ข้ามกาล
อุบัติเหตุทำให้พระจันทร์ย้อนอดีตมาอยู่ในวังของหม่อมเจ้าใครเลยจะคิดว่าชีวิตลูกกำพร้าผู้ต่ำต้อยเช่นพระจันทร์
จะมีดาวฤกษ์อย่างดวงอาทิตย์มาโคจรรอบตัวถึงสามดวง


ดวงแรกนั้นพระจันทร์ทั้งรักและเทิดทูน ยึดเป็นที่พึ่งทางใจเสมอมา
พระอาทิตย์ดวงนี้เมตตาพระจันทร์ยิ่งนัก แต่ก็สงวนท่าทีเหลือเกิน
ใจท่านคิดเช่นไร พระจันทร์ไม่อาจรู้ได้เลย


ดวงที่สองร้อนแรงดังเพลิงกัลป์ หยิ่งทระนงหนักหนา
ทั้งยังเป็นคู่อริกันมาช้านาน ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ในวันที่หนาวเหน็บที่สุด
พระอาทิตย์วายร้ายกลับเต็มใจมาอยู่เคียงข้างพระจันทร์
คอยส่องแสงให้ความอบอุ่นโดยไม่ต้องร้องขอ


ส่วนดวงที่สามพระจันทร์รักเคารพเสมอเหมือนพี่ชาย
ความที่เขามีคู่หมายซึ่งเหมาะสมกันอยู่แล้ว
พระจันทร์จึงไม่เคยคิดเป็นอื่น แต่โชคชะตากลับเล่นตลก
ส่งกามเทพมาแผลงศรทำให้พี่ชายเผลอรักพระจันทร์หมดใจ
Tags: พีเรียต ย้อนยุค ช่วงปี 2493-2507 คุณชาย ท่านชาย นายแพทย์ พระเอกในเรื่องไม่รู้เป็นใคร แต่หนุ่มๆ แซ่บเวอร์ วัง หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ ย้อนเวลา โรแมนติก คอมเมดี้ หวานๆ ดราม่าเบาๆ ภาษาอ่านง่าย

ตอน: บทที่ 18 ชาติกำเนิด

บทที่ 18 ชาติกำเนิด

“ตะวัน...แกมานี่หน่อย ช่วยพิมพ์จดหมายให้ที เอาแบบเดียวกันสามฉบับนะ เปลี่ยนชื่อคนรับให้เรียบร้อย”

ท่านชายทรงผละจากเครื่องพิมพ์ดีด เปิดทางให้เลขานุการมารับงานต่อ จดหมายที่ร่างมานี้เป็นจดหมายสำหรับส่งไปให้คนเช่าที่สวนแถวฝั่งธนบุรี ท่านชายทรงลดค่าเช่าปีนี้กับปีหน้าให้เพราะได้ข่าวว่าผลผลิตไม่ค่อยดี แต่จะบอกปากเปล่าไปให้คนที่จัดการเรื่องนี้เพียงอย่างเดียวก็เกรงว่าจะสับสนหรือมีการโกงเกิดขึ้น จึงทำจดหมายเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้เช่าเก็บเอาไว้

“เสร็จแล้วก็เอาไปส่งเลยนะ พร้อมจดหมายตรงนั้นด้วย”

“ขอรับกระหม่อม” ตะวันเอ่ยอย่างนอบน้อม

ชายหนุ่มมานั่งแทนที่ท่านชาย ส่วนท่านชายก็ย้ายมานั่งที่โต๊ะของเลขานุการเพื่อตรวจทานบัญชีอีกครั้ง ก่อนจะส่งให้ผู้จัดการทรัพย์สินรับช่วงต่อไป

ในบรรดาสามพี่น้องท่านชายทินกฤตเป็นคนที่ได้รับมรดกน้อยที่สุด แม้มันจะมากพอให้ใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อได้ไปจนแก่ แต่ก็ทรงตระหนักถึงความไม่แน่นอนของชีวิต

ดังนั้นจึงทรงลงทุนด้วยการพัฒนาที่ดินที่มีอยู่ แบ่งเป็นแปลงเอาไว้ขายบ้าง ให้เช่าบ้าง ปลูกตึกแถวเอาไว้บ้าง ได้กำไรมาก็ซื้อที่ดินเพิ่มเก็บสะสมไปเรื่อยๆ ไม่ก็เอาไปลงทุนกับกิจการอย่างอื่น แต่เรื่องการลงทุนนี้ทรงทำอย่างลับๆ ในฐานะผู้ถือหุ้น เพราะยังมีพระญาติหัวเก่าบางกลุ่มคิดว่าการลดตัวลงมาทำกิจการค้าขายเป็นการเสื่อมเสียเกียรติ

นอกจากกิจการในไทยแล้วท่านชายยังมีร้านอยู่ที่อังกฤษด้วย ทรงร่วมหุ้นกับพระสหายที่เป็นชาวต่างชาตินำเข้าสินค้าจำพวกเครื่องตกแต่งบ้านกับของโบราณทางแถบเอเชียมาขาย ซึ่งตอนนี้กิจการกำลังเป็นไปได้ด้วยดีและจะมีการเปิดสาขาที่สามที่ฝรั่งเศสในไม่ช้า

ท่านชายจำเป็นต้องเร่งทำงานให้เสร็จโดยเร็วเพราะเวลากระชั้นเข้ามาทุกขณะ สาเหตุที่ทรงมีเวลาไม่พอเพราะมัวแต่ไปเป็นเพื่อนกับแม่เด็กช่างจ้อทุกบ่าย ระยะหลังจึงทรงตั้งกฎกับตัวเองเอาไว้ว่าถ้าทำงานไม่ได้ตามเป้าหมาย จะไม่เสด็จออกไปไหนเด็ดขาด

ความที่ทรงมุ่งมั่นก็เลยเผลอลืมเวลากระยาหารเที่ยงไปเสียสนิท ตะวันเห็นดังนั้นจึงสั่งให้เติมตั้งโต๊ะเสียในห้องนี้ ท่านชายหิวเมื่อไรจะได้เสวยเลย เติมรับคำแล้วกลับลงไปยกเครื่องคาวหวานขึ้นมา ขาลงไปนั้นลงไปคนเดียว แต่พอขึ้นมากลับขึ้นมาสองคน

ด้านหลังเพิ่มมีเด็กสาวหน้าตาหมดจดตามมาด้วย ตะวันเดาว่าคงเป็นเด็กรับใช้จึงไม่ให้ความสนใจ ทางด้านท่านชายนั้นพอได้ยินเสียงเลื่อนโต๊ะกับกลิ่นอาหารก็ทรงเงยหน้าขึ้นมาจากงาน แล้วก็ได้เห็นว่ามีสายตาของแม่เด็กน้อยจอมเจ้าเล่ห์กำลังมองมา

‘ซนจริง วันนี้ขึ้นมาตามถึงบนตำหนักเชียว’

“ท่าน...” ตะวันตั้งท่าจะถาม แต่ถูกห้ามด้วยสายตาเสียก่อนว่าไม่ให้พูด

ท่านชายทรงนึกสนุกอยากแกล้งเด็กต่อจึงตรัสว่า

“ท่านชายจะเสวยในห้อง ส่วนฉันจะลงไปกินข้างล่าง แกอยู่รับใช้ท่านชายข้างบนนะเติม ไม่ต้องตามลงมา”

เติมฟังแล้วก็งง ท่านชายจะเสวยในห้องแต่บอกว่าจะไปกินข้างล่าง มันหมายความว่าอย่างไรกันเล่า พออ้าปากจะถามท่านก็ยกถาดอาหารที่เป็นส่วนของตะวันไปเสียแล้ว ปล่อยให้สองหนุ่มที่เหลือในห้องมองหน้ากันงงๆ

“เอ่อ...คุณตะวันครับ สรุปผมต้องอยู่ในห้องนี้หรือตามท่านชายลงไปครับนี่” เติมถามอย่างไม่แน่ใจ

“อยู่บนนี้แหละ ถ้าทรงเรียกเดี๋ยวก็สั่นกระดิ่งเอง”

ตะวันพอจะเดาออกว่าท่านชายมีแผนอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่เข้าใจนักว่าท่านกำลังทำอะไรกันแน่



ทางด้านท่านชายที่สวมบทเป็นนายตะวัน พอยกถาดอาหารลงมาที่ครัวแล้ว ท่านก็ตรัสกับพระจันทร์ที่เดินตามหลังมาต้อยๆ ว่า

“วันนี้ขึ้นมาถึงบนนี้เลยนะเรา เป็นอย่างไรเล่าได้ชมโฉมท่านชายสมใจแล้วสิ”

พระจันทร์บ่นมาหลายวันแล้วว่าท่านชายทรงเก็บเนื้อเก็บตัวเสียจริง เอาแต่อยู่ในห้องเปิดเครื่องปรับอากาศทั้งวัน แล้วอย่างนี้เมื่อไรจะปรับตัวเข้ากับอากาศร้อนของเมืองไทยได้

ฟังแล้วท่านชายตัวจริงก็นึกขัน ท่านทรงมีพลานามัยแข็งแรง ไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศก็อยู่ได้ เจ้าตะวันเสียอีกที่ทนไม่ไหว ทำงานไปก็เหงื่อไหลไคลย้อยไป ท่านสงสารก็เลยเปิดแอร์ให้ แล้วอนุญาตว่าถ้าคืนไหนร้อนนอนไม่หลับ ก็ให้ขนเครื่องนอนมานอนในห้องทำงานได้

“เห็นแวบๆ ค่ะ ไม่กล้าจ้องท่านนาน”

“เป็นอย่างไร ท่านชายทรงสิริโฉมไหม”

“หล่อค่ะ” พระจันทร์ยอมรับตรงๆ ทั้งที่ออกจะผิดหวังอยู่ไม่น้อย “แต่ยังไงพี่ชายก็เป็นที่หนึ่งในสายตาพระจันทร์”

ใครเขาก็ว่าท่านชายรูปงามหนักหนาพระจันทร์ก็เลยหวังเอาไว้สูง ทว่าพอเจอตัวจริงกลับพบว่าธรรมดากว่าที่คิด ท่านชายทินกฤตในสายตาของพระจันทร์เป็นหนุ่มหน้าตาคมเข้ม เรียกว่าดูดีกว่าคนทั่วไป แต่ก็ไม่ดูสง่าราศีจับเท่าพี่ตะวันของเธอ เด็กสาวเลยคิดเอาเองว่ามาตรฐานความหล่อของคนสมัยใหม่กับสมัยก่อนคงไม่เหมือนกัน พี่ตะวันของเธออาจจะแค่ดูดีในสมัยนี้ แต่ถ้าเป็นโลกอนาคตแล้วพี่ชายกระแทกบ่ากับพวกดาราได้สบาย

“แม่คนช่างประจบ”

“จริงๆ นะคะ ใครจะว่าอย่างไรพี่ชายก็หล่อที่หนึ่ง” พระจันทร์ยิ้มกว้างยืนยันความจริงใจ

“เอาเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว นั่งลงสิ มากินข้าวด้วยกัน”

เด็กสาวยิ่งยิ้มกว้างเมื่อได้รับน้ำใจ แต่ก็ปฏิเสธในตอนท้าย

“พี่ชายกินเถอะคะ”

“กลัวฉันไม่อิ่มรึ”

“ใช่ค่ะ”

“พิลึกจริง เธอนี่นะเกรงใจเป็น”

“พี่ชายไม่รู้อะไรต่างหาก ที่จริงพระจันทร์ออกจะเป็นสาวน้อยน่ารักแสนดี”

“ถนัดนักเชียวนะ เรื่องพูดเอาความดีเข้าตัวนี่”

“ก็พี่ชายไม่เคยชมพระจันทร์เลยนี่นา พระจันทร์ก็ต้องชมตัวเองสิคะ”

ท่านชายคร้านจะเถียง เลยยื่นกระทงใส่ขนมจำพวกทองหยิบทอดหยอดไปให้

“เอาไปสิ ฉันไม่ชอบพวกขนมหวานจัด”

“เอ๋! ไหนพี่เติมบอกว่าพี่ชายชอบขนมไทยหวานๆ ท่านชายต่างหากที่ไม่โปรดของพวกนี้”

พระจันทร์มองกลับมาด้วยความสงสัย ท่านชายทรงคิดว่าจะถูกจับได้เสียแล้ว แต่แม่สาวน้อยแสนฉลาดคนนี้กลับไม่เฉลียวใจเลยสักนิด

“พี่เติมนี่ไม่ไหวเลย จำผิดจำถูกเสียได้”

เด็กสาวรับขนมไปโดยดีแต่ก็ไม่ยอมนั่งกินข้าวด้วย ที่วันนี้พระจันทร์รั้งอยู่ช่วยเติมทำงานก็เพื่อจะได้บอกพี่ชายว่าเธอต้องออกไปข้างนอกกับนางสมใจและรวงข้าว เพื่อซื้อของให้ท่านหญิง ที่จริงแล้วพระจันทร์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่คุณป้าสั่งให้ติดรถไปด้วยเพื่อจะได้ซื้อของส่วนตัวเสียทีเดียว ของส่วนตัวที่ว่าคือผ้าสำหรับตัดชุดนักเรียนใหม่ เปิดภาคเรียนมาจะได้ไม่ฉุกละหุก

“พระจันทร์ไปก่อนนะพี่ชาย ทนเหงาวันหนึ่งนะคะ”

“เหอะ...เหงาอะไรกัน สบายหูเสียมากกว่า ไม่ต้องคอยฟังหล่อนเจื้อยแจ้ว”

ท่านชายทรงเรียกแทนตัวพระจันทร์ว่า เธอบ้าง เราบ้าง หล่อนบ้าง แล้วแต่อารมณ์และระดับความหมั่นไส้ คำว่าเธอกับเราพระจันทร์แยกความแตกต่างไม่ออกเท่าไร แต่พอจะจับอารมณ์ได้ว่าถ้าสรรพนามเปลี่ยนไปกลายเป็น ‘หล่อน’ เมื่อไร พี่ชายต้องทำมือทำไม้ยุกยิกเหมือนมันเขี้ยวทุกที หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจก็จะยื่นมือมาขยี้ผม

พระจันทร์อยากถูกลูบหัวเลยแกล้งเถียงต่ออีกหน่อย แล้วก็ได้ผล พี่ชายเอื้อมมือมาวางบนศีรษะของเธอ ก่อนจะไล่ให้รีบไปหาคุณป้า

หนนี้เด็กสาวไม่ต่อปากต่อคำด้วยเพราะสำนึกได้ว่าเลยเวลานัดหมายมาแล้ว พระจันทร์วิ่งปรู๊ดออกไปจากห้อง โดยมีสายตาเอ็นดูของพี่ชายมองส่ง



เนื่องจากออกมาทำธุระให้ท่านหญิง พระจันทร์กับพวกผู้ใหญ่จึงใช้รถยนต์ในการเดินทาง ท่านหญิงทรงมีรถยนต์อยู่ในครอบครองทั้งหมดสามคัน ของใหม่ที่สุดเตรียมเอาไว้ให้ท่านชายทินกฤตใช้ คันที่สองเป็นรถส่วนตัว ส่วนคันสีขาวที่ใช้อยู่นี้ประทานมาให้เอาไว้ใช้จ่ายตลาดและทำธุระต่างๆ มันเป็นรถเก่าก็จริงแต่สภาพยังห่างไกลจากคำว่าบุโรทั่งหลายขุม เพราะคนรถหมั่นดูแลเสมอ

“วันนี้จะไปไหนกันครับคุณ” นายหมัดถาม เมื่อเห็นว่าผู้โดยสารมาอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว

“ไปบางลำพูจ้ะ แวะที่ตลาดยอดก่อนนะพ่อหมัด” นางสมใจเป็นคนตอบ แล้วจึงหันมาทางรวงข้าว “แม่รวงเอารายการมาแล้วใช่ไหมจ๊ะ”

“เอามาจ้ะพี่ใจ” หญิงสาวตอบพลางเปิดกระเป๋าถือนำหลักฐานมาแสดงให้ดู

“มีรายการต้องซื้อเยอะไหมคะคุณอา” พระจันทร์ถาม

“หลายสิบรายการอยู่นะ ถ้าขนกันไม่ไหวเห็นทีอาจจะต้องสั่งให้เอาไปส่งในวัง”

“แล้วจะแวะหาคุณอารวงผึ้งไหมคะ”

รวงผึ้งเป็นน้องสาวของรวงข้าวและเป็นอดีตข้าหลวงของท่านหญิง เธอแต่งงานไปเมื่อสี่ปีก่อน พระจันทร์ไม่ทันได้พบหน้าในวังแต่ก็จำหญิงสาวร่างอวบคนนี้ได้ดีเพราะท่านหญิงมีงานบุญทีไร เธอก็จะมาช่วยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำเครื่องคาวหวานทุกที โดยเฉพาะขนมอบที่ทำได้อร่อยจนใครๆ พากันชมไม่ขาดปาก

“วันนี้ธุระมาก คงไม่ได้แวะหรอก แต่คงได้เจอรวงทองที่ร้านผ้า”

ร้านผ้าที่ว่าชื่อร้านเรขา เป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในบางลำพูแล้วก็เป็นร้านเจ้าประจำของท่านหญิง ท่านซื้อผ้าร้านนี้ตั้งแต่เสด็จท่านยังมีพระชนม์ชีพอยู่ รวงทองก็เลยได้มีโอกาสไปที่ร้านบ่อยๆ และได้เจอกับราจีฟ แขกหนุ่มรูปงาม จนก่อเกิดเป็นความรักในเวลาต่อมา

“ตอนนี้ท้องได้หกเดือนแล้วใช่ไหม ถ้าเป็นไปได้ช่วงเดือนหลังๆ พามาอยู่ในวังไม่ดีรึจะได้ช่วยกันดูแล” นางสมใจอดห่วงไม่ได้

ถึงราจีฟจะเป็นคนสุภาพมีความรู้ แต่ในสายตาของคนหัวเก่าก็ยังมองว่าพวกแขกอินเดียเป็นพวกป่าเถื่อนสกปรก ไหนจะขนบธรรมเนียมที่ไม่เหมือนกันอีก

“ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะพี่ใจ ทั้งผัวทั้งแม่ผัวเอาใจจะตาย ได้กินกับข้าวไทยทุกมื้อ ประคบประหงมอย่างกับราชินี เห็นว่าฝากท้องเอาไว้กับหมอดังด้วยนะจ๊ะ”

“หมอฝรั่งรึ”

“หมอไทยนี่แหละจ้ะ แต่จบมาจากเมืองนอก”

พระจันทร์นั่งฟังพวกผู้ใหญ่คุยกันไปแล้วก็คิดถึงเรื่องของรวงทองไปด้วย ความรักของคุณอาคนนี้เป็นเรื่องที่เธอฟังได้ไม่รู้เบื่อ นอกจากจะมีเนื้อหาเข้มข้นพอๆ กับละครหลังข่าวแล้วยังซึ้งกินใจมากด้วย

รวงทองกับราจีฟรักกันตั้งแต่ฝ่ายหญิงอายุสิบห้าสิบหก แต่ก็ถูกผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายขัดขวาง มารดาของฝ่ายชายอยากให้ลูกชายแต่งงานกับแขกซิกข์ด้วยกัน ส่วนบิดาของฝ่ายหญิงก็อยากจะให้แต่งกับนายทหารที่เป็นคู่หมาย

สองหนุ่มสาวต่างก็ปฏิเสธเสียงแข็งไม่ยอมให้ผู้ใหญ่จับคลุมถุงชน รวงทองยอมให้ตัดพ่อตัดลูกแล้วหนีมาพึ่งบารมีเสด็จกับท่านหญิง ส่วนราจีฟก็ออกจากบ้านตัวเปล่ามาเริ่มทำงานเก็บเงินใหม่ จนเริ่มมีฐานะมั่นคง แต่ความรักก็ยังไม่สมหวังเพราะมีผู้ใหญ่ขัดขวาง

ทั้งคู่ได้ครองรักกันจริงๆ ก็ตอนบิดาของรวงทองเสียชีวิต ส่วนมารดาของราจีฟก็ป่วยหนักเลยใจอ่อนยอมให้แต่งงานกัน แต่ก็ยังไม่วายมีปัญหาเพราะตามธรรมเนียมของอินเดียฝ่ายหญิงต้องเป็นคนไปขอฝ่ายชาย เรื่องแบบนี้ไม่มีผู้หญิงไทยคนไหนยอมรับได้ ราจีฟเองก็เข้าใจจึงตั้งใจว่าจะรอให้มารดาเสียชีวิตก่อนแล้วค่อยเป็นฝ่ายไปสู่ขอรวงทอง

รวงทองรอมาสิบกว่าปีรออีกหน่อยคงไม่เป็นไร แต่หญิงสาวกลับไม่ทำอย่างนั้น เธอรู้ว่าการแต่งงานของลูกชายคนเดียวสำคัญกับมารดาราจีฟมาก เลยกราบทูลท่านหญิงขอให้ท่านเป็นผู้ใหญ่ไปขอผู้ชายให้ พอข่าวเล็ดลอดออกไปก็เป็นที่ฮือฮากันทั้งพระนครถึงขนาดลงหนังสือพิมพ์เลยทีเดียว

ท่านหญิงคิดหนักอยู่หลายวันก็ตกลงในที่สุด ทั้งสองจึงได้แต่งงานกัน ส่วนแม่สามีของรวงทองก็กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง คราวนี้เมตตาและรักรวงทองเหมือนลูก ไม่เพียงแต่ขอร้องให้ทั้งสองกลับมาอยู่ด้วยกัน ยังยกร้านผ้าให้เป็นของขวัญแต่งงานด้วย รวงทองจึงกลายเป็นเศรษฐีไปเลย



นั่งรถเพลินๆ ไม่นานก็มาถึงที่หมาย นางสมใจสั่งให้คนรถกลับออกไปก่อนแล้วตอนค่ำๆ ค่อยมารับที่ร้านผ้าของรวงทอง เผื่อว่าระหว่างวันท่านหญิงจะเรียกใช้

เมื่อลงจากรถแล้วก็ได้เวลาเลือกซื้อของ นางสมใจเป็นคนทำอะไรไวส่วนรวงข้าวนั้นติดนิสัยชาววังที่ค่อนข้างพิถีพิถัน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสียเวลาก็เลยแยกย้ายกันไปซื้อ รวงข้าวไปตามลำพังส่วนพระจันทร์ไปกับนางสมใจแล้วค่อยมาเจอกันที่ร้านกาแฟจะได้พักเหนื่อยก่อนย้ายที่

การซื้อของเป็นไปได้อย่างราบรื่น อันไหนพอจะหิ้วได้ก็หิ้วมา อันไหนหิ้วไม่ไหวก็ฝากให้ร้านไปส่งให้ที่วังของท่านหญิง

พระจันทร์นึกดีใจที่มากับนางสมใจเพราะซื้อเสร็จเร็ว แม้จะต้องหิ้วของเต็มสองมือแต่ก็มีเวลาได้พักดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ พอนึกถึงรสชาติของโอเลี้ยงยกล้อของอาแป๊ะร่างอ้วนพระจันทร์ก็เริ่มกระหายน้ำขึ้นมาทันที ทว่ายังไม่ทันได้เข้าไปในร้าน นางสมใจก็ฉุดแขนเธอให้เดินออกมา

“ลืมซื้อของหรือคะคุณป้า”

“วันนี้ฤกษ์ไม่ดีแล้ว อย่าเพิ่งกินมันเลยนะ”

พระจันทร์นึกสงสัยว่าการกินกาแฟเกี่ยวอะไรกับฤกษ์ เธอเหลียวหลังมองเข้าไปในตัวร้านแต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด

“คุณป้าหนีใครหรือคะ” เด็กสาวถามอีกแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ

อาการอย่างนี้บ่งบอกว่านางสมใจไม่อยากพูดถึง เธอเลยคิดไปว่าอาจจะมีคนที่ป้าไม่ชอบหน้าอยู่ในนั้นก็เป็นได้ พระจันทร์ไม่รู้หรอกว่าที่อีกฝ่ายกำลังพยายามปกป้องเธอด้วยการฉุดมือหนีออกจากสิ่งชั่วร้าย ที่เคยทำลายชีวิตมารดาของเธอมาแล้ว

นางสมใจพาพระจันทร์หนีออกมาได้ทันท่วงที ทว่าโชคชะตากลับไม่ยอมละเว้นพระจันทร์ จะด้วยเวรกรรมหรือใครลิขิตก็สุดแล้วแต่จะเดา เมฆหมอกแห่งความชั่วร้ายได้ถูกพัดพามาอยู่เหนือศีรษะของพระจันทร์เสียแล้ว ต่อให้มีพายุรุนแรงก็ยากที่จะปัดเป่ามันไปได้

พระจันทร์หนีโชคชะตาของตัวเองไม่พ้น เช่นเดียวกันกับที่นางสมใจหนีแมงดาคุมซ่องนามว่า ‘กอบการ’ ไม่พ้น ทั้งที่สู้อุตส่าห์หลบลี้หนีหน้าแล้ว ก็มีอันต้องมาเจอกันที่ร้านผ้าของรวงทองจนได้ สมใจแทบพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ

“นึกว่าใคร ที่แท้ก็พี่ใจ สุขสบายดีนะครับคุณพี่” อีกฝ่ายทักทายด้วยรอยยิ้มแล้วยกมือไหว้

ผิวเผินก็เหมือนมารยาทดีแต่หากสังเกตดูก็จะรู้ว่าท่าทางที่แสดงออกสื่อเจตนายียวนอยู่ไม่น้อย สมใจไม่ยอมรับไหว้ แต่ทำหน้าตึงใส่แล้วดึงแขนพระจันทร์ให้มาหลบอยู่ข้างหลังตน

“อะไรกัน คนเคยดองกันแท้ๆ ทำไมทำท่าทางรังเกียจกันอย่างนั้นละครับ” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอแล้วย่างสามขุมมาหา

พระจันทร์ไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร แต่รู้สึกไม่ถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก เรียกว่ารังเกียจไปหมดทั้งหน้าตาเสื้อผ้าทรงผมตลอดจนบุคลิก

“กลับกันเถอะพระจันทร์” นางสมใจเห็นท่าไม่ดีก็เลยเตรียมหนี

พระจันทร์กับนางสมใจพร้อมกันหมุนตัวกลับหลังหันโดยไม่ได้นัดหมาย ทว่าก่อนที่จะได้ออกไปรวงทองกลับมาเห็นเข้าพอดี หญิงสาวก็เลยตะโกนเรียกเอาไว้

“พี่ใจหรือเปล่าจ๊ะ ไม่เข้ามาคุยกันก่อนล่ะ ลูกค้ามีไม่เยอะหรอก”

สองป้าหลานชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงเรียก ก่อนจะทันได้ตัดสินใจว่าควรทำอย่างไรรวงทองก็ก้าวฉับๆ มาหาจนจวนจะถึงตัวแล้ว

“ไปนั่งข้างในกันนะจ๊ะพี่ อ้าว! แจ่มจันทร์ก็มาด้วยเหรอ อยากกินขนมแขกไหม เพิ่งทำเสร็จใหม่เลย” รวงทองชวนเพราะจิตเมตตาแต่กลับกลายเป็นว่าทำพลาดไปอย่างมหันต์

‘มาเผลอเรียกชื่อเก่าอะไรกันตอนนี้’

นางสมใจทำหน้ายุ่ง ในใจภาวนาว่าขออย่าให้ไอ้กอบการมันได้ยินเลย

คำภาวนาของหญิงสาวไม่เป็นผล กอบการได้ยินชื่อของเด็กหญิงเต็มสองหู ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจก่อนจะหันไปเพ่งพินิจดวงหน้าของพระจันทร์อย่างพิจารณา แล้วก็พบว่ามีเค้าโครงหน้าเหมือนจอมใจอยู่ไม่น้อย

‘ใช่แน่ๆ’

กอบการปรี่มาหาพระจันทร์ แล้วเอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า

“ลูกพ่อโตขนาดนี้แล้วหรือนี่”

+++++++++++++++++++++++++++++

สวัสดีค่ะ ตอนนี้ให้สะดุดหนุ่มราจีฟกันบ้างจ๊ะ โฮะๆๆ ผู้ชายคนนี้คือพระเอกในสังกัดของดิฉันค่ะ จริงๆ อยากเขียนภาครวงทองกับพ่อราจีฟให้ดราม่าน้ำตาท่วมทุ่ง ประหนึ่งโรเมโอแอนด์จูเลียต แต่ก็ไม่ได้เขียนค่ะ พลอตพร้อมคนเขียนไม่พร้อม T^T

เรื่องข้ามกาลนี่ขนาดสะสมข้อมูล+ทำพลอตมา 3 ปีเต็ม ทุกวันนี้ยังตุ๊มๆ ต่อมๆ ว่าจะรอดไหม แล้วเรื่องนั้นยากกว่าสองเท่า คอนเฟิร์มว่าคนเขียนเครียดตายไม่ก็น็อกกลางทางแน่นอน ก็เลยดองเค็มเอาไว้ แล้วสนองนี๊ดด้วยการให้โผล่มาแวบๆ ค่ะ

หมายเหตุ ขอบคุณสำหรับคำผิดและชื่อตัวละครที่โน้มเบลอเรียกสลับกันนะคะ คนเขียนมึนตลอด 555 แบบว่าคิดอีกอย่าง แล้วจิ้มอีกอย่าง ไร้สติมากค่ะ ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

เกร็ดความรู้ประจำตอน
ว่าด้วยเรื่องย่านการค้าที่สำคัญในยุคนั้น ต้องยกให้ย่านการค้าบางลำพูเลยค่ะ ย่านนี้เป็นย่านเก่าแก่มาก พัฒนาต่อเนื่องมาจากตลาดยอดในสมัยรัชกาลที่ 3 - 5 จนเมื่อมีการตัดถนนสิบสามห้างและการสร้างตึกแถว บางลำพูจึงได้กลายเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าเบ็ดเตล็ด อาทิ เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับสตรี สินค้าเบ็ดเตล็ด เรียกว่าอยากได้อะไรมีครบทั้งนั้น
แล้วบริเวณถนนสิบสามห้างนี่เองที่เป็นแหล่งชุมนุมของวัยรุ่น มีร้านไอศกรีมเปิดถึงสามสี่ทุ่ม เทียบได้กับสยามในสมัยนี้เลยทีเดียว

อีกย่านที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันคือบริเวณถนนพระสุเมรุ ถนนช่วงแรกจะเป็นชุมชมย่านการค้าทั้งสองฝั่ง ช่วงกลางจะเป็นที่ตั้งของวัดบวรนิเวศวิหารและชุมชนพักอาศัยเป็นส่วนใหญ่ ส่วนถนนช่วงสุดท้ายจะเป็นย่านธุรกิจขนาดเล็ก โรงพิมพ์ และร้านอาหารค่ะ
นอกจากนี้ก็ยังมีบริเวณถนนข้าวสารที่เป็นส่วนที่ต่อเนื่องมาจากย่านการค้าบางลำพู แต่ว่าพัฒนาเอาไว้เป็นแหล่งที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 มิ.ย. 2556, 00:05:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ธ.ค. 2556, 00:44:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 2218





<< บทที่ 17 พี่ตะวัน   บทที่ 19 พ่อ >>
wane 21 มิ.ย. 2556, 00:38:51 น.
ตอนที่แยกกันซื้อของต่างๆ พระจันทร์ไปกับป้าสมใจ ส่วนรวงข้าว (ไม่ใช่รวงทอง) แยกไปคนเดียว ...ไรเตอร์แอบง่วง ใช้ชื่อรวงทองแทน อิอิ


konhin 21 มิ.ย. 2556, 03:34:31 น.
เวรกรรม ดันมาเจอพ่อที่ไม่ได้เป็นพ่ออีก เฮ้อ


คิมหันตุ์ 21 มิ.ย. 2556, 07:12:35 น.
โอ๊ะโอ........ยังไงต่อหล่ะทีนี้
เรื่องนี้เก็บข้อมูล นานสามปีเลยรึคะ...สุดยอดมากค่ะ..ต้องรอดสิจ๊ะรอให้กำลังอยู่ตลอดข้างทางนี่แหละค่ะ ^^


ปอกะเจา 21 มิ.ย. 2556, 08:15:14 น.
แล้วจะเจออะไรตามมาอีกเนี่ย


OhLaLa 21 มิ.ย. 2556, 08:22:45 น.
ตอนต้นที่บอกว่า ในบรรดาสามพี่น้องท่านชายทินกร (จริงๆ ต้องเป็นท่านชายทินกฤตใช่มั้ยคะ) เป็นคนที่ได้รับมรดกน้อยที่สุด ท่านชายทินกรเป็นพ่อของชายศุนี่คะ


mhengjhy 21 มิ.ย. 2556, 16:57:10 น.
แค่เห็นหน้าก็ไม่ชอบ แต่กลายเป็นพ่อนี่นะ โอยยย พระจันทร์ สู้ๆ


goldensun 22 มิ.ย. 2556, 22:57:44 น.
เลยกลายเป็นลงซ้ำ แต่ตอนที่ลงเพิ่ม แก้ชื่อถูกแล้ว
เจอหน้าพ่อของแจ่มจันทร์ซะแล้ว ไม่ผูกพัน แต่จะโดนใช้ประโยชน์มากกว่า
ป้าจะคุ้มได้แค่ไหน


cherryfirm 23 มิ.ย. 2556, 23:43:08 น.
ตอนนี้เหมือนได้อ่านครึ่งเรื่องคะ.... มีตอนที่ 18 ซ้ำอ่ะ.....


Zephyr 24 มิ.ย. 2556, 21:33:19 น.
เอิ่ม ท่านชายทรงเล่นเป็นเด็กๆเลยนะ
ชิชะ อยากถูกลูบหัว เหม่ๆๆๆ งัดมารยาของสาวๆมาใช้ในร่างเด็กได้กำไรนะเนี่ย อิอิ
เอ้ิกกกก พ่อๆๆๆ เป็น ปะเป็น แมงดา เย้ยยยย จิงอ่ะ คุม.่องป่ะ คงไม่มั้ง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account