเด็กเล็กที่ต้องทะนุถนอม ยิ่งอายุใกล้สิบห้าก็ยิ่งหงุดหงิดอึดอัดกับสภาวะแวดล้อม พอคุณชายอังศุธรมาบ่นว่าอยากไปเชียงใหม่ รพีภัคก็เลยจัดการประท้วงเงียบด้วยการหนีเที่ยวเสียเลย
เมื่อคุณชายตัวร้ายไม่อยู่ที่วัง ชีวิตของพระจันทร์ก็กลับมาสงบสุข และเรียบง่ายจนเริ่มกลายเป็นน่าเบื่อ ยิ่งพุดจีบถูกเรียกตัวไปฝึกงานฝีมือกับพวกข้าหลวงของท่านหญิงทุกวัน ชีวิตเธอก็ยิ่งเฉากว่าเดิมเป็นสองเท่า ขอนางสมใจตามไปเฝ้าท่านหญิงด้วยฝ่ายนั้นก็ไม่ยอม บอกว่าจะไปซนเสียเปล่าๆ พระจันทร์เลยได้แต่อยู่ในครัว กลายเป็นลูกมืออันดับสามของนางชม้อย รองจากแม่ครัวกับผู้ช่วยอีกสองคน
หากพระจันทร์เป็นคนติดที่และขี้เบื่อน้อยกว่านี้อีกสักนิด ปิดภาคเรียนคงผ่านพ้นไปได้อย่างไม่ยากลำบากนัก ทว่าก็ทนต่อสู้กับธรรมชาติของตัวเองไม่ได้เสียที เด็กสาวไม่อยากเป็นแค่ลูกมือแล้ว อยากจะลงมือต้มแกงหรือทำอาหารเองบ้าง แต่แม่ชม้อยก็หวงครัวของแกสุดชีวิต ไม่ยอมให้แตะเลย บอกว่าครัวนี้สำหรับทำอาหารให้ท่านๆ บนตำหนัก ห้ามใครมาทำอย่างอื่นกิน พอจะไปใช้ครัวไฟของพวกบ่าว ก็มีคนทำนู่นทำนี่ไม่หยุด แล้วโดนไล่ให้ไปไกลๆ โทษฐานเกะกะเสียอีก
พระจันทร์ไม่รู้จะทำอะไรเลยเดินเล่นไปทั่ววัง มีปิงคอยตามแจติดหนึบ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องขอมีส่วนร่วมด้วยทุกอย่าง จนแทบจะเปลี่ยนชื่อให้เป็น ‘ปลิง’
“พี่พระจันทร์ วันนี้เล่นอะไรกันดี”
“ไม่รู้สิ เบื่อๆ น่ะ อยากเรียนหนังสือไหม” พระจันทร์เสนอ
เด็กชายส่ายหน้าดิกในทันที ปิงไม่ชอบเรียนและไม่สนใจด้วยว่ามันจำเป็นกับอนาคต
“งั้นไปหาอะไรกินเล่นกัน”
คราวนี้ปิงพยักหน้ารับอย่างยินดี ในวังมีผลหมากรากไม้มากมาย ท่านหญิงสั่งให้คนสวนรดน้ำพรวนดินอย่างดี มันจึงงอกงามออกดอกออกผลตลอดปี
ที่ดินในส่วนของท่านหญิง ท่านให้บ่าวไพร่เก็บกินได้ตามชอบใจ ที่ของท่านชายทินกฤต ท่านให้คนสวนเก็บเอาไปขายเสียได้เงินมาก็เก็บเอาไว้ทำนุบำรุงตำหนักริมน้ำที่ปิดร้างไม่ให้เก่าโทรม ส่วนไม้ผลในพื้นที่ของท่านชายทินกร หม่อมเนียรห้ามไม่ให้ใครมายุ่ง เพราะไม่อยากให้มาวุ่นวายในพื้นที่ส่วนตัว ผลไม้เลยมีอันต้องเน่าคาต้น เป็นที่เสียดายของผู้ที่พบเห็น
วันนั้นพระจันทร์นึกอย่างไรก็ไม่รู้ อยากกินมะเฟืองขึ้นมา มะเฟืองต้นนี้ปลูกเอาไว้ในเขตตำหนักท่านชายทินกร แต่ก็ห่างไกลจากตัวตึกใหญ่มากเพราะอยู่ติดถนน เลยให้ปิงดูต้นทางให้ขณะแอบเก็บ
“อย่าเลย เดี๋ยวหม่อมลงโทษ” ปิงห้าม
“หม่อมท่านไม่รู้หรอก แถวนี้มีใครที่ไหน” พระจันทร์ไม่สนใจฟัง
ความดื้อรั้นในครั้งนี้ทำให้ชีวิตของพระจันทร์มาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อบังเอิญมีรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามา เด็กที่อยู่ในรถเงยหน้าขึ้นดูต้นมะเฟืองพอดี จึงสั่งให้จอดรถแล้วเดินลงมาทักทายพระจันทร์
“ทำอะไรน่ะพระจันทร์”
พระจันทร์รีบกระโดดลงมาก่อนจะมีผู้ใหญ่เห็น แล้วจึงค่อยตอบ
“เก็บมะเฟืองค่ะคุณนุ้ย”
‘นุ้ย’ คือชื่อเล่นของวาสิตา พระจันทร์จำเป็นต้องเติมคุณไปในชื่อด้วยเพราะโดนสั่งกึ่งบังคับว่าให้เรียกเพื่อนของคุณหญิงว่าคุณทุกคน ข้อนี้เธอไม่เดือดร้อนนักเพราะคุณหญิงสนิทอยู่กับวายุตาแค่คนเดียว และเธอก็เป็นเด็กนิสัยดีพอจะเรียกอย่างให้เกียรติได้
“กินไหมคะ” พระจันทร์แบ่งให้ หรือพูดง่ายๆ เรียกว่าสินบนคงเหมาะกว่า
“ขอบใจจ้ะ แต่ขอเก็บเองได้ไหม”
พระจันทร์รีบเอามือจุปาก แล้วกระซิบว่าเธอมาแอบเก็บต้นที่เขาห้ามไม่ให้ปีน
เรื่องซนอย่างนี้วายุตาชอบนักล่ะ เด็กหญิงพยักหน้าว่าเข้าใจ เธอหันไปสั่งคนขับรถว่าให้มาส่งแค่นี้พอ ตกเย็นค่อยมารับ
วันนี้วายุตามาเล่นกับคุณหญิงอังศุมาลี หม่อมเนียรยอมอนุญาตเพราะเห็นว่าครอบครัวของวายุตาร่ำรวยและมีชาติตระกูลที่ดี บิดาของเด็กน้อยเป็นบุตรชายของเจ้าพระยาคนหนึ่ง แม้จะไม่ได้รับราชการแต่ในขณะนี้ก็ประกอบกิจการโรงงานกระดาษกับบริษัทสบู่จนร่ำรวย เป็นที่นับหน้าถือตาในสังคม ส่วนมารดาเป็นธิดาเจ้าสัว รู้จักกันเพราะพี่สาวของเจ้าหล่อนเป็นหม่อมของท่านชายอดิยุทธ์ พระสหายของท่านชายทินกร
“คุณนุ้ยขอเก็บเอง แสดงว่าอยากปีนมากกว่าอยากกินใช่ไหมคะ” พระจันทร์ถามอย่างรู้ใจ
“อืม” วายุตาสารภาพตามตรง
“ถ้าอย่างนั้นไปที่อื่นดีกว่าค่ะ ต้นนี้เจ้าของเขาหวง”
พระจันทร์พาวายุตาไปบริเวณท่าน้ำ แถวนั้นมีต้นมะม่วงเบาอยู่ มะม่วงเบาเป็นมะม่วงลูกเล็กๆ กินได้ทั้งสุกและดิบ ออกผลแทบจะทั้งปี ทุกคนเลยเบื่อไม่ค่อยมีใครมาแย่งเก็บ
“ลูกเล็กน่ารักจัง” วายุตามองแล้วก็ชอบใจ “เก็บได้เลยใช่ไหมพระจันทร์”
“เก็บได้ค่ะ แต่คุณนุ้ยปีนต้นไม้เป็นแน่นะคะ”
“เป็นสิ อย่าดูถูกกันนะ เห็นอย่างนี้ต้นไม้ที่บ้านปีนมาทุกต้นแล้ว”
พระจันทร์ปล่อยให้เด็กหญิงปีนต้นไม้ตามชอบใจ แล้วคอยระวังความปลอดภัยอยู่ห่างๆ วายุตาปีนต้นไม้ได้เก่งสมราคาคุย เด็กหญิงเด็ดมะม่วงโยนลงมาให้พระจันทร์เรื่อยๆ พอมากเข้าเลยต้องตะโกนบอกให้หยุดมือ
“ปิงไปขอกะปิมาหน่อยสิ เกลือด้วยนะ จะได้เอามากินกับมะม่วงกัน” พระจันทร์ว่า
“จ้ะ พี่พระจันทร์” รับคำสั่งแล้วก็วิ่งปรู๊ดไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนพระจันทร์กับวายุตาก็ช่วยกันเก็บมะม่วงกลับไปที่เรือนของนางสมใจ มะม่วงพวกนี้ยังดิบ แต่ถ้ากินเหลือก็ไม่เป็นปัญหาเพราะสามารถเอามาดองได้ วายุตาใช้กระโปรงตัวเองหอบมะม่วงมาอย่างไม่กลัวเลอะ กินเสร็จก็เล่นกับพระจันทร์และปิงต่อจนเย็น
เด็กหญิงเพิ่งมานึกได้ตอนนี้เองว่าเธอลืมนัดหมายกับคุณหญิงอังศุมาลีเสียสนิท จึงรีบวิ่งกระหืดกระหอบไปหาเพื่อนสนิท คุณหญิงเธอรอเก้อมาทั้งวัน แต่ก็ยังคอยอย่างไม่ย่อท้อ พอเห็นหน้าเธอก็ยิ้มให้อย่างยินดี
“นุ้ยมาสายนะ นึกว่าจะไม่มาแล้ว” คุณหญิงต่อว่าแต่ก็ไม่นึกโกรธเป็นจริงเป็นจัง
“ขอโทษทีนะหญิงอัง เรามัวแต่เก็บมะม่วงจนลืมเวลาเลย” วายุตาเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “นี่เราเก็บมาให้ เก็บเองกับมือเลยนะ”
ของฝากทำให้คุณหญิงหายเคืองเป็นปลิดทิ้ง ประเด็นไม่ได้อยู่ที่เธออยากกินมะม่วงพอดีหรือไม่ แต่อยู่ที่วายุตามีแก่ใจนึกถึงต่างหาก
“เข้ามาก่อนสิ มากินข้าวเย็นด้วยกัน”
“ไม่ได้หรอก ต้องกลับแล้ว ไม่อย่างนั้นคุณแม่จะไม่อนุญาตให้มาอีก” เด็กหญิงว่า
คุณหญิงหน้าเจื่อนลงไปทันตา วายุตาจึงให้สัญญาว่าพรุ่งนี้จะมาเล่นด้วยแต่เช้า สีหน้าของอีกฝ่ายจึงดีขึ้น
เมื่อกลับขึ้นรถไปแล้ว ใจของวายุตาก็จดจ่ออยู่กับวันพรุ่งนี้ เธอวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะชวนคุณหญิงไปเล่นกับพระจันทร์ เด็กหญิงยังเด็กนักจึงไม่รู้ว่าลูกบ่าวอย่างพระจันทร์ถูกกีดกันไม่ให้เล่นกับเจ้านายอย่างคุณหญิง หากหม่อมเนียรรู้เข้าเมื่อไรคงเป็นเรื่องใหญ่เมื่อนั้น ส่วนคุณหญิงเองก็ไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของมารดา
กฎเกณฑ์ของหม่อมเนียรไม่เพียงแต่ทำให้ลำบากใจ ยังก่อให้เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์ของเด็กทั้งสามโดยไม่รู้ตัว ยิ่งปล่อยไว้นานวันเข้าความบาดหมางก็ยิ่งลุกลามฝังรากลึก ก่อให้เกิดบาดแผลทางอารมณ์ที่ยากจะสมาน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สวัสดีค่ะ มีเรื่องจะเมาท์ล่ะค่ะ วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนา (ก็วันนี้แหละ) โน้มจะไปดูมหาอุปรากรค่ะ เรื่อง The Silent Prince (เตมีย์ใบ้) ที่ศูนย์วัฒนธรรมค่ะ การแสดงเริ่มบ่ายสองค่ะ แต่จะไปหน้างานตอนบ่ายโมงครึ่ง เลยแวบมาบอกสักหน่อยเผื่อใครไปจะดูเหมือนกัน เจอกันที่งานทักได้นะจ๊ะ ^O^ เค้าไม่กัด
http://www.operasiam.net/the-silent-prince-2/
เกร็ดความรู้ประจำตอน
ตอนที่แล้วมีคนอยากได้ความรู้เพิ่มว่าคำว่า ”ชิ้น” ที่แปลว่าคู่รักเริ่มใช้มาตั้งแต่สมัยไหน อันนี้โน้มไม่มั่นใจนะคะเพราะว่าหาเอกสารอ้างอิงไม่ได้ รู้แต่ว่าใช้กันแพร่หลายแล้วในสมัยรัชกาลที่ 5 ค่า
ความหมายของคำว่าชิ้นตามพจนานุกรม
ชิ้น ๑ น. ก้อนหรือแผ่นเล็กที่ตัด แล่ แบ่ง แยก หรือ แตกออกจากส่วนใหญ่
เช่น ชิ้นปลา ชิ้นเนื้อ ชิ้นกระเบื้อง, ลักษณนามเรียกสิ่งที่เป็นก้อนเป็น
แผ่นเล็ก ๆ เช่นนั้น เช่น ผ้าชิ้นหนึ่ง เนื้อ ๒ ชิ้น.
ชิ้น ๒ (ปาก) น. คู่รัก.
แถมอีกนิดค่ะ ตอนนี้จะเห็นว่ามีรถไฟ ก็เลยให้เกร็ดความรู้เกี่ยวสถานีรถไฟเชียงใหม่หน่อยนะคะ คือจริงๆ แล้วสถานีรถไฟของเชียงใหม่สร้างเสร็จเมื่อไรนั้นไม่แน่ชัด แต่คาดว่าจะอยู่ในช่วงปี พ.ศ.2493 เช่นเดียวกันกับสถานีรถไฟธนบุรีค่ะ
ผู้ออกแบบเป็นคนคนเดียวกันคือ ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ (ท่านเป็นสถาปนิกและเป็นต้นแบบของท่านชายทินกฤตค่ะ) สถานีสองสถานีนี้จะมีจุดเด่นอยู่ที่หอนาฬิกาเหมือนกัน
ส่วนหลักฐานที่ยืนยันถึงตัวตนของสถานีรถไฟเชียงใหม่แบบเป็นรูปธรรมคือวารสารรถไฟฉบับที่ 1 ในปี 2499 ในนั้นมีภาพของสถานีรถไฟเชียงใหม่ปรากฏอยู่ค่ะ
จริงๆ ช่วงเวลามันค่อนข้างคาบเกี่ยวกันทีเดียว โน้มเลยลังเลเรื่องการเดินทางจากเชียงใหม่ของท่านพ่อคุณชายแล้วก็ตอนคุณชายอังศุธรหนีเที่ยวด้วย แต่สุดท้ายก็รักปักใจเลือกรถไฟปู๊นๆ ถ้าบังเอิญมีผู้รู้มาอ่านเจอแล้วปรากฏว่าข้อมูลคนเขียนผิดพลาดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ คิดว่ามันแฟนตาซีเป็นมิติคู่ขนานแล้วกันนะคะ หยวนให้เค้านิสนึงเนอะ ^O^
เมื่อหม่อมเนียรไม่ยอมส่งตัวลูกชายคนเล็กขึ้นมาเชียงใหม่ ท่านชายก็เลยเสด็จลงมารับตัวเองจริงๆ ทรงเลือกเวลาที่ลูกปิดภาคเรียนแล้วเพื่อที่จะได้ไม่กระทบกับการเรียน เนื่องจากเล็งเห็นว่าปัญหาจะยืดเยื้อแน่นอน
ท่านชายเสด็จมาที่วังอย่างเงียบๆ ในตอนค่ำ กลับมาแล้วก็ไม่ไปประทับที่ตำหนักตัวเอง แต่มาอยู่กับท่านพี่เสียก่อนหนึ่งคืน รุ่งขึ้นจึงค่อยขอประทานคำปรึกษา ทรงคิดตรึกตรองมาดีแล้วว่าถ้าพูดเองหม่อมเนียรคงไม่ยอมฟัง มิวายต้องทะเลาะเบาะแว้งกันใหญ่โตเสียเปล่าๆ
แม้ไม่เคยรักหม่อมคนนี้แต่ก็เอ็นดูอยู่มากในฐานะของน้องสาวคนรัก ที่เสกสมรสด้วยก็เพราะเห็นแก่โอรสที่ยังเล็ก ขาดแม่เสียคนคงลำบาก มีน้าแท้ๆ คอยดูแลย่อมดีกว่าคนอื่น ถึงอุปนิสัยจะเข้ากันไม่ได้ แต่ท่านชายก็ไม่อาจปฏิเสธว่าตลอดชีวิตการสมรส หม่อมเนียรทำหน้าที่ของแม่และภรรยาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ตามแบบแผนที่คนหัวเก่าพึงกระทำ ดังนั้นท่านจึงคิดจะถนอมน้ำใจให้ได้มากที่สุด
ท่านหญิงแสงแขทรงรับฟังปัญหาของอนุชาและให้คำปรึกษาด้วยความเต็มใจ ตกบ่ายก็มีรับสั่งให้คนไปตามหม่อมเนียรมาเฝ้า
หม่อมเนียรกำลังจัดดอกไม้มาตกแต่งตำหนักตอนที่ถูกตามตัว เมื่อเป็นเรื่องของท่านหญิง หม่อมก็กระวีกระวาดปฏิบัติตาม รีบไปเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อยแล้วไปเฝ้า หม่อมยังยิ้มแย้มดีอยู่ตอนที่เข้าไปในตำหนัก จนเมื่อเห็นว่ามีใครประทับข้างกันอยู่กับท่านหญิง รอยยิ้มในหน้าก็มลายหายไปสิ้น
เธอโกรธจนแทบจะระงับโทสะเอาไว้ไม่ได้ เมื่อเห็นว่าสามีมาตามคำประชดประชันในโทรเลขจริงๆ หนำซ้ำยังไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ทำตัวราวกับโจรที่จะมาลักลูกกลับไป หญิงสาวข่มความโกรธเอาไว้แล้วก้มลงกราบท่านหญิง แต่ไม่ยอมกราบท่านชาย แสร้งทำเมินเหมือนเป็นอากาศธาตุ
“ฉันเรียกแม่เนียรมาวันนี้เพราะเรื่องของชายศุ รู้แล้วใช่ไหมว่าพ่อกรเขาอยากเอาตัวลูกไปอยู่เชียงใหม่สักพัก จะได้เตรียมตัวไปเรียนเมืองนอก”
ท่านหญิงมักจะใช้คำอย่างเป็นกันเองกับคนในครอบครัว พี่น้องลูกหลานทุกคนท่านก็สั่งให้พูดกับท่านอย่างธรรมดา มีก็แต่หม่อมเนียรเท่านั้นที่ไม่ยอมทำตาม เธอยังรักษาธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดเพราะถือว่าตัวเองไม่ใช่เจ้า
“ทราบเพคะ”
“แล้วแม่เนียรเห็นว่าเป็นอย่างไร”
“หากท่านชายทรงทำเพื่อลูกหม่อมฉันก็ไม่ขัดเพคะ เพียงแต่ไม่เห็นด้วยว่าต้องไปเตรียมตัวถึงที่เชียงใหม่ พระนครเจริญกว่าตั้งมาก ข้าวของใช้ก็มีครบ ถึงเวลาต้องไปอย่างไรก็ต้องกลับมานี่อยู่ดี ทำไมต้องเดินทางให้ยุ่งยากด้วย”
“ก็ถูกของหล่อนนะ ว่าอย่างไรเล่าพ่อกร ตกลงตามนั้นไหม”
“น้องอยากอบรมลูกด้วยตัวเองขอรับท่านพี่ อยากให้ไปเจออากาศบริสุทธิ์กับป่าเขาด้วย จะได้ปรับตัวให้คุ้นเคยกับอากาศเย็น”
‘เจออากาศหรือเจอนังนั่นกันแน่’
หม่อมเนียรกัดกระพุ้งแก้มจนเจ็บเพื่อไม่ให้คำคำนี้หลุดลอดออกมา
“ต่างคนต่างก็มีเหตุผล เถียงกันทั้งวันคงไม่จบแน่ ให้ฉันตัดสินมันก็เป็นเรื่องของผัวเมีย ถึงจะเป็นน้องก็ไม่สะดวกใจจะพูดนักหรอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถามความสมัครใจลูกก่อนดีไหม”
“อย่าดีกว่าขอรับ/หม่อมฉันไม่เห็นด้วยเพคะ”
ท่านชายและหม่อมเนียรต่างก็ไม่รู้ว่าท่านหญิงจะใช้วิธีนี้ ต่างฝ่ายต่างก็กลัวว่าลูกจะเข้าข้างคนใดคนหนึ่ง
“สามัคคีกันจริงนะเรื่องอย่างนี้” ท่านหญิงแสงแขแย้มสรวล “ทำไมถึงไม่ให้ลูกตัดสินใจฮึ”
“ชายศุยังคิดอ่านไม่คล่องขอรับ/ชายศุยังเล็กเพคะ” สามีภรรยาพร้อมใจตอบอีกครั้ง
“จะย่างสิบสามแล้ว ไม่เรียกว่าเด็กนะพ่อกรแม่เนียร จะเลี้ยงลูกให้เป็นลูกแหง่ไปถึงไหน ไม่หัดคิดอ่านเสียตอนนี้ต่อไปจะทำอะไรเป็น ฉันก็ไม่อยากจะสอดมือไปยุ่งหรอกนะ แต่ถ้าพ่อกับแม่ยังตกลงไม่ได้ก็ต้องให้ลูกตัดสินใจเอง”
ท่านหญิงตรัสนิ่มๆ แต่ก็มีความหนักแน่นอยู่ในสุรเสียง เป็นที่รู้กันว่าท่านตัดสินใจให้แล้ว สองสามีภรรยาก็เลยต้องปฏิบัติตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สักอึดใจใหญ่คุณชายอังศุธรก็ถูกตามตัวมาพบ เด็กชายดวงตาเป็นประกายเมื่อเห็นท่านพ่อ รีบคลานเข้าไปกราบถึงตัก ทำเอาหม่อมเนียรใจเสีย
หากจะถามตามตรงว่าลูกรักใครมากกว่ากันก็ต้องตอบว่ารักท่านชายมากกว่า ประการแรกเพราะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ประการที่สองเพราะท่านพ่อไม่เคร่งครัดเรื่องธรรมเนียมมากและมีเหตุผลกว่าหม่อมแม่ ลูกเลยชอบที่จะอยู่ด้วย
“ท่านพ่อกลับมาตอนไหนครับ มีของฝากชายไหม”
“สำรวมหน่อยชายศุ ไม่เห็นหรือว่าท่านป้าก็อยู่ด้วย” หม่อมเนียรติง เหตุผลที่แท้จริงคือต้องรีบขัดก่อนจะมีรายการสินบนในรูปแบบของฝากออกมาให้ได้ยิน
คุณชายรีบมากราบท่านป้า แล้วคลานกลับมานั่งข้างท่านพ่อ ใบหน้ามีรอยยิ้มกว้างแต้มอยู่บ่งบอกว่ามีความสุขที่ได้อยู่กับพ่อ ชวนให้นึกน้อยใจและเจ็บแค้นไปพร้อมๆ กัน ถ้าไม่มีนางแพศยานั่น ครอบครัวเธอคงไม่แตกแยก ลูกกับพ่อคงไม่ต้องพรากจากกันอย่างนี้
ท่านหญิงแสงแขให้เวลาสองพ่อลูกทักทายกันพักหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยธุระที่เรียกหลานชายมาในวันนี้ ท่านหญิงอธิบายรายละเอียดทุกอย่างให้ฟัง แล้วสรุปให้อีกทีว่าท่านพ่อกับหม่อมแม่จะให้คุณชายไปเรียนเมืองนอก ถ้าให้ตัดสินใจว่าไปก็ต้องเลือกว่าจะอยู่เตรียมตัวที่เชียงใหม่หรือที่พระนคร
“ท่านพ่อจะส่งชายไปที่ไหนครับ”
“ไปอังกฤษลูก ไปอยู่กับท่านอาทินกฤต ไม่ได้ไปคนเดียวนะ ชายภาสก็ไปด้วย”
“ชายอยากไปเที่ยวอังกฤษครับ จริงๆ อยากไปทั่วโลกเลย แต่ถ้าท่านพ่อจะส่งชายไปเรียน ชายขอเลือกประเทศที่จะไปเองดีกว่า เพราะสถานศึกษาแต่ละแห่งก็มีจุดแข็งจุดด้อยต่างกัน อีกอย่างประเทศในยุโรปใช้ภาษาไม่เหมือนกัน ใช่ว่าเก่งอังกฤษแล้วจะเอาตัวรอดได้ หากจะไปก็ต้องเตรียมตัวให้ดี ชายไม่อยากสักแต่ว่าไปเพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นนักเรียนนอก แต่อยากไปอย่างมีจุดหมายในชีวิต ตอนนี้ชายเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไรกันแน่ ขอเวลาชายอีกสักภาคเรียนได้ไหมครับ แล้วชายจะให้คำตอบท่านพ่อว่าชายอยากเป็นอะไร แล้วอยากไปเรียนที่ไหนกันแน่”
ท่านชายทินกรทั้งอึ้งและทึ่งในตัวบุตรชาย ทรงไม่เคยเห็นแง่มุมนี้ของบุตรชายมาก่อนเช่นเดียวกันกับหม่อมเนียร เมื่อลูกพูดมาอย่างมีเหตุผลเสียขนาดนี้มีหรือจะขัดข้อง
“ตกลง พ่อให้เวลาชายคิดอีกครึ่งปี หลังจากนั้นพ่อจะกลับมาเอาคำตอบ”
ท่านชายทรงซักต่ออีกว่าใครกันที่เป็นคนสอนให้เด็กชายพูดอะไรอย่างนี้ คำตอบที่ได้คือไม่มีใครสอน คุณชายอังศุธรแค่ฟังมาจากหนังสือ แล้วคิดตามเท่านั้น
“ฟังจากหนังสือ เป็นอย่างไรกัน มีแต่ต้องอ่านไม่ใช่รึ” ท่านชายถามอีก
“รพีอ่านให้ฟังขอรับ”
ที่ต้องอ่านให้ฟังก็เพราะมันเป็นหนังสือภาษาอังกฤษ คุณชายขี้เกียจแปลแต่ก็อยากรู้เนื้อหา เลยใช้คนโตกว่าเสียเลย
ท่านชายทินกรทรงคลายความวิตกกังวลเรื่องลูกจะเสียคนลงมาก ดังนั้นจึงไม่ดึงดันพาตัวกลับไปเชียงใหม่ด้วย ทำให้ความมึนตึงระหว่างท่านชายกับหม่อมเนียรสลายไปหลายส่วน
พวกผู้ใหญ่ต่างพากันชื่นชมความคิดของเด็กอย่างคุณชาย ไม่มีใครรู้หรอกว่าเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้คุณชายไม่อยากไปไหนคือพระจันทร์ ตราบใดที่ยังเอาชนะไม่ได้ก็ไม่มีวันหายคาใจแน่ ถึงจะเป็นเด็กแต่ก็มีทิฐิมานะรุนแรง สมกับที่มีเลือดของหม่อมเนียรไหลอยู่ในตัว ลองยึดมั่นถือมั่นแล้วก็ยากที่จะปล่อยวาง
คุณชายอังศุธรหมายมาดเอาไว้แล้วว่าจะออกไปเผชิญโลกกว้างอย่างภาคภูมิ ก่อนจะไปก็ต้องผ่านด่านยายเด็กตัวจ้อยนี่ก่อน ไม่อย่างนั้นจะไม่มีวันยอมไปไหนเป็นอันขาด
ท่านชายทินกรประทับอยู่ที่วังชื่นชีวีประมาณหนึ่งสัปดาห์ก็เสด็จกลับเชียงใหม่ ท่านชายทรงรักษาสัญญาโดยการไม่พาลูกไปด้วย หม่อมเนียนสบายใจได้ไม่เกินสามวัน ก็มีอันต้องเป็นลมล้มพับไป เมื่ออยู่ๆ คุณชายอังศุธรหายออกไปจากบ้าน ทิ้งไว้เพียงจดหมายว่าจะไปเที่ยวเชียงใหม่ ใกล้เปิดเรียนเมื่อไรจะกลับมาหาหม่อมแม่พร้อมของฝาก
วีรกรรมของคุณชายครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้หม่อมแม่เป็นลม แต่ยังทำให้คุณหญิงวนันดาพลอยหน้ามืดไปด้วย เพราะคุณชายไม่ได้พกไปแค่กระเป๋าเดินทาง แต่ยังพารพีภัคที่สุขภาพไม่แข็งแรงไปด้วย กว่าจะติดตามได้ว่าอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร ปลอดภัยดีหรือไม่ พวกแม่ๆ ก็แทบหัวอกไหม้ มีเพียงท่านหญิงองค์เดียวกระมังที่ยังหัวเราะได้หลังรู้ว่าหลานปลอดภัยแล้ว ท่านตรัสว่า
‘รพีนี่มันก็ใจเด็ดนะ ยอมตามชายศุไป แทบไม่เอาอะไรติดตัวไปเลย’
ไม่มีใครรู้หรอกว่าตัวการที่แท้จริงคือรพีภัค เห็นเงียบๆ เรียบร้อยอย่างนี้ แต่กลับมีความเป็นขบถในตัวสูง เขาเกลียดสายตาของใครๆ ที่มองมาอย่างกับมองเด็กเล็กที่ต้องทะนุถนอม ยิ่งอายุใกล้สิบห้าก็ยิ่งหงุดหงิดอึดอัดกับสภาวะแวดล้อม พอคุณชายอังศุธรมาบ่นว่าอยากไปเชียงใหม่ รพีภัคก็เลยจัดการประท้วงเงียบด้วยการหนีเที่ยวเสียเลย
เมื่อคุณชายตัวร้ายไม่อยู่ที่วัง ชีวิตของพระจันทร์ก็กลับมาสงบสุข และเรียบง่ายจนเริ่มกลายเป็นน่าเบื่อ ยิ่งพุดจีบถูกเรียกตัวไปฝึกงานฝีมือกับพวกข้าหลวงของท่านหญิงทุกวัน ชีวิตเธอก็ยิ่งเฉากว่าเดิมเป็นสองเท่า ขอนางสมใจตามไปเฝ้าท่านหญิงด้วยฝ่ายนั้นก็ไม่ยอม บอกว่าจะไปซนเสียเปล่าๆ พระจันทร์เลยได้แต่อยู่ในครัว กลายเป็นลูกมืออันดับสามของนางชม้อย รองจากแม่ครัวกับผู้ช่วยอีกสองคน
หากพระจันทร์เป็นคนติดที่และขี้เบื่อน้อยกว่านี้อีกสักนิด ปิดภาคเรียนคงผ่านพ้นไปได้อย่างไม่ยากลำบากนัก ทว่าก็ทนต่อสู้กับธรรมชาติของตัวเองไม่ได้เสียที เด็กสาวไม่อยากเป็นแค่ลูกมือแล้ว อยากจะลงมือต้มแกงหรือทำอาหารเองบ้าง แต่แม่ชม้อยก็หวงครัวของแกสุดชีวิต ไม่ยอมให้แตะเลย บอกว่าครัวนี้สำหรับทำอาหารให้ท่านๆ บนตำหนัก ห้ามใครมาทำอย่างอื่นกิน พอจะไปใช้ครัวไฟของพวกบ่าว ก็มีคนทำนู่นทำนี่ไม่หยุด แล้วโดนไล่ให้ไปไกลๆ โทษฐานเกะกะเสียอีก
พระจันทร์ไม่รู้จะทำอะไรเลยเดินเล่นไปทั่ววัง มีปิงคอยตามแจติดหนึบ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องขอมีส่วนร่วมด้วยทุกอย่าง จนแทบจะเปลี่ยนชื่อให้เป็น ‘ปลิง’
“พี่พระจันทร์ วันนี้เล่นอะไรกันดี”
“ไม่รู้สิ เบื่อๆ น่ะ อยากเรียนหนังสือไหม” พระจันทร์เสนอ
เด็กชายส่ายหน้าดิกในทันที ปิงไม่ชอบเรียนและไม่สนใจด้วยว่ามันจำเป็นกับอนาคต
“งั้นไปหาอะไรกินเล่นกัน”
คราวนี้ปิงพยักหน้ารับอย่างยินดี ในวังมีผลหมากรากไม้มากมาย ท่านหญิงสั่งให้คนสวนรดน้ำพรวนดินอย่างดี มันจึงงอกงามออกดอกออกผลตลอดปี
ที่ดินในส่วนของท่านหญิง ท่านให้บ่าวไพร่เก็บกินได้ตามชอบใจ ที่ของท่านชายทินกฤต ท่านให้คนสวนเก็บเอาไปขายเสียได้เงินมาก็เก็บเอาไว้ทำนุบำรุงตำหนักริมน้ำที่ปิดร้างไม่ให้เก่าโทรม ส่วนไม้ผลในพื้นที่ของท่านชายทินกร หม่อมเนียรห้ามไม่ให้ใครมายุ่ง เพราะไม่อยากให้มาวุ่นวายในพื้นที่ส่วนตัว ผลไม้เลยมีอันต้องเน่าคาต้น เป็นที่เสียดายของผู้ที่พบเห็น
วันนั้นพระจันทร์นึกอย่างไรก็ไม่รู้ อยากกินมะเฟืองขึ้นมา มะเฟืองต้นนี้ปลูกเอาไว้ในเขตตำหนักท่านชายทินกร แต่ก็ห่างไกลจากตัวตึกใหญ่มากเพราะอยู่ติดถนน เลยให้ปิงดูต้นทางให้ขณะแอบเก็บ
“อย่าเลย เดี๋ยวหม่อมลงโทษ” ปิงห้าม
“หม่อมท่านไม่รู้หรอก แถวนี้มีใครที่ไหน” พระจันทร์ไม่สนใจฟัง
ความดื้อรั้นในครั้งนี้ทำให้ชีวิตของพระจันทร์มาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อบังเอิญมีรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามา เด็กที่อยู่ในรถเงยหน้าขึ้นดูต้นมะเฟืองพอดี จึงสั่งให้จอดรถแล้วเดินลงมาทักทายพระจันทร์
“ทำอะไรน่ะพระจันทร์”
พระจันทร์รีบกระโดดลงมาก่อนจะมีผู้ใหญ่เห็น แล้วจึงค่อยตอบ
“เก็บมะเฟืองค่ะคุณนุ้ย”
‘นุ้ย’ คือชื่อเล่นของวาสิตา พระจันทร์จำเป็นต้องเติมคุณไปในชื่อด้วยเพราะโดนสั่งกึ่งบังคับว่าให้เรียกเพื่อนของคุณหญิงว่าคุณทุกคน ข้อนี้เธอไม่เดือดร้อนนักเพราะคุณหญิงสนิทอยู่กับวายุตาแค่คนเดียว และเธอก็เป็นเด็กนิสัยดีพอจะเรียกอย่างให้เกียรติได้
“กินไหมคะ” พระจันทร์แบ่งให้ หรือพูดง่ายๆ เรียกว่าสินบนคงเหมาะกว่า
“ขอบใจจ้ะ แต่ขอเก็บเองได้ไหม”
พระจันทร์รีบเอามือจุปาก แล้วกระซิบว่าเธอมาแอบเก็บต้นที่เขาห้ามไม่ให้ปีน
เรื่องซนอย่างนี้วายุตาชอบนักล่ะ เด็กหญิงพยักหน้าว่าเข้าใจ เธอหันไปสั่งคนขับรถว่าให้มาส่งแค่นี้พอ ตกเย็นค่อยมารับ
วันนี้วายุตามาเล่นกับคุณหญิงอังศุมาลี หม่อมเนียรยอมอนุญาตเพราะเห็นว่าครอบครัวของวายุตาร่ำรวยและมีชาติตระกูลที่ดี บิดาของเด็กน้อยเป็นบุตรชายของเจ้าพระยาคนหนึ่ง แม้จะไม่ได้รับราชการแต่ในขณะนี้ก็ประกอบกิจการโรงงานกระดาษกับบริษัทสบู่จนร่ำรวย เป็นที่นับหน้าถือตาในสังคม ส่วนมารดาเป็นธิดาเจ้าสัว รู้จักกันเพราะพี่สาวของเจ้าหล่อนเป็นหม่อมของท่านชายอดิยุทธ์ พระสหายของท่านชายทินกร
“คุณนุ้ยขอเก็บเอง แสดงว่าอยากปีนมากกว่าอยากกินใช่ไหมคะ” พระจันทร์ถามอย่างรู้ใจ
“อืม” วายุตาสารภาพตามตรง
“ถ้าอย่างนั้นไปที่อื่นดีกว่าค่ะ ต้นนี้เจ้าของเขาหวง”
พระจันทร์พาวายุตาไปบริเวณท่าน้ำ แถวนั้นมีต้นมะม่วงเบาอยู่ มะม่วงเบาเป็นมะม่วงลูกเล็กๆ กินได้ทั้งสุกและดิบ ออกผลแทบจะทั้งปี ทุกคนเลยเบื่อไม่ค่อยมีใครมาแย่งเก็บ
“ลูกเล็กน่ารักจัง” วายุตามองแล้วก็ชอบใจ “เก็บได้เลยใช่ไหมพระจันทร์”
“เก็บได้ค่ะ แต่คุณนุ้ยปีนต้นไม้เป็นแน่นะคะ”
“เป็นสิ อย่าดูถูกกันนะ เห็นอย่างนี้ต้นไม้ที่บ้านปีนมาทุกต้นแล้ว”
พระจันทร์ปล่อยให้เด็กหญิงปีนต้นไม้ตามชอบใจ แล้วคอยระวังความปลอดภัยอยู่ห่างๆ วายุตาปีนต้นไม้ได้เก่งสมราคาคุย เด็กหญิงเด็ดมะม่วงโยนลงมาให้พระจันทร์เรื่อยๆ พอมากเข้าเลยต้องตะโกนบอกให้หยุดมือ
“ปิงไปขอกะปิมาหน่อยสิ เกลือด้วยนะ จะได้เอามากินกับมะม่วงกัน” พระจันทร์ว่า
“จ้ะ พี่พระจันทร์” รับคำสั่งแล้วก็วิ่งปรู๊ดไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนพระจันทร์กับวายุตาก็ช่วยกันเก็บมะม่วงกลับไปที่เรือนของนางสมใจ มะม่วงพวกนี้ยังดิบ แต่ถ้ากินเหลือก็ไม่เป็นปัญหาเพราะสามารถเอามาดองได้ วายุตาใช้กระโปรงตัวเองหอบมะม่วงมาอย่างไม่กลัวเลอะ กินเสร็จก็เล่นกับพระจันทร์และปิงต่อจนเย็น
เด็กหญิงเพิ่งมานึกได้ตอนนี้เองว่าเธอลืมนัดหมายกับคุณหญิงอังศุมาลีเสียสนิท จึงรีบวิ่งกระหืดกระหอบไปหาเพื่อนสนิท คุณหญิงเธอรอเก้อมาทั้งวัน แต่ก็ยังคอยอย่างไม่ย่อท้อ พอเห็นหน้าเธอก็ยิ้มให้อย่างยินดี
“นุ้ยมาสายนะ นึกว่าจะไม่มาแล้ว” คุณหญิงต่อว่าแต่ก็ไม่นึกโกรธเป็นจริงเป็นจัง
“ขอโทษทีนะหญิงอัง เรามัวแต่เก็บมะม่วงจนลืมเวลาเลย” วายุตาเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “นี่เราเก็บมาให้ เก็บเองกับมือเลยนะ”
ของฝากทำให้คุณหญิงหายเคืองเป็นปลิดทิ้ง ประเด็นไม่ได้อยู่ที่เธออยากกินมะม่วงพอดีหรือไม่ แต่อยู่ที่วายุตามีแก่ใจนึกถึงต่างหาก
“เข้ามาก่อนสิ มากินข้าวเย็นด้วยกัน”
“ไม่ได้หรอก ต้องกลับแล้ว ไม่อย่างนั้นคุณแม่จะไม่อนุญาตให้มาอีก” เด็กหญิงว่า
คุณหญิงหน้าเจื่อนลงไปทันตา วายุตาจึงให้สัญญาว่าพรุ่งนี้จะมาเล่นด้วยแต่เช้า สีหน้าของอีกฝ่ายจึงดีขึ้น
เมื่อกลับขึ้นรถไปแล้ว ใจของวายุตาก็จดจ่ออยู่กับวันพรุ่งนี้ เธอวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะชวนคุณหญิงไปเล่นกับพระจันทร์ เด็กหญิงยังเด็กนักจึงไม่รู้ว่าลูกบ่าวอย่างพระจันทร์ถูกกีดกันไม่ให้เล่นกับเจ้านายอย่างคุณหญิง หากหม่อมเนียรรู้เข้าเมื่อไรคงเป็นเรื่องใหญ่เมื่อนั้น ส่วนคุณหญิงเองก็ไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของมารดา
กฎเกณฑ์ของหม่อมเนียรไม่เพียงแต่ทำให้ลำบากใจ ยังก่อให้เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์ของเด็กทั้งสามโดยไม่รู้ตัว ยิ่งปล่อยไว้นานวันเข้าความบาดหมางก็ยิ่งลุกลามฝังรากลึก ก่อให้เกิดบาดแผลทางอารมณ์ที่ยากจะสมาน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สวัสดีค่ะ มีเรื่องจะเมาท์ล่ะค่ะ วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนา (ก็วันนี้แหละ) โน้มจะไปดูมหาอุปรากรค่ะ เรื่อง The Silent Prince (เตมีย์ใบ้) ที่ศูนย์วัฒนธรรมค่ะ การแสดงเริ่มบ่ายสองค่ะ แต่จะไปหน้างานตอนบ่ายโมงครึ่ง เลยแวบมาบอกสักหน่อยเผื่อใครไปจะดูเหมือนกัน เจอกันที่งานทักได้นะจ๊ะ ^O^ เค้าไม่กัด
http://www.operasiam.net/the-silent-prince-2/
เกร็ดความรู้ประจำตอน
ตอนที่แล้วมีคนอยากได้ความรู้เพิ่มว่าคำว่า ”ชิ้น” ที่แปลว่าคู่รักเริ่มใช้มาตั้งแต่สมัยไหน อันนี้โน้มไม่มั่นใจนะคะเพราะว่าหาเอกสารอ้างอิงไม่ได้ รู้แต่ว่าใช้กันแพร่หลายแล้วในสมัยรัชกาลที่ 5 ค่า
ความหมายของคำว่าชิ้นตามพจนานุกรม
ชิ้น ๑ น. ก้อนหรือแผ่นเล็กที่ตัด แล่ แบ่ง แยก หรือ แตกออกจากส่วนใหญ่
เช่น ชิ้นปลา ชิ้นเนื้อ ชิ้นกระเบื้อง, ลักษณนามเรียกสิ่งที่เป็นก้อนเป็น
แผ่นเล็ก ๆ เช่นนั้น เช่น ผ้าชิ้นหนึ่ง เนื้อ ๒ ชิ้น.
ชิ้น ๒ (ปาก) น. คู่รัก.
แถมอีกนิดค่ะ ตอนนี้จะเห็นว่ามีรถไฟ ก็เลยให้เกร็ดความรู้เกี่ยวสถานีรถไฟเชียงใหม่หน่อยนะคะ คือจริงๆ แล้วสถานีรถไฟของเชียงใหม่สร้างเสร็จเมื่อไรนั้นไม่แน่ชัด แต่คาดว่าจะอยู่ในช่วงปี พ.ศ.2493 เช่นเดียวกันกับสถานีรถไฟธนบุรีค่ะ
ผู้ออกแบบเป็นคนคนเดียวกันคือ ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ (ท่านเป็นสถาปนิกและเป็นต้นแบบของท่านชายทินกฤตค่ะ) สถานีสองสถานีนี้จะมีจุดเด่นอยู่ที่หอนาฬิกาเหมือนกัน
ส่วนหลักฐานที่ยืนยันถึงตัวตนของสถานีรถไฟเชียงใหม่แบบเป็นรูปธรรมคือวารสารรถไฟฉบับที่ 1 ในปี 2499 ในนั้นมีภาพของสถานีรถไฟเชียงใหม่ปรากฏอยู่ค่ะ
จริงๆ ช่วงเวลามันค่อนข้างคาบเกี่ยวกันทีเดียว โน้มเลยลังเลเรื่องการเดินทางจากเชียงใหม่ของท่านพ่อคุณชายแล้วก็ตอนคุณชายอังศุธรหนีเที่ยวด้วย แต่สุดท้ายก็รักปักใจเลือกรถไฟปู๊นๆ ถ้าบังเอิญมีผู้รู้มาอ่านเจอแล้วปรากฏว่าข้อมูลคนเขียนผิดพลาดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ คิดว่ามันแฟนตาซีเป็นมิติคู่ขนานแล้วกันนะคะ หยวนให้เค้านิสนึงเนอะ ^O^
นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 มิ.ย. 2556, 00:01:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 มิ.ย. 2556, 00:01:27 น.
จำนวนการเข้าชม : 2040
<< บทที่ 11 ชิ้น? | บทที่ 13 เพื่อนรัก >> |
คิมหันตุ์ 9 มิ.ย. 2556, 02:57:34 น.
ชอบคุณรพี
ชอบคุณรพี
goldensun 9 มิ.ย. 2556, 13:16:54 น.
ถ้าอังศุธรคิดจริง ไม่ได้พูดแต่ปาก ก็หายห่วงได้ กลายเป็นเป้าหมายในชีวิตตอนนี้คือตั้งเป้าเอาชนะพระจันทร์สิ
ลุ้นความสัมพันธ์ของเด็กสามคน มายุคอดีต พระจันทร์เลยไม่มีเพื่อนรักแบบอีกยุคเลย
ถ้าอังศุธรคิดจริง ไม่ได้พูดแต่ปาก ก็หายห่วงได้ กลายเป็นเป้าหมายในชีวิตตอนนี้คือตั้งเป้าเอาชนะพระจันทร์สิ
ลุ้นความสัมพันธ์ของเด็กสามคน มายุคอดีต พระจันทร์เลยไม่มีเพื่อนรักแบบอีกยุคเลย
ปอกะเจา 9 มิ.ย. 2556, 13:49:51 น.
รพีนี่โตขึ้นแล้วคงจะฉลาดร้ายน่าดูนะเนี่ย ฮ่าๆๆ
รพีนี่โตขึ้นแล้วคงจะฉลาดร้ายน่าดูนะเนี่ย ฮ่าๆๆ
Zephyr 9 มิ.ย. 2556, 19:19:00 น.
รพี นายนี่สุดๆอ่ะ ฮ่าๆๆๆ เพราะคนนี้เลยนะ ชายศุเลยไม่เสียเด็กซะก่อน
ส่วนหม่อมเนียร เด็กๆโตไปคงจะมีปัญหากันเรื่องหัวใจสินะคะ
แผลทางอารมณ์ หืมมม ชักอยากรู้
รพี นายนี่สุดๆอ่ะ ฮ่าๆๆๆ เพราะคนนี้เลยนะ ชายศุเลยไม่เสียเด็กซะก่อน
ส่วนหม่อมเนียร เด็กๆโตไปคงจะมีปัญหากันเรื่องหัวใจสินะคะ
แผลทางอารมณ์ หืมมม ชักอยากรู้
konhin 10 มิ.ย. 2556, 00:08:50 น.
พึ่งได้มาอ่านค่ะ (เด็ก)สาวๆน่ารักกันจัง
พึ่งได้มาอ่านค่ะ (เด็ก)สาวๆน่ารักกันจัง
omelate 10 มิ.ย. 2556, 08:07:39 น.
ท่าทางเริ่มยุ่งวุ่นวายกันแล้วววว...
ท่าทางเริ่มยุ่งวุ่นวายกันแล้วววว...