เริงราตรีสีขาว {จากนวนิยายชุด ความลับของผีเสื้อ สนพ. อรุณ}
เขาเกิดมาพร้อมคำทำนาย "สตรีผู้มีชะตาผูกพัน จะทำให้เขาอายุสั้นลง"
และเมื่อเธอคือสตรีผู้นั้น ระหว่างชีวิตกับหัวใจ
เขาจะเลือกสิ่งใด
Tags: รัก ลึกลับ โรแมนติก

ตอน: ตอนที่ ๑๑ (จบตอน)

ใครบอกว่าเขางอน เขาไม่ได้งอนสักหน่อย ก็แค่ไม่พอใจ ไม่ชอบใจ ไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนถึงเนื้อถึงตัวเธอเหมือนที่เขาได้รับโอกาสนั้นก็เท่านั้นเอง ศาศวัตบอกตัวเองมาตลอดทางหลังแยกกับณราตรีกระทั่งมานั่งบนเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องใต้ดิน เขาจบความคิดลงแค่นั้น ไม่พยายามหาคำจำกัดความใดมาเรียกขานความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลอันเป็นเหตุให้เขาปั่นป่วนใจมาตั้งแต่เมื่อคืนตอนรู้ว่าษมาทายาให้ณราตรีจนถึงเช้าวันนี้

ยิ่งความรู้สึกบางอย่างที่ปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรงตอนเขาก้มลงไปประชิด...เกือบจะจูบเธอเข้าให้ ก็ยิ่งทำให้ศาศวัตยังไม่พร้อมจะโผล่หน้าไปพบหน้าณราตรีเข้าไปใหญ่ ชายหนุ่มสลัดศีรษะแรงๆอยากให้เรื่องที่คั่งค้างอยู่ในหัวตอนนี้กระเด็นกระดอนออกไปให้หมด ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีสมาธิทำงานแน่

ครั้นเรื่องของณราตรีเคลื่อนคล้อยผ่านไป เรื่องใหม่ก็เวียนเข้ามาก่อกวนสมาธิเขาอีกจนได้

เมื่อเช้าก่อนที่ณราตรีจะเข้าไปสมทบที่ริมหาดกรวด เขาพบร่องรอยการขุดถอนต้นไม้ในแปลงพืชสมุนไพรซึ่งปลูกไว้ทำการทดลอง แม้ร่องรอยดังกล่าวจะถูกพรางไว้อย่างแนบเนียนจนแทบสังเกตไม่พบ แต่คนที่เพียรออกไปสำรวจตรวจตราอยู่ทุกวันมีหรือจะไม่รู้ เขาจดจำต้นไม้ทุกต้นและดอกไม้ทุกดอกของเขาได้ดี ใครกันแอบมาขุด...และขุดไปทำไม

ศาศวัตสอดมือลงไปในกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ตกันหนาว หยิบกระดุมโลหะสีสนิมออกมา สายตาจับนิ่งอยู่กับตัวอักษรภาษาอังกฤษอันบ่งบอกยี่ห้อซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศ เขาพบกระดุมเม็ดนี้ตรงดงไม้หลังบ้าน ไม่ใช่กระดุมที่หลุดจากเสื้อผ้าเขาแน่ และไม่เคยเห็นจีวรสวมใส่เสื้อผ้ายี่ห้อนี้มาก่อนด้วย

แม้จะมีชื่อผู้ต้องสงสัยอยู่ในใจแล้ว แต่เขาก็ยังไม่อยากฟันธง ศาศวัตจะรอจนษมากับจีวรกลับมาพร้อมหน้า สอบถามให้ได้ความก่อน แล้วค่อยตัดสินเรื่องนี้

กว่าจะรวบรวมสมาธิลงมือวิเคราะห์ข้อมูลที่เฝ้าสังเกตมาตลอดสัปดาห์ได้ก็กินเวลาเกือบชั่วโมง เมื่อเพลิดเพลินกับการทำงานแล้ว เวลาก็ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือหิวโหยแต่อย่างใด แค่ขนมขบเคี้ยวเล็กน้อยที่มีอยู่ก็ทำให้เขาหมกตัวอยู่ในห้องทำงานได้ทั้งวัน

เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็พบนาฬิกาบนผนังห้องทำงานบอกเวลาเกือบหกโมงเย็น แย่แล้ว...ป่านนี้ณราตรีจะเป็นอย่างไรบ้าง อาการแพ้จะกำเริบขึ้นมาอีกมากน้อยแค่ไหนก็ไม่รู้ คิดอย่างร้อนใจพลางเซฟข้อมูลก่อนปิดคอมพิวเตอร์ขณะก้าวยาวๆออกจากห้องทดลองชั้นใต้ดิน ใจนั้นลอยลิ่วนำไปยังห้องนอนใหญ่บนชั้นสองแล้ว

ทว่าเมื่อขึ้นมาถึงกลับพบเพียงห้องว่างเปล่า ไร้วี่แววของคนที่เขากำลังห่วงใย ศาศวัตตามหาจนทั่วบ้าน เข้าห้องโน้นออกห้องนี้จนครบก็ยังไม่พบแม้แต่เงาของณราตรี

ชายหนุ่มเปิดประตูออกไปตามหานอกบ้านท่ามกลางแสงสลัว ฤดูหนาวฟ้ามืดเร็วกว่าปกติเสมอ อากาศเยียบเย็นบาดผิวทำร้ายเขาไม่ได้เลย เพราะใจมัวร้อนรนกระวนกระวายจดจ่ออยู่กับหญิงสาวร่วมบ้านซึ่งอยู่ๆก็หายตัวไป

น่าแปลก...สวนสมุนไพรที่เคยเดินจนทั่วในเวลาไม่นาน วันนี้ยามต้องตามหาใครบางคน มันกลับกว้างขวางขึ้นถนัดตา ชายหนุ่มมุ่งหน้าไปยังริมหาดกรวดแถวๆต้นกรงเล็บนางพญา เดาว่าณราตรีคงไม่ไปในทิศทางที่ไม่รู้จัก เพราะหากไม่ชำนาญทางแล้วอาจหลงเข้าไปยังเขตป่าได้ง่ายๆ

ครั้นพ้นร่มไม้ใบบังทึบทึม อ้อมผ่านไม้พุ่มกอใหญ่ ศาศวัตก็พบร่างเพรียวในเสื้อผ้ามิดชิดรัดกุมเคลื่อนเข้ามาใกล้ เขาเร่งฝีเท้าเข้าไปหาโดยไม่รีรอ ฉวยมือทั้งสองข้างของเธอมากุมไว้พร้อมกับถามอย่างโล่งใจ

“คุณไปไหนมาไนท์ ผมหาเสียทั่วบ้านเลย”

“ฉันมานั่งเล่นข้างนอกตั้งแต่เย็นๆ แล้วได้กลิ่นดอกไม้ มันหอมแล้วก็ทำให้รู้สึกสดชื่นดี ก็เลยนั่งอยู่ตรงนี้เพลินจนค่ำนี่แหละ” เธอชูดอกไม้สีขาวช่อใหญ่ในมือให้ดู ลักษณะมันเหมือนดอกราตรีที่ปลูกตามบ้าน ต่างตรงขนาดดอกใหญ่เท่าลีลาวดี “คุณษมากับจีวรหายไป
ไหนก็ไม่รู้ ตั้งแต่เช้าฉันยังไม่เจอใครเลย”

เธอบอกเหงาๆจนเขาเกือบจะสงสาร ติดตรงชื่อษมาทำให้เขาหงุดหงิดนิดหน่อย ครั้นนึกถึงช่วงเวลาที่เธอตาม ‘ง้อ’ เขาเมื่อเช้าแล้ว ศาศวัตก็ปัดความรู้สึกนั้นออกไปจากใจคล้ายแมลงหวี่แมลงวันอันน่ารำคาญ และรู้สึกผิดที่ทิ้งให้เธออยู่คนเดียวมาทั้งวัน

“สองคนนั่นเข้าเมืองอีกวันสองวันถึงจะกลับ” เขาตอบแล้วถามในสิ่งที่กังวล “แล้วคุณยังแพ้อยู่ไหม”

“มีบ้างค่ะ แต่วันนี้น้อยมาก ไม่ปวดแสบปวดร้อนทรมานเหมือนวันอื่นๆด้วย”

คำตอบของเธอทำให้เขาดีใจ พร้อมกันนั้น ความรู้สึกใจหายก็แทรกซึมเข้ามาอย่าเงียบเชียบ ใกล้จะถึงเวลาที่เธอต้องไปจากบ้านกลางวนาแล้วสินะ ชีวิตเขาจะต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้วใช่ไหม

“ถ้ายังมีอาการ ยังไงก็ต้องทายา จะได้หายสนิท” ศาศวัตเอ่ยเสียงเบา ปล่อยให้ความเงียบไหลเวียนอยู่รอบตัวชั่วขณะ ชายหนุ่มจึงเอ่ยต่อไปว่า “คุณเข้าไปรอในบ้านก่อนนะ เดี๋ยวผมตามเข้าไป”

“ถ้าคุณจะไปเก็บใบไม้มาปั่นยา ฉันขอไปด้วยนะ” ณราตรีวอนขอราวกับเด็กเล็กๆร้องตามผู้ปกครองออกไปเที่ยว เมื่อเขายังเฉย เธอก็จับต้นแขนเขา “นะคะ ข้างนอกนี่มืดออก อยู่เป็นเพื่อนกันสองคนน่าจะดีกว่าอยู่คนเดียว”

ศาศวัตเบือนหน้าซ่อนยิ้ม เธอจะรู้ไหมว่ายามทำเสียงอ่อนๆคล้ายออดอ้อนแบบนี้ ช่างน่ารักและน่าตามใจเป็นที่สุด แต่เขายังอดย้อนถามไม่ได้ “หายโกรธผมแล้วหรือ”

“โกรธ” ณราตรีทวนคำเสียงสูง สบตาคมที่วาววามอยู่ในความสลัวรางของแสงจันทร์ซึ่งเพิ่งเริ่มเยี่ยมฟ้า ดูเจ้าเล่ห์ซ่อนเลศนัยอย่างไรชอบกล สิ่งใดกันหนอทำให้ดวงตาอบอุ่นอ่อนโยนของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายได้เช่นนี้ แถมบางครั้งบางเวลายังเผยแง่มุมร้ายๆมาเขย่าหัวใจเธอให้หวั่นไหวอีกด้วย

“ฉันไปโกรธคุณตอนไหนกัน” จงใจเฉไฉไม่ยอมตอบ

“ก็ตอนที่ผมทำท่าจะจูบคุณยังไงล่ะ” ชายหนุ่มตอบหน้าตาเฉย แม้อากาศข้างนอกจะเย็นเยือก แต่ณราตรีกลับรู้สึกร้อนซู่ที่แก้มทั้งสองข้างลามเลยไปถึงลำคอระหงซึ่งถูกปกปิดไว้อย่างมิดชิดด้วยผ้าพันคอผืนอุ่น

“แค่ทำท่า ไม่ได้จูบสักหน่อย” เมื่อเขากล้าพูดตรงๆ แล้วเธอจะมาเหนียมอายเหมือนสาวแรกรุ่นอยู่ทำไม

“แล้วถ้าผมจูบล่ะ คุณจะโกรธไหม” เขาขยับเข้ามาใกล้อีกนิด เหมือนสนุกที่ได้รุกไล่เธอ หรือเขาอยากรู้ว่ายามหลังชนกำแพงเธอจะมีวิธีเอาตัวรอดแบบไหน...

เธอไม่มีทางยอมแพ้เขาง่ายๆเด็ดขาด ต้องพลิกสถานการณ์ให้ตัวเองกลับมาเป็นฝ่ายรุกบ้าง

“แล้วคุณล่ะ หายงอนฉันแล้วหรือ”

“ผมไม่ได้งอน” ชายหนุ่มยืนยันหนักแน่น

“แล้วอาการถามคำตอบคำ แล้วก็เดินหนีอย่างที่คุณทำเมื่อเช้าน่ะ ไม่งอนแล้วเรียกว่าอะไร”

“บอกว่าไม่ได้งอนก็ไม่ได้งอนสิ” ชายหนุ่มโคลงศีรษะ “อย่าเสียเวลาเถียงกันเลย ค่ำแล้ว ตามมาทางนี้เถอะ”

เขายอมตัดบทง่ายๆ จากนั้นนำเธอไปยังไม้พุ่มกอใหญ่ดอกดกขาวพราวส่งกลิ่นหอมรุนแรงซึ่งณราตรีถือติดมืออยู่ช่อใหญ่ ชายหนุ่มถอดเสื้อแจ๊คเก็ตบางๆที่สวมทับเสื้อยืดเนื้อหนาออกจากตัว

“ถือกางไว้” เขาส่งให้ณราตรีพร้อมกับสั่ง จากนั้นเริ่มเก็บใบที่แลเป็นสีเขียวเข้มในยามค่ำคืนวางลงไปบนเสื้อซึ่งณราตรีกางเป็นเปล จนได้จำนวนมากพอเขาจึงรวบห่อแล้วถือไว้ด้วยมือหนึ่ง ส่วนมือที่ว่างอยู่รวบกำข้อมือเธอไว้หลวมๆ พาเลาะลอดร่มไม้ครึ้มมุ่งสู่บ้านกลางวนาอันเด่นตระหง่านขาวโพลนท่ามกลางแสงจันทร์นวลสลัว ดูลึกลับและงดงามราวกับภาพวาด

“ต้นนี้ชื่อว่าอะไรหรือคะ ดอกเหมือนราตรีแต่ใหญ่กว่า กลิ่นก็คล้าย” ณราตรีถามขณะก้าวตามแรงจับจูงของชายหนุ่ม ทั้งที่เมื่อเช้าก็ถามแล้ว ทว่าได้คำตอบไม่ชัดเจนนัก

“เป็นพืชตระกูลเดียวกันแต่เกิดการกลายพันธุ์ เลยทำให้มีคุณสมบัติหลายอย่างแตกต่างออกไป” เมื่อเขาเล่าคล้ายไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ ณราตรีจึงต้องเก็บซ่อนความสนใจไว้ให้มิดชิด

เท่าที่ได้สัมผัสเอง ทำให้พอจะเดาได้ว่า ‘คุณสมบัติหลายอย่างที่แตกต่าง’ นั้นน่าเป็นคุณสมบัติทางยาทั้งสิ้น ทั้งกลิ่นที่ทำให้รู้สึกสดชื่น ทั้งใบที่สามารถแก้พิษผื่นแพ้ขั้นรุนแรง แล้วส่วนอื่นของมันล่ะ มีคุณสมบัติใดซุกซ่อนอยู่อีก คงดีแน่ถ้าเนเชอรัลเฮลท์สามารถนำต้นราตรีกลายพันธุ์นี้ไปวิจัยเพื่อนำคุณสมบัติเหล่านี้ไปต่อยอดผลิตเป็นยารักษาโรคออกมาจัดจำหน่าย
ถ้าเธอนำเรื่องนี้ไปปรึกษาปรมัตถ์...

แค่คิด...อีกใจนึกแย้งทันที อย่าเลย! เขาไม่อยากเห็นหน้าเธอ พูดกับปทุมทองยังง่ายกว่า เพราะจะว่าไปย่าก็วางมือเพียงแค่หน้าฉากเท่านั้น เบื้องหลังแล้วนางยังคอยชักใยหลายเรื่องเพื่อช่วยบุตรชายอย่างเงียบๆอยู่เสมอ

“คุณย่าฉันชอบเอาดอกราตรีไปไว้บนหัวเตียง ท่านบอกว่ากลิ่นมันทำให้นอนหลับ” ณราตรีเล่าบ้าง “ฉันไม่ชอบกลิ่นหอมเอียนของมันเลย ได้กลิ่นแล้วชวนเวียนหัวคลื่นไส้มากๆ”

“กลิ่นดอกราตรีทั่วไปมีพิษนะ ทำให้คลื่นไส้เวียนหัว” เขาแย้งอย่างไม่เห็นด้วย “ถ้าปริมาณน้อยๆก็คงพอช่วยให้นอนหลับได้ รู้หรือเปล่า” เขาหันมามอง “ตามความเชื่อของคนอินเดีย เขาว่ากลิ่นดอกราตรีจะทำให้ฝันถึงลางบอกเหตุด้วย”

“จริงหรือคะ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย” ณราตรีไม่เคยสนใจความหมายลึกซึ้งหรือความเชื่อที่ติดมากับดอกไม้ชนิดต่างๆอยู่แล้ว สนใจเพียงความสดสวยและกลิ่นหอมของมันเท่านั้น เธอไม่ใช่ผู้หญิงประเภทละเมียดละไมขนาดนั้น ทว่าเมื่อได้ทราบจากศาศวัตแบบนี้แล้วก็อดหวนคิดถึงเรื่องที่ปทุมทองฝันร้ายอยู่บ่อยๆไม่ได้ นางฝันเป็นลางบอกเหตุ หรือฝันเพราะหวาดวิตกกังวลในสิ่งนั้นๆมากเกินไปกันแน่...ขอให้เป็นอย่างหลังทีเถิด

“ดอกราตรีที่นี่ กลิ่นหอมคล้ายดอกราตรีที่บ้านฉันก็จริง แต่กลับทำให้รู้สึกสดชื่น เหมือนเลือดจะสูบฉีดดีด้วยซ้ำ คืนนั้นที่ฉันตื่นมากลางดึกตรงชายหาดกรวดริมลำธารนั่นก็ได้กลิ่นหอม ฉัน.....รู้สึกเหมือนดีขึ้น” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องเพื่อตัดกังวลเรื่องความฝันของปทุมทอง พลางหมุนช่อดอกราตรีช่อโตในมือเล่น

ศาศวัตไม่ได้แสดงความคิดเห็นในข้อนี้ เพียงเหลือบตามองเธอ ข้อมือซึ่งถูกกำหลวมๆได้รับการกระชับให้แน่นขึ้นราวกับเขากลัวว่าเธอจะหลุดลอยหายไป

ข้อมือข้างนั้นถูกปล่อยให้เป็นอิสระเมื่อถึงประตูหลังบ้าน ความเยียบเย็นและว่างเปล่าเข้ามาแทนที่ความอบอุ่น ณราตรีก้มลงมองมือซึ่งไม่มีผื่นแดงตะปุ่มตะป่ำน่าเกลียดแล้ว เหลือเพียงรอยแดงเป็นจ้ำ วันใดที่หายสนิท เธอคงต้องกลับออกไปจากบ้านหลังนี้ จะไม่มีใครทายาและนวดเฟ้นให้ผ่อนคลาย ไม่มีใครเดินไปส่งถึงหน้าห้องนอน ไม่มีรอยยิ้มสดใสชวนให้ยิ้มตาม และไม่มีผู้ชายอบอุ่นที่แฝงแง่มุมร้ายๆน่ารักน่าค้นหาไว้ในตัวคอยดูแลเอาอกเอาใจอีกต่อไป

ถ้านี่เป็นความฝัน ก็คงเป็นฝันดีที่สุดในชีวิตณราตรี และยังเป็นความฝันที่ทำให้เธอไม่อยากตื่นขึ้นมาพบกับความเป็นจริงอันว่างเปล่าอีกเลย

เอาเถอะ อย่างน้อยชีวิตก็เคยได้พบได้รับความรู้สึกดีๆจากคนอื่นบ้าง แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆแต่เธอคงจดจำตลอดไปไม่ลืม




การท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆตลอดหลายปีที่ผ่านมา สอนให้ณราตรีตระหนักถึงความจริงข้อหนึ่งว่า การพบกันเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อนำไปสู่การจากลาเสมอ ทุกครั้งของการเดินทาง นอกจากได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ได้เห็นโลกกว้างแล้ว ยังได้พบเจอคนหลายประเภท บางคนเห็นแก่ตัวคอยเบียดเบียนผู้อื่นเพื่อประโยชน์หรือความสะดวกสบายของตัวเอง บางคนดีแสนดี มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หยิบยื่นมิตรภาพให้อย่างมิได้เสแสร้ง ก่อให้เกิดความประทับใจไม่รู้ลืม แต่ไม่ว่าจะรู้สึกดีเพียงใดเธอก็ไม่เคยอาลัยอาวรณ์เมื่อถึงกาลจากลา กลับตื่นเต้นเสียอีกเพราะนั่นหมายถึงการเดินทางครั้งใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น

แล้วครั้งนี้ทำไมไม่ตื่นเต้นเหมือนทุกคราวเล่า แค่คิดถึงวันที่ต้องกลับออกไปก็ใจหาย

กลิ่นอาหารหอมกรุ่นโชยขึ้นจากจากกระทะบนเตาตรงหน้าดึงณราตรีจากห้วงภวังค์ เนื่องจากษมากับจีวรไม่อยู่ เธอจึงอาสาทำอาหารเองเพราะหลังจากทายาได้ครู่หนึ่งอาการแพ้ของเธอดีขึ้นมาก จนดูเป็นปกติแล้ว ศาศวัตอาสาจะมาช่วยในครัว ณราตรีไม่ยอมขอแสดงฝีมือเอง เขาจึงไม่ทัดทานแถมเปิดโอกาสให้เธอเต็มที่

ณราตรีคีบเนื้อหมูที่ทอดด้วยเนยจนสุกวางในจานซึ่งจัดผักรอไว้แล้ว ราดซอสพริกไทยดำลงไปบนเนื้อชิ้นนุ่มสีเหลืองอมน้ำตาลอ่อนยั่วลิ้น เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี

หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจในผลงาน ก่อนปลดผ้ากันเปื้อนออกแขวนกับตาขอบนผนัง แล้วยกสเต๊กทั้งสองจานตั้งใจนำไปวางบนโต๊ะอาหารในห้องติดกัน แต่แค่หันกลับมาก็แทบชนเข้ากับร่างสูงซึ่งแอบมายืนใกล้เกือบชิดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เธอก้าวถอยอัตโนมัติเป็นผลให้สะดุดขาตัวเองโดยไม่ตั้งใจ ถ้าอีกฝ่ายช้อนเอวเธอไว้ไม่ทัน ณราตรีคงล้มก้นกระแทกพื้นอย่างไม่ต้องสงสัย

บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าระหว่างล้มลงไปกับการยืนแนบชิดกับชายหนุ่มตัวหอมห่างแค่จานสเต๊กกั้นนี่อย่างไหนอันตรายกว่ากัน ปลายจมูกเขาเหมือนจะเรี่ยๆอยู่แถวขมับจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆพาลให้ใจเต้นแรง

“หอมจัง”

ดูเหมือนเขาจะชอบชมลอยๆโดยไม่มีประธานของประโยคอยู่เรื่อย ชวนให้คนฟังลังเลว่าเขาชมอะไรกันแน่ หญิงสาวเหลือบตาขึ้นมอง อ่านสายตาน่าจะง่ายกว่าแปลความหมายในคำพูดคลุมเครือ

ศาศวัตคงเพิ่งรู้ตัว ชายหนุ่มกะพริบตาปริบ ละสายตาจากใบหน้าไปยังจานอาหารพร้อมปล่อยเธอให้เป็นอิสระ “มาผมช่วย” พูดพร้อมกับดึงจานในมือไปถือ แล้วก้าวนำออกไปก่อน

ณราตรีไม่ได้ตามไปทันที เธอโอ้เอ้อยู่ในครัวครู่หนึ่ง รอจนใจเต้นเป็นปกติแล้ว จึงตามออกไปสมทบ

“ปกติคุณทำอาหารทานเองประจำหรือไนท์” ชายหนุ่มถามอย่างสนใจ

“เปล่าหรอก ที่บ้านมีแม่ครัว”

“แต่คุณก็ใช้เวลาทำอาหารไม่นานแถมออกมาได้น่ากิน เหมือนทำเป็นประจำจนเคยมือ” คราวนี้มั่นใจได้ว่าเขาชมอาหารแน่ เพราะเขาจับช้อนและมีดเตรียมพร้อม สายตาจดจ่ออยู่ที่จานตรงหน้า

“บางทีไปเที่ยวต่างจังหวัด แล้วพักรีสอร์ตที่เขาอนุญาตให้ทำอาหารได้ ฉันก็จะลองทำโน่นทำนี่ที่อยากกิน ดูสูตรในอินเทอร์เน็ตเอา ฉันไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ออกเที่ยวตลอดเลยมีโอกาสได้ทำบ่อย”

“ตอนคุณบอกว่าจะทำอาหารเย็นเอง ผมคิดว่าได้กินข้าวไข่เจียวแหงๆ ไม่คิดว่าจะเป็นสเต๊กหมูกับสลัดทูน่าชามโตแบบนี้ กินหรูเลยนะเนี่ย” เขาเอ่ยอย่างอารมณ์ดี

“บังเอิญฉันชอบกินเนื้อสัตว์ แล้วก็ไม่ชอบเมนูไข่เอามากๆ...ฉันว่าคุณชิมก่อนชมดีกว่านะคะ”

ศาศวัตยิ้มราวกับราชสีห์หนุ่มเห็นเหยื่ออันโอชะ พร้อมชูมีดหั่นเนื้อขึ้นตรงหน้าอย่างหมายมั่น แม้จะรู้ว่าเป็นท่าทางที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมาล้อเลียนเธอ แต่ณราตรีก็อดรู้สึกหวาดเสียวจนต้องหลับตาเบือนหน้าหนีไม่ได้ เธอวางส้อมกับมีดในมือ หน้าคงถอดสีอย่างเห็นได้ชัด เพราะเพื่อนร่วมโต๊ะลดมือที่ถือมีดลง นิ่วหน้าถามอย่างเป็นห่วง

“เป็นอะไรหรือเปล่าไนท์ ทำไมคุณทำหน้าแปลกๆ”

“ฉันกลัวมีดค่ะ เรียกว่าโฟเบียเลยก็ได้ ถ้ามีดวางอยู่เฉยๆหรือใช้สอยในงานของมันฉันจะไม่รู้สึก แต่ถ้ายกขึ้นมาระดับคอหรือใบหน้า ฉันจะใจหวิว มือไม้สั่น”

คิ้วเข้มของชายหนุ่มถูกกดเข้าหากัน “เกี่ยวกับรอยแผลเป็นที่คอคุณหรือเปล่า”

คนถูกถามลูบรอยแผลเป็นอย่างเผลอไผล น้ำเสียงหม่นหมอง “อาจมีส่วนก็ได้" การมีร่องรอยของมีคมบาดทำให้เธอระแวงมีดไปด้วย "จนป่านนี้ฉันยังไม่รู้ว่าแผลนี้มาได้ยังไง มันอยู่กับฉันมาตั้งแต่ฉันจำความได้แล้ว”

ทุกครั้งที่ถาม ปรมัตถ์และปทุมทองล้วนปิดปากเงียบ ไม่มีใครเอ่ยถึงที่มาของรอยแผลเป็นนี้ คล้ายกับว่ามันเกิดขึ้นเองเช่นเดียวกับไฝฝีขี้แมลงวันอย่างนั้นแหละ การไม่พูดของคนทั้งสองทำให้เธอคิดถึงพิมพ์ประภา อยากให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาอยู่ในบ้านธนาธิปก่อนรอยแผลเป็นนี้จะเกิดขึ้น มั่นใจได้เลยว่าพิมพ์ประภาไม่เก็บเป็นความลับแน่นอน

“คุณบอกให้ผมรู้ไว้อย่างนี้ก็ดีแล้ว ผมจะได้ระวัง ไม่ล้อเล่นอย่างนี้อีก” ตาสบตาแน่วนิ่ง เสียงทุ้มเอ่ยต่ำลึก “คนเรา ถ้าข้ามผ่านความกลัวไปไม่ได้ ก็ไม่มีทางสัมผัสความกล้าว่าเป็นอย่างไร”

“จะก้าวผ่านไปได้ก็ต้องให้ความกลัวมันพุ่งถึงขีดสุดก่อน ถ้าไม่ตาย ก็คงตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดได้เอง”

“ผมอยากเห็นคุณก้าวผ่านความกลัวไปให้ได้ในทุกๆเรื่อง”

“ฉันก็หวังอย่างนั้น เราลงมือกินกันดีกว่าค่ะ” เธอตัดบท “อย่ามัวนอกเรื่องอยู่เลย เดี๋ยวอาหารเย็นชืดหมดอร่อยจะหาว่าฉันฝีมือไม่ดี”
ศาศวัตจรดมีดหั่นเนื้อหมูให้เหลือชิ้นพอดีคำส่งเข้าปากเคี้ยว สีหน้าแววตาเขาบ่งบอกความพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูด
ณราตรีก็เข้าใจและยิ้มออก เธอเริ่มจัดการอาหารในจานตัวเองบ้าง

“คุณคิดไว้หรือยังว่าถ้ากลับไปนี่คุณจะทำอะไรต่อไป” ชายหนุ่มถามเหมือนชวนคุย

หญิงสาวชะงักมือที่กำลังจะส่งอาหารเข้าปากก่อนวางลงบนจานดังเดิม ส่ายหน้าช้าๆ “ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ”
แค่คิดว่าจะกลับไปเผชิญหน้ากับพ่อซึ่งเกลียดชังไม่อยากพบหน้าเธอ ณราตรีก็นึกไม่ออกแล้วว่าจะใช้ชีวิตในบ้านธนาธิปอย่างไร “อาจไปเที่ยวที่อื่นต่อเรื่อยๆหรือไม่ก็อาจจะหางานทำสักที”

“คุณจะใช้ชีวิตแบบไร้จุดหมายปลายทางแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน” เขาตั้งคำถาม

เมื่อณราตรีตอบไม่ได้ เขาจึงเอ่ยต่อ “ถ้าคุณท่องเที่ยวเพื่อแสวงหาตัวตน หรือเพื่อค้นหาความจริงในชีวิต ผมคงไม่เตือน แต่เท่าที่ฟังจากคำพูดของคุณตั้งแต่วันแรกที่คุณฟื้น ผมว่าคุณตระเวนเที่ยวไปเรื่อยโดยไม่มีจุดมุ่งหมายแน่นอน คุณทำเพื่อประชดหรือเรียกร้องความสนใจจากใครหรือเปล่าไนท์”

คำพูดยาวๆของเขากระทบใจเธออย่างแรง เพียงพบกันไม่กี่วันดูเหมือนเขาจะรู้จักรู้ใจเธอมากกว่าคนในครอบครัวที่เห็นกันมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกเสียอีก

“เวลาเป็นของมีค่านะไนท์ มันผ่านไปแล้วไม่หวนกลับมาอีก เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีพรุ่งนี้ไหม ทุกคนต่างก็อยากมีเวลาอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเรามีโอกาสนั้นแล้ว ทำไมไม่ใช้ให้คุ้ม ใช้แทนคนที่ต้องจากไปก่อนพวกเขาจะทำความฝันของเขาให้สำเร็จ ผมเชื่อว่าชีวิตคุณไม่ได้แย่

เกินกว่าใคร อาจจะดีกว่าผมด้วยซ้ำ แต่ความคิดแง่ลบของคุณนี่ละทำให้คุณไม่สามารถตักตวงความสุขจากการมีชีวิตได้เต็มที่ ตั้งเป้าหมายให้ชีวิตสิ แล้วคุณจะไม่หลงทาง”

ณราตรีแค่นยิ้ม พอหายงอนก็พูดจาเป็นหลักเป็นการได้ราวกับผ่านร้อนผ่านหนาวมาเนิ่นนาน เขาจะรู้บ้างไหมว่าใจที่ถูกความคิดแง่ลบทับถมพอกพูนมา ๒๘ ปีนั้น ไม่สามารถพลิกกลับมามองโลกสวยได้ภายในไม่กี่นาทีหลังจากฟังคำพูดสวยหรูของเขาได้หรอก

แล้วเขารู้บ้างหรือเปล่าว่าเธอดีใจเพียงใดที่ไม่ตั้งเป้าหมายในชีวิตมาตั้งแต่แรก หากเป็นเช่นนั้น เธอคงไม่มีโอกาสพลัดหลงมาพบมาใกล้ชิดเขาแบบนี้!

**********************************

สวัสดีค่ะ พบกันอีกครั้งในวันศุกร์สดใส เนื่องจากตอนที่แล้วคุณศาศวัตไม่ได้ออกมาเข้าฉากเลย

วันนี้เลยจัดไปเต็มๆ ให้หายคิดถึง สัปดาห์หน้าเขาจะยิ่งซู่ซ่าซาบวึ้งกันไปใหญ่

แม่ยกทั้งหลายเตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้วับน้ำหมาก เอ้ย เลือดกำเดากันนะคะ (เข้าข่ายล่อลวงผู้บริโภคอีกแล้ว)

ต้องขอบคุณทุกๆกำลังใจและคอมเม้นท์ของนักอ่านทุกคนที่มอบให้กันมาตลอด

อย่าลืมนะคะ ใครเข้ามาอ่านแล้วจิ้มชอบใจให้แล้ว ฝากคอมเม้นท์ไว้นิดนึง เผื่อเป็นผู้โชคดีได้เริงราตรีสีขาวไปนอนอ่านที่บ้าน

อารัมบทมาหลายบรรทัดพอสมควร มาตอบคอมเม้นท์กันดีกว่า

อสิตา ครอบครัวนี้เต็มไปด้วยคนโรคจิตเนอะ เวลาอยู่ใกล้ๆไม่แสดงออกว่ารัก พอห่างหายไกลกันแล้วมาทำห่วงทำคิดถึง จะให้หนูไนท์หนีไปนานๆเลย ทรมานคนที่บ้านเสียให้เข็ด หุ หุ
ป.ล. อย่าลืมกินอาหารให้ตรงเวลานะแม่ผีเสื้ออวบ เดี๋ยวกรดไหลเยิ้มมมม

พี่แตงกวา เรื่องนี้มีแต่ตัวละครติดนวด ตอนนี้คนอ่านเริ่มติดใจอยากถูกนวดบ้างแล้วใช่ม้า แหม ถ้าเขียนยังไม่จบจะเติมฉากษมานวดให้คุณศาศบ้าง ดูวิว่าจะฟินและอินเหมือนคุณศาศนวดให้หนูไนท์หรือเปล่า ^____^ แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าสัปดาห์หน้าคุณพิมพ์ประภาขวัญใจพี่แตงกวาจะมาเข้าฉากแล้วนา

หนูบาร์บี้ที่รัก วันนี้จัดคุณศาศมาให้เต็มที่เลย พระนางเรื่องนี้ก็ไม่รู้เป็นอะไร ถ้าไม่ถูหลังก็กินข้าว ทำอย่างอื่นเป็นมั่งไหมเนี่ย ไอ้ที่คนอ่านเชียร์ให้ทำก็รั้งๆรอๆอยู่นั่นแหละนะ ลีลาเยอะจริง

คุณดังปัณณ์ ให้โอกาสษมาเขาแสดงบทบาทหน่อยน้าาา จะได้รู้ว่าเขาทำอะไรได้บ้าง นอกจากยิ้มร้ายๆและพูดจากวนประสาท

คุณ Sukhumvit66 ษมากะพรไพลินมีลุ้นไหม คนเเขียนกลอกตาไปมา ลอยหน้าลอบตา และยิ้มเจ้าเล่ห์ ^___^

คุณวรรษา อ่านเรื่องราววันนี้ คดีอาจพลิก พบผู้ต้องสงสัยรายใหม่ ใครหนอ ใครกัน

คุณ ree เพิ่งเข้ามาคอมเม้นทืครั้งแรก ยินดีต้อนรับค่ะ คนบางคนยามอยู่ใกล้ไม่แสดงความรักต่อกัน พอห่าง พอไกล พอไม่รู้ความเป็นไปก็ทำให้กระวนกระวายคิดถึง แต่ตัวละครทุกตัวมีเหตุผลที่ต้องทำแบบนั้นค่ะ แต่เหตุผลคืออะไร...คนเขียนก้คันปากยุบยิบอยากบอกนะคะ แต่ยังบอกไม่ได้จริงๆ อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหน รับรองได้รู้แน่ๆค่ะ

คุณปลายสี ลุ้นได้น้า แต่บอกไม่ได้ว่าสองคนนี้จะลงเอยกันด้วยดีหรือเปล่า ^___^ ทั้งที่อยากบอกเต็มแก่ 555

คุณนักอ่านเหนียวหนึบที่น่ารัก ตอนต่อไปมาแล้วค่ะ มีปริศนามาให้ลุ้นอีกแล้ว

***************************************************************

มีข่าวมาฝากนิดหนึ่งค่ะ เร็วๆนี้จะมีการเล่นเกมแจกหนังสือในเพจ ภาวิน

ส่วนจะแจกเป็นหนังสืออย่างเดียว หรือมีอย่างอื่นเพิ่มด้วยนี่ต้องขออุบไว้ก่อน

แต่ที่แจกแน่ๆ คือหนังสือเริงราตรีสีขาวสามเล่มแน่นอนค่ะ

เข้าไปกดไลค์เพจและรอฟังกติกากันได้เลยค่ะ เร็วๆ นี้แน่นอน

https://www.facebook.com/fasai.phawin







ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.ย. 2556, 03:02:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.ย. 2556, 03:02:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1478





<< ตอนที่ ๑๑ (ครึ่งแรก)   ตอนที่ ๑๒ >>
อสิตา 13 ก.ย. 2556, 03:58:16 น.
นิยายเรื่องนี้ปกสวยมาก เขียนชุดเดียวกันเลยเห็นมาแล้วค่ะ ไม่ได้โม้ สวยแบบวิ้งเลย


พันธุ์แตงกวา 13 ก.ย. 2556, 06:16:17 น.
ฮ่าๆๆ ษมานวดให้คุณชาย น่ากั๊ว
คุณชายหายงอนแล้วเทศนาใหญ่เลย
รอซับน้ำหมากอาทิตย์หน้าอย่างใจจดจ่อ


Sukhumvit66 13 ก.ย. 2556, 08:10:20 น.
ต้องเตรียมหมอนด้วยไหม เผื่ออาจได้จิกกระจาย คริคริ


ดังปัณณ์ 13 ก.ย. 2556, 09:14:05 น.
วิ้วววววววววววววววววว คุณศาศวัตขา แหมๆๆๆๆๆๆ เชียวนะพ่อคุณ อาทิตย์หน้าต้องเตรียมผ้าห่มไว้ชัวร์ อิๆ


วรรษา 13 ก.ย. 2556, 14:16:48 น.
งอน หึง หวง ห่วง รวมเป็นความรัก รักคุณเข้าแล้วใช่ไหมคุณศาศอิอิ


Barby 13 ก.ย. 2556, 15:03:31 น.
ว้าวๆอยู่กันสองต่อสองอ่ะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 13 ก.ย. 2556, 21:50:39 น.
หูยยยย ไรเตอร์รู้ไหม เค้าเตรียมผ้าซับหมากมาตั้งกะเมื่อวานแล้ววว หมากยังไม่ทันจะเคี้ยว น้ำหมากยังไม่ทันจะริด อุ๊ตะ!!!! จบแล้ว
ก็ทำได้แค่พับผ้าซับหมากไว้นอนรอตอนต่อไป อย่าหลอกให้เค้าคอยเก้อน้าาา


ปลายสี 14 ก.ย. 2556, 17:08:04 น.
ได้อยู่กันสองต่อสองมันดีอย่างนี้นี่เอง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account