ดวงใจจ้าวรัตติกาล โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
'นางคือจันทราสว่างไสว นางคือจอมใจเมื่ออยู่เคียงขวัญ นางคือคู่แท้แห่งนิรันดร์ นางคือชีวันจ้าวรัตติกาล'
เขาไม่เคยเห็นค่าของสิ่งที่มีจวบจนวันที่เสียไป สายไปไหมหากจะวอนขอให้จันทร์จ้าวกลับมาอยู่เคียงข้าง
Tags: โรแมนติก เจ้าหญิงเจ้าชาย พระเอกขรึม นางเอกขรึมกว่า ความรัก การเมืองเล็กๆ

ตอน: บทที่ 7 ฝนพรำ

บทที่ 7 ฝนพรำ

พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นกาลัญญุถูกจัดให้เป็นเขตการทหาร เรียกติดปากกันว่า ‘แดนหรดี’ มีเมืองใหญ่น้อยรวมกันหกแห่ง ศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองภัควาร ซึ่งเป็นเมืองผลิตสรรพาวุธขนาดใหญ่ที่สุดในแคว้น ทั้งยังเป็นสถานที่ตั้งของค่ายฝึกทหารที่ดีที่สุดติดอันดับหนึ่งในสามของกาลัญญุด้วย เหล่าทหารกล้าที่ได้รับการฝึกจากค่ายหลักของเมืองภัควาร ต่างก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดฝีมือด้วยกันทั้งสิ้น

เนื่องจากเป็นเขตการทหาร สิทธิ์ขาดในการบริหารจัดการจึงเป็นของแม่ทัพใหญ่ไม่ใช่ของเจ้าเมืองอย่างเขตปกครองทั่วไป หากไม่ถือสาเรื่องต้องรับคำสั่งจากเมืองหลวงเป็นครั้งคราว ที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับแคว้นอิสระแคว้นหนึ่ง

ภายใต้การปกครองของแม่ทัพใหญ่คนปัจจุบันหรืออีกนามคือเจ้าปัชชุน ชาวเมืองต่างก็อยู่เย็นเป็นสุข แม้จะมีสงครามอยู่ประปราย แต่ชาวแดนหรดีต่างก็เห็นเป็นสิ่งชินตา ไม่ใช่เรื่องที่จะมาทุกข์ร้อนแต่ประการใด เพราะมีกองทัพอันกล้าแข็งปกป้องอธิปไตยแห่งราชอาณาจักรอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องหวั่นวิตกเรื่องอื่นนอกจากเรื่องปากท้องของตน

ในเขตการทหารนี้ ผลผลิตทุกอย่างต้องส่งเข้ากองทัพเกือบหมด ชาวเมืองจึงอดอยากยากแค้น ในขณะที่เหล่าทหารกินดีอยู่ดีจนเหลือทิ้ง

เมื่อเจ้าปัชชุนเห็นดังนั้นก็ทรงเปลี่ยนการจัดสรรปันส่วนข้าวเสียใหม่โดยของปันส่วนผลผลิตเพียงสามส่วนจากสิบส่วน ผลผลิตที่ขาดไปก็ให้ทหารแผ่วถางผืนป่าทำเป็นที่ดินหลวง ให้พวกไม่มีที่ดินทำกินเช่าโดยต้องส่งผลผลิตเข้าหลวงสี่ในสิบส่วน

ระยะหลังจึงมีคนอพยพเข้ามาอยู่มากเป็นประวัติการ คนมากแรงงานกับช่างฝีมือก็มากตาม จากเมืองการเกษตรที่ก้มหน้าก้มตาผลิตอาหารให้กองทัพ ก็ค่อยๆ เปลี่ยนสภาพเป็นเมืองคึกคักน่าอยู่ขึ้นมาทีละน้อย ชาวแดนหรดีจึงทั้งรักแล้วก็บูชาท่านจ้าวองค์นี้เหลือเกิน

ในขณะที่ทรงได้ใจชาวเมืองไปอย่างเปี่ยมล้ม เจ้าปัชชุนก็กำขวัญของทหารหาญกล้าเอาไว้ได้มั่นเช่นกัน ไม่ว่าจะศึกใหญ่น้อยก็ทรงนำทัพด้วยพระองค์เองเสมอ และไม่เคยเลยที่จะต้องปราชัย ฝีมือการรบอันฉกาจฉกรรจ์ของพระองค์จึงเลื่องลือไปทั่วแดน

แม้จะเก่งกล้าสูงศักดิ์ปานใด เจ้าปัชชุนก็ไม่เคยถือองค์ ทหารกินอยู่อย่างไรก็ทรงกินอยู่เช่นนั้น ทั้งยังห่วงใยไถ่ถามทุกข์ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาสม่ำเสมอ ใครทำดีก็ได้ดีไป บำเหน็จรางวัลมีให้ไม่ได้ขาด ใครอยู่ใกล้ก็ย่อมรักภักดีหมดใจเป็นธรรมดา

ยามนี้แดนหรดีกำลังมีการเรียกระดมพลครั้งใหญ่ สาเหตุนั้นประชาชนทั่วไปกับทหารชั้นผู้น้อยรู้แต่เพียงว่ากำลังทหารของแคว้นคมิกกำลังรุกคืบเข้ามา หากเจรจากันโดยสันติวิธีไม่ได้ก็จะเกิดสงครามใหญ่ จึงต้องเตรียมการรับมือเอาไว้

เนื่องจากเชื่อมั่นในตัวเจ้าปัชชุนหมดใจจึงไม่มีผู้ใดระแวงสงสัยว่าการระดมพลครั้งนี้มีเหตุไม่ชอบมาพากลแอบแฝงอยู่ แม้ฉากหน้ากษัตริย์คมิกกับเจ้าปัชชุนจะวางตัวเป็นศัตรูกัน แต่ลับหลังกลับกำลังร่วมมือกันปลดแอกแดนหรดีออกจากแคว้นกาลัญญุ

หากทำสำเร็จค่าตอบแทนที่แคว้นคมิกจะได้รับคือพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำอุทัยซึ่งกำลังมีข้อพิพาทกันอยู่ และที่ดินตลอดแนวสันเขาในเขตเมืองนิเกตนับหมื่นไร่ ทว่าสิ่งที่กษัตริย์ชราหวังจริงๆ คือการได้เจ้าปัชชุนมาเป็นราชบุตรเขย หากรวมแดนหรดีกับแคว้นคมิกเข้าด้วยกันได้ คมิกจะยิ่งใหญ่ไม่แพ้กาลัญญุ

นอกจากแคว้นคมิกแล้วยังมีหัวเมืองซึ่งเป็นเมืองขึ้นอีกสองแห่งให้การสนับสนุน แต่หากเกินกำลังจริงๆ ก็ยังมีแคว้นปารัช ซึ่งเป็นแคว้นพันธมิตรใกล้เคียงให้ความช่วยเหลือ เจ้าครองแคว้นคนปัจจุบันเป็นพระสหายสนิทของเจ้าปัชชุน หากเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่นิ่งเฉยแน่

การใหญ่ในครั้งนี้ถูกเตรียมขึ้นอย่างรัดกุม โดยมีรองแม่ทัพ เสนาธิการและสามขุนพลใหญ่เป็นผู้ช่วย ทว่ายิ่งแผนการคืบหน้าขึ้นเท่าไรเจ้าปัชชุนกลับยิ่งดูเคร่งขรึมมากขึ้นเท่านั้น

คนนอกอาจมองว่าทรงเป็นปกติดีมิได้มีทุกข์ร้อน เพราะยังคงทักทายปราศรัยกับผู้คนด้วยรอยยิ้มไม่เปลี่ยน แต่บรรดาคนสนิทย่อมรู้พระทัยดีว่าขณะนี้ทรงเศร้าหมองเพียงใด ตั้งแต่ทรงทราบข่าวการอภิเษกของเจ้านิศามณี พระเนตรของเจ้าปัชชุนก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย โดยเฉพาะวันฝนตกเช่นวันนี้

ตอนเช้าฟ้ายังสดใสท่านจ้าวก็ยังทรงฝืนทำเป็นปกติได้อยู่ แต่พอเมฆครึ้มแล้วมีสายฝนโปรยปรายลงมาเท่านั้น สีพระพักตร์ของเจ้าปัชชุนก็หม่นลงทันที ท่านจ้าวทรงม้าหายออกไปจากค่ายเงียบๆ ทิ้งสามขุนพลให้อยู่เฝ้าค่าย

ศร หนึ่งในสามขุนพล เห็นท่านเจ้าทรงม้าหายไปลิบๆ จึงผุดลุกขึ้นตั้งท่าว่าจะตามไป แต่เกาทัณฑ์ตรงมายึดแขนไว้เสียก่อน

“ปล่อยไปเถอะ ให้ทรงอยู่ตามลำพังบาง เขตป่าด้านนั้นก็เขตเรา มีทหารเฝ้าอยู่ไม่ต้องห่วงหรอก”

ศรจึงพยักหน้ารับแล้วกลับมานั่งมองสายฝนอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเดิม แต่สีหน้าก็ยังเคร่งเครียดไม่ผ่อนลงเลย

“สงสารท่านจ้าว” ธนูเปรยขึ้น

เจ้าปัชชุนของธนูเปี่ยมด้วยสามารถ ถึงพร้อมทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ แต่ชีวิตกลับไม่เคยพบความสุข ประสูติมาพระมารดาก็สิ้นพระชนม์ ไม่กี่ปีต่อมาพระบิดาก็จากไป มีพระเชษฐาอยู่พระองค์เดียวก็ไม่เคยจะมาเหลียวแล มีแต่ความห่างเหินเย็นชามอบให้ พอเติบใหญ่ก็ไล่มาอยู่เสียสุดชายแดน ให้ตรากตรำอยู่แต่กับการรบการฝึกทหาร เอะอะก็ถูกจับตามองหาว่าคิดกบฏ ไม่เคยไว้เนื้อเชื่อใจกันเลยสักนิดเดียว

ถึงกระนั้นเจ้าปัชชุนก็ยังคงภักดีกับพระเชษฐา เหนื่อยยากเพียงไหนก็ไม่เคยปริปากบ่น ทรงหวังเพียงสร้างผลงานแล้วกลับไปสู่ขอเจ้านิศามณีที่ทรงรักยิ่ง

รู้ทั้งรู้ว่าเจ้าปัชชุนทรงรักเจ้านางปานชีวิต แต่จ้าวรัตติกาลก็ยังพรากไปได้ลงคอ แล้วอย่างนี้เจ้าปัชชุนจะเหลืออะไรให้ยึดเหนี่ยวอีก

ในเมื่อจ้าวรัตติกาลไม่ทรงคิดจะถนอมน้ำใจ ก็สมควรแล้วที่จะตั้งแดนหรดีเป็นแคว้นใหม่ ตัดขาดจากกาลัญญุเสียให้รู้แล้วรู้รอดกันไป

ความเจ็บปวดของผู้เป็นนายเหล่าคนสนิทต่างรู้ซึ้ง แม้จะถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏก็ไม่ใส่ใจ ขอเพียงได้อยู่เคียงข้างรับใช้เจ้าเหนือหัวจนตัวตายเท่านั้นก็พอ

ในขณะที่เหล่าขุนพลกำลังเอ่ยถึงเจ้าปัชชุนด้วยความเห็นใจ คนที่ถูกตีตราว่าน่าสงสารกำลังนั่งเล่นปล่อยอารมณ์อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่

ลมแรงพัดกระหน่ำทำยอดไม้ไหว หยดน้ำบนใบไม้จึงร่วงพราวลงมากระทบร่างที่นั่งกอดเข่าอยู่ ทำให้รู้สึกหนาวสะท้านจนตัวสั่น กระนั้นเจ้าปัชชุนก็ทรงยิ้มเมื่อนึกย้อนระลึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับหญิงที่รัก

เจ้านางนิศามณีกับพระองค์สนิทชิดเชื้อกันมาแต่จำความได้ นิศามณีจริงจัง ชอบการแข่งขัน ทำอะไรก็เก่งกาจไปเสียหมด หากไม่ใช่ความสามารถเชิงรบ แข่งกันทีไรเจ้าปัชชุนมีอันต้องแพ้หมดรูปอยู่ร่ำไป

ถึงกระนั้นก็ไม่เคยโกรธ แพ้ชนะสำหรับพระองค์มันไม่สำคัญสักนิด ขอเพียงนางยังหันมายิ้มให้เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

ทว่าเจ้านิศามณียิ้มไม่เก่งหัวเราะไม่เป็นเอาเลย ถนัดอย่างเดียวคือรอยยิ้มหวานๆ เย็นๆ ข่มขวัญทำให้หวั่นใจ พระองค์จึงต้องทรงหาวิธีมาหลอกล่อให้พระสหายยิ้มออกมาจากใจให้ได้

มีอยู่ครั้งหนึ่งเจ้าปัชชุนตั้งชื่อเล่นให้เจ้านิศามณีว่า ‘จันทร์เจ้า’ ส่วนเจ้านางก็จะเรียกพระองค์ว่า ‘เมฆาน้อย’ ตามความหมายของชื่อกันและกัน พระองค์ก็เลยเอาไปแต่งเป็นบทกลอนได้ความออกมาว่า

‘จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า ไม่ขอข้าวของแกง ไม่ขอแสงขอสี ไม่ขอมณีเลอค่า ขอเพียงจันทรายิ้มได้ไหม ยิ้มสักนิดให้เมฆาน้อยพลอยสุขใจ จะหวงยิ้มไปไยเล่าเจ้าจันทรา’

เอ่ยกลอนบทนี้คราใดเจ้านิศามณีก็จะหัวเราะออกมา นางว่ามันเป็นกลอนเปล่าแหกกฎกวี เหมาะกับเจ้าปัชชุนที่เหมือนก้อนเมฆลอยไปลอยมา เปลี่ยนรูปร่างได้ตามใจเป็นที่สุด

‘ไม่ได้ลอยไปลอยมาเสียหน่อย เมฆาน้อยก้อนนี้จะขออยู่กับจันทร์เจ้าตลอดไป ขอสัญญาจะว่าอยู่ดูแลจันทร์เจ้าให้ยิ้มสดใสได้เช่นนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน’

ทรงให้สัญญากับเจ้านิศามณีไว้เมื่อครั้งอายุสิบหก แต่ในปีต่อมาก็ต้องผิดสัญญาเนื่องจากมีพระบัญชาให้ไปประจำการอยู่ที่ชายแดน

ก่อนไปจึงทรงแอบพาเจ้านิศามณีหนีออกจาวังฝั่งขวาไปเที่ยวที่ชายป่าด้านหลังวัง แล้วฝนก็โปรยปรายลงมาเช่นวันนี้

ครานั้นฝนโปรงลงมาเพียงละอองสามารถขี่ม้าลุยกลับได้สบาย แต่ทรงอยากจะอยู่ลำพังกับนางในดวงใจอีกสักนิด จึงถอดฉลองพระองค์ตัวนอกออกมาคลุมตัวให้เจ้านิศามณี แล้วชวนไปหลบฝนใต้ร่มไม้ใหญ่ด้วยกัน

‘ไม่กี่วันก็ต้องไปแล้ว เมฆาน้อยขอโทษที่ผิดสัญญากับจันทร์เจ้า’ เจ้าปัชชุนตรัสอย่างรู้สึกผิด

‘มันคือหน้าที่ของสายเลือดขัตติยะ เราไม่เคืองเจ้าหรอกปัชชุน ไปแล้วถนอมตัวให้ดี ระลึกถึงสหายเช่นเราบ้างก็พอแล้ว’

เจ้าปัชชุนทรงยิ้มรับคำพูดเจ้านิศามณี แม้ก่อนหน้าจะนึกน้อยใจที่นางดูไม่ยินดียินร้ายเลยสักนิดที่พระองค์จะจากไปไกล แต่เมื่อได้คิดก็เข้าใจว่าปฏิกิริยาสงบนิ่งเช่นนี้ล่ะจึงถือว่าเป็นตัวนาง ให้มาร้องไห้ฟูมฟายว่าอย่าไป เห็นทีจะไม่ใช่จันทร์เจ้าของพระองค์

เจ้าปัชชุนทรงทอดสร้อยของต่างหน้าพระมารดาออกมาสวมให้เจ้านิศามณีแทนคำสัญญาและคำขอโทษ

‘เมฆาน้อยผิดสัญญากับจันทร์เจ้า ขอใช้สร้อยเส้นนี้แทนคำสาบานว่าต่อไปไม่ว่าจันทร์เจ้ามีเรื่องอะไรเมฆาน้อยจะทำให้ทุกสิ่ง’

‘ของสำคัญมิใช่หรือ อย่าให้เราเลย เอาคืนไปเถิด ต่อให้สัญญาปากเปล่าเราก็เชื่อเจ้า’

เจ้าปัชชุนไม่เคยพบพระมารดา มีแต่สร้อยเส้นนี้เท่านั้นที่พกไว้ติดกาย มันสำคัญต่อจิตใจเจ้าปัชชุนเพียงไหนเจ้านิศามณีรู้ดีกว่าใคร ไหนเลยจะกล้ารับไว้

‘เพราะสำคัญน่ะสิ ถึงได้อยากให้อยู่กับคนสำคัญ เก็บไว้แทนใจได้ไหม ให้ใจเมฆาน้อยได้อยู่กับจันทร์เจ้า แทนของหมั้น’

เนื่องจากต้องจากกันไปไกลจึงทรงตัดสินพระทัยบอกรักออกมา สีหน้างของคนที่อยู่ข้างกายเปลี่ยนเป็นจริงจังทันตา นางกุมพระหัตถ์ข้างที่ถือสายสร้อยของพระองค์เอาไว้แล้วกล่าวว่า

‘เรามีหน้าที่ของเราปัชชุน เสด็จพ่อหมายจะให้เราเป็นธิดาเทพ ณ เวลานี้เราไม่มีสิทธิ์รับของหมั้นจากชายใด เราให้ได้แต่สัญญาว่าจะไม่แต่งกับใครที่ด้อยไปกว่าเจ้า หากกาลเวลาหมุนไปแล้วใจเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงและกลายเป็นคนที่คู่ควรกับธิดาเทพ วันนั้นเราก็จะขอรับสร้อยเส้นนี้มาสวมไว้ด้วยความเต็มใจ’

ถ้อยคำกับไออุ่นจากมือคู่น้อยทำให้ในหทัยของพระองค์เอ่อล้นไปด้วยความหวัง ทรงเอ่ยปากขอสร้อยข้อมือของนางมาเก็บไว้เป็นของต่างหน้า

‘คืนที่ไม่มีจันทร์ เวลาคิดถึงเจ้าจะได้เอาออกมามอง ขอข้าเถิดนะ’

แววตาของเจ้าปัชชุนเว้าวอนเสียจนเจ้านางใจอ่อน ต้องปลดสร้อยออกมาส่งให้ แต่ก็ไม่วายย้ำว่า

‘อย่าคิดไปไกลเชียว เพราะเจ้าเป็นสหายรักหรอกนะเราจึงถอดให้’

ตามธรรมเนียมของกาลัญญุ หากหญิงสาวมอบของที่ใส่ติดกายให้กับชายใดไปก็แสดงว่ามีใจให้ และถือเป็นสัญญาว่านางจะรอให้ชายผู้นั้นมาสู่ขอ

ถึงจะรู้ว่านางไม่ได้มีความนัยแอบแฝงแต่เจ้าปัชชุนก็ยังยิ้มไม่หุบ ทรงเก็บสร้อยเส้นน้อยพกใส่อกเสื้อติดกายเอาไว้ทั้งยามหลับยามตื่น ตลอดแปดปีนี้ไม่เคยเผลอไผลวางทิ้งไว้ห่างกายเลยสักครา

พระองค์ทรงเอาของต่างหน้านี้เป็นกำลังใจให้แก่ตัวเองเวลาท้อถอย ทรงเชื่อว่าสักวันหนึ่งตนจะสร้างผลงานจนมีเกียรติและศักดิ์ศรีพอจะไปสู่ขอธิดาเทพ แต่แล้วทุกอย่างก็มาพลันสลายหายไปในพริบตาด้วยน้ำมือของจ้าวรัตติกาล

ในขณะที่ทรงเคียดแค้นพระเชษฐาอย่างเหลือล้น เจ้าปัชชุนกลับไม่นึกโกรธเคืองเจ้านิศามณี นางไม่ได้ผิดสัญญา เพราะไม่ได้แต่งงานกับคนที่เลอเลิศน้อยกว่าพระองค์ นางได้ทำตามหน้าที่ของนางโดยการอภิเษกกับราชาอย่างสมฐานันดรแล้ว

พระองค์ต่างหากที่ผิด ทรงไร้สามารถจึงไม่สามารถปกป้องนางไว้ได้ ทรงเชื่ออย่างโง่งมว่าเจ้าพี่จะเห็นความดีแล้วยกนางให้สักวัน แต่แล้วคนเขลาคนนี้ก็ไม่ได้รับอะไรตอบแทนกลับมาเลยนอกจากความสูญเสีย

เจ้าปัชชุนทรงหยิบสร้อยเส้นน้อยออกมาทอดพระเนตร หยดน้ำเย็นฉ่ำที่มากระทบวรกายชวนให้นึกห่วงจันทร์เจ้าเหลือเกิน

เมืองหลวงฝนจะตกหรือเปล่า จันทร์เจ้าจะโดนละอองฝนแล้วจับไข้ไหม อยู่ไกลกันอย่างนี้นางจะเจ็บปวดขมขื่นเพียงไหนพระองค์มิอาจรู้ได้

ก่อนหน้ายังวางใจได้ว่ามีจ้าวทิวาดูแล พี่น้องคู่นี้รักใคร่กันดี ทินกรไม่มีทางปล่อยให้พระพี่นางเป็นอะไรไป แต่นี่แต่งไปอยู่วังฝั่งซ้ายแล้ว เจ้าพี่น่ะหรือจะดูดำดูดีพระชายา หากรู้ว่าเจ้าพี่เสน่หานิศามณีก็คงพอทำให้ตัดใจได้บ้าง แต่นี่ไม่ทรงรักนางเลย แต่งไปก็เพราะขัดสภาขุนนางเสียไม่ได้

‘ไม่รักแล้วทำไมยังแต่ง’

คนอย่างเจ้าพี่น่ะหรือจะจนแต้มต่อสภาขุนนางเพียงเท่านี้ ทรงอยากขยี้หัวใจน้องที่ทรงชังให้แหลกคามือไปเสียมากกว่า

“จันทร์เจ้าที่น่าสงสาร เมฆาน้อยขอโทษ”

ทรงรำพันกับสายสร้อยในมือแล้วเดินออกมารับน้ำฝน ปล่อยให้หยาดน้ำชะน้ำตาไปจากสองข้างแก้ม เยียวยาความปวดร้าวที่ฝังลึกอยู่ในใจ

เจ้าปัชชุนเสด็จกลับพลับพลาที่ประทับในสภาพที่เปียกชุมทั้งตัว สรงน้ำเสร็จก็ประทับนิ่งไม่พูดไม่จากับใคร ทรงก้มหน้าทรงงานแต่ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าทรงทรงงานจริงหรือไม่ จนฝนซาฟ้ากระจ่างแล้วมีม้าเร็วนำสารมาส่ง ท่านจ้าวคนเดิมจึงได้กลับมา

เจ้าปัชชุนมีรับสั่งเรียกรองแม่ทัพ เสนาธิการและขุนพลทั้งสามให้มาประชุมโดยด่วน

“ข้าเรียกพวกเจ้ามาเพื่อจะมอบหมายงานระหว่างที่ข้าไปเมืองหลวงให้”

“ไม่ได้พระเจ้าค่ะ ไปก็เท่ากับไปตาย” ธนูรีบร้องห้าม

ชายหนุ่มกลัวใจท่านจ้าวมานานแล้ว เขารู้ว่าทรงอยากจะขัดพระราชโองการไปชิงตัวเจ้านิศามณีเสียหลายครั้งหลายครา แต่ถ้าไปก็เท่ากับกบฏเข้าทางจ้าวรัตติกาลที่คิดหาทางกำจัดพระอนุชาพอดิบพอดี

“ใจเย็นเถิดท่านธนู ท่านจ้าวไม่ได้ไปเองเสียหน่อย มีราชองครักษ์มารับพร้อมพระราชโองการอีกไม่กี่วันคงมาถึง” พาทิศ เสนาธิการวัยกลางคนให้ข้อมูล

“รู้แล้วงั้นรึ สมเป็นจ้าวรัตติกาล หูตากว้างขวางจริง ฝ่าบาทอย่าไปเลย แกล้งทำเป็นป่วยดีกว่า ข้าพระองค์จะรับหน้าเอง” ชานนซึ่งดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพว่า

“ไม่ได้หรอก อย่างไรข้าก็ต้องไป แหล่งข่าวบอกว่าเจ้าพี่ส่งองครักษ์เงามา ถ้าให้เดาก็คงเป็นโตมร จิ้งจอกแห่งวังหลวงตัวนั้นไม่หลงไปกลกับอุบายเพียงเท่านี้หรอก หากข้าไปแล้วขาดการติดต่อเกินสิบวัน พวกเจ้าก็ทำตามแผนได้เลย ชานนต้องขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่แทนข้า ส่วนที่เหลือก็ต้องเป็นกำลังให้แผนการครั้งนี้สำเร็จ”

หากพระองค์เพลี่ยงพล้ำต่อจ้าวรัตติกาลจนถูกข้อหากบฏเข้า แม่ทัพนายกองที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพระองค์ก็จะต้องโทษประหารไปด้วย ทางเดียวที่จะให้พวกพ้องผู้ภักดีรอดคือชิงลงมือตามแผน หากลงมือสำเร็จก็จะพ้นภัยกันทั่วหน้า

“ฝ่าบาท! รู้เช่นนี้แล้วพวกข้าพระองค์ก็ยิ่งปล่อยให้ฝ่าบาทไปไม่ได้” คนในห้องต่างประท้วงเป็นเสียงด้วยกัน

“ข้าไม่โง่ขนาดไปตายหรอก ตอนนี้เราไม่ได้ทำอะไรผิด หลักฐานรึก็ไม่มี อย่างมากก็เรียกไปสอบปากคำ ปฏิเสธไปเสียก็จบเรื่อง จงอย่าลืมว่าข้ามีพระราชโองการละเว้นโทษตายอยู่”

รับสั่งนี้ทำให้ที่ประชุมสงบลงในทันที และทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงเมื่อนึกถึงไพ่ตายใบสำคัญ

“ถ้าเช่นนั้นก็รอให้ท่านจ้าวกลับมาแล้วเราค่อยทำตามแผนก็ได้ ข้าพระองค์จะไปชี้แจงกับทางคมิกเองว่าเราจำต้องเลื่อนเวลาออกไป” ศรเสนอ

“ข้าก็อยากจะกลับมาจัดการเอง ทว่าคงทำไม่ได้ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายข้าก็ไม่อาจจะมาสั่งการด้วยตนเอง หากพ้นสิบวันหรือข้าสั่งข่าวมาให้เริ่มดำเนินการได้ก็เริ่มแผนได้เลย เพราะเราจะยึดอำนาจจากจ้าวรัตติกาลด้วยสิ่งนี้”

ทรงคลายพระหัตถ์ที่กำไว้ออก เผยให้เห็นขวดยาขวดเล็กสีม่วงอมดำ มันคือยาพิษชนิดพิเศษที่หมอยาผู้หนึ่งได้นำมาถวายให้ ยาพิษนี้ไร้สี ไร้กลิ่น ชายฉกรรจ์ตัวโตได้รับไปเพียงหยดเดียวก็ถึงแก่ชีวิตได้ พระองค์จะใช้ยานี้จัดการกับจ้าวรัตติกาล และปลดแอกแดนหรดีออกจากกาลัญญุอย่างไร้ข้อครหา




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 มิ.ย. 2554, 09:01:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:54:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1930





<< บทที่ 6 ความเคลื่อนไหว   บทที่ 8 อาทร >>
ลูกกวาดสีส้ม 3 มิ.ย. 2554, 10:02:35 น.
เริ่มน่าเศร้าแล้วค่ะ ไม่รู้จะสงสารใครดี


มะดัน 3 มิ.ย. 2554, 13:09:28 น.
สนุกทุกเรื่องเลย แต่เรื่องนี้ไม่อัพลงเด็กดีหรือคะ


หมูอ้วน 3 มิ.ย. 2554, 13:58:18 น.
เจ้าปัชชุนไม่น่าทำอย่างนี้เลย
ถ้าเจ้านางทราบจะว่ายังไงหนอ รออ่านตอนต่อไปค่ะ


แว่นใส 5 มิ.ย. 2554, 08:14:12 น.
น่าสงสารพี่น้องจะฆ่ากันเอง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account