ดวงใจจ้าวรัตติกาล โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
'นางคือจันทราสว่างไสว นางคือจอมใจเมื่ออยู่เคียงขวัญ นางคือคู่แท้แห่งนิรันดร์ นางคือชีวันจ้าวรัตติกาล'
เขาไม่เคยเห็นค่าของสิ่งที่มีจวบจนวันที่เสียไป สายไปไหมหากจะวอนขอให้จันทร์จ้าวกลับมาอยู่เคียงข้าง
Tags: โรแมนติก เจ้าหญิงเจ้าชาย พระเอกขรึม นางเอกขรึมกว่า ความรัก การเมืองเล็กๆ

ตอน: บทที่ 8 อาทร

บทที่ 8 อาทร

งานเลี้ยงตอนรับคณะทูตจากแคว้นศรุตาถูกจัดเตรียมขึ้นที่ห้องจัดเลี้ยงหลวงอย่างสมเกียรติ โดมใหญ่นี้สงวนไว้ใช้ก็ต่อเมื่อท่านจ้าวทั้งสองต้องออกงานร่วมกันเท่านั้น

คืนนี้วังซ้ายขวาพร้อมใจกันเป็นเจ้าภาพร่วม เนื่องจากหัวหน้าทูตที่มาเจริญสัมพันธไมตรีในครั้งนี้เป็นถึงองค์รัชทายาทจึงจำต้องให้การต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ

ธรรมเนียมการต้อนรับแขกเมืองของกาลัญญุจะเริ่มด้วยการกล่าวต้อนรับของกษัตริย์ จากนั้นจึงเป็นการบรรเลงดนตรีรับขวัญแขกเมืองพร้อมขับกล่อมด้วยบทเพลงสวดอวยชัย เสร็จแล้วจึงยกอาหารชุดแรกเข้ามา เป็นสัญญาณเริ่มการแสดงให้ความบันเทิงแก่บรรดาแขกเหรื่อในงาน

จำนวนชุดอาหารจะเท่ากับจำนวนชุดของการแสดง ในครั้งนี้มีอาหารทั้งหมดเก้าชุดการแสดงจึงมีทั้งหมดเก้าอย่าง พอเสร็จสิ้นการแสดงชุดสุดท้ายแล้ว ก็จะมีการพระราชทานของขวัญให้แก่เหล่าคณะทูต ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนเสร็จพิธี

ลำดับขั้นตอนพิธีเพิ่งดำเนินมาถึงตอนสวดรับขวัญจ้าวทิวาก็ทรงลอบหาวออกมาเสียแล้ว ทรงเกลียดงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร เพราะต้องวางองค์ให้เหมาะสม จะเดินจะนั่งก็ต้องสง่าผ่าเผย ทั้งยังต้องทนดูการแสดงที่เคยดูมาแล้วไม่รู้กี่สิบรอบซ้ำ กว่าจะเลิกงานก็เมื่อยขบไปทั้งพระวรกาย ไปฝึกรบกับทหารสักค่อนวันยังดีกว่ามานั่งวางท่าเช่นนี้

จ้าวทิวาทรงทอดสายตาไปมองผู้คนในงาน เผื่อว่าจะมีอะไรน่าสนใจให้เห็นบ้าง แล้วก็ต้องผิดหวังเพราะคนในคณะทูตนี้ไม่ต่างไปจากคณะทูตโดยทั่วไปเลย ก็แค่คนรุ่นพ่อเครายาวกับคนรุ่นหนุ่มหน้าตาพื้นๆ ที่เด่นหน่อยก็คือเจ้าชายดวิษที่มีพระเกศาสีแดงราวกับเปลวเพลิง

พิจารณาเหล่าคณะทูตเสร็จก็ทรงลอบหาวออกมาอีกครั้ง ทรงนึกนับถือพระพี่นางกับจ้าวรัตติกาลเสียเหลือเกินที่วางองค์สงบสำรวจได้สง่างามราวกับประติมากรรมชั้นเลิศ โดยเฉพาะพระพี่นางที่คืนนี้ดูงามราวกับมีรัศมีแผ่ออกมาล้อมรอบพระวรกาย

เหตุที่เป็นเช่นนั้นคงเป็นเพราะผ้าสีทองผืนงามที่ราชทูตจากแคว้นศรุตาถวายมาให้กระมัง ผ้าทอมือเนื้อละเอียดผืนนี้พอต้องแสงไฟก็เปล่งประกายขับผิวทีเดียว

ขณะที่กำลังชื่นชมพระพี่นางคนงามอยู่ในใจ จ้าวทิวาก็จับสังเกตเรื่องน่าสนุกเข้าจนได้ เพราะพระพี่นางแท้ๆ เชียว ในห้องก็เลยมีสงครามสายตาบังเกิดขึ้น ฝ่ายแรกมีกำลังรบหนึ่ง ส่วนฝ่ายที่สองมีนับร้อย แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าร้อยกลับพ่ายแพ้หนึ่งอย่างราบคาบ

หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าคณะทูตกับเหล่าขุนนางพากันมองเจ้านิศามณีกันอย่างตะลึงตะลาน แต่เดี๋ยวเดียวก็หลุบสายตาลงต่ำก้มมองพื้นกันแทบไม่ทัน เพราะถูกสายพระเนตรคมกริบของจ้าวรัตติกาลจ้องเอา ถึงสีพระพักตร์จะไม่เปลี่ยนแต่สายพระเนตรดุดันทรงพลังนั้นก็ทำให้คนถูกมองมอดไหม้เป็นเถ้าธุลีได้เลยทีเดียว ทำให้ทรงรู้ว่าคนเย็นชาก็หึงก็หวงกับเขาเป็น

จ้าวทิวาทรงรีบกวาดตามองรอบห้องอย่างนึกสนุก อยากรู้เหลือเกินว่าจะเหลือคนใจกล้าหน้าทนไม่สนใจสายพระเนตรของจ้าวรัตติกาลสักกี่คน พอบทเพลงสวดอวยชัยจบนับนิ้วดูแล้วก็เหลือแค่เจ้าชายดวิษพระองค์เดียว ไม่รู้ว่าความรู้สึกช้าหรือใจกล้ากันแน่ ถึงได้ยังจ้องมองพระพี่นางตาเยิ้มอย่างลืมมารยาท จ้าวรัตติกาลกระแอมก็แล้ว ถลึงพระเนตรใส่ก็แล้วแต่ก็ยังเฉย นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ตบะแข็งทีเดียว

จ้าวรัตติกาลจึงเลิกจ้องแล้วผินพระพักตร์ไปชมการแสดง ทีแรกจ้าวทิวาคิดว่าทรงยอมแพ้ที่ไหนได้พระเชษฐภรรดาของพระองค์ มีวิธีการจัดการกับคนเสียมารยาทอย่างแสบสัน

เมื่อการแสดงชุดแรกจบลงจ้าวรัตติกาลก็ทรงผินพระพักตร์ไปตรัสกับเจ้าชายดวิษ

“ข้าได้ยินมาว่าเพลงดาบของเจ้าชายยอดเยี่ยมมาก ไม่ทราบว่าจะช่วยแสดงให้ข้าดูเป็นบุญตาหน่อยจะได้ไหม”

เจ้าชายรัชทายาทแห่งแคว้นศรุตาทรงรู้แต่เพียงว่าถูกเรียกก็เลยเผลอตอบรับไปอย่างลืมองค์

“รำดาบอย่างเดียวไม่น่าสนุก ประลองกันสักหน่อย เจ้าชายจะขัดข้องหรือไม่”

“มิขัดข้อง พระเจ้าค่ะ” คนที่ยังจับใจความไม่ได้เออออไปตามเรื่อง

“ถ้าเช่นนั้นได้โปรดชี้แนะองครักษ์เงาของข้าด้วย”

รับสั่งนี้ทำเอาสะดุ้งโหยงกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งได้ยินสมญายามขององครักษ์เงามานาน ยอมกริ่งเกรงว่าจะแพ้แล้วเสียหน้า ส่วนอีกฝ่ายกำลังเพลิดเพลินกับอาหารอยู่ดีๆ ก็งานเข้าเสียอย่างนั้น

เมื่อประกาศให้รู้โดยทั่วกันแล้วคู่ประลองทั้งสองจึงแยกย้ายกันออกไปเตรียมตัว และจะกลับมาประลองหน้าพระพักตร์แทนการแสดงชุดที่ห้า

เรื่องฝีมือดาบจรีเทียบกับอสิกับกริชไม่ได้แต่ก็ไม่ด้อยกว่าโตมรและกำผลา ส่วนด้านพละกำลังนั้นถือว่าเป็นที่หนึ่ง ถึงจะซื่อไปหน่อยแต่เรื่องใช้แรงแล้วถึงไหนถึงกัน ต่อให้แพ้ก็ยังสร้างความเสียหายให้ฝ่ายตรงข้าม การประลองครั้งนี้จัดเพราะความหมั่นไส้ ดังนั้นต่อให้องครักษ์เงาอยู่กันพร้อมหน้าจ้าวรัตติกาลก็ต้องเลือกให้จรีออกไปประลองอยู่ดี

ทางด้านราชองครักษ์สุดซื่อของเรานั้น ขณะนี้กำลังกลุ้มอกกลุ้มใจเหลือแสนเพราะท่านจ้าวสั่งให้คนมากระซิบบอกว่า ‘ห้ามแพ้และอย่าออมมือ’ ส่วนเจ้านางก็สั่งคุณข้าหลวงมากำชับว่า ‘ห้ามชนะ’ ที่รับสั่งเช่นนั้นเนื่องจากกรมการทูตขึ้นตรงต่อพระนาง จึงทรงไม่อยากให้เกิดปัญหาที่จะส่งผลเสียต่อไปในอนาคต

คิดแล้วฤทธิ์โทสะของท่านจ้าวก็ลอยมาหลอกหลอน ไหนจะรอยยิ้มหวานเย็นเคลือบยาพิษของเจ้านางอีกเล่า ไม่ว่าขัดคำสั่งฝ่ายไหนจรีก็ตายได้ทั้งนั้น

คนซื่อสมองช้าใช้เวลาตรึกตรองอยู่นานกว่าจะคิดออกว่าแพ้ไม่ได้ชนะไม่ได้ก็ต้องทำให้เสมอ อาจจะไม่ถูกพระทัยทั้งสองฝ่ายนัก แต่ก็ไม่ได้ละเมิดรับสั่ง คิดได้ดังนั้นราชองครักษ์หนุ่มค่อยรู้สึกหายใจโล่งขึ้นมาบ้าง

ทว่ากรรมของจรีกลับไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะฝีมือดาบของเจ้าชายดวิษไม่กระจอกอย่างรูปร่างผอมบางที่เห็นเลย ราชองครักษ์หนุ่มจึงเผลอเอาจริงไปเสียหายกระบวนท่า ทั้งยังเตะเจ้าชายสุดแรงทำอีกฝ่ายกระเด็นไปไกล

เหลือบไปมองที่หน้าที่ประทับก็เห็นว่าท่านจ้าวทรงถูกพระทัย แต่เจ้านางกลับส่งสายตาเย็นเยือกมาให้ จรีจึงต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ แสร้งถอยทำเป็นพลาดท่าเสียที มาครานี้เจ้านางแย้มโอษฐ์ให้น้อยๆ ส่วนท่านจ้าวเห็นแค่หางตาจรีก็เหงื่อแตกพลั่กแล้ว

ทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับเช่นนี้อยู่นาน จรีก็ยังไม่เห็นหนทางเสมอ ราชองครักษ์หนุ่มนึกอยากให้ตัวเองเป็นอย่างโตมรเหลือเกิน ถ้าเป็นเจ้านั่นป่านนี้คงเอาตัวรอดสบายไปแล้ว นึกถึงก็เริ่มคุ้นว่ามีเหตุการณ์เช่นนี้อยู่ โตมรปัดดาบคู่ต่อสู้ทิ้งแล้วแสร้งทำดาบหลุดมือได้สมจริงไร้ที่ติ

คิดได้ดังนั้นองครักษ์หนุ่มจึงเลียนแบบบ้าง ข้อมือแข็งแรงกำดาบคู่ใจไว้มั่น แล้วเบี่ยงตัวหลบการโจมตีของอีกฝ่าย จากนั้นจึงโหมดาบลงไปสุดแรงหมายจะทำให้ข้อมือของเจ้าชายดวิษอ่อนแรงลง ตวัดดาบงัดขึ้นอีกครั้ง ดาบเนื้อดีของเจ้าชายสูงศักดิ์ก็มีอันต้องหลุดจากมือไปพร้อมๆ กับดาบขององครักษ์เงา

ถึงจะแกล้งแพ้ได้ไม่สมบทบาทเท่าไรแต่ก็รักษาหน้าของเจ้าชายดวิษและแคว้นกาลัญญุไว้ได้ จรีจึงปาดเหงื่อถอนใจอย่างโล่งอก

“เป็นเพลงดาบที่เยี่ยมมาก” จ้าวรัตติกาลทรงปรบพระหัตถ์ให้

เพลงดาบของแคว้นศรุตางดงามพลิ้วไหวสมคำล่ำลือ แต่ที่ทำให้ถูกพระทัยกว่าคือรอยช้ำดำเขียวตามร่างกายของเจ้าชายดวิษ

“ต้องขอบคุณที่ท่านราชองครักษ์ออมมือให้” เจ้าชายดวิษตรัสอย่างถ่อมตน

ด้วยรู้อยู่เต็มอกว่าองครักษ์เงาแกล้งเสมอ สีพระพักตร์ของเจ้าชายดวิษจึงไม่สู้ดีนัก ถึงจะรักษาหน้าไว้ได้แต่ก็ทรงรู้สึกว่าถูกหยาม

บรรยากาศในงานพลันอึดอัดขึ้นทันตา แล้วไม่ทันไรก็กลับมาน่าเบื่ออีกหน คนรักสนุกอย่างจ้าวทิวาจึงต้องหาวิธีสร้างบรรยากาศขึ้นมาใหม่

“เจ้าชายดวิษอุตส่าห์แสดงฝีมือดาบให้เราได้ชม ทางเราจะไม่แสดงอะไรตอบแทนบ้างหรือ มีการแสดงพิเศษให้แขกเมืองสักชุด ท่านจ้าวกับพี่หญิงจะขัดหรือไม่” จ้าวทิวาตรัสถามขึ้นมาด้วยพระสุรเสียงแบบมีเลศนัย

“ท่านเตรียมอะไรไว้หรือจ้าวทิวา” จ้าวรัตติกาลตรัส

“ตัวเราไม่ได้เตรียมอะไรมาหรอก แต่จะถามความสมัครใจของพี่นางว่าจะทรงขลุ่ยให้เป็นบุญหูได้หรือไม่”

รับสั่งนี้สร้างเสียงฮือฮาสนั่น การที่หญิงสูงศักดิ์ในราชสำนักจะแสดงอะไรต่อหน้าสาธารณะชนนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง บางคนก็ว่าไม่สมควรจะลดตัวลงมา บ้างก็ว่าเป็นบุญตาและพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น

เสียงแย้งกับสนับสนุนจึงดังอื้ออึง แล้วก็พลันเงียบลงเมื่อเจ้านิศามณีทรงลุกขึ้นถวายความเคารพแด่พระสวามี

“สุดแล้วแต่จ้าวรัตติกาลจะมีพระบัญชาเพคะ”

ตรัสเพียงเท่านั้นความขัดแย้งก็สลายในพริบตา สิ่งที่ทรงทำถือว่าการวางตัวได้เหมาะสมแล้ว เพราะหากไม่คิดให้รอบคอบตัดสินใจส่งเดชออกไปอาจจะเป็นการหักหน้าพระสวามีได้

“เตรียมขลุ่ยให้เจ้านาง” จ้าวรัตติกาลตรัสตอบ

รับสั่งนี้บอกโดยนัยว่าทรงอนุญาตให้เจ้านางทรงขลุ่ยต่อหน้าคณะทูตได้ นางข้าหลวงจึงกระวีกระวาดรีบไปนำขลุ่ยส่วนพระองค์มา

จ้าวรัตติกาลทรงได้ยินมานานแล้วว่าฝีมือขลุ่ยของเจ้านิศามณีนั้นไพเราะยิ่ง จะข่าวลือหรือเรื่องจริงก็ยากจะรู้ เพราะไม่เคยได้ยินเสียงขลุ่ยของเจ้านิศามณีเลยสักครั้ง

เนื่องจากตำหนักของเจ้านิศามณีอยู่ไกลจากสถานที่จัดงานมาก ดังนั้นแสดงของเจ้านางจึงจัดไว้เป็นการแสดงสุดท้าย

เมื่อถึงเวลาเจ้านางก็เสด็จจากพระแท่นที่ประทับลงไปกลางห้องจัดเลี้ยง ทรงย่อกายถวายความเคารพต่อพระสวามีและจ้าวทิวาอย่างงดงาม แล้วจึงทรงขลุ่ยในพระหัตถ์อย่างคล่องแคล่ว

เสียงสูงต่ำจากเลาขลุ่ยกลายเป็นท่วงทำนองแสนหวานงดงามชวนให้เคลิ้มฝัน หลับตาฟังแล้วชวนให้นึกถึงเสียงนกร้องกับเสียงธารน้ำไหล ในฤดูที่พืชพันธุ์กำลังแตกช่อออกใบเขียวชอุ่ม ท่วงทำนองแสนสุขนี้ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทีละนิด แปรผันตามฤดูกาลและมาจบที่ความหนาวเหน็บทารุณของฤดูหนาว สื่อว่าในฤดูกาลนี้มีความสูญเสียเกิดขึ้น ความอาลัยต่อผู้จากไปทำให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่เจ็บปวดเจียนตายแทบไม่อยากหายใจต่อ ท่อนสุดท้ายนี้เรียกน้ำตาจากผู้ได้สดับฟังกันทั่วหน้า

เมื่อบทเพลงจบลงเสียงปรบมือก็ดังกึกก้อง พร้อมถ้อยคำสรรเสริญในความสามารถของเจ้านาง โดยเฉพาะท่านทูตใหญ่จากแคว้นศรุตาที่เอ่ยชมไม่หยุดปาก

“ข้าพระองค์ขอทราบชื่อเพลงได้หรือไม่” ทูตใหญ่ทูลถาม

ทว่าคนที่ตอบคำถามนี้ออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำกลับกลายเป็นจ้าวรัตติกาล

“เพลงนี้ชื่อความในใจ”

พระองค์ไม่เคยฟังฝีมือของเจ้านิศามณีก็จริง แต่ได้ฟังศิษย์เอกของนางเป่าจนคุ้นหู ดนตรีของอรุณาสดใสรื่นเริง ต่อให้เป็นเพลงเศร้าก็ไม่เคยกินใจและงดงามเท่านี้ เจ้านางน้อยพูดถูกว่าพระพี่นางของนางทรงขลุ่ยได้ไพเราะไม่เป็นสองรองใคร

จ้าวรัตติกาลจึงทรงแอบประทับใจและเห็นใจพระชายาอยู่เงียบๆ อรุณาบอกว่าเพลงนี้พระพี่นางทรงนิพนธ์เอง เจ้านางน้อยเล่าเจื้อยแจ้วว่าเป็นเพลงที่บอกความในใจของพระพี่นาง

‘พี่หญิงว่าผิวเผินแล้วเหมือนเพลงเปรียบเทียบฤดูใบไม้ผลิกับฤดูหนาว แต่ความจริงหมายถึงหญิงสูงศักดิ์ จะอารมณ์ไหนก็ต้องวางตนให้สดชื่นงดงาม จะสูญเสียจะเจ็บปวดเหนื่อยยากเพียงไรก็ต้องอดทน แม้ในใจจะร้องไห้หากหน้าที่บอกให้ยิ้มก็ต้องยิ้มรับ’

ถ้อยความนี้ชวนให้คิดถึงรอยยิ้มหวานๆ เย็นๆ ของนางที่พระองค์ทรงชังหนักหนา บางทีเบื้องหลังรอยยิ้มนี้อาจจะซ่อนความขมขื่นเอาไว้ก็ได้ นางก็เหมือนกับพระองค์ที่ต้องแบกเอาภาระหนักอึ้งเอาไว้บนบ่ามากมายเพราะถือกำเกิดมาเป็นเชื้อพระวงศ์

ความเห็นใจนี้ทำให้ฉากทะเลาะที่จรีหวาดผวามาตั้งแต่เมื่อวานจึงไม่บังเกิด แต่องครักษ์เงาก็ใช่ว่าจะโชคดีไปหมดเสียทุกเรื่อง พองานเลี้ยงจบลงก็ยังต้องเฝ้าหน้าห้องบรรทมของจ้าวรัตติกาลต่อ ไม่ได้กลับไปพักผ่อน

ท่านจ้าวกับพระชายาทรงกลับมาที่ตำหนักตอนตีหนึ่ง มหาดเล็กรู้กันอยู่แล้วว่าจะเสด็จมาจึงจุดคบไฟเอาไว้เสียสว่างไสวตั้งแต่ทางเข้าตำหนักจ้าวรัตติกาลไปจนถึงตำหนักด้านหลังของเจ้านิศามณี มาถึงตำหนักตัวเองจ้าวรัตติกาลก็ไม่ทรงเลี้ยวเข้าไปแต่เดินตามเจ้านางไปเสียอย่างนั้น

“ท่านจ้าวจะไปไหนพระเจ้าค่ะ ห้องบรรทมอยู่ทางด้านนี้” จรีเอ่ยเตือนอย่างหวังดี ด้วยเป็นห่วงว่าท่านจ้าวจะง่วงจนเบลอ ไม่ห้ามเดี๋ยวจะกริ้วอย่างครั้งก่อนอีก

คนอย่างจ้าวรัตติกาลมีหรือจะไม่รู้ว่าเหนือรู้ใต้ ทรงตั้งใจจะเดินไปส่งพระชายาถึงตำหนักต่างหาก นี่ล่ะการแสดงความใส่ใจของคนปากร้าย พอโดนท้วงแบบปุบปับจึงต้องรีบหาข้ออ้างแต่ก็ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย

“ทางเดินมืด ข้าจะไปส่งพระชายาก่อน”

“ข้าพระองค์ว่าไม่เห็นมืดตรงไหนเลย คบเพลิงออกสว่าง คนถือตะเกียงนำขบวนรึก็มี จะมาส่งหรือไม่ส่งก็ไม่เห็นต่าง” องครักษ์เงาแสนซื่อพึมพำกับตัวเอง

บังเอิญเอ่ยเสียงดังไปหน่อย บรรดานางกำนัลกับนางข้าหลวงที่ติดตามมาจึงพากันหัวเราะคิกคัก ทั้งขำท่านจรีแล้วก็ขำท่านจ้าวที่ทรงนิ่งอึ้ง เนื่องจากเถียงราชองครักษ์ไม่ออก

จ้าวรัตติกาลจึงแกล้งกริ้วกลบอาการเขิน โดยการไล่ตะเพิดข้ารับใช้ให้ออกไปให้หมด โดยเฉพาะองครักษ์เงาตัวดี รายนี้โดนหนักกว่าใครเพื่อนเพราะถูกลงอาญาให้ลดวันพักลงหลายวัน

เมื่อทุกคนหายไปหมดแล้วจ้าวรัตติกาลก็ทรงหันมาเห็นว่าพระชายาคนงามกำลังส่งยิ้มน่ารักมาให้ แม้ไม่เต็มสีหน้าจนเห็นลักยิ้มข้างแก้มแต่ก็ชวนมอง ใจพระองค์อยากจะชมนางแต่ปากกลับพาลหาเรื่องไปแบบไม่ตั้งใจ

“เจ้าก็หัวเราะข้าด้วยอีกคนรึ”

“เปล่าเพคะ เพียงแต่ดีใจที่ฝ่าบาทมีพระกรุณามาส่ง”

ฟังแล้วชวนให้รู้สึกชื่นใจอย่างประหลาด หากเป็นก่อนหน้าคงทรงคิดว่าเป็นคำประชด แต่วันนี้กลับทรงเชื่ออย่างหมดใจว่านางดีใจจริงๆ

ที่พระองค์ตั้งแง่กับนางส่วนหนึ่งก็เพราะไม่อยากทรยศต่อสัญญาที่ให้ไว้กับพระคู่ผู้ล่วงลับ ความรู้สึกที่เริ่มเปลี่ยนไปทำให้จ้าวรัตติกาลทรงตั้งคำถามกับพระองค์เอง

‘ผิดไหมหากจะเปิดใจให้หญิงอื่น’

ทรงตรองอยู่ตลอดทางไปส่งพระชายากลับตำหนักแต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน

‘เวลาคิดอะไรไม่ออกก็ทรงทำตามเสียงหัวใจตัวเองสิเพคะ’ เสียงแว่วๆ ดังขึ้นในห้วงความคิดของจ้าวรัตติกาล

ถ้อยความนี้คล้ายกับประโยคที่เจ้าอรุณาเคยบอกกับพระองค์เมื่อนานมาแล้ว ครานั้นพระองค์ตอบนางไปว่าการฟังเสียงหัวใจถือเป็นเรื่องยากสำหรับพระองค์

ตั้งแต่จำความได้พระองค์ก็ทรงถูกปลูกฝังว่าอย่าได้ใช้อารมณ์ของตนเป็นที่ตั้ง จะทำการสิ่งใดต้องคำนึงถึงเหตุผลและสิ่งที่จะตามมาจากการกระทำของตนให้ดีเสียก่อน พระองค์ใช้ชีวิตเช่นนี้จนชินชา พอถึงเวลามีเรื่องที่ต้องใช้หัวใจตัดสิน เพียรถามอย่างไรหัวใจมันก็เลยไม่ยอมกระซิบตอบกลับมาเสียที และครั้งนี้ก็เช่นกัน มันยังคงนิ่งเฉยไม่ยอมตอบคำถามของพระองค์อีกเช่นเคย

‘ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องรอฟังหรอกเพคะ อยากทำอะไรก็ทรงทำไปเลย ไม่ต้องคิดให้ยุ่งยาก’ เสียงในห้วงความคิดดังก้องขึ้นอีกครั้ง

จ้าวรัตติกาลทรงลังเลอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะตัดสินพระทัยลองทำตามคำแนะนำนี้ดู

ไม่คิดไม่ฟังดูสักครั้ง อยากรู้เหมือนกันว่าผลมันจะออกมาเป็นเช่นไร


สามวันหลังจากจัดงานเลี้ยงเหล่าคณะทูตจากแคว้นศรุตาก็เดินทางกลับ แต่บรรดาองครักษ์เงาที่ถูกส่งไปต่างแดนกลับไม่มีวี่แววว่าจะกลับมากันเลยสักคน จรีฝืนอดนอนเฝ้าหน้าห้องบรรทมคนเดียวไม่ไหว จึงต้องขอแรงหัวหน้าองครักษ์มาช่วยรับช่วงเฝ้าหน้าห้องบรรทมแทน ส่วนตนรับหน้าที่ถวายรับใช้จ้าวรัตติกาลในตอนกลางวัน

ระยะนี้จรีได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ ซึ่งเจ้าตัวไม่ปลื้มกับงานนี้เลยสักนิด องครักษ์เงาคนอื่นได้ทำงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แต่จรีกลับถูกใช้ให้เป็นคนส่งของไม่ก็ข้อความระหว่างท่านจ้าวกับพระชายา

หน้าที่นี้มหาดเล็กก็ทำได้ไม่เห็นจำเป็นจะต้องใช้องครักษ์เงาเลย ราชองครักษ์อยากประท้วงว่าท่านจ้าวใช้งานคนผิดประเภท เหมือนกำลังเอาทวนไปพรวนดิน ก็เกรงว่าจะกริ้ว จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำตามรับสั่ง

วันนี้จ้าวรัตติกาลทรงงานอยู่ที่ศาลา ส่วนพระชายานั่งเล่นอยู่ริมสระบัว ท่านจ้าวเห็นแดดแรงจึงทรงสั่งให้มหาดเล็กนำร่มมาแล้วส่งให้จรีนำไปให้พระชายา

ตัวสระกับศาลาห่างกันไม่ถึงยี่สิบเมตร แต่เพราะมีน้ำกั้นจึงต้องวิ่งอ้อมไปไกล กว่าร่มจะถึงมือเจ้านางก็เรียกเหงื่อได้หลายหยด

“ท่านจ้าวสั่งให้นำมาถวายพระเจ้าค่ะ รับสั่งว่าแดดแรงให้เอาไว้บังแดด”

เจ้านางทรงส่งยิ้มหวานกลับไปให้จ้าวรัตติกาลที่ประทับอยู่อีกฝั่งแล้วจัดช่อดอกไม้ฝากจรีกลับไปให้ท่านจ้าว

“เราถวายไว้ประดับห้อง บุปผาช่อนี้ล้วนกลิ่นหอม จะช่วยให้ผ่อนคลาย บรรทมได้ง่ายขึ้น”

จรีจึงรับช่อดอกไม้มาแล้ววิ่งกลับไปถวายพร้อมข้อความจากเจ้านาง

จ้าวรัตติกาลทรงพยักหน้ารับก่อนหยิบช่อบุปผาขึ้นมาจรดพระนาสิก อีกครู่เดียวก็ทรงเขียนอะไรไม่รู้ในกระดาษแล้วมอบให้จรีนำไปให้เจ้านาง

ราชองครักษ์หนุ่มทำหน้าที่ต่างพ่อสื่อวิ่งไปวิ่งมาเสียหลายรอบ หากไม่ใช่จรีและไม่ถึกทนจริงล่ะก็ปานนี้คนส่งข้อหมดแรงตายไปนานแล้ว ทำให้พอจะนึกปลอบใจตัวเองได้ว่าคนอื่นอาจจะทำหน้าที่นี้ได้ไม่ดีเท่า

พอบ่ายคล้อยต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป แต่อย่าหวังเลยว่าจรีผู้มีกรรมจะได้พัก อยู่ๆ ท่านจ้าวก็มีบัญชาให้ไปสืบว่าพระชายาโปรดดอกไม้อะไร แล้วให้จัดส่งไปให้

จ้าวรัตติกาลไม่เคยโปรดพระชายาเลย ทว่าอยู่ๆ กลับมาเกี้ยวพาราสีกัน จรีจึงรู้สึกงวยงงสงกาในตัวเจ้าเหนือหัวยิ่งนัก

ลำพังต้องไปสืบเรื่องเจ้านิศามณีก็เรียกว่างานหินแล้ว พอได้รู้ว่าโปรดดอกอะไรก็ยิ่งกลุ้มหนัก เพราะเจ้านางโปรดดอกปันหยี ไม้เถาดอกสีขาวที่บานในช่วงเดือนหนึ่ง นี่เพิ่งจะเดือนสิบเอ็ด แล้วเขาจะไปหาดอกปันหยีมาจากไหนกันเล่า

จะดีจะร้าย จะหวานจะขม มันก็เป็นเรื่องของท่านจ้าว แต่ทำมั้ยทำไมคนระทมถึงต้องเป็นจรีทุกทีไป




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มิ.ย. 2554, 08:32:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:54:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 2024





<< บทที่ 7 ฝนพรำ   บทที่ 9 กัลยาณี >>
dino 4 มิ.ย. 2554, 10:28:37 น.
จรีน่าสงสารทำตัวเป็นพ่อสื่อ


หมูอ้วน 4 มิ.ย. 2554, 14:03:37 น.
ชอบมาก ๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะองค์รักษ์จรี ฮาาดีค่ะ


ลูกกวาดสีส้ม 4 มิ.ย. 2554, 15:21:01 น.
ฮะๆๆ...สงสารจรีจังเลยค่ะ


cherryfirm 4 มิ.ย. 2554, 15:38:31 น.
โถจริน้อยผู้น่าสงสาร...


มะดัน 4 มิ.ย. 2554, 20:15:27 น.
555 กระโถนท้องพระโรง


แว่นใส 5 มิ.ย. 2554, 08:24:35 น.
เป็นม้าใช้ก็หงี้แหละ


kaze 6 มิ.ย. 2554, 18:30:50 น.
ธ่อ...จรี... 555555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account