มธุรัตน์เสน่หา โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
เมื่อนักเขียนสาวจิตป่วนโคจรมาพบกับหนุ่มเจ้าของไร่เจ้าระเบียบ ความหื่นฮารั่วจึงบังเกิดขึ้น:"รสจูบมันเป็นยังไง" เจ้าหล่อนไม่ถามเปล่าแต่กระชากคอเขามาจูบด้วย แถมยังจดโน้ตหน้าตาเฉยว่า'รสจูบ = กาแฟ' โอ้ยยย! อยากบ้า!
Tags: หนุ่มชาวไร่ สาวนักเขียน โรแมนติก คอเมดี้ นางเอกแปลก ฮา รั่ว อ่านสบายคลายเครียด

ตอน: บทที่ 9 คนรักเก่า

บทที่ 9 คนรักเก่า

สองหนุ่มสาวออกจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ในตอนบ่ายคล้อย ขับรถอีกราวห้าสิบกิโลเมตรก็มาถึงตัวเมืองสระบุรี

ร้านของจิรัสยาตั้งบริเวณถนนซอยเดียวกับโรงพยาบาลประจำจังหวัดและวิทยาลัยพยาบาล จุดสังเกตค่อนข้างหาได้ง่าย เพราะตั้งอยู่เยื้องกับร้านสินค้าประเภทตุ๊กตาและของขวัญร้านใหญ่

วันนี้จิรัสยามีลูกค้ามาถ่ายรูปอยู่ที่สตูดิโอสองราย รายสุดท้ายเจาะจงให้เจ้าของร้านเป็นคนแต่งหน้าให้ เธอเลยเพิ่งจะเสร็จงานเมื่อสักครู่นี่เอง

“ยุ่งอยู่หรือเปล่าจี” ชายหนุ่มถามขณะวางขนมเค้กกล่องใหญ่ลงบนโต๊ะรับแขก

“เสร็จแล้วจ้ะ ที่เหลือยกให้เป็นหน้าที่ของตากล้อง อุ้ย! ชุดน้ำผึ้งน่ารักจัง”

หญิงสาวปราดเข้ามาหามธุรัตน์ เธอมองดูเสื้อลายสก็อตเข้ารูป ที่แต่งระบายได้พอเหมาะด้วยความถูกใจ

ลายสก็อตให้ความรู้สึกทะมัดทะแมง แต่พอเพิ่มระบายกับแต่งด้วยริบบิ้นเข้าไป มันก็จะเสริมให้ดูหวานขึ้น และทำให้ผู้สวมใส่ดูสดใสขึ้นด้วย

“ซื้อที่ไหนคะ”

“ที่เดอะมอลล์ค่ะ พิมเลือกให้”

พิมลตราเป็นคนที่มีรสนิยมดี เวลาที่มธุรัตน์ใส่ของที่เพื่อนสาวเลือกให้ ก็มักจะได้รับการถามไถ่เช่นนี้เสมอ มันเลยกลายเป็นหน้าที่ที่ต้องจำให้ได้ว่าของที่ใส่นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร

“พิมน้องฉันเอง” พลวัตเสริม

“อ๋อ! น้องพิม ที่จะแต่งงานกุมภาฯ ปีหน้าใช่ไหม เร็วเนอะ เผลอแป๊บๆ เราก็แก่เป็นป้าแล้ว” จิรัสยาเอี้ยวตัวมาส่องกระจกบานใหญ่ในร้าน เพื่อสำรวจรอยตีนกาที่หางตา

“ฉันก็มีน้องคนเดียวนี่แหละ จำได้หรือเปล่าว่ายัยพิมเป็นแฟนคลับเธอ พอรู้ว่าเธอเปลี่ยนไป ยัยนั่นร้องห่มร้องไห้แทบตาย”

พอได้ทบทวนความหลัง เพื่อนเก่าทั้งสองก็พากันหัวเราะร่วน

“คุณน้ำผึ้งอยากเห็นพลกับจีตอนสมัยเอ๊าะๆ ไหมคะ จีเก็บรูปถ่ายเอาไว้เป็นอัลบัมเลยล่ะ” จิรัสยาดึงมธุรัตน์เข้ามามีส่วนร่วมด้วย หญิงสาวจะได้ไม่รู้สึกเหมือนถูกทิ้ง

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำด้วยความสนใจ

เธอจำได้ว่าพิมลตราเคยปลื้มเพื่อนของพี่ชายที่ชื่อว่าจรัส แต่เธอก็ไม่เคยเห็นรูปของเขา เลยไม่รู้ว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่าไร ที่แท้ก็คือจิรัสยานี่เอง

“ถ้าอย่างนั้นขอเวลาแป๊บนะคะ จีขึ้นไปหาก่อน”

จิรัสทำชั้นหนึ่งของตึกแถวแห่งนี้เป็นสตูดิโอ ชั้นสองเอาไว้เป็นห้องทำงาน กับเก็บเสื้อผ้าของร้าน ส่วนชั้นสามเธอเอาไว้พักเอง ข้าวของทุกอย่างจึงอยู่ที่นี่หมด แต่ต้องเสียเวลาหานานสักหน่อย เพราะเธอจำไม่ค่อยได้แล้วว่าเอารูปภาพไปเก็บไว้ที่ไหน

ในระหว่างที่รอให้จิรัสยาลงมา ลูกจ้างในร้านก็ช่วยจัดเค้กใส่จานให้ แล้วสั่งโกโก้เย็นใส่วิปครีมกับกาแฟเย็นมาให้สองหนุ่มสาว รวมถึงว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวซึ่งเป็นลูกค้าในร้านด้วย

ว่าที่เจ้าสาวออกมาเปลี่ยนชุดพอดีตอนที่มธุรัตน์กำลังก้มลงดูดโกโก้เย็นจากแก้ว ความที่ไม่ระวังครีมก็เลยติดอยู่ที่ข้างแก้ม

“แก้มเลอะหมดแล้ว” พลวัตเตือน

หญิงสาวก็เลยจัดการตักวิปครีมกินเสียก่อน แต่หลอดที่ให้มาเป็นหลอดธรรมดา ไม่ใช่แบบตรงปลายมีช้อนให้ตักได้ มธุรัตน์ก็เลยเอาเข้าปากได้อย่างทุลักทุเล

พลวัตเลยหยิบหลอดของเขาขึ้นมา แล้วขอหลอดมาจากมือเธอ จากนั้นก็ใช้มันเป็นตะเกียบ ตักวิปครีมป้อนเข้าปากให้หญิงสาว

“กินแบบนี้ง่ายขึ้นใช่ไหมล่ะ”

หญิงสาวพยักหน้ารับ แล้วแบมือขอลองกินบ้าง แต่ก็ยังเลอะเทอะอยู่ดี พลวัตก็เลยหยิบกระดาษทิชชูไปเช็ดคราบวิปครีมให้

ในความรู้สึกของชายหนุ่ม เขาคิดอยู่แค่ว่ากำลังดูแลเด็ก ไม่ได้นั่งอยู่กับสาวสวยแต่อย่างใด แต่ในความรู้สึกของคนนอกที่มองมา พลิกไปดูมุมไหนมันก็เป็นภาพของคู่รักแสนโรแมนติก

“พี่เอดูสิ คู่นั้นเขาน่ารักจัง มีป้อนกับเช็ดปากให้กันด้วย” ว่าที่เจ้าสาวหันไปกระซิบบอกคนรัก

“คู่เราก็น่ารักนะ อย่าไปอิจฉาเขาเลย กลับไปเดี๋ยวพี่เช็ดให้ทั้งตัวเลยดีไหม”

ว่าที่เจ้าบ่าวหันมาตอบด้วยดวงตาพราวระยับ ก็เลยถูกค้อนจากเจ้าสาวไปเสียหลายวง เพราะช่างภาพกับคนในร้านยืนฟังการสนทนาอยู่ไม่ไกลกันนัก

ในระหว่างนั้นเองจิรัสยาก็ลงมาพอดี พลวัตซึ่งหันข้างให้ทั้งลูกค้าทั้งสอง ก็เลยเอี้ยวตัวไปหาเพื่อน เปิดโอกาสให้ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเห็นหน้าเขาอย่างชัดเจน

“พี่พล!” ว่าที่เจ้าสาวอุทานลั่นเมื่อเห็นหน้าชายหนุ่ม

พลวัตได้ยินคนเรียกชื่อตัวเองก็หันขวับไปมอง ปรากฏว่าคนที่เรียกชื่อเขาคือ ‘เมษยา’ เธอเป็นรุ่นน้องที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน เขากับเธอเรียนอยู่คนละคณะกัน แต่มารู้จักกันได้เพราะอยู่ชมรมบาสเกตบอลเหมือนกัน

“อ้าว! จะแต่งงานเหรอ ยินดีด้วยนะเมย์ ยินดีด้วยนะครับ” ประโยคหลังชายหนุ่มหันไปบอกว่าที่เจ้าบ่าว

“พี่พลก็จะแต่งงานเหรอคะ” เมษยาถามชายหนุ่ม แต่สายตากลับจับจ้องไปทางมธุรัตน์ไม่วางตา

“เปล่าครับ พี่แวะมาหาจีน่ะ เพื่อนซี้กันตั้งแต่สมัยเรียน” ชายหนุ่มผายมือไปทางจิรัสยา

หญิงสาวนึกได้ว่าเขามีน้องสาว เลยเริ่มสับสนว่าเขามาติดพันเจ้าของร้านที่เป็นสาวประเภทสอง หรือคนที่มาด้วยเป็นแฟนใหม่กันแน่ เธอเลยแกล้งหยอดคำพูดเพื่อดูปฏิกิริยาของเขา

“เมย์เชิญพี่พลไปงานแต่งด้วยนะคะ พวกชมรมบาสไปกันหลายคน”

“ถ้าไม่ติดอะไรพี่ไปแน่ครับ”

“อ้อ! พิงค์เขาก็จะไปด้วย พี่พลรู้ไหมคะว่าเขาหย่าแล้ว เลยกลับมาอยู่เมืองไทย”

‘พิงค์’ คือชื่อเล่นของชมพูนุช อดีตคนรักของพลวัต นอกจากจะเป็นรุ่นน้องที่ชมรมแล้ว เมษยายังเป็นเพื่อนสนิทกับชมพูนุทด้วย และที่ทั้งสองคนมาคบหากันได้ก็เพราะได้เธอช่วยเป็นแม่สื่อให้

“เหรอครับ ไม่ทราบเลย” พลวัตหันมาตอบแบบไม่ได้ยินดียินร้าย

ถ้าเป็นเมื่อสองสามปีก่อน เขาคงจะรู้สึกเจ็บแปลบเวลาได้ยินชื่อคนรักเก่า แต่ตอนนี้นอกจากคำว่า ‘เสียใจด้วย’ ตามมารยาทแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก

เมษยาหันไปมองมธุรัตน์กับจิรัสยาอย่างสังเกต จิรัสยาหันไปมองพลวัตเหมือนจะสังเกตท่าทีแบบเดียวกับที่เธอทำ ส่วนมธุรัตน์ก้มหน้าดื่มโกโก้เย็นของเธอ ด้วยท่าทีที่บ่งว่าบทสนทนาไม่ได้ลอยเข้าหูเธอเลย

สิ่งที่เห็นทำให้หญิงสาวยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้น เมษยาอยากจะอ้อยอิ่งอยู่ต่อเพื่อชวนคุยอีกหน่อย แต่ทั้งตากล้องและว่าที่เจ้าบ่าวต่างก็รอยืนกอดอกรอเธออยู่แล้ว

“รีบกลับเข้าไปถ่ายรูปกันเถอะเมย์ เดี๋ยวจะเสร็จค่ำนะ” ว่าที่เจ้าบ่าวเร่ง

หญิงสาวก็เลยจำเป็นต้องกลับเข้าไปถ่ายรูปในสตูดิโออย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าพอกลับออกมาคนที่เธอต้องการคุยด้วยก็ไม่อยู่เสียแล้ว

“คุณจีอยู่ไหนเหรอคะ” หญิงสาวหันมาถามช่างผมซึ่งเป็นสาวประเภทสอง

“ออกไปกินข้าวข้างนอกเมื่อครู่นี่เองค่ะ ไปกับคุณพลแล้วก็คุณน้ำผึ้ง”

“คุณน้ำผึ้ง ใครคะ ชื่อไม่คุ้นเลย” เมษยาแกล้งถาม

“ก็คนสวยๆ ที่ขาวโอโม่คนนั้นไงคะ เห็นพี่จีบอกว่าเขากำลังดูๆ กันอยู่กับคุณพล มองไปมองมาก็เหมาะสมกันดีนะคะ หนุ่มหล่อสาวสวย ถ้าได้แต่งกันนี่สงสัยได้ปิดร้านเตรียมงานเลยล่ะค่ะ เพราะพี่จีกับคุณพลเขาเป็นเพื่อนรักเพื่อนเลิฟกันสุดๆ”

เมษยาพยักหน้ารับแล้วไม่พูดอะไรอีก หญิงสาวรอเวลาให้ช่างผมแกะผมที่ม้วนเกล้าเอาไว้ของเธอออก เสร็จจากตรงนี้เมื่อไรเธอจะรีบบอกต่อข่าวนี้ออกไปเป็นการด่วน


ณ รีสอร์ท บ้านล้อมดาว รีสอร์ทขนาดใหญ่ที่สุดในตัวจังหวัดสระบุรี บนบ้านพักหลังใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่ส่วนตัวของเจ้าของรีสอร์ท หญิงสาวผมยาวดัดเป็นลอนกำลังยืนทอดอารมณ์สูบบุหรี่อยู่ที่เฉลียงบ้าน เธอพ่นควันใส่กระถางดอกไม้ตรงหน้า โดยไม่ห่วงว่าดอกแพนซีสีฟ้าอมม่วงจะเฉาเพราะควันบุหรี่

“ตื่นมาก็อัดควันเลยนะ หายเจ็ตแล็กรึยัง”

ชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาละม้ายคล้ายกันเดินเข้ามาหา แล้วแย่งบุหรี่ไปจากมืออีกฝ่ายมาดูดบ้าง

“ถ้าหายคงไม่อัดควันแก้มึนหรอก ไม่ได้สูบบุหรี่มาหลายเดือนแล้ว” ชมพูนุชหันไปบอกพี่ชายที่อายุมากกว่าสองปี

ภูมิกรกับชมพูนุทเป็นพี่น้องที่หน้าเหมือนกันมากจนคนมักจะทักผิดว่าเป็นฝาแฝดชายหญิง ทั้งคู่ต่างก็มีนัยน์ตาคู่สวยที่เหมือนนัยน์ตาหงส์ จมูกเป็นสัน แม้ไม่โด่งจัดแต่ปลายจมูกก็แหลมเรียวได้รูป รับกับริมฝีปากคู่สวยที่ค่อนข้างบาง

เครื่องหน้าอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ดูดีทั้งนั้น มันจึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่ทั้งคู่ต่างก็เคยผ่านการทำงานงานในวงการบันเทิงมาก่อน

ภูมิกรถ่ายแบบกับแสดงมิวสิกวีดีโอสองสามครั้ง ในขณะที่น้องสาวจริงจังกว่า ชมพูนุชเคยติดโผรายชื่อนางแบบท็อปสตาร์ของเมืองไทย และมีผู้จัดละครติดต่อให้เธอไปทำงานด้วยมากมาย แต่หญิงสาวก็เลือกที่จะทิ้งวงการบันเทิงไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ

“ไม่ได้สูบ แล้วไปเอาบุหรี่มาจากไหน”

“เก็บได้”

ภูมิกรมองซองบุหรี่ในมือน้องสาว แล้วก็คิดได้ว่าเป็นของตัวเองที่วางทิ้งเรี่ยราดเอาไว้ในบ้าน

“จะเลิกจริงจังใช่ไหม พี่จะได้ไม่สูบในบ้าน”

“อืม…ไม่อยากเหี่ยวเร็ว”

เหตุผลที่ทำให้ชมพูนุทติดบุหรี่เพราะเธอต้องการประชดสามี และได้รับความเครียดจากชีวิตสมรสที่ย่ำแย่

เธอกับคาร์ลรักกันอย่างร้อนแรง ในขณะเดียวกันก็ทะเลาะได้อย่างดุเดือดเลือดพล่าน เธอเป็นคนเอาแต่ใจ เขาเองก็ใจร้อน ไฟกับไฟมาเจอกัน ผลที่ได้คือชีวิตแต่งงานที่กลายเป็นทะเลเพลิง

แต่งงานกันไม่ถึงปีเขากับเธอก็นอกใจกันแล้ว พอปีที่สองต่างฝ่ายต่างก็เริ่มเปิดสงครามทำตัวเหลวแหลกประชดประชันกัน เมื่อเข้าปีที่สามเขากับเธอก็กลายเป็นศัตรูกันแบบเปิดเผย แต่ก็ไม่ยอมหย่าขาดจากกันเสียทีเพราะต้องการทรมานอีกฝ่ายให้มากที่สุด

เธอกับเขาต่างก็ไม่เข้าใจว่าจากคนที่เคยรักกันมาก เหตุใดจึงแปรเปลี่ยนเป็นศัตรูกันได้อย่างนี้ พอทะเลาะกันจนถึงจุดอิ่มตัว เธอกับเขาจึงตัดสินใจสงบศึก แล้วยอมรับว่าการประชดประชันไม่ได้ช่วยให้กลับมารักกันดังเดิม ในทางตรงกันข้ามมันกลับฆ่าความรักที่เคยมีต่อกันให้ตายลงจนหมดสิ้น

เมื่อต่างฝ่ายต่างหันหน้าเข้าหากัน และพูดอย่างเปิดอก ทั้งคู่จึงตัดสินใจแยกกันอยู่ เพื่อทดสอบว่ายังหลงเหลือความอาลัยต่อกันหรือเปล่า ผลที่ได้คือคนที่ชมพูนุชคิดถึงไม่ใช่เขา และคนที่คาร์ลคิดถึงก็ไม่ใช่เธอ

เธอกับคาร์ลจึงตัดสินใจหย่ากันในที่สุด ชมพูนุชได้หุ้นในบริษัทเขา กับเครื่องเพชรและข้าวของที่เขาเคยให้อีกจำนวนหนึ่ง ส่วนคฤหาสน์หลังงามกับเงินในธนาคารที่เป็นสินสมรส หญิงสาวไม่ได้เรียกร้องเอามา ทั้งที่ก็มีสิทธิ์ฟ้องร้องเอาได้ การหย่าครั้งนี้จึงจบลงด้วยดีเกินคาด ทั้งเธอและเขาตัดขาดกันอย่างสมบูรณ์ แต่กลับรู้สึกดีต่อกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เมื่อหลุดพ้นจากพันธนาการที่จองจำอยู่ หญิงสาวก็เลิกบุหรี่ และกลับไปดูแลตัวเองให้กลับมาสวยสดใสดังเก่า ชีวิตเหลวแหลกเมื่อคราวที่ยังอยู่แคลิฟอร์เนียทำลายความสวยเธอไปมาก แต่หญิงสาวก็ได้มันคืนในเวลาครึ่งปีต่อมา ด้วยการเข้าสถาบันความงาม และทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการดูแลตัวเอง

แม้เธอจะกลับมาเหยียบบ้านเกิดในฐานะของคนที่ชีวิตคู่ล้มเหลว แต่เธอก็ยังคงสวยเด่นและเชิดหน้าได้อย่างไม่อายใครว่าเธอไม่ใช่ผู้แพ้ เพียงแต่โชคร้ายตัดสินใจผิดพลาดเท่านั้น

“กลับมาอยู่นี่จะอยู่เลยไหม หรือจะไปช่วยพ่อที่ภูเก็ต”

นอกจากรีสอร์ทแห่งนี้แล้ว ครอบครัวของสองพี่น้องยังมีธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ภูเก็ตอีกแห่งหนึ่ง แต่เดิมพ่อกับแม่ตั้งใจจะยกโรงแรมให้ภูมิกร และยกรีสอร์ทให้ชมพูนุช เพราะเห็นว่าหญิงสาวคบหาจริงจังอยู่กับเจ้าของไร่แถบนี้

ทว่าพอเอาเข้าจริงๆ ชมพูนุชกลับแต่งงานไปอยู่ต่างประเทศ ส่วนภูมิกรก็ชอบงานบริหารรีสอร์ทมากกว่าโรงแรม โรงแรมที่ภูเก็ตจึงว่าจ้างผู้บริหารมาดูแล ส่วนพ่อกับแม่ก็อยู่ในตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร คอยเข้าประชุมเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

“อยากอยู่ที่นี่สักพัก น้องสาวคนเดียวเลี้ยงไหวใช่ไหม”

“ถ้าให้เงินเดือนละไม่เกินแสนล่ะก็เลี้ยงไหวอยู่แล้ว”

เขากับเธอมีกันอยู่แค่สองพี่น้อง คนหนึ่งโสดส่วนอีกคนเพิ่งหย่า ก็ต้องดูแลกันไปอยู่แล้ว

“ขอแค่ข้าวกินกับรถสักคันก็พอ”

“ก็เอาสิ แต่ขอคันแดงไว้คันหนึ่งนะ”

คันแดงที่พูดถึง คือรถสปอร์ตเปิดประทุนแบบคลาสสิกที่ภูมิกรประมูลมาได้ เขาเอามาแต่งเครื่องใหม่และทำสีจนกลับมาใหม่เอี่ยม ข้อเสียอย่างเดียวของมันคือเป็นรถโหลดต่ำ ไม่เหมาะกับสภาพถนนเมืองไทยเท่าไร แต่เขาก็สุขใจที่ได้เช็ดถูเจ้าลูกรักคันนี้ และขับมันเข้าไปอวดโฉมในเมืองในวันว่าง

“ได้ ขอคันดำแล้วกันนะ”

หญิงสาวโบกกุญแจรถ BMW ในมือประกอบคำพูด เธอหยิบมันติดมือมาพร้อมบุหรี่ ก่อนหน้าที่จะออกมายืนตรงนี้

“จะออกไปไหน”

“ไม่รู้สิ อาจจะโฉบไปมาแถวนี้ให้เป็นข่าวสักหน่อยว่าคนสวยกลับมาแล้ว”

“ถ้าอยากให้คนไร่นายพฤกษ์รู้ พี่โทรบอกให้ก็ได้ ไม่ต้องลงทุนถึงขนาดนั้นหรอก”

ชมพูนุทยักไหล่เมื่อได้ยินคำพูดของพี่ชาย ท่าทีของเธอคล้ายจะบอกพี่ชายว่า ‘อย่ามายุ่ง’ เพราะเธอมีวิธีการจัดการเรื่องนี้ตามแบบฉบับของเธอเอง

ภูมิกรมองตามร่างระหงที่เดินออกไปจากเฉลียง ด้วยแววตาขบขันในความท่ามากของหญิงสาว เขารู้ดีว่าที่ชมพูนุทมาอยู่กับเขาที่นี่ ก็เพราะอยากจะกลับไปคืนดีกับคนรักเก่าอย่างพลวัต

หากคู่นี้จะกลับมาคืนดีกัน เขาก็คงจะยินดีด้วย พลวัตเป็นคนดี และใจเย็นพอที่จะทนความเอาแต่ใจของชมพูนุทได้ แต่มันคงไม่ง่ายดังที่น้องสาวเขาคิดแน่ เพราะชมพูนุทจากไปโดยทิ้งแผลใหญ่เอาไว้ให้ชายหนุ่ม ภูมิกรเลยได้แต่หวังว่าพลวัตจะใจกว้างเป็นมหาสมุทร ไม่ก็โง่พอที่จะยอมลืมอดีต ไม่อย่างนั้นแล้วคนที่จะต้องเสียใจอาจกลายเป็นชมพูนุทเอง


สิ่งที่ภูมิกรคาดหวังนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะพลวัตใจแคบกว่าที่หลายคนคิด อีกทั้งเวลาสี่ปีที่ผ่านมาก็สอนให้เขาฉลาดพอที่จะรู้จักคำว่า ‘เจ็บแล้วจำ’

พลวัตคบกันหญิงสาวตอนใกล้จบปีสี่ ในขณะที่เธอเพิ่งอยู่ปีสอง เขาจึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโท จากนั้นก็ยอมทำงานบริษัทอยู่พักใหญ่ เพื่อที่จะได้อยู่คอยดูแลเธอ

ก่อนที่ชมพูนุทจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ เธอบอกให้เขารอเธอ แล้วเขาก็บ้าพอที่จะรอโดยไม่คิดมีใครตลอดช่วงเวลาเกือบสามปี แต่แทนที่เธอจะเห็นความมั่นคงที่เขามีให้ ชมพูนุทกลับเห็นเขาเป็นของตาย ผู้หญิงที่ชอบความศิวิไลซ์อย่างเธอเห็นเขากลายเป็นชาวไร่ที่น่าเบื่อ ไม่โก้หรู เธอก็เลยหนีไปหาความท้าทายใหม่

เธอกับเขาคบๆ เลิกๆ กันอยู่เกือบปี ช่วงเวลานี้เองคือช่วงเวลาที่เขาได้มีโอกาสเตรียมใจ เรื่องที่เธอกำลังหมดรักในตัวเขา เมื่อเธอขอเลิก พลวัตจึงปล่อยเธอไปโดยไม่เหนี่ยวรั้ง แม้มันจะทำให้หัวใจเขาแหลกสลายก็ตาม

เวลาช่วยเยียวยาจิตใจเขาทีละน้อย พอนานวันเข้าเขาก็ลืมเธอได้ในที่สุด ชื่อของชมพูนุทที่ได้ยินวันนี้ ช่วยทดสอบได้เป็นอย่างดีว่าเขาไม่เหลือเยื่อใยต่อเธอแล้ว

พลวัตไม่รู้สึกเจ็บปวดเวลาได้ยินชื่อนี้อีกต่อไป แต่จิรัสยาก็ยังคงมองเขาด้วยแววตาที่เป็นห่วง เพราะเธอเป็นเพียงคนเดียวที่เขาปรับทุกข์ด้วย ในช่วงเวลาที่บาดเจ็บเพราะความรัก

พอมาถึงร้านอาหารชายหนุ่มจึงบอกให้มธุรัตน์ไปล้างมือ แล้วถือโอกาสคุยเรื่องนี้กับจิรัสยาให้เข้าใจ

“ห่วงเรื่องพิงค์ใช่ไหม ฉันทำใจได้นานแล้วน่า ไม่ต้องห่วงหรอก”

“ได้ยินแบบนี้ก็สบายใจ แต่จีก็ยังไม่หมดห่วงหรอกนะ”

จิรัสยารู้มาหลายวันแล้วว่าชมพูนุทกลับมา แต่เธอปิดเงียบเอาไว้ไม่บอกพลวัต ก็เพราะกลัวใจชายหนุ่ม พอได้เห็นเขาเป็นปกติเธอก็โล่งใจขึ้นบ้าง

ท่าทางคงจะต้องยกความดีทั้งหมดให้มธุรัตน์ จิรัสยาสังเกตได้ว่าสองหนุ่มสาวดูสนิทกันกว่าครั้งแรกที่มาที่ร้าน พลวัตดูแลมธุรัตน์ราวกับเป็นคนรัก แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะยังไม่รู้ตัวว่าหลงรักมธุรัตน์เข้าแล้ว เธอก็เลยห่วงว่าการกลับมาของชมพูนุทครั้งนี้จะทำให้ความรักครั้งใหม่ของพลวัตมีปัญหา

“ฉันมีอะไรน่าห่วงนักรึไง”

“จะว่ายังไงดีล่ะ ต้องเรียกว่าสัญชาตญาณมั้ง พลคิดบ้างไหมว่าพิงค์เขาอาจจะยังมีเยื่อใยอยู่”

จิรัสยาเอานิ้วแตะริมฝีปากอย่างครุ่นคิด เธอรู้จักชมพูนุทดี แม้จะไม่สนิทสนมแต่เธอก็มองคนแบบนี้ได้ทะลุปรุโปร่ง หญิงสาวไม่ใช่คนติดดินที่จะทนอุดอู้อยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างนี้ได้ ที่ทนอยู่แสดงว่าจะต้องมีวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง ถ้าให้เดาก็คงไม่พ้นเรื่องของพลวัต

“คิดมากน่า เขาเลิกกับสามีแต่ก็ใช่ว่าจะกลับมาหาฉันสักหน่อย”

“แล้วถ้าสมมุติว่าเขากลับมาขอคืนดีล่ะ พลจะทำยังไง” จิรัสยาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

พลวัตมองสีหน้าเคร่งเครียดของเพื่อนแล้วหัวเราะขำออกมา เพราะคิดว่าสิ่งที่เพื่อนพูดขึ้นมานั้นไม่มีทางเป็นไปได้

“คนอย่างพิงค์น่ะหยิ่งจะตาย ลองสะบัดก้นไปแล้ว ไม่กลับมากินของเก่าให้เสียหน้าหรอก”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีน่ะสิ”

ตอนนี้พลวัตอาจจะยังหัวเราะได้อยู่ แต่ถ้าเกิดสิ่งที่เธอคาดเดาเป็นจริงขึ้นมา รับรองว่าพลวัตต้องขำไม่ออกแน่

“ขอบใจที่เป็นห่วงนะจี อย่าคิดมากเลย อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด วันนี้เราคุยเรื่องอดีตกันเยอะแล้ว เปลี่ยนเรื่องคุยกันบ้างดีกว่า”

จิรัสยาพยักหน้ารับแล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เมื่อปรายตาไปเห็นว่ามธุรัตน์กำลังเดินกลับมา

ก็ได้แต่หวังเท่านั้นว่าลางสังหรณ์ในครั้งนี้ของเธอจะผิดพลาด


เพื่อให้ข่าวเรื่องที่ตัวเองกลับมาลอยเข้าหูพลวัต ชมพูนุทจึงขับรับไปกินอาหารที่รีสอร์ทซึ่งอยู่ติดกับไร่ของชายหนุ่ม

ตอนนี้เธอไม่ใช่คนดังเหมือนแต่ก่อน การเข้าไปนั่งกินข้าวอย่างเดียวคงไม่มีใครเอาไปบอกต่อแน่ หญิงสาวก็เลยแวะที่ร้านขายของฝาก ซึ่งเอมอร ภรรยาเจ้าของไร่เป็นผู้ดูแล

เอมอรกำลังสั่งการให้ลูกจ้างปิดร้านพอดี ตอนที่ชมพูนุชเดินไปทักทาย

“สวัสดีค่ะพี่เอม” หญิงสาวยกมือไหว้

“หนูพิงค์! กลับมาตั้งแต่เมื่อไรกันจ๊ะ” เอมอรหันมายิ้มรับอีกฝ่ายในทันที

ครอบครัวเธอและครอบครัวของชมพูนุชต่างก็ทำธุรกิจแบบเดียวกัน ก็เลยติดต่อกันอยู่เสมอในทำนองพึ่งพาอาศัยกัน ถ้าห้องที่รีสอร์ทเธอเต็ม เธอก็จะแนะนำให้ไปพักที่รีสอร์ทบ้านล้อมดาว ในขณะที่ทางนั้นให้ความช่วยเหลือเรื่องสินค้าที่นำมาขาย และส่งผลผลิตสดๆ ให้ในราคากันเอง

“กลับมาตั้งแต่วันศุกร์แล้วค่ะ”

“สามีล่ะจ๊ะกลับมาด้วยไหม แล้วมีน้องรึยัง” เอมอรถามไถ่ตามมารยาท เลยสบโอกาสให้หญิงสาวแสร้งทำเป็นตีหน้าเศร้า

“พิงค์ไม่มีลูกหรอกค่ะ ก็ดีนะคะที่ไม่มี ตอนหย่ากันก็เลยไม่วุ่นวาย”

“ตายจริง! พี่ไม่ทราบเลย ขอโทษนะคะที่ถาม” เอมอรเอามือทาบอกอย่างตกใจ

หญิงสาวเสียใจด้วยกับการหย่าร้างของอีกฝ่ายใจจริง เธอเองก็เป็นผู้หญิง แล้วก็แต่งงานมีครอบครัวมานาน จึงเข้าใจความเจ็บปวดของคนที่ต้องหย่าร้างดี

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พิงค์ทำใจได้แล้ว กลับมานี่ก็เพราะอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่”

หญิงสาวส่งยิ้มเศร้าๆ ไปให้ ก่อนจะเอ่ยลาอีกฝ่ายเพื่อกลับไปที่รถ

ชมพูนุชเหยียดยิ้มเมื่อแผนการดำเนินไปได้อีกขั้น เธอรู้ว่าเอมอรเป็นคนช่างพูด ไม่นานหรอกข่าวเรื่องเธอหย่าจะดังเข้าหูพลวัต

หญิงสาวยังคงยึดติดกับอดีตและพลวัตคนเก่าอยู่ เธอจึงเชื่อว่าเขาจะยอมให้อภัยความผิดของเธอทุกอย่าง และยินดีจะกลับมาเริ่มต้นกันใหม่หากเธอเปิดโอกาส

ชมพูนุชขับรถกลับมาที่บ้าน แล้วนั่งฟังเพลงอย่างกระหยิ่มใจอยู่ได้ไม่นาน ความมั่นใจของเธอก็ถูกทำลาย เพราะความจริงที่ได้รู้จากปากเพื่อนสนิท

“พี่พลมีแฟนใหม่ จริงเหรอยัยเมย์ ไปฟังใครเขามา มั่วหรือเปล่า” หญิงสาวตะโกนใส่โทรศัพท์อย่างไม่เชื่อหู

พลวัตเคยคลั่งไคล้เธอจะตาย คลั่งจนบ้าขนาดที่ว่ายอมยืนตากฝนเป็นชั่วโมงๆ เพื่อง้อเธอ ตอนเธอไปเรียนต่อเขาก็ไม่เคยคิดนอกใจ เขาสาบานว่าเธอจะเป็นรักเดียวของเขาตลอดกาล คนอย่างเขาหนักแน่นมั่นคง แล้วอย่างนี้จะให้เธอเชื่อได้อย่างไร

“เบาหน่อยยัยพิงค์ หูฉันจะแตกตายแล้ว ขอบอกว่าเห็นกับตาเลยย่ะ ไม่ได้มั่ว”

“เห็นที่ไหนเมื่อไร”

“ไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี่เอง ฉันไปถ่ายรูปแต่งงานมา แล้วบังเอิญเจอพี่พลอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งในร้าน”

“แล้วพี่พลไป wedding studio ทำไม เขาจะแต่งงานเหรอ” ชมพูนุทถามเสียงรัวจนลิ้นแทบพันกัน

เธอใจหายวาบ เมื่อรู้ว่าของตายไม่ใช่ของตายอีกต่อไป

“เปล่า เขามาหาเพื่อนเขา คุณจีไง กะเทยที่สวยๆ เจ้าของร้านน่ะ”

“แล้วไป ทีหลังก็เล่าให้มันละเอียดหน่อยสิ ใจหายหมด”

หญิงสาวโล่งอกขึ้นเป็นกองเมื่อรู้ว่าพลวัตยังไม่คิดจะแต่งงาน ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่าเธอยังมีโอกาสที่จะจุดถ่านไฟเก่าให้กลับมาติดอีกครั้ง

“นี่พิงค์ ถามจริงๆ เถอะ เธอกลับมานี่ตั้งใจจะมาคืนดีกับพี่พลใช่ไหม”

ช่วงที่ชีวิตแต่งงานมีปัญหา ชมพูนุทเคยหลุดปากว่าเธอคิดถึงพลวัต แม้จะเป็นเพียงครั้งเดียว แต่เมษยาก็จับน้ำเสียงได้ว่าหญิงสาวกำลังอาลัยเพชรแท้ที่ปล่อยหลุดมือไป

“ใช่ แล้วฉันก็มั่นใจด้วยว่าพี่พลจะต้องกลับมาคืนดีกับฉันแน่”

น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจของชมพูนุททำให้เมษยานึกเป็นห่วง เธอไม่รู้ว่าชมพูนุทไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหน และบางทีมันอาจจะเป็นความมั่นใจแบบผิดๆ ก็ได้ หญิงสาวจึงอดเตือนในฐานะเพื่อนไม่ได้

“ถ้าเธอต้องการพี่พลกลับมาจริงๆ เธอต้องลดอีโกเธอลงมาบ้างนะพิงค์ ขอบอกไว้เลยว่าผู้หญิงที่เขาพามานะไม่ใช่แค่เพื่อนแน่”

“เขาบอกรึไงว่าแฟน หรือใครเมาท์ให้ฟังล่ะ”

ชมพูนุทยังคงใจเย็น เธอเป็นพวกไม่เชื่อข่าวลือ เพราะเคยอยู่ในวงการบันเทิงที่มีแต่การใส่สีและสร้างกระแสมาหลายปี

“ช่างในร้านบอกฉันว่าเขากำลังดูกันอยู่ แต่ฉันฟันธงว่าคบกันชัวร์ เพราะภาพมันฟ้องสุดๆ พี่พลของเธอน่ะนะสวีตหวานแหววกับแม่สาวขาวโป๊ะนั้นจะตาย ทั้งป้อนวิปครีม ทั้งเช็ดปากให้ หวานหยดออกขนาดนั้น เพื่อนที่ไหนเขาทำกัน”

“ไม่จริง!” หญิงสาวร้องเสียงหลง ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อ แต่ไม่คิดว่าพลวัตจะเปลี่ยนไปมาก

เมื่อก่อนเวลาเธอบอกให้เขาป้อนอะไรให้ในร้านอาหาร เขาจะอิดออดไม่อยากทำให้เพราะว่าอายคนอื่น ต้องให้โกรธหรือทำหน้าบึ้งใส่ เขาถึงจะยอมตามใจเธอ ชมพูนุทจึงรู้สึกเสียความมั่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“จริงย่ะ บอกแล้วไงว่าเห็นมากับตา ถ้าเธออยากได้พี่พลคืน ก็ลดทิฐิแล้วไปง้อเขาซะ ไม่อย่างนั้นพี่พลของเธอได้เสร็จแม่สาวขาวโป๊ะนั่นแน่”

คำเตือนของเพื่อนทำให้หญิงสาวตาสว่างในทันที นี่ไม่ใช่เวลาจะมัวมาเล่นตัวอีกต่อไป

‘เธอต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว’


หลังจากกินอาหารเย็นกับจิรัสยาแล้ว พลวัตก็กับมธุรัตน์ก็กลับมาที่ไร่ พอเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เจ้าไมเคิลก็วิ่งเข้ามาหาสองหนุ่มสาวในทันที มันส่งเสียงร้องแล้วเข้ามาคลอเคลียสองหนุ่มสาวด้วยความคิดถึง

“เหงาเหรอ ขอโทษนะ” มธุรัตน์ก้มลงไปลูบหัวเจ้าไมเคิล แล้วอุ้มมันขึ้นมากอดไว้

กอดกันจนหายคิดถึงแล้ว เธอก็หยิบหนูของเล่นที่ซื้อมาจากร้านของฝากมาให้เจ้าแมวน้อย แล้วนั่งลงเล่นกันมันเพื่อชดเชยที่ปล่อยให้มันอยู่เฝ้าบ้านทั้งวัน

“คราวหน้าพามันไปด้วยดีไหม แต่คงต้องใส่สายจูงกันมันวิ่งหายไป”

แมวแตกต่างจากสุนัข ถ้ามันตกใจมันจะวิ่งเตลิดไปเลย ทั้งยังกลับมาหาเจ้าของไม่ถูกเหมือนสุนัขด้วย ดังนั้นถ้าจะพาออกไปเที่ยวข้างนอก ก็ต้องมีตะกร้าและเตรียมการเป็นอย่างดี

มธุรัตน์พยักหน้าว่าเห็นด้วย แล้วก้มหน้าก้มตาเล่นกับเจ้าแมวน้อยต่อ

ในระหว่างนั้นพลวัตก็จัดการแยกข้าวของที่ซื้อมาออกเป็นประเภท เขาแยกของของตัวเองออกมาต่างหาก เอาขนมใส่ไว้ในตู้เย็น ส่วนของฝากที่มธุรัตน์ต้องเอากลับกรุงเทพฯ เขาวางกองไว้ที่ห้องนั่งเล่น พรุ่งนี้จะได้ฝากคนส่งไปส่งไปรษณีย์ให้ เธอจะได้ไม่ต้องหิ้วของพะรุงพะรังตอนขากลับ

เมื่อจัดของเสร็จชายหนุ่มก็ล้วงไปในกระเป๋า เพื่อหยิบกุญแจบ้านเอาไปเก็บตามความเคยชิน จังหวะนี้เองที่กำไลที่แอบซื้อมาร่วงออกมาจากกระเป๋า มันหลุดออกจากซองพลาสติกแล้วกลิ้งไปหยุดตรงหน้ามธุรัตน์

เจ้าไมเคิลที่เล่นอยู่ข้างหญิงสาวพอเห็นของกลมๆ ขยับได้ ก็ตรงรี่เข้าไปตะปบทันที แล้วเอาตัวทับไว้ไม่ยอมให้ใครแย่งของไป พลวัตก็เลยหมดโอกาสกลบเกลื่อน เพราะของกลางถูกยึดไปเสียแล้ว

“อะไร” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาถาม

เธอไม่ได้หมายถึงว่ามันคืออะไร แต่จะถามว่าเขาซื้อมาทำไมเสียมากกว่า

พลวัตคิดหาข้ออ้างไม่ออก อารามตกใจ ปากเลยหลุดคำพูดห้วนๆ ซึ่งตรงข้ามกับความรู้สึกในใจออกไป

“เห็นว่ามันเป็นอะไร มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ให้เธอก็แล้วกัน”

“ปลอกคอแมวใช่ไหม เหมาะกับไมเคิลเลย”

ความเข้าใจผิดของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มถึงกับเหวอไปเลยทีเดียว

แม่คุณใช้อะไรมองกัน ถึงเห็นกำไลเป็นปลอกคอแมว

พอเห็นเธอเอาไปใส่ให้เจ้าไมเคิลจริงๆ พลวัตออกอาการอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก

ชายหนุ่มตวัดสายตาไปมองหญิงสาวด้วยแววตาที่บ่งว่างอนจัด แล้วเดินกระแทกเท้ากลับขึ้นไปข้างบน โดยมีสายตาสงสัยของมธุรัตน์กับเจ้าไมเคิลมองตาม

“ไม่ขำเหรอไมเคิล” หญิงสาวยกตัวเจ้าแมวน้อยขึ้นมาจ้องตากัน

เธอรู้ว่านี่เป็นกำไลสำหรับคนใส่และก็รู้ว่าพลวัตแอบซื้อมันให้เธอ เพราะได้ยินเต็มสองหูตอนที่เขาแอบกระซิบถามกับแม่ค้าว่าอันนี้เหมาะกับเธอหรือเปล่า ชายหนุ่มเก็บใส่กระเป๋าไว้แต่ไม่ยอมให้สักที ท่าทางเหมือนเขินที่จะให้ เธอก็เลยแกล้งพูดแหย่เขา

คนอย่างมธุรัตน์ ถ้าอารมณ์ดีมากๆ ก็อยากจะพูดจาล้อเล่นกับคนอื่นเหมือนกัน แต่สงสัยเธอจะดูเป็นคนจริงจังมากไปหน่อย เขาก็เลยไม่ขำ

คงจะจริงอย่างที่พิมบอก เธอไม่เหมาะกับการเล่นมุกตลกทุกประเภท



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มิ.ย. 2554, 08:20:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:31:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 2682





<< บทที่ 8 ไปเที่ยว   บทที่ 10 ร้ายลึก >>
MYsister 5 มิ.ย. 2554, 10:41:57 น.
ชอบผู้ชายงอน อิอิ


ดารานิล 5 มิ.ย. 2554, 10:44:11 น.
55555+ สงสารพี่พลอ่ะ งอนไปโน่นแระ ว่าแต่ยัยชมพูนุชนี่ท่าจะร้ายว่ะ เดี๋ยวก็ส่งยังสิตางศุ์ลงมาปราบซะหรอก กร๊ากๆๆ


ลูกกวาดสีส้ม 5 มิ.ย. 2554, 12:06:04 น.
55+ สงสารพี่พลจริงๆนะ


ปูสีน้ำเงิน 5 มิ.ย. 2554, 13:27:46 น.
ผู้ชายขี้งอนนะเนี่ย


หมูอ้วน 5 มิ.ย. 2554, 13:58:58 น.
ตัวร้ายยย มาแย้วว


Pat 5 มิ.ย. 2554, 19:11:20 น.
555 แล้วทำไมไม่บอกเค้าตรงๆเล่า เจอมุกหน้าตายเหวอไปเลย อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account