เงารักสีน้ำเงิน {นวนิยายชุด"ความลับของผีเสื้อ" สนพ.อรุณ}
วนัสสาตื่นขึ้นมาพบว่าความทรงจำของเธอหายไปถึงสองเดือน...
แต่สิ่งที่เพิ่มมาคือรอยสักรูปผีเสื้อตรงกลางหลัง กับกระดาษแผ่นเดียวในมือเป็นเบาะแส
เธอคือผีเสื้อ แต่ใครกันคือดอกไม้ของเธอ...คือคนรักที่เธอหลงลืมไป
จะเป็นนวาระผู้มีรอยสักรูปดอกกุหลาบ
เจ้าของดวงตาสีน้ำเงินอย่างวาริช
หรือใครบางคนที่มีชื่อเป็นความหมายของสีสัน อย่างคราม...
Tags: วนัสสา ความลับของผีเสื้อ วาริช อินดิโก้ คราม นวาระ การทดลอง พลังจิต

ตอน: (แก้)ความทรงจำแรก"ข้อความที่เหลือไว้" - ความทรงจำที่ 2 คฤหาสน์ลับกลางกรุง

อืม...หลังจากพบว่าบทนำคล้ายอีกเล่มในชุดเดียวกัน เลยขอลองแบบใหม่
กระชับขึ้น ไม่ยาวค่ะ รบกวนอ่านซ้ำอีกสักทีก่อนไปต่อกันเลย

---------------------------------------------------
ในห้องที่มีแต่ความมืดและวังเวง สายตาของฉันมองเห็นสิ่งหนึ่งอยู่ภายใต้แสงไฟสลัว
จากเพดานซึ่งส่องลงมา ครอบแก้วทรงสูงตั้งวางอยู่บนโต๊ะ แต่สิ่งที่ดึงความสนใจของฉันไปหมด
กลับเป็นเจ้าตัวที่อยู่ข้างในนั้นต่างหาก สิ่งมีชีวิตมีปีกที่กระพือไหวขึ้นๆลงๆอย่างพยายามหาทางออก
ฉันก้าวเข้าไปใกล้เพื่อพิศดูมัน

ผีเสื้อสีดำเหลือบน้ำเงิน ยิ่งชะโงกเข้าไปชิดครอบแก้วฉันก็ยิ่งเห็นรายละเอียดของมันชัดขึ้น
สีสันเหลือบประกายราวจะสะบัดพรายสีน้ำเงินพร่างลงมาได้ทุกครั้งที่มันขยับปีก
ลวดลายเหมือนวงกตปริศนา เป็นลายแห่งคำถามดำมืด ความลับที่มันเอ่ยกับฉันโดยไม่มีสุ้มเสียง

วูบนั้นฉันรู้สึกสงสารมันจึงตั้งใจจะยกครอบแก้วที่ปิดขังผีเสื้อไว้ออก ทว่าก่อนที่สองมือ
จะสัมผัสโดน แก้วกลับปริร้าว ก่อนจะแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ! เศษกระจกใส
เป็นประกายวิววับกระจายพร่างออกรอบตัว
ฉันยื่นมือไปคว้าผีเสื้อที่บินหนีเอาไว้ ทว่าเมื่อแบมือออกดู ในมือว่างเปล่า
...ผีเสื้อหายไป แสงสว่างในห้องก็เช่นกัน

แต่แล้วแสงสีน้ำเงินก็ค่อยๆจุดขึ้นเหนือศีรษะอีกครั้งช้าๆ ฉันเงยขึ้นมอง
เห็นประกายวาบของโดมแก้วที่ครอบขังตนเองอยู่
…ผีเสื้อตัวนั้นคือฉันเอง!

ความฝันแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ เปลือกตาปวดรุมของฉันค่อยๆลืมขึ้นช้าๆ
ความรู้สึกพร่าเลือนมึนงง ฉันพยายามปรับสายตาจนมองเห็นเพดานห้องชัดเจน
แขนล้าๆประคองร่างกายลุกนั่งได้ในที่สุด
พบว่าตนอยู่บนเตียงสีขาวในห้องนอนที่ควรจะคุ้นเคยของตนเอง แต่แปลก
ในหัวใจกลับระลึกขึ้นวูบหนึ่ง ฉันไม่ควรมาอยู่ที่นี่ เวลานี้
แล้วถ้าอย่างนั้น...ฉันควรจะอยู่ที่ไหน

ความทรงจำเป็นสีขาวโพลน ยินเพียงจังหวะใจเต้นเนิบช้าในอก แล้วฉันก็รับรู้ถึงบางอย่าง
ที่มือตนเองยังกำจิกเอาไว้แน่น วูบนั้นเกือบคิดว่ามันอาจเป็นผีเสื้อสีน้ำเงิน แต่ไม่ใช่หรอก
ฉันจับผีเสื้อด้วยมือขวา แต่อะไรบางอย่างที่ว่ามันอยู่ในมือซ้ายต่างหาก...เมื่อก้มดูก็โล่งใจที่เป็นอย่างอื่น
มิเช่นนั้นเจ้าผีเสื้อปีกสวยบอบบางคงแหลกยับไปแล้วหากโดนกำไว้แน่นถึงเพียงนี้

กระดาษสมุดฉีกสีน้ำตาลแผ่นเล็กถูกขยำจนยับยู่ยี่ ฉันคลี่มันออกอ่าน
สายตาไล่เรื่อยไปช้าๆ ทว่าจดจ่อกับทุกถ้อยคำ... น่าเสียดาย
ตัวอักษรสำคัญกลับเลอะเลือนเป็นด่างดวงกระหย่อมใหญ่
ทำเอาหมึกแผ่ขยายซึมเป็นวงกว้างลงมาถึงบรรทัดล่าง
เสียงกระซิบผะแผ่วจากความว่างเปล่าเป็นตัวบอกให้ได้รู้ มันคือรอยน้ำตา

“ผมชื่อ...... ถึงตอนนี้เราคงจำกันไม่ได้
ผมเองก็น่าจะลืมชื่อวนัสสาไปแล้วเช่นกัน
แต่ความหวังอย่างเดียวของเรา วนัสต้องตามหาผมให้เจอ
ตามร่องรอยของผีเสื้อไป เพื่อที่เราจะได้กลับมาพบกัน
และรักกัน...อีกครั้ง”

ความเศร้าที่เดิมเหมือนไม่เคยมีอยู่เลยในจิตใจคล้ายถาโถมเข้ามาในวูบนั้น
มือข้างหนึ่งเอื้อมขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น ฉันเริ่มร้องไห้เหมือนคนหัวใจกำลังแหลกสลาย
ร่างกายสะท้านไหวจนเกินควบคุม น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลรินลง มือที่อ่อนล้ายังพอมีแรง
ย้ายกระดาษแผ่นนั้นหลบ กลัวว่ามันจะเปียกปอน เพราะความอ่อนแอ
เพราะน้ำตาทำให้ฉันพลาดสิ่งสำคัญไปงั้นหรือ ...ชื่อของเขาลบเลือนไปแล้ว
ใครสักคนที่หัวใจปวดหนึบเมื่อพยายามย้อนระลึกถึง แต่ก็นึกไม่ออกจริงๆว่าตัวเองกำลังคิดถึงใคร
ความรู้สึกคล้ายเมื่อตอนวิ่งไล่ตามผีเสื้อและลืมบางสิ่งที่สำคัญไว้เบื้องหลัง

“ใคร คุณเป็นใคร ทำไมฉันถึงลืมคุณ...”

ขณะยังร้องไห้ไม่หยุด มือสั่นๆของฉันไล้ไปบนแผ่นกระดาษยับย่นสีน้ำตาลนั้น
แต่ละปลายนิ้วสัมผัสเนื้อกระดาษแห้งผาก ลากผ่านทุกตัวอักษร
พยายามใช้ความสามารถพิเศษอันแฝงเร้นในตัว อ่านความรู้สึกจากสิ่งของ
ด้วยการใช้มือสัมผัส จนที่สุด สีสันบางอย่างเริ่มผุดขึ้นในใจ...เงาสีน้ำเงิน

เงาของผู้ชายสามคน แต่คนไหนกันล่ะ คือคนสำคัญที่ฉันลืมเขาไปแล้ว?

ความรู้สึกที่ค้างคาในใจนี้คือรัก รักเขามากจนหัวใจเจ็บปวดเกินจะทนไหว
คนอย่างฉันที่ปกติแทบไม่เคยเสียน้ำตา กลับร้องไห้ไม่หยุดเมื่ออ่านข้อความจากกระดาษแผ่นเดียวในมือ

...ครั้งนี้ ทั้งส่วนที่เข้มแข็งและส่วนอ่อนแอในตัวตนของฉันกำลังร่ำร้องเป็นเสียงเดียว
ว่าจะต้องไปตามหาคนรักที่หายไปคนนั้นกลับคืนมา

------------------------------------------------------------------------


ความทรงจำที่ ๒ คฤหาสน์ลับกลางกรุง

‘วนัสสา ชื่อของลูกน่ะแม่เขาเป็นคนตั้ง มาจากวาเนสซ่า เป็นชื่อผีเสื้อจำพวกหนึ่ง’
‘ผีเสื้อ...สวยไหม สีอะไรคะพ่อ’
‘ก็น่าจะมีหลายสีอยู่หรอก อยากโตมาเป็นผีเสื้อสีอะไร หนูระบายสีเอาตามใจชอบก็แล้วกัน’
หญิงสาวยิ้มให้กับความครุ่นคำนึงถึงอดีตยามรถซึ่งนั่งมาเคลื่อนไปเรื่อยๆ
คนขับรถนั่งเงียบกริบเหมือนไม่มีตัวตน เพราะรู้ดีว่าคุณหนูของตนชอบที่จะปล่อยให้ความคิดโบยบิน
เวลานั่งรถไปไหนมาไหน ยิ่งถ้านั่งไปไกลๆด้วยแล้ว แต่วันนี้ดูเหมือนจะถึงจุดหมายเร็วกว่าที่คิด

“เรามาถึงกันไวนะคะ” หญิงสาวพูดเมื่อรถเลี้ยวเข้าสู่รอบรั้วสีดำของเคหาสน์อันเป็นเป้าหมาย

“ครับคุณหนูวนัส แปลก...วันนี้ในเมืองรถติดน้อยกว่าทุกที”

วนัสสาก้าวลงมาจากรถบีเอ็มดับบลิวคันงามสีกรมท่า เธอยังหยุดยืนรีรออยู่หน้าคฤหาสน์หลังตระหง่าน
ปล่อยให้ลมแรงรินไหลผ่านกายพากระโปรงตัวยาวพลิ้วสะบัด กระโปรงอย่างที่ใครๆก็ติงว่าดูเรียบร้อย
เกินตัวคนใส่ เวลายามเย็น ท้องฟ้าอึมครึมลงเป็นสีครึ้มทะมึน ไร้เสียงนกกาโบยบินกลับรัง
มีก็แต่เพียงท่วงทำนองของรถราในเมืองหลวงซึ่งเสมือนดังมาจากสถานที่ไกลๆ ไกลเกินกว่าความเป็นจริง
ราวกับแมกไม้ร่มครึ้มในขอบเขตกว้างใหญ่ช่วยกันสกัดขวางมลภาวะทางเสียงเหล่านั้นเอาไว้

หญิงสาวปล่อยให้คนขับรถลากกระเป๋าเสื้อผ้าตามมาหยุดยืนคอยเบื้องหลังเงียบๆ ตนเองกวาดสายตา
ค้นหาไปยังตัวคฤหาสน์ก่อผนังด้วยหินเนื้อหยาบสีเทาอมฟ้า เข้มจนเกือบจะดูเป็นสีน้ำเงิน
ตอนนี้เจ้าสิ่งก่อสร้างใหญ่โตตรงหน้าตกอยู่ภายใต้เงาสนธยาไม่ต่างกับทุกสรรพสิ่งที่รายล้อม
ถ้าไม่ได้ไฟซึ่งเพิ่งสว่างขึ้นคล้ายต้อนรับการมาของเธอ

“ในที่สุดก็ต้องกลับมาอีกครั้ง... คงไม่มีทางอื่น เพราะสุดท้ายที่จำได้ ก็มีแต่ที่นี่เท่านั้น”


เมื่อเดือนก่อน วันที่วนัสสาตื่นขึ้นมาร้องไห้อยู่บนเตียง หญิงสาวค่อนข้างตกใจ
เมื่อมารดาเลี้ยงเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาในห้อง
‘อาอร! ทำไมมาอยู่ที่นี่คะ...’ เธอถามเมื่อมองอีกฝ่ายผ่านรอยน้ำตาพร่าพราย
อาอรควรจะอยู่เชียงใหม่ เพราะบ้านนี้ที่เมืองนนท์ก็มีเธออยู่คนเดียวลำพังมาตลอดสองปี
วนัสสาเองคงป่วยหนักจริงๆ ฝ่ายนั้นถึงได้มา

‘วนัส นี่หนูรู้ตัวหรือเปล่าว่าอาเป็นห่วงแค่ไหน หายตัวไปตั้งสองเดือนกว่า ทำเอาทางนี้แทบบ้าตาย! ’

‘มันเป็นไปได้ยังไงคะ วันนี้วันที่เท่าไหร่…’

ยังไม่ทันจะถามต่อ ยายเฟย์เพื่อนสนิทก็พรวดเข้ามาในห้องอีกคน นั่นแหละเธอจึงได้รู้
ว่าสิ่งที่ตนเองลืมไม่ได้มีเพียงเรื่องของผู้ชายในกระดาษ แต่เป็นความทรงจำตลอดสองเดือนที่หายไป!

‘ก็ที่หนูจำได้ เมื่อวานยังไปงานเลี้ยงแถวอโศก ผลงานวิจัยตัวหนึ่งของลุงหมอกฤษณะได้รับรางวัล
ด้านการค้นคว้าจากต่างประเทศ เลยมีงานฉลองที่คุณศศิราศีภรรยาเขาเป็นคนจัด’

ความทรงจำของวันวานยังแจ่มชัด...คฤหาสน์หลังใหญ่ งานเลี้ยง ผู้คนที่มารวมตัวกัน
ภายใต้หน้ากากสังคม เธอไม่ได้ไปที่นั่นเพราะอยากจะรื่นเริงอันใด แต่คิดว่าการที่ลุงหมอกฤษณะ
เงียบหายไปอีกคนเป็นเวลาร่วมปี มันอาจมีอะไรคล้ายคลึงกับความลับดำมืดเรื่องการหายตัว
ไปแล้วไปลับของพ่อตนที่เคยทำงานเป็นหัวหน้าอีกคนขององค์กรยาอย่างเวชกุลก็เป็นได้

แต่ถึงไม่ได้ตั้งใจจะสนุก มันกลับกลายเป็นคืนหนึ่งที่วนัสสารู้สึกรื่นรมย์กับผู้คนน่าสนใจ
มากหน้าหลายตาที่ได้พบเจอ บรรยากาศราวต้องมนตร์และแสงสีในงานพาให้จิตใจเบิกบาน
ยากจะลืมเลือน ...ทว่าเมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง กลับไม่ได้พบกับแสงของเช้าวันถัดมา
แต่เป็นเวลากว่าสองเดือนล่วงไปแล้ว! บนเตียงนอน กับกระดาษปริศนาในมือ

ผ่านไปนานร่วมเดือน ตำรวจยังหาเบาะแสการหายตัวไปและการกลับมานอนอยู่หน้าบ้านของเธอไม่ได้...
วนัสสาคิดว่ามันต้องเป็นปัญหาภายในองค์กรใหญ่ยักษ์ที่ครอบคลุมอำนาจข้ามประเทศอย่างกลุ่มเวชกุล

ศิวัฒน์ เวชกุล บิดาวนัสสาที่เป็นหัวหน้าทีมวิจัยสำคัญมีอันมาหายตัวไป
ถ้าให้เดาน่าจะเป็นเพราะพวกมาเฟียค้ายาเถื่อนจากจีนเข้ามาเกี่ยวพันกับบริษัท
พวกนี้ขายทุกอย่าง สมุนไพร สัตว์ต้องห้ามทุกประเภทซึ่งเชื่อกันว่าเป็นยาชูกำลัง
พืชหายากมีพิษร้ายแรง อาศัยความสามารถในการสรรหาวัตถุดิบ ก้าวข้ามจากการมีอำนาจ
ฝั่งยาแผนโบราณมาเหยียบฝั่งการแพทย์แผนใหม่ได้อย่างเต็มเท้า และเมื่อนั้นเส้นสายที่สืบต่อ
หยั่งรากลึกมานานของสองชาติก็ผสานกัน ส่งให้เวชกุลกลายเป็นส่วนหนึ่งของวงจรอำนาจมืดอย่างไม่อาจเลี่ยง

เมื่อพ่อเธอหายไปนานเกินสามปี ตำรวจอับจนหนทางและแสดงท่าทีคล้ายอยากล้มเลิกการติดตามผล
แต่วนัสสาไม่ยอมแพ้ เธอรักพ่อ มีพ่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจเพียงอย่างเดียว

คืนปริศนาก่อนความทรงจำจะลบเลือน เธอจึงไปยังคฤหาสน์ของลุงหมอกฤษณะ
เพื่อตามหาร่องรอยของบิดาตน เผื่อจะพบใครสักคนที่อาจแสดงท่าทีผิดปกติหรือพูดบางอย่างออกมา
แต่หญิงสาวเองคงทำพลาด... เมื่อล่วงเลยมาถึงตอนนี้ วนัสสาแน่ใจแล้วว่าพวกนั้นคง
จับตัวเธอไปอีกคนในคืนที่ว่า และอาจจะให้ยาหรือทำการผ่าตัดที่ไม่ทิ้งร่องรอย สะกดจิต
อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งทำให้เธอลืมเลือนสิ่งที่เกิดขึ้น ทำไมพวกมันถึงไม่ฆ่าเธอเสียเลย
นั่นยิ่งน่าสงสัย แม้รู้ว่ากำลังเข้ามายุ่งกับอันตรายที่เกินตัวไปมากหญิงสาวก็อยาก
กลับไปค้นหาความจริง โดยเมินเฉยต่อข้อห้ามแกมบังคับของมารดาเลี้ยงที่ขึ้นเครื่องกลับเชียงใหม่ไปแล้ว

ในเมื่อคืนสุดท้ายที่จำได้เธออยู่ในคฤหาสน์ มีทางเดียวคือต้องย้อนมายังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง



วนัสสาพยักหน้าให้คนขับรถที่ตามมาส่งกระเป๋าเสื้อผ้าต่อให้พ่อบ้านชาวต่างชาติผมสีเทา
ซึ่งออกมาต้อนรับถึงหน้าประตู
“น้ากลับไปได้แล้วค่ะ อย่าลืมที่สั่งไว้ ถ้าอาอรโทร.มาถาม ให้บอกว่าวนัสไปพักบ้านเพื่อน
เฟย์น่ะค่ะ เพราะช่วงนี้ไม่อยากอยู่คนเดียว”
วนัสสาอ้างชื่อเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว ความสัมพันธ์ของเธอกับแม่เลี้ยงค่อนข้างจะห่างเหิน
และอีกฝ่ายก็รู้ดีว่าหญิงสาวไม่ชอบให้โทร.เข้ามือถือหากไม่มีเรื่องคอขาดบาดตาย เพราะรู้ดี
ว่าบังคับเคี่ยวเข็ญเธอไม่ได้อยู่แล้ว บวกกับที่แม่เลี้ยงไม่ใช่คนแข็งจึงยอมตามลูกเลี้ยงอย่างวนัสสาตลอดมา

คนขับรถพยักหน้ารับคำ แม้คนจ่ายเงินเดือนจะเป็นคุณผู้หญิง แต่ฝ่ายนั้นก็อยู่ไกล
นั่นยังไม่รวมถึงบางอย่างในตัวคุณหนูวนัสสาที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกหวั่นใจ
เป็นความหวั่นไหวอันไร้สาเหตุ แม้หญิงสาวจะอายุเพียงยี่สิบสาม แต่ยามเคร่งเครียด
หรือออกคำสั่งจริงจัง ทีไรก็ทีนั้นมักมีรังสีคุกคามแผ่ออกมา ทำให้ต้องระวังตัว ระวังใจ
รวมไปจนถึงความคิด เหมือนกับว่าตากลมโตสวยซึ้งจับจ้องทะลุไปถึงขั้วหัวใจและความรู้สึกของคนได้

“ผมคือเบ็นหัวหน้าคนดูแลที่นี่ จะเรียกพ่อบ้านหรือเรียกชื่อผมก็ได้นะครับ ตามสะดวก”
คนพูดแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงหนุ่มเกินวัยที่ดูจะตกในราวหกสิบ หนวดสีออกเทาเหมือนเส้นผม
ขยับยกขึ้นตามรอยยิ้มบนริมฝีปากซึ่งซ่อนอยู่ “ส่วนคุณวนัสสา ตั้งแต่วันนี้ผมขอเรียกคุณว่า
คุณหนูตามที่ตกลงกันแล้วทางโทรศัพท์”

“เรียกเถอะค่ะ...ฉันชอบนะคะ ถึงที่นี่จะจัดไว้หรูหรา แต่ดีที่บอกว่าจะทำให้มันเหมือนเป็นบ้าน
มีความเป็นกันเอง ไม่ใช่เดินสวนกันทีก็โค้งให้แต่เงียบกริบ” หญิงสาวใช้นิ้วม้วนปลายผมยาว
เป็นหลอดของตนเองตามความเคยชินพลางมองสำรวจขั้นบันไดหินดำที่กำลังก้าวตามเบ็น
ขึ้นไปทีละขั้น พยายามดึงความรู้สึกของคืนนั้นกลับมาให้ได้มากที่สุด

เมื่อประตูบานยาวเปิดออกต้อนรับ ภายในคฤหาสน์สีน้ำเงินตกแต่งขรึมขลังโอ่อ่า
...ทว่าอดไม่ได้ที่จะรับรู้ถึงอันตรายแฝงเงา อาจเพราะตำรวจคอยวนเวียนเข้ามาหาหลักฐาน
เจ้าของเก่าจึงไม่สบายใจหรือร้อนตัวจนต้องหาทางโอนเคหสถานไปสู่มือเจ้าของใหม่รวดเร็ว
ด้วยอำนาจเงินและเส้นสาย ได้ยินมาว่าผู้ลงทุนที่ซื้อคฤหาสน์ทรงสูงๆต่ำๆหลังคาหลายชั้นหลายเชิง
คล้ายแมนชั่นสไตล์ยุโรปหลังนี้ไปตั้งใจจะเปลี่ยนมันเป็นกึ่งเกสต์เฮาส์ สำหรับแขกกระเป๋าหนัก
ที่อยากมาพักนานๆ ผู้ใดก็ตามที่ต้องการบรรยากาศหรูหราเกินกว่าบ้านพักเงียบๆใจกลางกรุง
ข้างในถูกจำลองให้คล้ายคฤหาสน์ฝรั่งเก่าแก่ได้อย่างไม่มีที่ติ ส่วนหนึ่งก็ได้อานิสงส์จากรสนิยมเลิศลอย
ของคุณศศิราศีภรรยาลุงหมอกฤษณะเจ้าของเก่านั่นเอง

คิดถึงผู้หญิงคนนั้นแล้วก็น่าสงสัย ก่อนจะแต่งงานศศิราศีเองเป็นเวชกุลสายหนึ่งด้วยซ้ำ
เพียงแต่ว่าไม่เคยรู้จักกับทางบ้านของวนัสสาที่นามสกุลเดียวกันและเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มเวชกุลมาก่อน
ทว่าคล้ายสตรีผู้นั้นอยากมาทวงถามความสำคัญคืนจากองค์กรยาเวชกุลที่มีดร.กฤษณะเป็นหัวเรือใหญ่
แปรสิ่งที่ตนไม่ได้มีส่วนริเริ่มให้กลายเป็นของตนเองโดยอ้างนามสกุลเก่า


เบ็นหันมายิ้มให้วนัสสา ก่อนจะออกตัว “...ต้องขออภัยล่วงหน้าด้วยนะครับ
เพราะเรายังไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการ หลายอย่างอาจยังดูไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง
แต่จะพยายามไม่ให้บกพร่อง ในอีกวันสองวันนี้จะมีงานเลี้ยงต้อนรับเล็กๆด้วย
แล้วที่นี่ คุณอาจเจอฝรั่งหลายคนพูดไทยชัดเหมือนอย่างผม เพราะเราคัดคนที่ดีที่สุดมาทำงานกับเรา”

วนัสสายิ้มรับในใจ คงใช่ เลือกมาเป็นพิเศษ เพราะทุกอย่างต้องถูกจัดฉากลวงตา
ไว้ให้แนบเนียนเป็นธรรมชาติ เสมือนดอกไม้สีสวย กลิ่นหอม ล่อให้แมลงที่เป็นเหยื่อ
หรือแม้กระทั่งผีเสื้อสักตัวบินเข้ามาติดกับ

ประตูบานประกบสูงเป็นสองเท่าของปกติปิดลงเสียงหนักๆตามหลังเมื่อวนัสสาเดินตาม
พ่อบ้านเบ็นเข้าสู่ตัวคฤหาสน์ บรรยากาศดูน่าประทับใจพร้อมๆกับน่ากลัวไปด้วย
ราวความต่างของแสงและเงา ความสว่างสุดท้ายจากยามเย็นภายนอกฉายผ่านเข้ามา
ทางหน้าต่างบานยาวจากพื้นจรดเพดานสูง โคมไฟคริสตัลแสงสีฟ้าแกมน้ำเงินส่องประกาย
ขาวพร่างลงมาผสานกันเป็นแสงที่กลมกล่อม ส่งให้ห้องนี้อยู่ในสภาวะกึ่งมืดกึ่งสว่าง
อย่างพอดิบพอดี อากาศเย็นยะเยือกด้วยเครื่องปรับอากาศที่ไม่รู้ว่าซ่อนอยู่ส่วนไหน

“คุณศศิราศีขายคฤหาสน์ต่อให้กับเจ้านายผม อาจจะดูรีบไปสักหน่อย...
ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ผมขอยืนยันว่าไม่มีเบื้องหลังอย่างที่หลายคนเข้าใจ
นายท่านซื้อไว้แล้วก็หวังเปิดเป็นห้องพักให้ใครก็ได้ที่ต้องการความแตกต่าง
แขกของเรามีหลากหลาย แต่ไม่มากจนรบกวนคุณหนูแน่นอน”

“ค่ะ คุณเบ็น...ดูจากราคาก็พอจะรู้ว่าต้องเป็นอย่างนั้น” เพราะพ่อทิ้งสมบัติไว้ให้มากมาย
เธอจึงได้มีโอกาสพาตัวเองกลับมาที่นี่ได้อีกครั้ง และเพราะพ่อมัวแต่หาเงินพวกนั้นอีกเหมือนกัน
คือจุดเริ่มต้นของการที่เธอต้องมา

วนัสสากวาดตาไปรอบๆ เดิมเจ้าของคฤหาสน์ก็ตกแต่งมันได้สวยสะดุดตาอยู่แล้ว
กับสไตล์ผู้ดียุโรปโบราณ ทว่าเจ้าของบ้านคนใหม่สั่งเปลี่ยนม่านใหม่หมด ทึบขึ้น
คงตั้งใจให้กั้นแสงจากภายนอกได้มากขึ้น เพิ่มเติมเครื่องเรือนเก่าบางชิ้นที่แลดูว่า
หายากมาอย่างไม่เสียดายเงิน

“เมื่อมาอยู่ที่นี่ ทุกคนจะถือว่าคุณหนูเป็นเจ้าของบ้านคนหนึ่งเช่นกัน”

หญิงสาวคิดในใจว่าเจ้าของใหม่นอกจากจะแต่งบ้านเพิ่มเติมได้สวยแล้ว
การเลือกฝรั่งตาน้ำข้าวท่าทางดีอย่างคุณเบ็นมาเป็นคนดูแลยิ่งทำให้จินตนาการว่า
กำลังก้าวเข้าสู่ปราสาทอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่คฤหาสน์ที่ซ่อนอยู่กลางเมือง
ขณะสาวเท้าตามชายชราไป วูบหนึ่ง...วนัสสาคล้ายเห็นผีเสื้อสีดำน้ำเงินตัวในฝัน
เกาะอยู่บนไหล่ทักซิโด้เรียบหรูของคนข้างหน้า

‘เรามาถูกทางแล้ว’ สัมผัสลึกลับที่เป็นคุณสมบัติประจำตัวกระซิบบอก

เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เธอ ยังมีคนในครอบครัวเวชกุลอีกหลายคนมีความสามารถทำนองเดียวกัน
วนัสสาต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ จะยอมให้ความสวยงามของสถานที่ลวงตาไม่ได้เลย
เธอเชื่อว่าแม้เปลี่ยนมือเปลี่ยนเจ้าของ แต่ต้องมีเงื่อนงำบางอย่างตกหล่นหลงเหลืออยู่
และถ้าเข้าใจไม่ผิด เจ้าของใหม่ก็อาจมีจุดประสงค์ร่วมกันกับเจ้าของเก่าอยู่ด้วยซ้ำ

ผ่านโถงกลาง...ส่วนสำคัญที่ใช้จัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกเหรื่อร่วมร้อยในคืนสุดท้ายที่วนัสสาจำได้
เบ็นพาเธอไปถึงบันไดขนาดใหญ่ ซึ่งพอขึ้นไปครึ่งชั้นก็แยกออกเป็นบันไดสู่ปีกซ้ายและขวาของคฤหาสน์อีกที

ตรงเชิงบันได ติดกับราวโลหะสีดำสนิท ร่างบอบบางในชุดกระโปรงยาวเลยเข่า
แลดูคล้ายสาวรับใช้ผู้หลุดมาจากภาพยนตร์เก่าๆยืนประสานมือคอยอยู่

“มีผู้ช่วยของผมจะแนะนำให้รู้จัก...เธอชื่อนาเดีย อายุน่าจะพอๆกับคุณหนูนะครับ
ที่นี่มีคนอยู่หลายคน แต่พวกนั้นมีหน้าที่แค่ทำตามคำสั่งมากกว่าตัดสินใจ
ถ้าคุณหนูวนัสสาต้องการอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษ ให้บอกผ่านผมกับนาเดียจะสะดวกกว่า”

“สวัสดีค่ะ” นาเดียยิ้มแย้ม

วนัสสาพยักยิ้มรับการทักทาย มองสาวฝรั่งตัวเล็กกว่าเธอซึ่งสูงร้อยหกสิบสามเสียอีก
นาเดียตัดผมบ๊อบพองๆดูน่ารัก ผมสีน้ำตาลเส้นเล็กตรงสลวย แม้ยิ้มเป็นมิตร
ทว่าในแววตากลับซ่อนปริศนาแลดูห่างเหิน วนัสสายื่นมือออกไป และอีกฝ่ายก็ยื่นมือมาสัมผัสตอบ

วูบนั้นเองหญิงสาวมองเห็นสีของช็อกโกแลตเข้มข้นแผ่ซ่านเข้ามา สีที่เหมือนกับดวงตาของนาเดียเอง
ไม่มีสิ่งใดเจือปน...ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ นี่เป็นแค่อารมณ์แรกเท่านั้น แน่อยู่แล้วว่าวนัสสาไม่ไว้ใจใครง่ายดาย
เธอรู้ดี เคยเจอมาแล้วด้วยซ้ำ ว่าความรู้สึกและจิตใจของมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงขึ้นลงผันผวน
ไม่มีวันจะหยั่งถึงได้เพียงแรกเจอ เธอจะต้องรู้จักที่นี่ รวมถึงผู้คนซึ่งอาจกำลังร่วมกันซุกซ่อนความลับ
เอาไว้แต่ละคนอย่างดีที่สุด หญิงสาวลอบถอนใจ คราวนี้จะต้องไม่พลาดอีก
ต้องเอาตัวรอดไปให้ได้ด้วยความสามารถทั้งหมดที่มี


ห้องชุดส่วนตัวของวนัสสาเป็นโทนวานิลาเข้มข้น ตัดด้วยสีทองหม่นและน้ำตาลเปลือกไม้
ตกแต่งสไตล์โรโคโค่หรือแบบหลุยส์ลงตัวกลมกลืนกันไปทั้งห้อง ดูค่อนข้างจะให้ความรู้สึก
อ่อนโยนลงกว่าสภาพโดยรวมในบ้าน ทว่าด้วยแสงเงาและบรรยากาศก็คงจะทำให้สาวน้อยขี้กลัวสักคน
ขนลุกได้ไม่ยาก แต่เธอชอบแบบนี้...ชอบมากเสียด้วย ผู้หญิงอย่างวนัสสาที่ใครดูภายนอก
ก็มักจะคิดว่าน่ารักน่ามอง ต้องลองเข้ามาสนิทสนมเท่านั้นถึงจะรู้ว่ามีอีกด้านหนึ่งที่แสนจะต่างออกไป

“ชักง่วง... เข้านอนเลยแล้วกัน ก็เพิ่งอาบน้ำก่อนออกมาเองนี่นะ”
หญิงสาวซึ่งเป็นคนรักสะอาดพึมพำแก้ตัวให้ตัวเองเบาๆในความเงียบ

...เธอติดนิสัย เพราะเสียงพูดที่ดังจากปากช่วยทำให้แยกความรู้สึกได้ชัดเจนว่ายังอยู่กับความจริง
ด้วยความสามารถแปลกประหลาดในตัวตน วนัสสามักรับรู้ได้ถึงภาพ สี คำพูด
และเสียงจากอดีตที่แว่วมาให้ได้ยิน ยิ่งเมื่อได้สัมผัสกับวัตถุหรือคนผู้เป็นสื่อนำความรู้สึกรุนแรงบางอย่าง
ติดมา ไม่ว่าเธอจะต้องการหรือไม่... บางทีก็เหมือนมีภาพคนในอดีตกำลังพูดจากับเธอ
แต่เสียงที่ได้ยินพวกนั้นมักสะท้อนก้อง ต่างกับเสียงพูดของตนเองหรือคนอื่นยามปกติ
บางทีเธอก็เผลอตอบคนพวกนั้นไปในใจเป็นเสียงของความคิด ดังนั้นวนัสสาจึงรู้สึกแตกต่าง
ยามได้คิดอะไรออกมาดังๆผ่านปากพูด ให้อารมณ์ว่าอยู่กับตัวเองลำพังมากกว่าเสียงสะท้อนในหัวพวกนั้น

“ทุกอย่างคงจะเริ่มต้นในไม่ช้านี้ ขอให้พ่อช่วยหนูด้วยก็แล้วกัน” วนัสสารู้ว่าบิดายังมีชีวิต
บางทีอาจจะอยู่ไม่ไกลเกินไปนักด้วยซ้ำ เพราะเธอรู้สึกถึงพลังของพ่อที่ถ่ายทอดส่งผ่านมาได้แม้กระทั่งตอนนี้

หญิงสาวเดินทางมาจากบ้านที่เมืองนนท์ซึ่งเธออาศัยอยู่ อาอรมารดาเลี้ยงที่ระหองระแหงห่างเหิน
กับบิดาได้โยกย้ายไปทำธุรกิจเกี่ยวกับไม้ดอกอยู่เมืองเหนือหลายปีมาแล้ว ตอนพ่อเธอยังอยู่
พ่อก็มักติดงาน ต้องไปพักที่อื่น จนถึงเดินทางไปประชุมวิจัยต่างประเทศอยู่เนืองๆ
วนัสสาเองสอบเข้าเรียนจิตรกรรมที่ศิลปากร เธอชอบ...อะไรก็ตามที่มีสีสันเข้ามาเกี่ยวข้อง
ไม่มีใครจะเข้าใจความรู้สึกของสีต่างๆได้ดีเท่าวนัสสา แต่อย่างไรก็ดี หลังจากเรียนจบออกมาได้พักใหญ่
หญิงสาวก็ยังอิดออด ไม่ยอมไปอยู่เชียงใหม่ตามที่อาอรซึ่งรู้สึกว่าลูกติดของสามีเป็นภาระติดค้างในใจวอนขอ
และหลังมีเรื่องหายตัวไปถึงสองเดือน แม่เลี้ยงยิ่งพยายามคะยั้นคะยอแกมบังคับให้ย้ายไปอยู่ด้วยกัน
แต่เมื่อเธอยังยืนยันจะอยู่ที่นี่ก็ไม่มีใครมาบังคับคนหัวรั้นอย่างวนัสสาได้ นอกจากจะจับมัดใส่กระเป๋าหิ้วไปเท่านั้น

“ตู้ใหญ่เกินของที่มีไปเยอะเลย”
หญิงสาวพึมพำ เริ่มจัดเก็บของจากกระเป๋าเดินทางใบโตเข้าที่เข้าทางใน
คิดว่าถ้าตัดสินใจจะอยู่ที่นี่นานค่อยขนของมาเพิ่ม ตอนนี้ที่ประมาณไว้ว่าจะอยู่ที่นี่น่าจะราวหนึ่งเดือน
วนัสสาค่อนข้างว่างจึงมีเวลามาสืบเสาะหาเรื่องนี้ได้ ตั้งแต่เรียนจบมาเธอก็ช่วยเพื่อนประดิษฐ์งานศิลป์
ที่ใช้ตกแต่งบ้านแบบทำมือ ซึ่งมีตั้งแต่เทียนหอม ดอกไม้ปลอม ไปจนถึงเพ้นท์สีลงบนเฟอนิเจอร์
กระจุกกระจิกน่ารักๆ ส่งให้ร้านที่เฟย์เพื่อนสนิทรับดูแลต่อจากทางบ้านซึ่งมีฐานะดีมากพอสมควร
ทั้งสองคนเรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมต้นแถมยังเลือกคณะเดียวกัน จึงทำงานเข้าขากันได้แบบสุดๆ
และเมื่อสินค้าบางตัวเกิดจับตลาดได้เมื่อไร ถึงเวลานั้นก็จ้างคนอื่นสานต่อ ช่วยผลิตของเข้าร้านอีกแรง

ยิ่งรวมกับทรัพย์สินเดิม เรื่องเงินจึงไม่ใช่ปัญหา วนัสสาคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือตามหาเงื่อนงำ
ของความทรงจำที่หายไป คงมีสิ่งสำคัญหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลากว่าสองเดือนอันไม่ชอบมาพากล
อาจร้ายแรงเสียจนผู้ก่อเรื่องต้องการให้วนัสสาลืมเรื่องราวที่เกี่ยวพันทุกอย่าง
พลอยทำให้เธอต้องลืมใครคนนั้นไปจากใจ

ตำรวจพยายามตามรอยมายังสถานที่แห่งนี้แต่กลับไม่พบอะไร
พยานต่างบอกตรงกัน วนัสสาในคืนนั้นดูมีสติสมบูรณ์ดีทุกอย่าง ทว่าเธอเองจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้ถึงแค่เที่ยงคืน
ใช่แล้ว เมื่อตอนได้ยินเสียงนาฬิกาตีบอกว่าล่วงเข้าวันใหม่... เธอหายตัวไปกระทั่งเช้าวันที่กลับมา
ปรากฏตัวนอนอยู่หน้าบ้าน แล้วก็ตื่นขึ้นมา จำวันเวลาสองเดือนที่หายไปไม่ได้เลย



วนัสสาเปลี่ยนใส่ชุดนอนสีครีมตัวยาวเลยเข่าเนื้อผ้าเบาพลิ้ว เธอยืนแปรงผมอยู่หน้ากระจก
ผมสีน้ำตาลไหม้ตามธรรมชาติจนใครหลายคนชมนักชมหนานั้นหยักศกน้อยๆ ยาวเลยกลางหลัง
สามสี่นิ้วตรงส่วนปลายถูกม้วนไว้เป็นเกลียวแทบจะถาวรอย่างกับผมตุ๊กตา
หญิงสาวยิ้มหวานให้ตัวเองในเงา รู้ดีว่าตนเป็นคนสวยน่ามองคนหนึ่ง
แต่มันขัดแย้งกับตัวตนที่เหมือนโดนคำสาปของเธอ

‘เธอนี่เหมือนตุ๊กตานะวนัส แต่แววตาดูเป็นตุ๊กตาที่ไม่ค่อยน่ารักสมตัวเลย’

‘ที่พูดมานั่น จะว่าฉันเป็นตุ๊กตาผีสิงหรือไง...’

‘ไม่น่ากลัวขนาดนั้น แหม แต่บอกไม่ถูก บางทีอยู่ใกล้ๆเธอแล้วมันขนลุกแปลกๆ เป็นตุ๊กตาต้องสาปละมั้ง’

‘ขอโทษที...ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน’

หญิงสาวหลับตา ฮัมเพลงในคอเบาๆ พอมันเกิดขึ้นบ่อยๆก็กลับรู้สึกคล้ายจะขำเสียมากกว่า
กับสิ่งที่คนเหล่านั้นรู้สึกกับตัวเธอ ความสามารถบางอย่างทำให้แปลกแยกออกไปจากเพื่อนฝูง
อย่างมิได้ตั้งใจ เรื่องพวกนั้นไม่อาจรบกวนความรู้สึกของวนัสสาได้ แต่สิ่งซึ่งเพิ่งเกิดขึ้น
และกระทบใจเธอจนน่าจะเรียกว่าสะท้านสะเทือนไปถึงวิญญาณ ...เกี่ยวกับสิ่งสำคัญที่เธอลืมไป
เธอเคยรักกับใครบางคนในช่วงสองเดือนนั้นจริงหรือ

ตั้งแต่ตอนที่ความทรงจำหายไป พอตื่นขึ้นมาความสามารถในการ ‘สัมผัส’
ของเธอดูเหมือนจะเพิ่มทวีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า มันทำให้วนัสสารู้สึกว่าตนเองเข้มแข็งพอที่จะ
สามารถผ่านบททดสอบซึ่งเธออาจจะเคยพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง... คนกำลังหวีผมลืมตาขึ้น
มองตัวเองในกระจกเงาอย่างแน่วแน่ ตากลมโตล้อมกรอบด้วยขนตาหนาเป็นแพ
แต่แววตาทอดทอประกายอย่างคนรู้มาก เข้าใจสิ่งต่างๆเกินวัย แต่นอกเหนือจากนั้น
ยามนี้ในประกายวิบวับยังมีความรู้สึกที่ไม่เคยชินแอบแฝง

หรือว่านี่คืออารมณ์รักที่ยังไม่จางไป

ความรู้สึกอุ่นๆในใจยิ่งทวีขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ยิ่งตั้งแต่วินาทีแรกที่เหยียบเท้า
เข้ามายังสถานที่นี้ เธอกำลังเดินกลับสู่หนทางที่ลืมเลือน
ทางซึ่งอาจนำพาเธอกลับไปยังอ้อมกอดของเขาคนนั้น

วูบหนึ่งขณะกำลังเพลินๆ สายตาที่มองผ่านกระจกพลันรู้สึกว่าม่านบางเบาซึ่งคลี่คลุมเตียง
สี่เสาเอาไว้สั่นไหว หญิงสาวหันขวับไปมอง ไม่มีอะไร... แล้วในห้องนี้ก็ไม่มีลม
เธอแทบไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวอื่นของบรรยากาศ นอกจากเพียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอยู่

หญิงสาววางแปรงแปรงผมลง ก้าวไปยังม่านสีนวลบางเบาที่สยายคลุมเตียง นิ้วไล้ไปตามผ้า
หลับตาลง สิ่งใดกันที่เคลื่อนไหวให้เห็นเมื่อครู่ แล้วหญิงสาวก็พลันขนลุกไปทั้งกาย
เมื่อภาพของคนซึ่งเคยมานอนที่นี่ปรากฏให้เห็นเลือนราง ตัวเธอเองกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง!

เจ้าของร่างบางปล่อยมือจากม่าน ขมวดคิ้วอย่างสงสัย ที่เห็นนั้นไม่ใช่ผีหรือวิญญาณที่ไหน
วนัสสาไม่เคยเห็นพลังงานจากอีกโลก แต่เธอมองเห็นภาพจากพลังซึ่งยังไหลวนเวียนติดตรึงในวัตถุ
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่นี่เธอกำลังเห็นภาพตัวเองเคยมาพักอยู่ที่ห้องนี้
แปลว่าคืนนั้นหลังจากงานเลี้ยงเธออาจไม่ได้หายตัวไปไหน แต่กลับมาพักยังห้องนี้
บนเตียงหลังตรงหน้าด้วยซ้ำ

คนผู้ซึ่งเคยชินกับปรากฏการณ์แปลกประหลาดตัดสินใจเอนกายลงนอนบนเตียงและหมอนนุ่ม
หลับตาลงเพื่อสัมผัสความรู้สึกที่อาจจะเป็นเคยคุ้น รอยยิ้มผุดขึ้นตรงมุมปากสีชมพูระเรื่อ
เธอไม่กลัว นี่คือสถานที่ที่เธอมาเพื่อตามหา และจะต้องพบสิ่งที่ตนรอคอย
แต่ตอนนี้ เวลานี้ ขอนอนหลับฝันดีๆสักคืนหนึ่งก่อนก็แล้วกัน


หญิงสาวเคลิ้มหลับสนิทลงอย่างง่ายดายทั้งที่ไฟโคมสีส้มใกล้กระจกเงายังถูกเปิดสว่างทิ้งไว้
ไม่ได้รับรู้เลยเมื่อประตูค่อยๆแง้มเปิดออก และใครบางคนก้าวเข้ามาเงียบกริบ!



อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ก.ค. 2556, 12:24:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ค. 2556, 12:24:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 2068





<< ความทรงจำแรก "ข้อความที่เหลือไว้"   ความทรงจำที่ ๒ คฤหาสน์ลับกลางกรุง (ต่อ) >>
อสิตา 12 ก.ค. 2556, 12:25:44 น.
คุณริญจน์ธร – ขอบคุณที่มาเจิม น่ารักมาก อุ้มโยนๆๆ เรื่องนี้ต้องเดาพระเอกกันหนักกว่าเดิม
คุณเซเวอรีน – เลือดกำเดาไหลเยอะๆเลยค่ะ
คุณภาวิน – ปรับบทนำใหม่แล้ว ดูแนวกว่าเดิม!
คุณอมาริลิส( ชื่อเพราะจังค่ะ) – มารอลุ้นว่านางเอกจะตามหาความรักกันท่าไหนยังไง ขอให้เจอความรักที่รอเธออยู่นะวนัสสา
คุณเฟอร์ฯ – มาถึงก็จองหนุ่มเลยไม่ดูอาชีพ+นิสัยแต่ละคนก่อนสักหน่อยหรือไร เลือกคนไหนก็ไม่ผิดหวังอะ น่าร้ากหมด เรื่องแนวแฟนตาซีไหมเหรอ เรียกว่าเหนือจริงแบบทันสมัยดีกว่า สไตล์มะม้า
คุณเลิฟหมวย – คิดถึงคนอ่านมากค่ะ ยินดีที่ได้กลับมาร่วมผจญภัยไปด้วยกันอีกครั้ง มาลุ้นกันๆ
คุณบุลินทร – เรียกพี่มิ้งค์ตลอด คนจะนึกว่าเราชื่อมิ้งค์จริงๆ -..-
คุณผักชีใบเขียวๆ – จองหนุ่มอีกแล้วเหรอก๊ะ ใครบางคนเพิ่งจะเปิดประตูเข้ามาในห้องเอง อุ๊ปส์...
คุณพันธุ์แตงกวา – ขอบคุณที่มาให้กำลังใจหนูแป้งค่ะพี่แตง เรื่องนี้เร้าใจนะ อ่านแล้วเลือดกำเดาไหลได้ หนึ่มๆนี่เต็มที่ทุกตัว สาวก็น่ารักเหมือนคนเขียน(แหงะ)


ภาวิน 12 ก.ค. 2556, 15:46:53 น.
วนัสสาม้วนปลายผมเล่น ทำให้คิดถึงพี่มิ้งค์ในมายาไฟในดวงตาเลย ชอบทำท่าแบบนี้เหมือนกัน แต่เรื่องราวลึกลับและอลังการมาก ชวนติดตามและจะตามติดมาอ่านจ้า


พันธุ์แตงกวา 12 ก.ค. 2556, 17:09:04 น.
ไปซื้อทิชชู่มารอซับเลือดกำเดาเรียบร้อยแล้ว
โถ หนูวนัส สลับซับซ้อนจังชีวิตหนู แต่ละคนน่าสงสัยทั้งนั้น อย่าไว้ใจใครเด็ดขาดนะลูก


lovemuay 12 ก.ค. 2556, 21:17:41 น.
ใครอ่ะ? คนนี้นางเอกพยายามนึกชื่ออยู่รึป่าวนะ?


Zephyr 12 ก.ค. 2556, 22:03:13 น.
เหยยยย มาแนวนี้อีกละ อ่านไปขนลุกไป
แล้วเป็นไรไม่รู้ เฟอร์ต้องอ่านกลางคืนทุกทีสิน่า
นางต้องเป็นหนูทดลองยาอะไรสักอย่างแหงๆ คฤหาสน์นี่คือแหล่งผลิตล็อตใหญ่ใช่ม้า
คนที่นี่คือผู้คุม อืม อืมมม อืมมมม


Chii 14 ก.ค. 2556, 16:24:24 น.
อะไรนะ นางมี genetic memory รึคะะะะ โน้วววววววว

//เค้าคร่ำเคร่งกะการเรียนไปหน่อย อสิตาอย่าถือสา


goldensun 14 ก.ค. 2556, 20:25:34 น.
กล้าเข้ามาสืบถึงที่ แถมยังเกี่ยวกับที่พ่อหายตัวไป และตัวเองเพิ่งรอดมา
วนัสเตรียมรับมือแล้วหรือคะ ไม่กลัวซ้ำรอยเดิมหรือคะ


SunSeed 15 ก.ค. 2556, 12:01:38 น.
ระวังเจอองค์กรให้ยา Apotoxin4869 นะพี่แป้ง คราวนี้มีโคนันในร่างเด็กหญิงเวอร์ชั่นไทยแน่ อิอิ
ดีจังพี่แป้งแต่งแนวลึกลับแบบนี้ หนูชอบบบบบบบบ อัพต่อเร็วๆนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account