ดวงใจจ้าวรัตติกาล โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
'นางคือจันทราสว่างไสว นางคือจอมใจเมื่ออยู่เคียงขวัญ นางคือคู่แท้แห่งนิรันดร์ นางคือชีวันจ้าวรัตติกาล'
เขาไม่เคยเห็นค่าของสิ่งที่มีจวบจนวันที่เสียไป สายไปไหมหากจะวอนขอให้จันทร์จ้าวกลับมาอยู่เคียงข้าง
Tags: โรแมนติก เจ้าหญิงเจ้าชาย พระเอกขรึม นางเอกขรึมกว่า ความรัก การเมืองเล็กๆ

ตอน: บทที่ 10 พรหมลิขิต

บทที่ 10 พรหมลิขิต

เจ้ากรมการทูตของวังฝั่งขวาทำเรื่องขอเข้าเฝ้าจ้าวรัตติกาลพร้อมกับผู้ติดตามตั้งแต่เช้า และผู้ติดตามคนนั้นก็คือท่านหญิงกัลยาณี หลานสาวของท่าน ข่าวลือเรื่องท่านเจ้ากรมจะถวายท่านหญิงให้แก่จ้าวรัตติกาลจึงดังกระหึ่มไปทั่ววัง

จ้าวรัตติกาลทอดพระเนตรสตรีแปลกหน้าที่ติดตามเจ้ากรมพาทิศมาอย่างสงสัย สาวงามถูกพามาเข้าเฝ้ากษัตริย์จะคิดเป็นอื่นใดได้นอกจากนำมาให้เป็นข้าบาทบริจาริกา

มองแล้วก็ไม่ชอบมาพากลอยู่ ตามธรรมเนียมจะรับใครเข้าฝ่ายในก็ต้องให้ฝ่ายในจัดการ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องผ่านคุณข้าหลวงใหญ่ก่อน เอามายกให้ซึ่งหน้าก็เท่ากับทำข้ามหน้าข้ามตาเจ้านิศามณี จะคิดไปไกลว่าเป็นการประกาศตนเป็นศัตรูก็ยังได้

เจ้ากรมพาทิศเป็นถึงเจ้ากรมการทูตย่อมรู้อยู่แล้วว่าอะไรควรไม่ควร หากเป็นคนอื่นยังพออนุมานได้ว่าทำไปเพราะใจใฝ่สูง แต่พาทิศเป็นคนไม่ทะเยอทะยาน มักน้อย รู้จักหลบเลี่ยง การที่นำหลานสาวมาเข้าเฝ้าจึงถือเป็นเรื่องแปลก ดังนั้นจึงทรงให้ทุกคนในห้องออกไปแล้วสอบถามถึงเหตุผลของท่านเจ้ากรมทูต

“ข้าพระองค์นำหลานสาวมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทในวันนี้ ไม่ได้หมายใจจะถวายให้เป็นข้าบาทบริจาริกา แต่นำมาเฝ้าเพื่อขอพระเมตตาพระเจ้าค่ะ”

“เมตตาแบบไหน ชี้แจงทีเถอะ”

ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าเจ้ากรมการทูตจะมาไม้ไหน

“ก่อนจะกราบทูล ข้าพระองค์อยากจะขอพระเมตตา โปรดเก็บเรื่องที่ข้าพระองค์จะเล่าถวายต่อไปนี้เป็นความลับได้หรือไม่”

“ข้ารับปาก รีบว่ามา”

ท่าทีมีลับลมคมในของท่านเจ้ากรมเริ่มทำให้ทรงรำคาญ หากเป็นเรื่องไร้สาระเห็นทีจะต้องตำหนิกันบ้าง จะได้ไม่เลอะเลือนเอาความอันไร้ประโยชน์มากราบทูล

“กัลยาณีมิใช่หลานสาวโดยสายเลือดของข้าพระองค์ นางเป็นธิดาของเจ้าชายสุกฤตแห่งแคว้นกะลันตากับนางไม้เทพพนา”

แค่มีศักดิ์เป็นพระเจ้าหลานเธอก็น่าตกใจแล้ว แต่สายเลือดเทพพนาในตัวนางนี่สิที่ทำให้ยิ่งต้องตกตะลึงยิ่งกว่า

ผู้คนในจักรตราทวีปมีความเชื่อว่าแดนเหนือสุดบนเทือกเขาหิมะเป็นที่สถิตของทวยเทพ เขาลูกนี้มีชื่อว่าเขาพระสุเมธ ถัดลงมาจะเป็นป่าหิมวัต ซึ่งเป็นที่อาศัยของอมนุษย์ทั้งหลาย มีทั้งภูตผี ปีศาจ สัตว์ประหลาดมากมาย ล้วนเป็นแดนอันตรายอย่างยิ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่สิ่งเลวร้ายอย่างเดียว เหล่าเทพธิดาหรือครึ่งเทพก็ยังมีให้เห็นอยู่ และเทพพนาก็จัดเป็นครึ่งเทพที่ว่า

เขาว่ากันว่าหากได้ดื่มเลือดของเทพพนาจะทำให้เป็นอมตะและหายจากโรคร้าย มนุษย์ผู้ละโมบจึงออกมาล่าเหล่าเทพพนา เทพพนาที่จิตใจบริสุทธิ์รักสงบจึงต้องเร้นกายเข้าไปในป่าลึก และสาบสูญไปไม่มีผู้ใดพบเห็นมากว่าร้อยปีแล้ว

“สี่สิบปีก่อน ข้าพระองค์กับภรรยาเดินทางไปยังแดนเหนือ ภรรยาของข้าพระองค์แท้งลูก ในขณะที่กำลังเศร้าโศกเสียใจอยู่นั้น ข้าพระองค์ก็พบกับทารกเพศหญิงคนหนึ่งถูกทิ้งไว้ จึงได้รับเป็นธิดาบุญธรรม จนนางเติบใหญ่ข้าพระองค์ก็พบสิ่งอัศจรรย์ คือเลือดของนางสามารถรักษาบาดแผลทุกอย่างได้”

“เจ้าแต่งนิทานหลอกเด็กอะไรมาหลอกข้า หยุดเพ้อเจ้อไร้สาระได้แล้ว” จ้าวรัตติกาลทรงตวาดใส่

ทว่าเจ้ากรมสูงวัยกลับท้าให้ทดสอบ ด้วยการหยิบมีดเล่มเล็กที่พกมากรีดเข้าไปในผิวของตน จากนั้นก็หยิบขวดเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ

“นี่คือเลือดของคุลิกา ธิดาบุญธรรมของข้าพระองค์”

พอหยดของเหลวในขวดลงไปที่บาดแผล แผลที่เกิดจากคมมีก็ปิดสนิทไม่เหลือริ้วรอยอะไรไว้ที่แขนเลย

“อัศจรรย์นัก เทพพนามีจริงหรือนี่ แล้วเจ้าต้องการให้ข้าช่วยอะไร”

เมื่อได้ประจักษ์แก่สายพระเนตรแล้วจ้าวรัตติกาลก็ไม่อคติอีก

“ข้าพระองค์อยากจะฝากหลานสาวเอาไว้ในความคุ้มครองพระเจ้าค่ะ ขณะนี้กษัตริย์แห่งกะลันตาพระสติฟั่นเฟือน ทรงหมกมุ่นอยู่แต่ยาอายุวัฒนะจนคิดฆ่าหลานในไส้ของพระองค์เอง”

“แล้วเทพพนาธิดาบุญธรรมของเจ้าเล่า นางเป็นตายร้ายดีอย่างไร” จ้าวรัตติกาลตรัสถามอย่างใคร่รู้

หากกษัตริย์แห่งกะลันตาต้องการยาอายุวัฒนะจริงผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายน่าจะคุลิกาไม่ใช่กัลยาณี

“คุลิกาตายไปนานแล้วพระเจ้าค่ะ” ท่านเจ้ากรมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย แล้วจึงกราบทูลรายละเอียดให้ทรงทราบ

คุลิกาครองจำต้องจากโลกนี้ไปเพราะกฎเกณฑ์ของเทพพนาระบุไว้ว่า เทพพนาที่ให้กำเนิดบุตรแก่มนุษย์จะต้องดับสูญ

ก่อนตายคุลิกาได้ฝากฝังหลานสาวคนนี้เอาไว้ และได้บอกให้รู้ว่าความเชื่อเรื่องได้ดื่มเลือดเทพพนาจนหมดตัวแล้วจะเป็นอมตะนั้นไม่เป็นความจริง เลือดของเทพพนามีคุณสมบัติรักษาโรคบางโรคกับบาดแผลได้เท่านั้น แล้วยิ่งเป็นครึ่งมนุษย์แล้วคุณสมบัติในการรักษาก็ยิ่งแทบจะไม่มี ทั้งลูกครึ่งมนุษย์กับเทพพนายังเกิดมามีกรรมหนัก

‘เด็กคนนี้ต้องเลี้ยงดูอย่างถนอม ห้ามให้เกิดแผลใหญ่เป็นอันขาด มิฉะนั้นแล้วอาจถึงแก่ชีวิตได้’

คุลิกาได้สั่งเสียเอาไว้เช่นนี้ก่อนจะให้กำเนิดกัลยาณี เด็กน้อยลืมตาดูโลกขึ้นมาพร้อมอาการเลือดหยุดไหลยาก ต้องใช้สมุนไพรพิเศษ ไม่ก็เลือดของคุลิกาเท่านั้นจึงจะห้ามเลือดได้

เจ้าชายสุกฤตทรงเลี้ยงดูพระธิดาให้ห่างจากของมีคมทุกประเภท ทั้งยังเก็บรักษาความลับเรื่องสายเลือดของพระธิดาเป็นอย่างดี แต่ความลับก็มาถูกเปิดเผยเข้าจนได้เมื่อกัลยาณีใช้เลือดมารดารักษาอาการป่วยของกษัตริย์แห่งกะลันตา

ใครเลยจะคิดว่าเป็นการทำคุณบูชาโทษ กษัตริย์ชรามีรับสั่งในทางลับให้ทหารจับกุมตัวหลานสาวเพื่อชีวิตอมตะของตน เจ้าชายสุกฤตจึงให้พระธิดาหลบหนีมาอยู่ที่แคว้นกาลัญญุ

“นามจริงๆ ของกัลยาณีคือ เจ้าหญิงกนกดารินทร์ พระเจ้าค่ะ”

เจ้าหญิงกับเจ้านางนั้นมีความหมายเหมือนกัน แต่เรียกขานต่างกันตามพื้นที่ นับจากกาลัญญุขึ้นไปทางเหนือนิยมให้คำว่าเจ้าหญิง ลงมาทางใต้จึงเรียกธิดากษัตริย์ว่าเจ้านาง

“นางเป็นถึงเจ้าหญิง รับนางมาโดยที่กะลันตาไม่รู้เช่นนี้มันจะเป็นการก้าวก่ายเรื่องภายในเกินไปรึ”

“เรื่องนั้นขออย่าได้ทรงวิตกเลยพระเจ้าค่ะ เจ้าชายสุกฤตได้ฝากลายพระหัตถ์มาถวายฝ่าบาทแล้ว”

ท่านเจ้ากรมกราบทูลแล้วนำจดหมายไปถวายให้ ในนั้นมีข้อความขอความเมตตาว่าให้ช่วยคุ้มครองพระธิดาด้วย หากไม่เอ็นดูนางก็อยากให้นึกเสียว่าเป็นพระขนิษฐาพระองค์หนึ่ง ช่วยหาคู่อภิเษกที่เหมาะสมให้โดยเร็ว เพราะหญิงที่ออกเรือนแล้วต่อให้สูงศักดิ์อย่างไรก็ไม่ใช่คนของราชวงศ์อีกต่อไป ถึงครานั้นกษัตริย์แห่งกะลันตาก็หาข้ออ้างเอาตัวไปไม่ได้อีก

“เฮ้อ! อย่างไรข้าก็ต้องช่วยนางสินะ รับไว้เป็นสนมคงทำไม่ได้ เหลือก็แต่เรื่องจับคู่ที่ข้าไม่ถนัด ทั้งท่านทั้งเจ้าชายสุกฤตช่างเข้าใจหาเรื่องมาให้ข้าปวดหัวเสียจริง” จ้าวรัตติกาลทรงบ่นอุบ

สุดท้ายก็ตัดสินใจพระทัยยกนางให้เป็นเพื่อนคุยของเจ้านิศามณี คำว่า ‘เพื่อนคุยของเจ้านาง’ รู้กันโดยนัยว่าเป็นท่านหญิงสูงศักดิ์ที่โปรดให้เข้ามาอยู่ในวังเพื่อหาคู่ครองที่เหมาะสมให้ ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่ขุนนางระดับสูงก็จะเป็นราชองครักษ์ทั้งหลาย ครั้งนี้ไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้โชคดีได้ท่านหญิงที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงเจ้าหญิงไปครอบครอง


จ้าวรัตติกาลทรงมีพระบัญชาให้ท่านเจ้ากรมทูตพาหลานสาวเข้าวังมาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น เพื่อให้คุณข้าหลวงใหญ่จัดพิธีถวายตัวอย่างเป็นทางการให้ ทว่ายังไม่ทันได้จัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย เจ้านิศามณีก็เสด็จมาหาพระสวามีถึงห้องทรงพระอักษรก่อน

“มีธุระอะไรหรือพระชายา” จ้าวรัตติกาลรับสั่งถามด้วยสุรเสียงเป็นมิตรกว่าทุกครา

ถึงยังบรรทมแยกห้อง นานครั้งเสวยกระยาหารด้วยกันที แต่ก็ไม่มีเรื่องทะเลาะ บรรยากาศการเผชิญหน้าของทั้งสองจึงดูผ่อนคลายลงมาก

“หม่อมฉันมีเรื่องอยากกราบทูลเพคะ ไม่ทราบว่าจะขอรบกวนเวลาของฝ่าบาทสักนิดได้หรือไม่”

“ได้สิ มานั่งตรงนี้ก่อนแล้วค่อยพูดกัน”

จ้าวรัตติกาลทรงขยับให้พระชายามานั่งบนเก้าอี้เดียวกันแทนการรับสั่งให้หมาดยกเก้าอี้ให้ แสดงถึงความสนิทสนมที่มีต่อกันมากขึ้น

“หม่อมฉันขอกราบทูลตามตรงอย่างไม่อ้อมค้อมนะเพคะ หม่อมฉันอยากจะทูลขอท่านหญิงกัลยาณี หลานสาวท่านเจ้ากรมการทูตจากฝ่าบาท”

คำขอของพระชายาทำให้ทรงรู้ว่าคุณข้าหลวงใหญ่ยังไม่ได้แจ้งเรื่องเพื่อนคุยให้เจ้านางทรงทราบ

นางคงรู้ว่ามีการถวายหญิงงามมาให้พระองค์จากทางอื่น เลยจะมาทัดทานไม่ให้พระองค์รับไว้

ทำเช่นนี้ไม่สมกับเป็นนางเลย หญิงฉลาดอย่างนิศามณีหากไม่พอใจย่อมมีหนทางอื่นให้จัดการโดยไม่ต้องออกหน้าเอง คติของนางคือฉากหน้าต้องขาวสะอาดไร้มลทินมิใช่หรือ แต่นี่ถึงกับมาขอเอง ทำตัวเป็นพระชายาขี้หึงไปเสียได้ เห็นแล้วแปลกตาจริง

“ข้าต้องใจนางอยากรับไว้ คงให้ไม่ได้” จ้าวรัตติกาลทรงโกหกคำโตยั่วพระชายา

“ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันขอยืมก่อนสักปีสองปีได้ไหมเพคะ นางยังเด็กนัก เพิ่งจะสิบเจ็ดเท่านั้นเอง แล้วก็ไม่ใช่ท่านหญิงทั่วไป เป็นถึงหลานท่านเจ้ากรมการทูต ทรงรับไว้เป็นเพียงบาทบริจาริกาไม่แต่งยศให้ มิน่าสงสารหรือเพคะ ให้หม่อมฉันเอาไปอบรมอีกสักหน่อยถึงครานั้นค่อยให้เป็นพระสนมก็ยังไม่สาย”

เจ้านิศามณีทรงเข้าใจกล่อมเสียจนคนฟังคล้อยตาม ฟังแล้วก็สมเหตุสมผลดี ทว่าจ้าวรัตติกาลก็ยังอดมองนางในแง่ร้ายไม่ได้ ทรงคิดว่าเจ้านางต้องการเอาคนที่พระองค์ต้องพระทัยไปอบรมเอามาเป็นพวก ถึงเวลาต่อให้เมินนางอย่างไรก็ยังมีคนอื่นช่วยเสริมอำนาจให้นาง

“ข้าอยากได้นางตอนนี้ทำไมต้องอดใจ ยามนี้อำนาจฝ่ายในทั้งสองวังเป็นของเจ้า แล้วยังจะมาระแวงเรื่องไม่เข้าท่าไปไย อย่าโลภมากนักเลยนิศามณี เจ้าจะสำลักอำนาจตายเข้าสักวัน” จ้าวรัตติกาลทั้งติทั้งเตือนไปในตัว

ที่ผ่านมาทรงว่าร้ายพระชายาต่างๆ นานา แต่นางก็ไม่เคยร้ายจริงดังที่ว่า

‘พระชายาผู้สมบูรณ์แบบวางตัวไม่เหมาะสมเป็นด้วยหรือ หรือนี่จะเป็นตัวจริงที่นางเก็บซ่อนไว้มานาน’

คิดแล้วก็ทรงผิดหวัง ทั้งที่พยายามมองนางในแง่ดีได้บ้างแล้วแท้ๆ แต่ธาตุแท้ของนางกลับไม่ต่างจากที่ทรงคิดไว้

“หม่อมฉันมิได้โลภเพคะ หม่อมฉันอยากได้นางเพียงแค่คนเดียว หากมีสตรีอื่นที่ต้องพระทัยหม่อมฉันก็จะไม่ขัดขวาง เพื่อแลกกับนางแล้วฝ่าบาทจะตั้งใครเป็นพระสนมก่อนหน้าครบกำหนดสองปีก็ได้เพคะ หม่อมฉันจะไม่ทักท้วงเลย”

หากทรงหมกมุ่นในกามอารมณ์มากกว่านี้สักนิด ข้อเสนอของพระชายาย่อมน่าสนใจ แต่นี่จ้าวรัตติกาลไม่เคยคิดจะรับใครมาเป็นภาระเพิ่ม จึงไม่สนใจข้อเสนอ ท่าทีไม่ยินดียินร้ายของพระชายาต่างหากที่น่าสนใจ

“ทำไมถึงห้ามแค่กัลยาณี หญิงอื่นมีเป็นสิบเป็นร้อยงามกว่านี้ก็มีมาก เจ้าไม่หึงหวงหรือไร” ตรัสแล้วก็ทรงโน้มพระวรกายเข้ามาใกล้อย่างคาดหวังในคำตอบ

“หม่อมฉันบังเอิญได้พบนางเมื่อวานนี้เพคะ นางช่วยหม่อมฉันจากแมงป่องพิษ ได้สนทนากันจึงรู้ว่านางอยากจะเป็นปราชญ์หญิงไม่ได้อยากออกเรือน หม่อมฉันถูกชะตาด้วยทั้งยังอยากตอบแทนนาง จึงตั้งใจจะรับไว้ให้มาฝึกงานเพื่อเป็นราชเลขา โปรดเมตตายกนางให้หม่อมฉันเถิดนะเพคะ” เจ้านิศามณีทรงอธิบายให้พระสวามีฟังตามถามจริง

ทว่าสิ่งที่ทรงอยากรู้ไม่ใช่คำถามข้อแรกแต่เป็นข้อหลัง เมื่อทรงเห็นว่าพระชายาเงียบไปไม่ตอบคำถามข้อหลังจึงทรงถามซ้ำอีกครั้ง

“เหตุผลเจ้ามีแค่นั้นเองรึ ถ้าเช่นนั้นต่อให้ข้ามีสนมอีกเป็นร้อยเจ้าก็ไม่หึงงั้นสิ”

“เพคะ” เจ้านิศามณีตรัสตอบแบบชัดถ้อยชัดคำเสียจนคนฟังสลด

ชายชาตรีย่อมไม่ชอบสตรีที่หึงหวง พระชายาตอบกลับมาเช่นนั้นก็สมควรแล้ว แต่ทำไมหนอในพระทัยกลับร้อนรุ่ม เพียงเพราะไม่ได้รับความหึงหวงจากนาง

“ไม่มีสักนิดเลยรึไร อย่ามาโกหกเชียว เจ้าเป็นชายาข้าก็ต้องหึงข้าสิ” ทรงเปลี่ยนไปคาดคั้นเพื่อที่จะได้รับคำตอบถูกพระทัยเสียอย่างนั้น

สถานการณ์ที่ไม่มีในตำราหรือคือสอนทำให้เจ้านางทรงเงียบไป เจ้านิศามณีทรงเตรียมรับมือพระสวามีจะมีหญิงอื่นมาเต็มที่ แต่ไม่ได้เตรียมรับมือคนเกเรที่ประท้วงอยากให้หวง ความรู้สึกหึงหวงเป็นอย่างไรพระนางเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก เห็นทีพระนางจะใจกว้างเกินไปดังที่บุหรงว่ากระมัง ให้ตรัสโกหกก็ไม่อยากทำ ปฏิเสธไปคงกริ้ว เรื่องที่ทูลขอไว้อาจจะไม่ทรงประทานให้ ดังนั้นเจ้านางจึงทูลอย่างเป็นกลางว่า

“หึงหวงเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือเพคะ แต่เพื่อความสุขของฝ่าบาทหม่อมฉันจะยอมข่มใจ”

แม้มิใช่คำตอบที่จ้าวรัตติกาลทรงหวัง แต่ก็ทำให้ทรงอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง สุดท้ายก็มีรับสั่งประทานท่านหญิงให้ พอได้ของถูกพระใจเจ้านางก็ยิ้มสดใสออกมาให้เห็นเป็นของต่างตอบแทน

พอต่างฝ่ายต่างลดกำแพงของตัวเองลงมาอะไรๆ ก็ดูง่ายขึ้น

นี่กระมังที่เขาเรียกการปรับตัวเข้าหากัน

เห็นพระชายายิ้มให้เช่นนั้น จ้าวรัตติกาลจึงทรงรั้งไว้ให้อยู่เสวยเครื่องเที่ยงร่วมกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า

“ถ้าหึงจริงก็ต้องหัดมาเฝ้าบ้างสิ มาเจอบ่อยกว่าที่เป็น ข้าจะได้เชื่อ”

ทรงตัดแอบอ้อมๆ ว่าอยากจะให้พระชายามาให้เห็นหน้าบ่อยขึ้น ดูเหมือนว่าเสือยิ้มยากปากร้ายอย่างจ้าวรัตติกาลจะเริ่มหัดปากตรงกับใจได้บ้างแล้ว


การจะถวายสตรีสูงศักดิ์ให้เป็นเพื่อนคุยของเจ้านาง ขั้นแรกจะต้องตระเตรียมอาหารมงคลเจ็ดอย่างและของถวายซึ่งก็แล้วแต่จัดเตรียมมา ส่วนมากจะให้เป็นแก้วแหวนเงินทองไม่ก็แพรผ้าเนื้องาม ของชิ้นนี้คนที่จะถวายตัวจะยกใส่พานประเคนถวายให้เจ้านางกับพระหัตถ์ จากนั้นก็จะได้รับพระราชทานเครื่องแบบของนางข้าหลวงชั้นสูง

ท่านหญิงแห่งกะลันตาตะลึงงันไปเมื่อเห็นว่าคนที่นางคุยอย่างออกรสเมื่อวานนี้คือเจ้านางนิศามณี นางจึงรีบหมอบกราบเข้าไปขออภัยโทษ ซึ่งเจ้านางก็มิได้โกรธเคือง ทั้งยังตรัสว่าจะทรงเอ็นดูนางให้เหมือนกับพระขนิษฐา

“ถึงศักดิ์เจ้าจะเป็นเพื่อนคุยเรา แต่เรารู้ว่าเจ้าไม่ปรารถนาจะออกเรือน ถ้าเช่นนั้นลองฝึกงานกับท่านราชเลขาดูหน่อยเป็นไร งานราชเลขาก็ถือว่าเป็นงานของปราชญ์ เจ้าเต็มใจไหม”

“เต็มใจเพคะ เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งเพคะ หม่อมฉันจะตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนมิให้ทรงผิดหวัง” กัลยาณีเอ่ยอย่างกระตือรือร้น

“เรายังไม่รีบใช้งานเจ้าหรอก เที่ยวเล่นสำรวจวังให้ทั่วก่อนเถิดแล้วค่อยว่ากัน วังหลวงกว้างใหญ่จำที่จำทางให้ได้ก่อนจะได้ไม่ต้องกลัวหลง”

เท่าที่ฟังมาภูมิหลังของท่านหญิงนั้นอยู่ในสถานศึกษามาตลอด โรงเรียนกับวังหลวงนั้นต่างกันมาก วังหลวงมีทั้งธรรมเนียม กฎระเบียบมากมาย ฉากหน้างดงาม เบื้องหลังมีแผนสกปรกโสมซุกซ่อนอยู่ จึงอยากให้นางเริ่มปรับตัวให้คุ้นชินเสียก่อนมารับหน้าที่

นอกจากนี้ยังเป็นการทดสอบด้วยว่านางจะเอาตัวรอดในวังหลวงได้ดีสักแค่ไหน เพื่อนคุยของพระนางไม่ได้มีแต่ท่านหญิงกัลยาณีเท่านั้น ยังมีท่านหญิงคนอื่นๆ กับคุณหนูลูกผู้ดีที่ชิงดีชิงเด่นกันอยู่คลอด ทรงอยากจะเห็นเหมือนกันว่าคนที่พระนางคาดหวังจะรับมือกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร

เสร็จจากพิธีเข้าเฝ้าถวายตัวท่านหญิงกัลยาณีก็ถอดชุดงดงามที่สวมเข้าวังออก แล้วเปลี่ยนเป็นชุดที่พระราชทานมาให้ เสื้อผ้าที่ได้มีครบตามจำนวนวันเป็นแบบเดียวกันทั้งหมด ตัวในเป็นชุดกระโปรงแขนกุดสีขาว ชายกระโปรงบานทำให้เดินเหินสะดวก สวมทับด้วยเสื้อคลุมตัดจากผ้าโปร่งสีชมพูยาวเกือบลากพื้น จากนั้นจึงใส่ผ้ารัดเอวทับ แล้วห่มผ้าคลุมไหล่เอาไว้อักชั้น

ยิ่งมีบรรดาศักดิ์เครื่องแต่งกายก็ยิ่งมากชิ้น ทว่าท่านหญิงกัลยาณีที่ยังไม่รู้ธรรมเนียมกลับเห็นว่าเสื้อคลุมผ้าคาดเป็นของเกะกะ จึงสวมเพียงชุดกระโปรงตัวในเพียงอย่างเดียวเวลาเที่ยวสำรวจวัง แม้ผ้าที่ตัดชุดกระโปรงจะเป็นผ้าเนื้อดีแต่เมื่อมองผิวเผินแล้ว นางก็ดูไม่ต่างอะไรกับนางกำนัลรับใช้ทั่วไปนัก

พอลัดเลาะผ่านอุทยานไปถึงวังฝั่งขวาจึงถูกเข้าใจผิดว่าเป็นนางกำนัลรับใช้ที่มาใหม่

“เจ้าสินะคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามา”

ท่านหญิงก็เป็นคนใหม่เช่นกันจึงเอ่ยรับไปว่าใช่

“ดีเลยตามข้ามานี่เร็ว กำลังยุ่งกันอยู่เชียว”

สตรีวัยสามสิบปลายๆ ตรงเข้ามาฉุดแขนแล้วพาลัดเลาะไปยังด้านหลังตำหนักของจ้าวทิวา จุดนี้เป็นที่ตั้งของห้องต้มน้ำอาบสำหรับท่านจ้าว น้ำที่ต้มแล้วจะไหลผ่านท่อไปยังห้องสรง ที่นั่นจะมีคุณข้าหลวงคอยผสมน้ำร้อนเย็น ใส่สมุนไพรหรือกลีบดอกไม้แล้วจะโปรด

“ใส่ฟืนไปเรื่อยๆ อย่าให้ไฟดับล่ะ” หัวหน้านางกำนัลห้องต้มน้ำสั่ง

พอถูกใช้ท่านหญิงก็ยอมช่วยโดยดี ความที่ไม่มีมารดาคอยถนอมจึงถูกเลี้ยงมาอย่างเข้มแข็ง สมัยเด็กจึงแก่นซนอยู่บ้าง พอรู้ความก็ต้องแยกจากพระบิดาไปเล่าเรียนในโรงเรียนสตรีของชนชั้นสูง คิดอ่านเองทำอะไรเองมาตลอดจึงไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง

นางเข้าใจว่าน้ำนี้ต้มให้เจ้านางที่มีพระเมตตาด้วยอาบ จึงใส่ฟืนลงเตาอย่างตั้งใจ ครั้นน้ำเดือดก็ถูกสั่งให้ไปขัดห้องสรง เพราะคุณข้าหลวงเห็นว่ายังสกปรกอยู่ นางก็ไปโดยดีไม่ปริปากบ่น ด้วยคิดว่าตนลี้ภัยจากกะลันตามาพึ่งพระมหากรุณาธิคุณ เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ทำไมจะทำให้ไม่ได้

ระหว่างที่กำลังขัดพื้นอยู่นั้น ด้านนอกก็มีเสียงเอะอะตะโกนว่าให้รีบหลบกันออกไปเพราะท่านจ้าวเสด็จมาสรงน้ำ

“ทรงมาก่อนเวลา แย่จริง รีบหลบไปหลังม่านเร็ว”

หัวหน้านางกำนัลที่มาคุมงานทำความสะอาดร้องสั่งเมื่อเห็นว่านางกำนัลใหม่อยู่ด้านในสุด วิ่งออกมาตอนนี้คงไม่ทันแล้ว

ท่านหญิงคนงามจึงต้องยืนหลบตัวแข็งทื่ออยู่ด้านหลังม่าน ซึ่งทำมาจากผ้าโปร่งเพียงลำพัง

“รอก่อนเพคะ น้ำยังผสมไม่ได้ที่” เสียงคุณข้าหลวงร้องห้ามดังเข้าหูมาแว่วๆ

“ไม่เป็นไร เราอาบได้ ออกไปเถอะ” เสียงบุรุษไม่คุ้นหูดังตามมา

กัลยาณีไม่รู้ว่าคนที่กำลังมาสรงน้ำเป็นใคร รู้แต่ว่าเป็นชาย นางจึงหลับตาปี๋ยกแขนเสื้อขึ้นบังตา เนื่องจากไม่อยากเห็นภาพอุจาด

ทั้งที่สู้อุตส่าห์หลบมุมแต่จ้าวทิวาก็ยังทรงสังเกตเห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่หลังผ้าม่านจนได้ จึงทรงร้องถามว่าใคร

“หม่อมฉันเป็นนางกำนัลเพคะ” กัลยาณีร้องตอบ

“แล้วทำไมต้องหลบๆ ซ่อนๆ ออกมาเดี๋ยวนี้”

รับสั่งนี้ทำให้คนหลังม่านตัวแข็ง เมื่อครู่ท่านหญิงแอบลืมตาขึ้นมามองเห็นเงาดำผ่านม่วน ก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ติดกาย แล้วเช่นนี้จะให้ทนอายออกไปได้อย่างไร

“ไม่เพคะ ให้ตายหม่อมฉันก็ไม่ออกไป” ท่านหญิงกัลยาณียืนกรานอย่างชัดถ้อยชัดคำ

ทว่าบุรุษเลือดร้อนอย่างจ้าวทิวากลับไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามสื่อ การมีนางกำนัลมารับใช้ขณะสรงน้ำสำหรับพระองค์แล้วถือเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นเมื่อนางกำนัลหลังม่านขัดรับสั่งจึงทรงรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล

จ้าวทิวาทรงตรงเข้าไปฉุดแขนหญิงสาวออกมาจากม่าน ท่านหญิงกัลยาณีพยายามขืนตัวไว้ แต่เรี่ยวแรงของสตรีบอบบางหรือต่อกรกับบุรุษได้ สุดท้ายก็ต้องถูกลากถูลู่ถูกังออกมา

ความตกใจทำให้ท่านหญิงเผลอลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือพระเนตรสีครามของจ้าวทิวา ถัดมาคือท่อนแขนกับแผงอกกำยำ ทว่าเมื่อมองต่ำลงไปกลับพบบางสิ่งที่กุลสตรีมิควรรู้เห็น นางจึงกรีดร้องเสียงดังลั่น

“ไร้ยางอายที่สุด!” ว่าแล้วก็ตบหน้าจ้าวทิวาสุดแรง ก่อนจะสะบัดตัววิ่งหนีออกมา ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนคว้างด้วยความงงงัน



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มิ.ย. 2554, 10:40:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:54:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1986





<< บทที่ 9 กัลยาณี   บทที่ 11 ท้าทาย >>
saralun 6 มิ.ย. 2554, 10:57:56 น.
ท่านหญิง ใช่คู่ ของเจ้าทิวา มั๊ยหนอ อิอิ


ลูกกวาดสีส้ม 6 มิ.ย. 2554, 12:27:34 น.
สงสัยจะคู่กัน...อิอิ


หมูอ้วน 6 มิ.ย. 2554, 13:09:09 น.
ท่านหญิงกัลยาณี ยศสูงขนาดนี้ ต้องคู่กับเจ้าทิวา แน่ ๆ เลย
แต่ก็แอบเชียร์ท่านจรีอยู่เหมือนกันนะค่ะ


มะดัน 6 มิ.ย. 2554, 13:21:17 น.
555 เหรไรอ่ะ บรรยายด่วน 555


แว่นใส 6 มิ.ย. 2554, 13:26:35 น.
เจอเนื้อคู๋กันแล้วมั๊งเนี่ย


kaze 6 มิ.ย. 2554, 19:19:24 น.
ตะ...ตบไปแล้ว...แล้วก็ต้องติดตามต่อพรุ่งนี้...
แง๊...ค้างคาที่สุด >___<


cherryfirm 12 มิ.ย. 2554, 17:07:37 น.
ว้าวๆๆ มีลุ้นอ่ะ....อยากรู้จังจะได้คู่กับใคร...อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account