เริงราตรีสีขาว {จากนวนิยายชุด ความลับของผีเสื้อ สนพ. อรุณ}
เขาเกิดมาพร้อมคำทำนาย "สตรีผู้มีชะตาผูกพัน จะทำให้เขาอายุสั้นลง"
และเมื่อเธอคือสตรีผู้นั้น ระหว่างชีวิตกับหัวใจ
เขาจะเลือกสิ่งใด
และเมื่อเธอคือสตรีผู้นั้น ระหว่างชีวิตกับหัวใจ
เขาจะเลือกสิ่งใด
Tags: รัก ลึกลับ โรแมนติก
ตอน: ตอนที่ ๑๒
หมู่บ้านบุลินธราวันนี้ต่างจาก ๒๔ ปีที่แล้วลิบลับ แม้ถนนหนทางในหมู่บ้านยังร่มรื่นด้วยเงาจากไม้ใหญ่ ริมทางยังเต็มไปด้วยไม้ดอกบานสะพรั่ง แต่ที่ดินว่างเปล่าซึ่งเคยมีอยู่หลายแปลง บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยบ้านหรูเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงที่ดินสองแปลงใหญ่ขนาบข้างบ้านอิฐแดงรูปร่างเหมือนเทวาลัยของเยาวนะเท่านั้นที่ยังว่าง ซึ่งบุลินทร์ก็มิได้ผลักดันขายให้ใคร ดูเหมือนเขาค่อนข้างจะพอใจด้วยซ้ำที่ความเจริญต่างๆไม่อาจทำลายความเงียบสงบของบ้านทรงแปลกตาแห่งนั้นได้
บุลินทร์และธารทิพย์มักแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนเยาวนะเสมอในยามว่าง อีกทั้งยังส่งเด็กรับใช้จากบ้านศราวินเข้าไปดูแลเรื่องความเรียบร้อยตัดแต่งกิ่งไม้ใบหญ้าไม่ให้รกเรื้อ และทำความสะอาดภายในบ้านให้เยาวนะสม่ำเสมอ นอกเหนือจากนั้นแล้วไม่มีใครเคยย่างกรายเข้าไปที่นั่นอีกเลย ส่วนหญิงชราคนเดียวในบ้านก็ไม่เคยออกมาเดินฉุยฉายให้ใครเห็น ธารทิพย์ไม่เคยพบญาติพี่น้องของเยาวนะมาเยี่ยมเยียนสักครั้ง จึงอดเป็นห่วงไม่ได้ แม้ยามที่ขึ้นไปพักผ่อนที่เชียงรายในช่วงฤดูหนาว ก็ไม่ลืมสั่งเด็กในบ้านให้ไปดูแทบทุกวัน ห้ามทอดทิ้ง
แล้วธารทิพย์ก็ได้รับข่าวร้ายว่าเยาวนะล้มป่วย ทำให้เธอต้องรีบกลับกรุงเทพฯโดยไม่มีกำหนดการล่วงหน้า คนชราอายุ ๙๔ ปีอยู่บ้านใหญ่โตเพียงลำพังอย่างนั้น นึกไม่ออกเลยว่าจะช่วยเหลือดูแลตัวเองอย่างไร
“จอดตรงหน้ารั้วอิฐแดงนั่นแหละ” ธารทิพย์สั่งคนขับรถซึ่งไปรับตนจากสนามบิน เธอผลักประตูก้าวลงจากรถทันทีที่จอดสนิท แสดงให้เห็นถึงความร้อนใจ
ปกติเยาวนะมักยืนรอรับอยู่หน้าประตูรั้วเสมอ แต่วันนี้กลับกลายเป็นหนุ่มใหญ่ร่างสูงกำยำ บนศีรษะโพกผ้าเก็บผมมิดชิด ดวงตาคมในกรอบตาลึกรับกับจมูกโด่งเป็นสัน หนวดเครารกครึ้มประดับอยู่รอบริมฝีปากหยักหนา กลางอกมีล็อกเก็ตแบบเปิดฝาได้สีทองแดงเก่าคร่ำสลักลายโอมเด่นชัดห้อยอยู่
ธารทิพย์ขมวดคิ้วสงสัยยังไม่ทันถาม เขาก็เอ่ยขึ้นก่อน “คุณยายบอกให้ผมมารอ จะมีคนมาหา ผมเป็นหลานชายของคุณยายเยาวนะครับ”
“หลานชาย” ธารทิพย์ทวนคำ
“ครับ ผมชื่อราเชนทร์ คุณน้าธารทิพย์ใช่ไหมครับ” เขาถามนอบน้อม
“ใช่ค่ะ”
“ผมทราบจากคุณยายว่าคุณน้าคอยแวะเวียนมาดูแลท่านเสมอ ต้องขอบคุณคุณน้ามากเลยนะครับที่ช่วยดูแลคุณยายผมตลอดเวลายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา” น้ำเสียงและสายตาเขาแสดงชัดว่าซาบซึ้งในน้ำใจ
ธารทิพย์อยากถามเหลือเกินว่าทำไมจึงปล่อยหญิงชราให้อยู่คนเดียวเช่นนี้ แต่ก็ได้คิดว่าไม่ควรจะตัดสินใคร เพราะทุกคนล้วนมีเหตุผลมีจุดยืนของตัวเอง “ได้ข่าวว่าคุณยายไม่สบาย เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”
“โอ ผมนี่เสียมารยาทจริงๆเลย เชิญเข้าบ้านก่อนครับ คุณยายท่านรออยู่แล้ว” เขากระตือรือร้นเชื้อเชิญ พลางเล่าต่อคร่าวๆ “คุณยายลื่นล้มในห้องน้ำ ไปหาหมอมาแล้วก็ดื้อขอกลับมาพักผ่อนที่บ้าน ช่วงนี้ผมมาดูลู่ทางทำธุรกิจในเมืองไทยพอดี เลยแวะมาเยี่ยมคุณยาย และได้อยู่ดูแลใกล้ชิด”
ธารทิพย์ตามร่างสูงเข้าไปภายในบริเวณบ้านอันร่มครึ้ม กลิ่นธูปหอมและกำยานบางเบาให้ความรู้สึกเย็นชื่นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน โดยแวะสักการะเทวรูปพระแม่มีนาคชีเทวีเหมือนทุกครั้ง
“ผมเกิดที่ประเทศไทย แต่อยู่ที่นี่แค่สิบกว่าปีก็ถูกส่งไปเรียนต่อที่อังกฤษ” หนุ่มใหญ่เล่าเรื่อย มิน่าเล่า เขาถึงพูดไทยชัดนัก “ทุกคนในครอบครัวย้ายกลับไปทำธุรกิจที่อินเดีย พอคุณแม่ผมเสีย คุณยายไม่อยากอยู่ที่อินเดียแล้ว ก็เลยกลับมาเมืองไทย ท่านรักสันโดษและไม่ชอบผู้คนวุ่นวาย สั่งเด็ดขาดว่าไม่ต้องส่งคนมาดูแล ท่านอยากใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบตามลำพัง”
ราเชนทร์ผลักประตูบานใหญ่เสียงลั่นเอี๊ยดแทรกขึ้นมาในความเงียบ
ธารทิพย์ก้าวตามหนุ่มใหญ่เข้าไปในบ้าน หน้าต่างโค้งบานกว้างที่วางอยู่ในตำแหน่งทิศทางลมทำให้อากาศภายในถ่ายเทสะดวก ไม่ทึบทึมหรืออึดอัดเหมือนที่เห็นจากด้านนอก
ห้องนอนของเยาวนะอยู่สุดทางเดินด้านทิศตะวันออก เพียงเปิดประตูเข้าไปลมเย็นก็พัดพรูเข้ามาทางหน้าต่าง ม่านสีม่วงแกมแดงสะบัดไหวตามแรงกรรโชก ธารทิพย์คุกเข่าลงข้างเตียงเช่นเดียวกับราเชนทร์ ร่างสงบนิ่งบนเตียงดูผ่ายผอมลงผิดตา เปลือกตายับย่นเปิดปรือขึ้นช้าๆ ริมฝีปากแย้มยิ้มละมุนละไมไม่เคยเปลี่ยน
“คุณยายเป็นอย่างไรบ้างคะ” ธารทิพย์ถามเสียงอ่อน
“เป็นธรรมดา...เป็นธรรมดาของชีวิต” เสียงแหบแห้งตอบผะแผ่ว ทว่าฟังดูมั่นคงมิได้หวั่นไหวอ่อนแอเหมือนอาการทางกายที่ปรากฏ
คำพูดง่ายๆของหญิงชราเหมือนแสงไฟส่องสว่างกลางใจธารทิพย์ ไม่ต้องบรรยายใดๆเธอก็สามารถตระหนักรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสอนอย่างแนบเนียน การเกิด แก่ เจ็บป่วย และตายเป็นธรรมดาของชีวิต ไม่มีใครหลีกพ้น
ธารทิพย์เคยรอดพ้นจากความตายมาแล้วครั้งหนึ่งราวปาฏิหาริย์ จึงเข้าใจดีว่าสรรพสิ่งในโลกล้วนตั้งอยู่บนความเปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของโลก
“คุณยายไปหาหมอไหมคะ ที่โรงพยาบาลมีเครื่องไม้เครื่องมือครบ จะได้ดูแลรักษาได้เต็มที่”
หญิงชราระบายลมหายใจผ่านปลายจมูกโด่งแหลมปลายงุ้มน้อยๆ “จะไปให้เขาจิ้ม ให้เขาเจาะร่างกายให้เจ็บปวดทำไม” นางหลับตาอย่างอ่อนล้า “ใกล้เวลาขึ้นฝั่งแล้ว การเดินทางครั้งใหม่ใกล้จะเริ่มขึ้น...ไม่ช้านี้แหละ”
กำลังใจของคนเจ็บยังเต็มเปี่ยม ความเข้มแข็งของเยาวนะช่วยประคับประคองคนรอบข้างไม่ให้หวั่นไหว
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันแก่แล้ว สังขารเสื่อม ไม่มีทางเยียวยาแก้ไข” นางพึมพำทั้งที่ยังหลับตา “ห่วงเจ้าผีเสื้อหนุ่มนั่นให้มาก โลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน แม้ชะตาชีวิตก็พลิกผันได้”
เจ้าผีเสื้อหนุ่ม...คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากศาศวัต ธารทิพย์ขยับเข้าไปใกล้หญิงชราอีกนิด ถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ยังไงคะคุณยาย”
เยาวนะขมวดคิ้วมุ่นคล้ายกำลังเพ่งมองบางสิ่งบางอย่างจากที่ไกลๆอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายนางได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ เหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก
“ตอนนี้ฉันยังบอกไม่ได้ มองไม่เห็น มันมืดไปหมด”
“คุณยายพักผ่อนเถอะค่ะ แล้วธารจะมาเยี่ยมใหม่”
ธารทิพย์กราบลาแล้วกลับมาขึ้นรถ คำเตือนของแม่เฒ่ายังดังก้องอยู่ในหัว
‘โลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน แม้ชะตาชีวิตก็พลิกผันได้’
เมื่อโลกนี้ไม่มีความแน่นอนแล้วเธอจะกังวลไปไย เสียเวลากับเรื่องที่ยังมาไม่ถึงให้ได้อะไรขึ้นมา แค่เตรียมตัวเตรียมใจให้เข้มแข็งพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงก็พอแล้ว
หลังจากเดินทางผ่านโซนเวลาจนประสบกับปัญหาเจ็ทแล็กหรือโรค ‘เมาเวลา’ เมื่อมาถึงบ้านตากอากาศหรูริมทะเลของบิดา ศาศวัตก็เข้าไปนอนพักเป็นสิ่งแรก แต่จู่ๆเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยอาการหัวใจกระตุกวูบเหมือนจะหลุดออกนอกอก เขาเคยเป็นแบบนี้ตอนขึ้นรถไฟเหาะครั้งแรกที่สิงคโปร์รู้สึกเหมือนจะตายให้ได้
ต่างกันตรงคราวนี้ความรู้สึกรุนแรงกว่าหลายเท่านัก อีกทั้งใจยังประหวัดถึงมารดาอย่างประหลาด เป็นห่วงกังวลสารพัดจนต้องลุกจากเตียงมาตามหา บ้านเงียบเหงาราวกับไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต
‘แม่ แม่ครับ’ ศาศวัตเรียกเสียงดัง เขารู้ว่าบุลินทร์ไปตีกอล์ฟกับลูกค้า แล้วแม่ล่ะ...ไปไหน
ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความวังเวงโหวงเหวงในอกอย่างประหลาดจนทำให้นึกกลัว แต่ถ้าถามว่ากลัวอะไรเขากลับตอบไม่ได้
เขามุ่งหน้าไปยังครัวหลังบ้าน พบเพียงแม่บ้านสูงวัยกำลังหมักเนื้อที่จะทำบาร์บีคิวค่ำนี้อยู่เพียงลำพัง‘แม่ไปไหนหรือครับป้า’
‘เอ่อ ไม่ทราบซีคะ ป้ามัวยุ่งอยู่ในครัวตั้งแต่กลับจากตลาด เมื่อสองสามชั่วโมงก่อนเห็นคุณผู้หญิงบ่นว่าอยากเล่นน้ำ ไม่แน่ใจว่าน้ำในสระหรือในทะเล’
ศาศวัตพยักหน้า ก่อนสาวเท้าเร็วๆไปยังหน้าบ้าน เลื่อนประตูกระจกเปิด มองฝ่าเปลวแดดยามบ่ายออกไปยังชายหาดส่วนตัวสีขาวดังผงแป้งที่ทอดยาวอยู่หน้าบ้าน ในเขตสายตาเขาหาได้พบใครไม่ นอกจากร่มสีขาวเหนือเตียงสำหรับนอนเล่น และเปลใหญ่ถักจากเชือกเส้นโตใต้ต้นลีลาวดีที่ไหวโยนด้วยแรงลม มองไปคล้ายมีใครที่มองไม่เห็นนั่งและแกว่งไกวอยู่กระนั้น เห็นแล้วใจคอไม่ดีเลย
‘แม่ครับ แม่’ เขาใช้เสียงตัวเองข่มความรู้สึกรุนแรงซึ่งอัดแน่นอยู่ในอก ก้าวเท้ายาวๆไปตามทางเดินริมขอบสระ สายตาที่กวาดมองตามชายหาดเหลียวกลับมายังสนามหญ้าเขียวขจีและสุมทุมพุ่มไม้ แม่ชอบต้นไม้ดอกไม้อาจเปลี่ยนใจไม่เล่นน้ำแล้ว
ทว่าคำภาวนาของเขาไม่เป็นผล เพราะเมื่อหันมายังสระน้ำรูปร่างอิสระคดโค้งเข้ากับสวนหน้าบ้านยืดยาวไปจรดหาดทรายเนียนละเอียด บางสิ่งบางอย่างที่สงบนิ่งอยู่ก้นสระก็ดึงสายตาและขาทั้งสองให้ชะงักงันราวกับถูกตอกตรึงไว้กับพื้น ใจทั้งดวงเหมือนหลุดไปกองอยู่ตาตุ่ม เขาไม่เสียเวลาคิดแม้แต่เสี้ยววินาที ร่างสูงพุ่งหลาวลงไปในผืนน้ำสีฟ้าสงบนิ่ง ดำดิ่งลงสู่ก้นสระซึ่งร่างของมารดาจมนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น
ร่างไร้สติของธารทิพย์ถูกนำขึ้นมานอนราบบนขอบสระ ศาศวัตเช็กชีพจรแล้วหัวใจตัวเองยิ่งเต้นแรงด้วยความตระหนก เขาแนบหูลงบนหน้าอกข้างซ้าย พบเพียงความเงียบ...ไร้ซึ่งสัญญาณบ่งบอกความมีชีวิต
‘แม่ แม่’ เขาเขย่าเรียกซ้ำๆ หวังปลุกร่างไร้ชีวิตให้ฟื้นคืน
“แม่” เสียงร้อนรนหลุดพ้นริมฝีปากบาง วินาทีถัดมาร่างสูงก็ผวาเฮือกลืมตาโพลงในความมืด ภาพความฝันหายวับ เหลือเพียงใจเต้นระส่ำ ใบหน้าและฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อทั้งที่อากาศภายในห้องหนาวเหน็บ
ชายหนุ่มลูบหน้าพลางถอนหายใจยาวเหยียดอย่างโล่งอก ก็แค่ความฝันเท่านั้น ฝันเหมือนที่เคยฝันอยู่บ่อยครั้ง...หลังเหตุการณ์ร้ายครั้งนั้นผ่านพ้นไป!
ตั้งแต่สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืด ศาศวัตก็นอนไม่หลับอีกจึงลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวและลงมาชั้นล่าง วันนี้เป็นวันแรกในรอบปีกระมังที่เขาไม่นึกอยากลงไปห้องใต้ดิน ไม่อยากเห็นหลอดทดลองรายเรียงและสัตว์ที่ถูกจับมาทดลองด้วยการฉีดสารสกัดต่างๆจากพืชเข้าไปแล้วสังเกตปฏิกิริยาของมัน หนูกี่ตัวต้องตายไปเพราะการกระทำของเขา กบอีกกี่ตัวที่ถูกจับมาผ่า กี่ชีวิตสูญเสียไปจากการศึกษาวิจัยของเขา
สัตว์ทุกตัวล้วนรักชีวิตไม่ต่างจากคน ไม่ว่าสัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่มันก็มีร่างกายมีจิตวิญญาณ มีวิถีชีวิตและมีความหวาดกลัวเช่นกัน
ขนาดคนซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ มีอวัยวะสมบูรณ์พร้อมเอื้อต่อการดำรงชีวิต มีมันสมองเหนือสัตว์โลกอื่นๆ ยังใช้ชีวิตอยู่บนความหวาดกลัว นอกจากกลัวเชื้อโรคขนาดเล็กจิ๋วซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นแล้ว ยังหวาดกลัวธรรมชาติ กลัวความแก่ ความเจ็บป่วย รวมไปถึงความตาย คงเพราะใจคนเราเต็มไปด้วยความกลัวนี่เอง การผลิตคิดค้นยาใหม่ๆจึงเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน
แน่นอนว่าหากใครสามารถผลิตคิดค้นยาททำให้คนเรารอดพ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ย่อมสามารถเปลี่ยนโลกได้...โลกทั้งใบอาจอยู่ในอุ้งมือคนผู้นั้น แม้แต่เขาเองก็ยังพยายามคิดค้นยาชนิดนั้นอยู่หมือนกัน
แต่มนุษย์จะสามารถเอาชนะธรรมชาติได้จริงหรือ นั่นเป็นคำถามที่เขาเฝ้าถามตนเองอยู่บ่อยครั้งในช่วงหลายวันมานี้ ทุกอย่างจะดีได้ต้องตั้งอยู่บนความสมดุล หากมีคนเกิดเพียงอย่างเดียว ไม่มีคนตาย ต้องใช้ทรัพยากรเท่าไรจึงจะเพียงพอหล่อเลี้ยงชีวิตและความต้องการอันไม่มีสิ้นสุดของมวลมนุษย์ แทนที่จะดิ้นรนเพื่อให้มีอายุยืนยาว สู้เราใช้เวลาขณะนี้ให้คุ้มค่าที่สุดน่าจะดีกว่า
ศาศวัตไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆจึงคิดเช่นนี้ แต่มันทำให้เขาบ่ายหน้าเข้าครัว ทำแซนด์วิชสองชิ้นโตใส่กล่อง หยิบแก้วเก็บความร้อนชนิดมีฝาปิดมิดชิดจากตู้ติดผนังเหนือเคาน์เตอร์เครื่องดื่มมาสองใบ ใบหนึ่งชงกาแฟผสมน้ำผึ้งรสขมหวานเข้มข้น อีกแก้วเป็นน้ำขิงร้อนๆหวานหอม
ตระเตรียมอาหารและเครื่องดื่มเสร็จสรรพเขาก็รีบขึ้นไปยังห้องนอนใหญ่ชั้นสอง ดูเวลาแล้วลังเลว่าจะเคาะเรียกคนข้างในดีไหม ยังไม่ทันตัดสินใจประตูบานหนาหนักตรงหน้าก็ถูกเปิดกว้าง
“อ้าว” ณราตรีแปลกใจเมื่อเห็นเขารีๆรอๆอยู่หน้าห้อง “จะเข้าไปหยิบของใช้ส่วนตัวข้างในหรือเปล่าคะ”
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ดวงตาสองชั้นพับทบสวยเปล่งประกายสดใสกวาดมองการแต่งตัวของเธอเร็วๆ “คุณเข้าไปเปลี่ยนชุดใหม่ดีกว่า เลือกชุดที่รัดกุมทะมัดทะแมงหน่อยนะ”
ณราตรีก้มลงมองตัวเอง กระโปรงยาวกรอมเท้าสีเทาหม่นกับเสื้อยืดคอตลบก็สวมสบายและอบอุ่นเพียงพอแล้วสำหรับการอยู่ในบ้านทั้งวัน แล้วจะเปลี่ยนเป็นชุดทะมัดทะแมงให้อึดอัดไปทำไมกัน
“คุณใกล้จะหายแล้วเป็นปกติแล้ว ผมเลยจะพาออกไปเที่ยว...ก่อนคุณกลับ”
“ไปเที่ยว” ณราตรีทวนคำ น้ำเสียงกระตือรือร้นขึ้นมานิด
“ใช่ ไปเที่ยว เดี๋ยวผมไปรอข้างล่างนะ”
คนฟังพยักหน้า ซ่อนรอยยิ้มยินดีไว้มิดชิด คิดว่าวันนี้ต้องแกร่วอยู่ในบ้านทั้งวันเสียอีก
ณราตรีใช้เวลาไม่นานก็ลงมาสมทบกับชายหนุ่มซึ่งกำลังนั่งผูกเชือกรองเท้าผ้าใบอยู่ตรงประตูหลังบ้าน เขาสวมเสื้อผ้าสีเข้มรัดกุม กระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่บนหลังเป็นสีเขียวขี้ม้าเช่นเดียวกับหมวกแก๊ปบนศีรษะ ดูเหมือนหนุ่มห่ามห้าวพร้อมจะบุกตะลุยไปทุกหนทุกแห่ง ผิดจากชายหนุ่มผู้อบอุ่นอ่อนโยนแต่งตัวสุภาพเรียบร้อยที่ณราตรีเห็นจนเริ่มคุ้นตาเป็นไหนๆ ทว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงซึ่งชวนมองไม่รู้เบื่อ
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนตัวตรงหลังจากผูกเชือกรองเท้าเสร็จ ยามหันมาสบตาเธอ คิ้วสีเข้มเรียงเส้นสวยเลิกขึ้นน้อยๆอย่างล้อเลียน ริมฝีปากบางอมยิ้มกรุ้มกริ่มคล้ายเจ้าตัวรู้ว่าถูกแอบมองมานานแล้ว
รอยยิ้มและดวงตาเปล่งประกายพริบพราวดั่งมีดวงดาวแข่งกันเปล่งแสงอยู่ในนั้นทำให้ณราตรีขัดเขินมองหน้าเขาได้ไม่สนิทใจขึ้นมาเฉยๆ จึงจำเป็นต้องเลื่อนสายตาจากร่างสูงไปมองท้องฟ้าสลัวรางยามรุ่งสางแทน แต่เหมือนเขาจะไม่ปล่อยให้เธอละสายตาจากเขานานนัก เพราะอยู่ๆศาศวัตก็หยิบหมวกผ้าปีกแคบอีกใบที่พับสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกงมาครอบลงบนศีรษะได้รูปซึ่งปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลดกหนายาวถึงกลางหลัง เขาจัดหมวกให้เข้าที่เข้าทางและเก็บผมที่ปรกหน้าผากให้อย่างเบามือ
“หมอกหนา น้ำค้างยังไม่แห้ง ใส่หมวกแบบนี้หัวไม่ชื้น จะได้ไม่เป็นหวัด”
คำพูดง่ายๆของเขาทำให้คนที่โหยหาความรักความเอาใจใส่รู้สึกเหมือนหัวใจเบ่งบานคับอก มั่นใจว่าถึงไปจากบ้านกลางวนาก็คงไม่ลืม...ไม่ลืมคนที่นี่เด็ดขาด...และอาจจะคิดถึงบ่อยๆด้วยก็ได้
ศาศวัตย่ำเท้าไปตามทางดินเล็กๆ ลอดเลี้ยวไปใต้ร่มไม้ใบบังอย่างชำนาญ ณราตรีคุ้นทางแค่ตรงดงดอกราตรีประหลาด เส้นทางต่อจากนั้นไต่ชันขึ้นสู่ที่สูงเรื่อยๆ หลายครั้งศาศวัตปีนป่ายก้อนหินขึ้นไปรออยู่ด้านบน หันกลับมามอง รอคอยจนเธอตามขึ้นไปได้อย่างปลอดภัยจึงก้าวต่อ บางครั้งต้องเหนี่ยวรากไม้หงิกงอขนาดเท่าต้นขาซึ่งงอกออกจากซอกหิน โหนตัวขึ้นไปบนเส้นทางลาดชันอีกระดับ เขาก็มิได้ยื่นมือให้จับและดึงขึ้นไป คล้ายรอให้เธอใช้ความสามารถของตัวเองให้เต็มที่ก่อน เมื่อเห็นตามขึ้นไปได้อย่างสบายและปลอดภัย เขาก็มุ่งหน้าต่อไปเงียบๆ กระทั่งณราตรีผ่อนฝีเท้าลงด้วยความเหนื่อย ชายหนุ่มจึงชะลอความเร็วลงมาเดินเคียงข้าง
“นี่เราจะไปไหนกันคะ” ณราตรีถามขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ออกจากบ้านเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ท้องฟ้าเริ่มสว่างแต่ถูกหมอกขาวบดบัง จนมองไปทางไหนก็เห็นเพียงต้นไม้สีหม่นยืนต้นอย่างสงบ น้ำค้างตกกระทบใบไม้ใบหญ้าดังเปาะแปะไม่ขาดสาย
“ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นในทะเลหมอก” เขาเอ่ยร่าเริง “ตั้งแต่ลมหนาวมาเยือนปีนี้ ผมก็เพิ่งมีโอกาสได้ออกมาเที่ยวชมธรรมชาติวันนี้แหละ อีกประมาณครึ่งชั่วโมงคงจะถึง คุณไหวหรือเปล่า”
“ไหวสิ” น้ำเสียงถือดีดังพร้อมกับเจ้าตัวยืดอกนิดๆ “เสียดายนะทั้งโทรศัพท์มือถือ ทั้งกล้องดิจิทัลหายหมดตั้งแต่ตอนตกน้ำ ไม่งั้นคงได้ถ่ายรูปสวยๆกลับไปเป็นที่ระลึก”
“ทำไมต้องระลึก” ชายหนุ่มย้อนถาม “หรือปกติคุณเป็นคนขี้ลืมจนต้องมีสิ่งกระตุ้นเตือนจึงคิดถึงได้”
“ฉันก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไปนั่นละ บางเรื่องก็ลืมง่ายแสนง่าย บางเรื่องก็อยู่ในความทรงจำนานแสนนานเหมือนว่าชาตินี้จะไม่มีทางลืมได้เลย” อย่างเรื่องแม่คบชู้สู่ชายและฆ่าตัวตายหนีอายทิ้งเธอไว้กับบิดาซึ่งเกลียดเธอจนไม่อยากมองหน้า ต่อให้อยากลืมแค่ไหนก็ลืมไม่ลง
ชายหนุ่มเหลือบตามองคล้ายว่าจับอารมณ์หม่นมัวของเธอได้ “ให้ผมเดาไหมว่าเรื่องไหนที่คุณจำได้ไม่ลืม”
ณราตรีเริ่มระแวงว่าเขาอาจล่วงรู้ความคิดเธอจริงๆ ทว่าเพียงเห็นแววตาสุกใส และรอยยิ้มกรุ้มกริ่มนั่น ก็รู้ว่าเขาแค่ล้อเล่นเท่านั้น หญิงสาวจึงเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม อยากรู้เหมือนกันว่าเขาเดาว่าอะไร
“ก็...” เขาเว้นไปนิด ดวงตาสุกใสเริ่มแพรวพราวเจ้าเล่ห์ “เรื่องที่พ่อหนุ่มน้อยชั้น ม.๔ คนนั้นส่งดอกไม้และช็อกโกแลตมาจีบคุณไม่ขาดน่ะสิ”
ณราตรีหลุดเสียงหัวเราะคิกคัก เขาเดาถูกจริงๆด้วย
“ไม่ได้ตั้งใจจำหรอก มันไม่ลืมเอง เพราะไม่ค่อยมีใครเครซี่ฉันขนาดนั้น จะว่าไปฉันก็เดินทางมาเยอะนะ อาจเคยผ่านพบเขาโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ แต่ก็นั่นแหละ...ผ่านเวลาเนิ่นนานขนาดนี้ใครจะจำกันได้ล่ะ”
“ก็ไม่แน่นะ” ศาศวัตเอ่ยโดยไม่ทิ้งรอยยิ้ม “เขาเครซี่คุณมาก อาจจำคุณได้ไม่มีวันลืม ส่วนคุณน่ะ ไม่สนใจจดจำเขามาตั้งแต่แรก”
“นั่นน่ะสิ” ณราตรีเห็นด้วย “อันที่จริง จดจำกันไปก็ไม่เห็นมีประโยชน์ ถ้าวันนี้เขามาเจอฉัน คงเห็นฉันเป็นแค่หญิงแก่หลักลอย งานการไม่ทำ ไร้ความโดดเด่น ไม่น่าสนใจเหมือนก่อนนี้แล้ว”
“ใครบอกว่าไร้ความโดดเด่นน่าสนใจ” ศาศวัตพึมพำเสียงเบา
กระนั้นณราตรีกลับหูดีอย่างเหลือเชื่อ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นประกายบางอย่างในดวงตาของคนพูดเสียก่อน เธอคงรบเร้าจะฟังเขาพูดออกมาดังๆแล้ว แต่นี่...
หญิงสาวส่ายหน้า ย้ำกับตัวเองในใจ เงียบไว้ดีกว่า ขี้เกียจเข้าเนื้อ!
การเดินทางสิ้นสุดลงเมื่อถึงจุดหมายคือหน้าผาหินโล่งเตียน ลมเย็นพัดกรูเกรียวจนณราตรีต้องตลบผ้าพันคอขึ้นมาปิดจมูกปาก เบื้องหน้าคือทะเลหมอกขาวโพลนกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แสงแห่งวันฉาดฉาย ย้อมกลุ่มเมฆหมอกสุดขอบฟ้าไกลลิบเป็นสีทองอร่ามเรื่อเรือง
ขึ้นเหนือครั้งนี้ณราตรีเพิ่งมีโอกาสได้ชมพระอาทิตย์ขึ้น คล้ายภาพงดงามและลำแสงอบอุ่นไม่ได้หยุดอยู่แค่ผิวกายและสายตา แต่ซ่านซึมเข้าสู่ความรับรู้ของหัวใจ ขับไล่ความหม่นหมองที่เบียดบังพื้นที่ความสุขมาเนิ่นนานให้เลือนหายไป แม้เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ก็สามารถทำให้เธอยิ้มกว้างอย่างเบิกบานใจได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ทะเลาะกับปรมัตถ์และออกจากบ้านมา
“สวยจัง” ณราตรีออกปากชมด้วยความตื่นเต้น ภาพงดงามชวนให้จินตนาการบรรเจิด “แยกไม่ออกเลยอันไหนหมอก อันไหนเมฆ ขาวเหมือนปุยฝ้าย ดูอบอุ่น อ่อนโยนเหมือนที่นอนขนาดใหญ่ น่ากระโดดลงไปเกลือกกลิ้ง”
“เมฆหมอกก็เหมือนความฝัน บริสุทธิ์สวยงาม แต่คว้าจับไม่ได้ ส่วนความจริงที่จับต้องได้ก็ไม่ได้สวยงามราบรื่นอย่างที่ฝัน” คนที่ยืนซ้อนอยู่เบื้องหลังแย้งขึ้น ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “และถ้ากระโดดลงไปคงได้กลิ้งจริงๆนั่นแหละ กว่าจะกลิ้งถึงก้นเหวข้างล่างคงเละเป็นโจ๊ก”
“เป็นความสวยที่ปกปิดอันตรายไว้อย่างมิดชิดสินะ” ณราตรีได้ข้อสรุป
ศาศวัตพยักหน้าเห็นด้วย “ก็เหมือนดอกไม้บางชนิด มีกลีบสีสวย เกสรหวานหอมลวงล่อผีเสื้อให้ลงสัมผัส แล้วกลีบงดงามก็หุบฉับขัง
แมลงโชคร้ายไว้ข้างใน ไปไหนไม่ได้ ดิ้นไม่หลุด สุดท้ายก็ตายอยู่ในนั้น”
ณราตรีหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่ยืนโต้ลมหนาวอยู่ด้านหลัง อากาศเย็นทำให้ปลายจมูกโด่งสวยของเขากลายเป็นสีแดงเรื่อเช่นเดียวกับผิวแก้มที่เคยขาวเนียน
“แหม มันก็ต้องมีเรื่องราวแบบนี้บ้าง ขืนปล่อยให้ผีเสื้อดมดอมดูดน้ำหวานจากดอกไม้อยู่ฝ่ายเดียว ก็จะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไป แล้วผีเสื้อส่วนใหญ่ก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่ดอกไม้เพียงดอกเดียวเสียด้วยสิ” สาบานได้ว่าที่เธอกล่าวไปนั้นหมายถึงผีเสื้อกับดอกไม้จริงๆ
“ผีเสื้อแค่ดูดน้ำหวานจากดอกไม้ แต่ไม่เคยทำลายดอกไม้นะ” เขายังคงแก้ต่างให้ผีเสื้อ
“แล้วผีเสื้ออย่างคุณ เคยพลาดพลั้งตกหลุมพรางดอกไม้ที่ไหนมาก่อนไหมคะ” คำถามที่พ้นริมฝีปากไปแล้วไม่อาจคว้ากลับคืนได้ไม่ว่าจะปรารถนาสักเพียงใด ตอนนี้เรื่องผีเสื้อกลับไม่เกี่ยวกับผีเสื้ออีกต่อไป
“ผีเสื้อตัวนี้เพิ่งได้พบดอกไม้ที่รอคอยมาตลอด ก็หวังนะว่าดอกไม้ที่หมายตาจะไม่มีเล่ห์กลลับลวงซ่อนไว้ให้ต้องมาเสียใจภายหลัง”
ไม่ต้องพูดตรงๆว่า ‘ดอกไม้’ นั้นหมายถึงใคร ณราตรีก็พอจะเดาได้ เพราะดวงตาอ่อนหวานทอดมองมายังเธอทั้งชัดเจนและเปิดเผยราวกับเจ้าตัวไม่ปรารถนาจะปิดบังซ่อนเร้นใดสิ่งที่ใจรู้สึกอีกต่อไป
ต้องเป็นเพราะลมหนาวและอากาศเย็นแน่ๆร่างสูงจึงขยับเข้ามาใกล้จนเกือบชิด ณราตรีอยากถอยหลังหนี แต่นอกจากเบื้องหลังเธอจะเป็นหน้าผาสูงแล้ว สายตาที่มองสบอยู่ยังคล้ายมีมนต์ขลังสะกดเธอให้หยุดนิ่งแม้กระทั่งลมหายใจ
สายตาสองคู่สบประสานกันหลายวินาที ดวงหน้าขาวสะอาดสะอ้านซึ่งบัดนี้แดงเรื่อด้วยปะทะลมหนาวมานานก้มต่ำลงมาช้าๆ ณราตรีอยากเบี่ยงหน้าหลบสายตาแสนหวานซึ่งเปิดเผยความปรารถนาลึกเร้นของเขาเหลือเกิน ยังไม่ทันทำดังใจคิด ระยะห่างที่ถูกทอนให้เหลือน้อยลงก็หยุดชะงักลงเพียงเท่านั้น
ชายหนุ่มระบายลมหายใจอุ่นๆแผ่วเบา ก่อนจะขยับถอยห่างอย่างนุ่มนวล พลางดึงมือเธอให้ทรุดนั่งบนพื้นหินเยียบเย็น “กินมื้อเช้ากันบนนี้แล้วกัน ผมเตรียมแซนด์วิชกับกาแฟมาเผื่อคุณด้วย”
ณราตรีพ่นลมหายใจซึ่งกลั้นไว้ออกมาเฮือกใหญ่ ยกมือทาบอกข้างซ้าย สัมผัสได้ถึงหัวใจที่ยังเต้นรัวแรง ไม่รู้ว่าตื่นเต้นที่เห็นตัวเองยืนห่างขอบหน้าผาแค่ฟุตกว่า หรือเกิดจากการยืนอยู่ใกล้เขาแค่คืบก็ไม่รู้
ศาศวัตนำกล่องพลาสติกบรรจุแซนวิชชิ้นโตออกจากกระเป่าเป้ เปิดและส่งให้เธอเลือกก่อน ตามด้วยแก้วเครื่องดื่มชนิดเก็บความร้อน หญิงสาวรับไว้พลางเอ่ยขอบคุณ ตวัดผ้าคลุมไหล่ที่ปิดปากจมูกออกให้พ้นหน้า หมุนเปิดฝาแก้วแล้วยกขึ้นจรดริมฝีปาก เป่าลมไล่ความร้อนก่อนเริ่มจิบช้าๆ
“คุณชงกาแฟรสเดียวกับที่ฉันดื่มเลย” ณราตรีออกปากชม
คนฟังยิ้มปลื้ม “งั้นเรามาชนแก้วฉลองกันดีกว่า”
“ฉลองเนื่องในโอกาส...” หญิงสาวหันไปถาม
“โอกาสที่เราได้พบกันไง”
“ได้เลย” ณราตรีชูแก้วเครื่องดื่มไปเบื้องหน้า ศาศวัตยกแก้วของตนเองขึ้นมาชนเบาๆดังกริ๊ก
“ชนแซนวิชด้วย ฉลองที่ฉันรอดพ้นจากกรงเล็บนางพญาแดงเถือกนั่นมาได้” หญิงสาวชวนอย่างร่าเริง น้ำเสียงทีใช้เรียกชื่อพืชประหลาดนั่นบ่งบอกความจงชัง
เครื่องดื่มอุ่นจัดทำให้ร่างกายอบอุ่นสามารถนั่งชมบรรยากาศยามเช้าท่ามกลางลมหนาวได้นานขึ้น อาหารเช้าง่ายๆมื้อนั้นจึงกินเวลานานกว่าที่ควร แซนด์วิชหมดไปนานแล้ว เหลือเพียงเครื่องดื่มในแก้วซึ่งทั้งคู่นั่งจิบแกล้มลมหนาวและสายหมอกด้วยท่าทีผ่อนคลายไม่รีบร้อน
“ถ้าหายแล้วยังไม่อยากกลับบ้าน จะอยู่ต่อก็ได้นะ” ศาศวัตเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ ดวงตาทอดมองไปยังทะเลหมอกไกลสุดลูกหูลูกตา
“ไม่ดีมั้งคะ เป็นภาระเปล่าๆ แถมคุณสองคนจะทำงานกันไม่สะดวก เพราะมีฉันคอยอยากรู้อยากเห็นอยู่ร่ำไป” คนพูดคลึงแก้วในมือเล่น
ศาศวัตโคลงศีรษะและหัวเราะเบาๆ
“ฉันพูดจริงใช่ไหมล่ะ”
ชายหนุ่มไม่ตอบ กลับวางเครื่องดื่มลงข้างตัวและหยิบช็อกโกแลตจากช่องหน้าของกระเป๋าเป้
เห็นกระดาษห่อสีทองอร่ามแวววาวณราตรีก็เดายี่ห้อได้ไม่ยาก แต่อดสงสัยไม่ได้ “คุณชอบกินช็อกโกแลตหรือคะ วันก่อนๆไม่เห็นเคยกิน”
“ผมไม่ได้กินให้คุณเห็นต่างหาก กลัวถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กอีก” เขาเอ่ยทั้งรอยยิ้ม ส่งของหวานในกระดาษห่อสีทองให้เธอหนึ่งแท่ง
ณราตรีส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมเหตุผล “ฉันไม่ชอบกินช็อกโกแลต ไม่ชอบกินขนมหวาน”
“แต่ชอบกินเนื้อสัตว์และดื่มกาแฟ” เขาทบทวนความทรงจำ
คราวนี้หญิงสาวพยักหน้ายอมรับ ไม่รู้ว่าที่บ้านจะมีใครจดจำได้ได้บ้างว่าเธอชอบอะไรไม่ชอบอะไร
แค่ตั้งคำถามจบ คำตอบก็ตามมาเองเสร็จสรรพ คงไม่มีใครจำได้หรอก!
ก่อนหน้านี้ ณราตรีเคยหลอกตัวเองว่าเธอเอาแต่เที่ยวตะลอนไปทั่ว แทบไม่อยู่บ้านนานพอให้ใครพิจารณาว่าเธอชอบหรือชังสิ่งใด ครั้นมาอยู่บ้านกลางวนาไม่กี่วัน ร่วมโต๊ะอาหารกันแค่ไม่กี่มื้อ คนที่เพิ่งพบเจอไม่นานกลับจดจำรายละเอียดต่างๆของเธอได้แม่นยำ นี่จึงน่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าระยะเวลาไม่มีผลเท่าความใส่ใจที่มีต่อกัน เพราะเธอยังจำได้เลยว่าปทุมทองโปรดปรานการกินสับปะรดหลังอาหาร ปรมัตถ์ชอบแอบไปสูบบุหรี่ในสวนหลังบ้าน พรไพลินชอบเดินป่าและกินไอศกรีมกะทิสดเวลาเครียด แม้แต่แม่เลี้ยงขาเมาธ์ เธอก็รู้ว่าหล่อนคลั่งไคล้การช็อปปิ้งเป็นที่สุด
“แต่เนื้อสัตว์และกาแฟกินมากๆจะทำให้หน้าแก่นะ” เขาทำเสียงล้อเลียน
“ฉันไม่เห็นจะกลัวแก่เลยสักนิด คุณนี่ชักจะน่าสงสัยแล้วนะ ถึงขนาดรู้ว่ากินอะไรแล้วหน้าแก่ บอกมาตามตรงดีกว่าว่าคุณกลัวแก่ใช่ไหมล่ะ” คำถามล้อเลียนของเธอทำให้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสุกใสราวลูกแก้วหม่นวูบ แต่ไม่นานเขาก็กลบเกลื่อนมันได้มิดชิด
ณราตรีเผลอขมวดคิ้วทันที ทำไมเขาถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ หรือว่าที่เธอแซวจะแทงใจดำเข้าจังเบ้อเริ่ม คนบางประเภทนั้นอ่อนไหวกับเรื่องอายุจนใครก็แตะไม่ได้ บางรายถึงกับประกาศว่า ‘แก่ไม่ได้ ยอมตายดีกว่า’ เลยก็มี ไม่แน่นะบางทีศาศวัตอาจเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้ก็ได้
“ช็อกโกแลตยี่ห้อนี้อร่อยนะ กินแล้วสมองคุณจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ทำให้มีความสุข ลองสิ แล้วจะติดใจ” คำโฆษณาชวนเชื่อของเขาจับจูงณราตรีออกจากความคิด ขนมหวานแท่งเดิมถูกส่งมาให้อีกครั้ง เธอไม่อยากปฏิเสธซ้ำให้เสียน้ำใจ เพราะขนาดเขาชอบดื่มน้ำขิงยังเคยเปลี่ยนมาดื่มกาแฟตามเธอเลย บางครั้งคนเราก็ควรลองเรียนรู้สิ่งใหม่ๆบ้าง ไม่ใช่เรื่องผิดนี่นา
“หวังว่าไม่มียาเสพติดผสม หรือว่าผ่านพิธีปลุกเสกทำเสน่ห์ กินแล้วรักกินแล้วหลงนะ” ณราตรีเอ่ยติดตลกขณะยื่นมือไปรับ
“ถ้าจำเป็นจะต้องใส่บางอย่างลงไป คงไม่ใช่สองอย่างที่คุณว่ามาแน่”
รู้ว่าเขาหยอด แต่ก็อยากรู้ว่าบทสนทนาเช่นนี้จะไปจบลงตรงไหน
“แล้วใส่อะไรคะ”
“ใส่ใจ”
ไม่น่าเชื่อว่ามุกเชยๆของเขาสามารถเรียกรอยยิ้มเธอได้ เออเนอะ คำพูดง่ายๆแค่นี้ก็ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจได้แล้ว หรือว่าต้องขึ้นอยู่กับใครเป็นคนพูดด้วย
ชายหนุ่มเก็บช็อกโกแลตที่กินเหลือลงกระเป๋าเสื้อและเริ่มดึงต้นหญ้าที่แทรกเสียดขึ้นตามรอยหินแตกมาถักอะไรเล่นคล้ายไม่อยากให้มือว่าง
“แหม...หวานตั้งแต่ยังไม่ได้แกะห่อเลย อย่างนี้ต้องลองหน่อยแล้ว” หญิงสาวเย้า แกะกระดาษห่อออก ปากก็เอ่ยไปเรื่อยๆ “คุณรู้ไหมว่าช็อกโกแลตยี่ห้อนี้น่ะ เป็นยี่ห้อเดียวกับที่เด็กน้อยเคยส่งมาจีบฉันเลย”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “ถ้าหนุ่มน้อยคนนั้นรู้เข้าว่าคุณจำเขาได้ฝังใจขนาดนี้คงดีใจ และไม่นึกน้อยใจอีก ถ้ารู้ว่าคุณไม่รับช็อกโกแลตเพราะไม่ชอบกินขนมหวาน”
“ไม่ใช่หรอก” เธอรีบปฏิเสธ “ฉันไม่อยากให้ความหวังใครต่างหาก ถ้าไม่รักไม่ชอบก็ไม่รู้จะไปรับของของเขาทำไม”
“งั้น...” ศาศวัตหันมาสบตาเธอ ก่อนดวงตายาวรีสองชั้นพับทบสวยจะหลุบลงมองช็อกโกแลตในมือเธอ แลเห็นขนตาดกหนายาวงอนเรียงเป็นแพ และดวงตาคู่เดียวกันนี่เองที่วกกลับมามองสบกันอีกครั้ง “ผมก็มีความหวังแล้วใช่ไหม”
ถามเสียงอ่อนโยนแล้วไม่รอให้ณราตรีตั้งตัว เขาดึงมือเธอด้วยกิริยาสุภาพ หญิงสาวเพิ่งสังเกตว่าต้นหญ้าที่เขาดึงขึ้นมาถักๆพันๆเมื่อครู่กลายเป็นแหวนวงย่อม หัวแหวนสานเป็นรูปผีเสื้อกางปีกอย่างอิสระคล้ายกำลังจะโผบิน เขาวางแหวนวงนั้นลงกลางฝ่ามือนุ่ม รวบนิ้วเธอให้กำไว้
“ผีเสื้อมันมีปีกให้โบยบินได้อย่างอิสระก็จริงนะ แต่ผีเสื้อบางตัวก็เหนื่อยกับการบินเดี่ยว อิสรภาพบางทีก็ทำให้เดียวดายจนน่าเบื่อ พอเจอดอกไม้งามที่เฝ้ารอก็ชักอยากถูกกักขังบ้างแล้ว”
ณราตรีสู้สายตาเขาได้ไม่นาน จำต้องเบือนหน้ากลับไปมองท้องฟ้าที่ดวงตะวันขึ้นสูงแล้ว แสงแดดฉาดฉายอาบไล้ให้ความอบอุ่น...อุ่นไปถึงหัวใจเลยทีเดียว
หนุ่มสาวกลับลงจากหน้าผาตอนสายจัด ความสวยงามของธรรมชาติทำให้รู้สึกชื่นตา แววตาและรอยยิ้มของคนข้างกายทำให้รู้สึกชื่นใจ ดอกหญ้าริมทางชูดอกไสวที่ไม่ได้รับความสนใจมาก่อนก็ยังน่ามอง อยู่ๆณราตรีก็นึกอยากให้หนทางสายนี้ทอดยาวไกลไม่มีวันจบสิ้น และมีเขาเดินร่วมทางเช่นนี้ตลอดไป
**************************************
วันนี้อ่านกันยาวหน่อยนะคะ เพราะลงจนจบบทเลย เรื่องนี้จะลงให้อ่านถึงวันจันทร์ที่ ๓๐ กันยายนนะคะ ใครที่เตรียมที่นอน หมอน ผ้าห่ม ไว้จิกกัด แล้วตอนนี้ยังใช้ไม่เต็มที่เก็บไว้ก่อนะคะ ยังมีให้ลุ้นกันอีกในตอนต่อๆไป แต่วันไหนนั้นต้องติดตามเองค่า
บุลินทร์และธารทิพย์มักแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนเยาวนะเสมอในยามว่าง อีกทั้งยังส่งเด็กรับใช้จากบ้านศราวินเข้าไปดูแลเรื่องความเรียบร้อยตัดแต่งกิ่งไม้ใบหญ้าไม่ให้รกเรื้อ และทำความสะอาดภายในบ้านให้เยาวนะสม่ำเสมอ นอกเหนือจากนั้นแล้วไม่มีใครเคยย่างกรายเข้าไปที่นั่นอีกเลย ส่วนหญิงชราคนเดียวในบ้านก็ไม่เคยออกมาเดินฉุยฉายให้ใครเห็น ธารทิพย์ไม่เคยพบญาติพี่น้องของเยาวนะมาเยี่ยมเยียนสักครั้ง จึงอดเป็นห่วงไม่ได้ แม้ยามที่ขึ้นไปพักผ่อนที่เชียงรายในช่วงฤดูหนาว ก็ไม่ลืมสั่งเด็กในบ้านให้ไปดูแทบทุกวัน ห้ามทอดทิ้ง
แล้วธารทิพย์ก็ได้รับข่าวร้ายว่าเยาวนะล้มป่วย ทำให้เธอต้องรีบกลับกรุงเทพฯโดยไม่มีกำหนดการล่วงหน้า คนชราอายุ ๙๔ ปีอยู่บ้านใหญ่โตเพียงลำพังอย่างนั้น นึกไม่ออกเลยว่าจะช่วยเหลือดูแลตัวเองอย่างไร
“จอดตรงหน้ารั้วอิฐแดงนั่นแหละ” ธารทิพย์สั่งคนขับรถซึ่งไปรับตนจากสนามบิน เธอผลักประตูก้าวลงจากรถทันทีที่จอดสนิท แสดงให้เห็นถึงความร้อนใจ
ปกติเยาวนะมักยืนรอรับอยู่หน้าประตูรั้วเสมอ แต่วันนี้กลับกลายเป็นหนุ่มใหญ่ร่างสูงกำยำ บนศีรษะโพกผ้าเก็บผมมิดชิด ดวงตาคมในกรอบตาลึกรับกับจมูกโด่งเป็นสัน หนวดเครารกครึ้มประดับอยู่รอบริมฝีปากหยักหนา กลางอกมีล็อกเก็ตแบบเปิดฝาได้สีทองแดงเก่าคร่ำสลักลายโอมเด่นชัดห้อยอยู่
ธารทิพย์ขมวดคิ้วสงสัยยังไม่ทันถาม เขาก็เอ่ยขึ้นก่อน “คุณยายบอกให้ผมมารอ จะมีคนมาหา ผมเป็นหลานชายของคุณยายเยาวนะครับ”
“หลานชาย” ธารทิพย์ทวนคำ
“ครับ ผมชื่อราเชนทร์ คุณน้าธารทิพย์ใช่ไหมครับ” เขาถามนอบน้อม
“ใช่ค่ะ”
“ผมทราบจากคุณยายว่าคุณน้าคอยแวะเวียนมาดูแลท่านเสมอ ต้องขอบคุณคุณน้ามากเลยนะครับที่ช่วยดูแลคุณยายผมตลอดเวลายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา” น้ำเสียงและสายตาเขาแสดงชัดว่าซาบซึ้งในน้ำใจ
ธารทิพย์อยากถามเหลือเกินว่าทำไมจึงปล่อยหญิงชราให้อยู่คนเดียวเช่นนี้ แต่ก็ได้คิดว่าไม่ควรจะตัดสินใคร เพราะทุกคนล้วนมีเหตุผลมีจุดยืนของตัวเอง “ได้ข่าวว่าคุณยายไม่สบาย เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”
“โอ ผมนี่เสียมารยาทจริงๆเลย เชิญเข้าบ้านก่อนครับ คุณยายท่านรออยู่แล้ว” เขากระตือรือร้นเชื้อเชิญ พลางเล่าต่อคร่าวๆ “คุณยายลื่นล้มในห้องน้ำ ไปหาหมอมาแล้วก็ดื้อขอกลับมาพักผ่อนที่บ้าน ช่วงนี้ผมมาดูลู่ทางทำธุรกิจในเมืองไทยพอดี เลยแวะมาเยี่ยมคุณยาย และได้อยู่ดูแลใกล้ชิด”
ธารทิพย์ตามร่างสูงเข้าไปภายในบริเวณบ้านอันร่มครึ้ม กลิ่นธูปหอมและกำยานบางเบาให้ความรู้สึกเย็นชื่นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน โดยแวะสักการะเทวรูปพระแม่มีนาคชีเทวีเหมือนทุกครั้ง
“ผมเกิดที่ประเทศไทย แต่อยู่ที่นี่แค่สิบกว่าปีก็ถูกส่งไปเรียนต่อที่อังกฤษ” หนุ่มใหญ่เล่าเรื่อย มิน่าเล่า เขาถึงพูดไทยชัดนัก “ทุกคนในครอบครัวย้ายกลับไปทำธุรกิจที่อินเดีย พอคุณแม่ผมเสีย คุณยายไม่อยากอยู่ที่อินเดียแล้ว ก็เลยกลับมาเมืองไทย ท่านรักสันโดษและไม่ชอบผู้คนวุ่นวาย สั่งเด็ดขาดว่าไม่ต้องส่งคนมาดูแล ท่านอยากใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบตามลำพัง”
ราเชนทร์ผลักประตูบานใหญ่เสียงลั่นเอี๊ยดแทรกขึ้นมาในความเงียบ
ธารทิพย์ก้าวตามหนุ่มใหญ่เข้าไปในบ้าน หน้าต่างโค้งบานกว้างที่วางอยู่ในตำแหน่งทิศทางลมทำให้อากาศภายในถ่ายเทสะดวก ไม่ทึบทึมหรืออึดอัดเหมือนที่เห็นจากด้านนอก
ห้องนอนของเยาวนะอยู่สุดทางเดินด้านทิศตะวันออก เพียงเปิดประตูเข้าไปลมเย็นก็พัดพรูเข้ามาทางหน้าต่าง ม่านสีม่วงแกมแดงสะบัดไหวตามแรงกรรโชก ธารทิพย์คุกเข่าลงข้างเตียงเช่นเดียวกับราเชนทร์ ร่างสงบนิ่งบนเตียงดูผ่ายผอมลงผิดตา เปลือกตายับย่นเปิดปรือขึ้นช้าๆ ริมฝีปากแย้มยิ้มละมุนละไมไม่เคยเปลี่ยน
“คุณยายเป็นอย่างไรบ้างคะ” ธารทิพย์ถามเสียงอ่อน
“เป็นธรรมดา...เป็นธรรมดาของชีวิต” เสียงแหบแห้งตอบผะแผ่ว ทว่าฟังดูมั่นคงมิได้หวั่นไหวอ่อนแอเหมือนอาการทางกายที่ปรากฏ
คำพูดง่ายๆของหญิงชราเหมือนแสงไฟส่องสว่างกลางใจธารทิพย์ ไม่ต้องบรรยายใดๆเธอก็สามารถตระหนักรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสอนอย่างแนบเนียน การเกิด แก่ เจ็บป่วย และตายเป็นธรรมดาของชีวิต ไม่มีใครหลีกพ้น
ธารทิพย์เคยรอดพ้นจากความตายมาแล้วครั้งหนึ่งราวปาฏิหาริย์ จึงเข้าใจดีว่าสรรพสิ่งในโลกล้วนตั้งอยู่บนความเปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของโลก
“คุณยายไปหาหมอไหมคะ ที่โรงพยาบาลมีเครื่องไม้เครื่องมือครบ จะได้ดูแลรักษาได้เต็มที่”
หญิงชราระบายลมหายใจผ่านปลายจมูกโด่งแหลมปลายงุ้มน้อยๆ “จะไปให้เขาจิ้ม ให้เขาเจาะร่างกายให้เจ็บปวดทำไม” นางหลับตาอย่างอ่อนล้า “ใกล้เวลาขึ้นฝั่งแล้ว การเดินทางครั้งใหม่ใกล้จะเริ่มขึ้น...ไม่ช้านี้แหละ”
กำลังใจของคนเจ็บยังเต็มเปี่ยม ความเข้มแข็งของเยาวนะช่วยประคับประคองคนรอบข้างไม่ให้หวั่นไหว
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันแก่แล้ว สังขารเสื่อม ไม่มีทางเยียวยาแก้ไข” นางพึมพำทั้งที่ยังหลับตา “ห่วงเจ้าผีเสื้อหนุ่มนั่นให้มาก โลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน แม้ชะตาชีวิตก็พลิกผันได้”
เจ้าผีเสื้อหนุ่ม...คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากศาศวัต ธารทิพย์ขยับเข้าไปใกล้หญิงชราอีกนิด ถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ยังไงคะคุณยาย”
เยาวนะขมวดคิ้วมุ่นคล้ายกำลังเพ่งมองบางสิ่งบางอย่างจากที่ไกลๆอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายนางได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ เหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก
“ตอนนี้ฉันยังบอกไม่ได้ มองไม่เห็น มันมืดไปหมด”
“คุณยายพักผ่อนเถอะค่ะ แล้วธารจะมาเยี่ยมใหม่”
ธารทิพย์กราบลาแล้วกลับมาขึ้นรถ คำเตือนของแม่เฒ่ายังดังก้องอยู่ในหัว
‘โลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน แม้ชะตาชีวิตก็พลิกผันได้’
เมื่อโลกนี้ไม่มีความแน่นอนแล้วเธอจะกังวลไปไย เสียเวลากับเรื่องที่ยังมาไม่ถึงให้ได้อะไรขึ้นมา แค่เตรียมตัวเตรียมใจให้เข้มแข็งพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงก็พอแล้ว
หลังจากเดินทางผ่านโซนเวลาจนประสบกับปัญหาเจ็ทแล็กหรือโรค ‘เมาเวลา’ เมื่อมาถึงบ้านตากอากาศหรูริมทะเลของบิดา ศาศวัตก็เข้าไปนอนพักเป็นสิ่งแรก แต่จู่ๆเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยอาการหัวใจกระตุกวูบเหมือนจะหลุดออกนอกอก เขาเคยเป็นแบบนี้ตอนขึ้นรถไฟเหาะครั้งแรกที่สิงคโปร์รู้สึกเหมือนจะตายให้ได้
ต่างกันตรงคราวนี้ความรู้สึกรุนแรงกว่าหลายเท่านัก อีกทั้งใจยังประหวัดถึงมารดาอย่างประหลาด เป็นห่วงกังวลสารพัดจนต้องลุกจากเตียงมาตามหา บ้านเงียบเหงาราวกับไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต
‘แม่ แม่ครับ’ ศาศวัตเรียกเสียงดัง เขารู้ว่าบุลินทร์ไปตีกอล์ฟกับลูกค้า แล้วแม่ล่ะ...ไปไหน
ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความวังเวงโหวงเหวงในอกอย่างประหลาดจนทำให้นึกกลัว แต่ถ้าถามว่ากลัวอะไรเขากลับตอบไม่ได้
เขามุ่งหน้าไปยังครัวหลังบ้าน พบเพียงแม่บ้านสูงวัยกำลังหมักเนื้อที่จะทำบาร์บีคิวค่ำนี้อยู่เพียงลำพัง‘แม่ไปไหนหรือครับป้า’
‘เอ่อ ไม่ทราบซีคะ ป้ามัวยุ่งอยู่ในครัวตั้งแต่กลับจากตลาด เมื่อสองสามชั่วโมงก่อนเห็นคุณผู้หญิงบ่นว่าอยากเล่นน้ำ ไม่แน่ใจว่าน้ำในสระหรือในทะเล’
ศาศวัตพยักหน้า ก่อนสาวเท้าเร็วๆไปยังหน้าบ้าน เลื่อนประตูกระจกเปิด มองฝ่าเปลวแดดยามบ่ายออกไปยังชายหาดส่วนตัวสีขาวดังผงแป้งที่ทอดยาวอยู่หน้าบ้าน ในเขตสายตาเขาหาได้พบใครไม่ นอกจากร่มสีขาวเหนือเตียงสำหรับนอนเล่น และเปลใหญ่ถักจากเชือกเส้นโตใต้ต้นลีลาวดีที่ไหวโยนด้วยแรงลม มองไปคล้ายมีใครที่มองไม่เห็นนั่งและแกว่งไกวอยู่กระนั้น เห็นแล้วใจคอไม่ดีเลย
‘แม่ครับ แม่’ เขาใช้เสียงตัวเองข่มความรู้สึกรุนแรงซึ่งอัดแน่นอยู่ในอก ก้าวเท้ายาวๆไปตามทางเดินริมขอบสระ สายตาที่กวาดมองตามชายหาดเหลียวกลับมายังสนามหญ้าเขียวขจีและสุมทุมพุ่มไม้ แม่ชอบต้นไม้ดอกไม้อาจเปลี่ยนใจไม่เล่นน้ำแล้ว
ทว่าคำภาวนาของเขาไม่เป็นผล เพราะเมื่อหันมายังสระน้ำรูปร่างอิสระคดโค้งเข้ากับสวนหน้าบ้านยืดยาวไปจรดหาดทรายเนียนละเอียด บางสิ่งบางอย่างที่สงบนิ่งอยู่ก้นสระก็ดึงสายตาและขาทั้งสองให้ชะงักงันราวกับถูกตอกตรึงไว้กับพื้น ใจทั้งดวงเหมือนหลุดไปกองอยู่ตาตุ่ม เขาไม่เสียเวลาคิดแม้แต่เสี้ยววินาที ร่างสูงพุ่งหลาวลงไปในผืนน้ำสีฟ้าสงบนิ่ง ดำดิ่งลงสู่ก้นสระซึ่งร่างของมารดาจมนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น
ร่างไร้สติของธารทิพย์ถูกนำขึ้นมานอนราบบนขอบสระ ศาศวัตเช็กชีพจรแล้วหัวใจตัวเองยิ่งเต้นแรงด้วยความตระหนก เขาแนบหูลงบนหน้าอกข้างซ้าย พบเพียงความเงียบ...ไร้ซึ่งสัญญาณบ่งบอกความมีชีวิต
‘แม่ แม่’ เขาเขย่าเรียกซ้ำๆ หวังปลุกร่างไร้ชีวิตให้ฟื้นคืน
“แม่” เสียงร้อนรนหลุดพ้นริมฝีปากบาง วินาทีถัดมาร่างสูงก็ผวาเฮือกลืมตาโพลงในความมืด ภาพความฝันหายวับ เหลือเพียงใจเต้นระส่ำ ใบหน้าและฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อทั้งที่อากาศภายในห้องหนาวเหน็บ
ชายหนุ่มลูบหน้าพลางถอนหายใจยาวเหยียดอย่างโล่งอก ก็แค่ความฝันเท่านั้น ฝันเหมือนที่เคยฝันอยู่บ่อยครั้ง...หลังเหตุการณ์ร้ายครั้งนั้นผ่านพ้นไป!
ตั้งแต่สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืด ศาศวัตก็นอนไม่หลับอีกจึงลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวและลงมาชั้นล่าง วันนี้เป็นวันแรกในรอบปีกระมังที่เขาไม่นึกอยากลงไปห้องใต้ดิน ไม่อยากเห็นหลอดทดลองรายเรียงและสัตว์ที่ถูกจับมาทดลองด้วยการฉีดสารสกัดต่างๆจากพืชเข้าไปแล้วสังเกตปฏิกิริยาของมัน หนูกี่ตัวต้องตายไปเพราะการกระทำของเขา กบอีกกี่ตัวที่ถูกจับมาผ่า กี่ชีวิตสูญเสียไปจากการศึกษาวิจัยของเขา
สัตว์ทุกตัวล้วนรักชีวิตไม่ต่างจากคน ไม่ว่าสัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่มันก็มีร่างกายมีจิตวิญญาณ มีวิถีชีวิตและมีความหวาดกลัวเช่นกัน
ขนาดคนซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ มีอวัยวะสมบูรณ์พร้อมเอื้อต่อการดำรงชีวิต มีมันสมองเหนือสัตว์โลกอื่นๆ ยังใช้ชีวิตอยู่บนความหวาดกลัว นอกจากกลัวเชื้อโรคขนาดเล็กจิ๋วซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นแล้ว ยังหวาดกลัวธรรมชาติ กลัวความแก่ ความเจ็บป่วย รวมไปถึงความตาย คงเพราะใจคนเราเต็มไปด้วยความกลัวนี่เอง การผลิตคิดค้นยาใหม่ๆจึงเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน
แน่นอนว่าหากใครสามารถผลิตคิดค้นยาททำให้คนเรารอดพ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ย่อมสามารถเปลี่ยนโลกได้...โลกทั้งใบอาจอยู่ในอุ้งมือคนผู้นั้น แม้แต่เขาเองก็ยังพยายามคิดค้นยาชนิดนั้นอยู่หมือนกัน
แต่มนุษย์จะสามารถเอาชนะธรรมชาติได้จริงหรือ นั่นเป็นคำถามที่เขาเฝ้าถามตนเองอยู่บ่อยครั้งในช่วงหลายวันมานี้ ทุกอย่างจะดีได้ต้องตั้งอยู่บนความสมดุล หากมีคนเกิดเพียงอย่างเดียว ไม่มีคนตาย ต้องใช้ทรัพยากรเท่าไรจึงจะเพียงพอหล่อเลี้ยงชีวิตและความต้องการอันไม่มีสิ้นสุดของมวลมนุษย์ แทนที่จะดิ้นรนเพื่อให้มีอายุยืนยาว สู้เราใช้เวลาขณะนี้ให้คุ้มค่าที่สุดน่าจะดีกว่า
ศาศวัตไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆจึงคิดเช่นนี้ แต่มันทำให้เขาบ่ายหน้าเข้าครัว ทำแซนด์วิชสองชิ้นโตใส่กล่อง หยิบแก้วเก็บความร้อนชนิดมีฝาปิดมิดชิดจากตู้ติดผนังเหนือเคาน์เตอร์เครื่องดื่มมาสองใบ ใบหนึ่งชงกาแฟผสมน้ำผึ้งรสขมหวานเข้มข้น อีกแก้วเป็นน้ำขิงร้อนๆหวานหอม
ตระเตรียมอาหารและเครื่องดื่มเสร็จสรรพเขาก็รีบขึ้นไปยังห้องนอนใหญ่ชั้นสอง ดูเวลาแล้วลังเลว่าจะเคาะเรียกคนข้างในดีไหม ยังไม่ทันตัดสินใจประตูบานหนาหนักตรงหน้าก็ถูกเปิดกว้าง
“อ้าว” ณราตรีแปลกใจเมื่อเห็นเขารีๆรอๆอยู่หน้าห้อง “จะเข้าไปหยิบของใช้ส่วนตัวข้างในหรือเปล่าคะ”
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ดวงตาสองชั้นพับทบสวยเปล่งประกายสดใสกวาดมองการแต่งตัวของเธอเร็วๆ “คุณเข้าไปเปลี่ยนชุดใหม่ดีกว่า เลือกชุดที่รัดกุมทะมัดทะแมงหน่อยนะ”
ณราตรีก้มลงมองตัวเอง กระโปรงยาวกรอมเท้าสีเทาหม่นกับเสื้อยืดคอตลบก็สวมสบายและอบอุ่นเพียงพอแล้วสำหรับการอยู่ในบ้านทั้งวัน แล้วจะเปลี่ยนเป็นชุดทะมัดทะแมงให้อึดอัดไปทำไมกัน
“คุณใกล้จะหายแล้วเป็นปกติแล้ว ผมเลยจะพาออกไปเที่ยว...ก่อนคุณกลับ”
“ไปเที่ยว” ณราตรีทวนคำ น้ำเสียงกระตือรือร้นขึ้นมานิด
“ใช่ ไปเที่ยว เดี๋ยวผมไปรอข้างล่างนะ”
คนฟังพยักหน้า ซ่อนรอยยิ้มยินดีไว้มิดชิด คิดว่าวันนี้ต้องแกร่วอยู่ในบ้านทั้งวันเสียอีก
ณราตรีใช้เวลาไม่นานก็ลงมาสมทบกับชายหนุ่มซึ่งกำลังนั่งผูกเชือกรองเท้าผ้าใบอยู่ตรงประตูหลังบ้าน เขาสวมเสื้อผ้าสีเข้มรัดกุม กระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่บนหลังเป็นสีเขียวขี้ม้าเช่นเดียวกับหมวกแก๊ปบนศีรษะ ดูเหมือนหนุ่มห่ามห้าวพร้อมจะบุกตะลุยไปทุกหนทุกแห่ง ผิดจากชายหนุ่มผู้อบอุ่นอ่อนโยนแต่งตัวสุภาพเรียบร้อยที่ณราตรีเห็นจนเริ่มคุ้นตาเป็นไหนๆ ทว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงซึ่งชวนมองไม่รู้เบื่อ
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนตัวตรงหลังจากผูกเชือกรองเท้าเสร็จ ยามหันมาสบตาเธอ คิ้วสีเข้มเรียงเส้นสวยเลิกขึ้นน้อยๆอย่างล้อเลียน ริมฝีปากบางอมยิ้มกรุ้มกริ่มคล้ายเจ้าตัวรู้ว่าถูกแอบมองมานานแล้ว
รอยยิ้มและดวงตาเปล่งประกายพริบพราวดั่งมีดวงดาวแข่งกันเปล่งแสงอยู่ในนั้นทำให้ณราตรีขัดเขินมองหน้าเขาได้ไม่สนิทใจขึ้นมาเฉยๆ จึงจำเป็นต้องเลื่อนสายตาจากร่างสูงไปมองท้องฟ้าสลัวรางยามรุ่งสางแทน แต่เหมือนเขาจะไม่ปล่อยให้เธอละสายตาจากเขานานนัก เพราะอยู่ๆศาศวัตก็หยิบหมวกผ้าปีกแคบอีกใบที่พับสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกงมาครอบลงบนศีรษะได้รูปซึ่งปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลดกหนายาวถึงกลางหลัง เขาจัดหมวกให้เข้าที่เข้าทางและเก็บผมที่ปรกหน้าผากให้อย่างเบามือ
“หมอกหนา น้ำค้างยังไม่แห้ง ใส่หมวกแบบนี้หัวไม่ชื้น จะได้ไม่เป็นหวัด”
คำพูดง่ายๆของเขาทำให้คนที่โหยหาความรักความเอาใจใส่รู้สึกเหมือนหัวใจเบ่งบานคับอก มั่นใจว่าถึงไปจากบ้านกลางวนาก็คงไม่ลืม...ไม่ลืมคนที่นี่เด็ดขาด...และอาจจะคิดถึงบ่อยๆด้วยก็ได้
ศาศวัตย่ำเท้าไปตามทางดินเล็กๆ ลอดเลี้ยวไปใต้ร่มไม้ใบบังอย่างชำนาญ ณราตรีคุ้นทางแค่ตรงดงดอกราตรีประหลาด เส้นทางต่อจากนั้นไต่ชันขึ้นสู่ที่สูงเรื่อยๆ หลายครั้งศาศวัตปีนป่ายก้อนหินขึ้นไปรออยู่ด้านบน หันกลับมามอง รอคอยจนเธอตามขึ้นไปได้อย่างปลอดภัยจึงก้าวต่อ บางครั้งต้องเหนี่ยวรากไม้หงิกงอขนาดเท่าต้นขาซึ่งงอกออกจากซอกหิน โหนตัวขึ้นไปบนเส้นทางลาดชันอีกระดับ เขาก็มิได้ยื่นมือให้จับและดึงขึ้นไป คล้ายรอให้เธอใช้ความสามารถของตัวเองให้เต็มที่ก่อน เมื่อเห็นตามขึ้นไปได้อย่างสบายและปลอดภัย เขาก็มุ่งหน้าต่อไปเงียบๆ กระทั่งณราตรีผ่อนฝีเท้าลงด้วยความเหนื่อย ชายหนุ่มจึงชะลอความเร็วลงมาเดินเคียงข้าง
“นี่เราจะไปไหนกันคะ” ณราตรีถามขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ออกจากบ้านเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ท้องฟ้าเริ่มสว่างแต่ถูกหมอกขาวบดบัง จนมองไปทางไหนก็เห็นเพียงต้นไม้สีหม่นยืนต้นอย่างสงบ น้ำค้างตกกระทบใบไม้ใบหญ้าดังเปาะแปะไม่ขาดสาย
“ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นในทะเลหมอก” เขาเอ่ยร่าเริง “ตั้งแต่ลมหนาวมาเยือนปีนี้ ผมก็เพิ่งมีโอกาสได้ออกมาเที่ยวชมธรรมชาติวันนี้แหละ อีกประมาณครึ่งชั่วโมงคงจะถึง คุณไหวหรือเปล่า”
“ไหวสิ” น้ำเสียงถือดีดังพร้อมกับเจ้าตัวยืดอกนิดๆ “เสียดายนะทั้งโทรศัพท์มือถือ ทั้งกล้องดิจิทัลหายหมดตั้งแต่ตอนตกน้ำ ไม่งั้นคงได้ถ่ายรูปสวยๆกลับไปเป็นที่ระลึก”
“ทำไมต้องระลึก” ชายหนุ่มย้อนถาม “หรือปกติคุณเป็นคนขี้ลืมจนต้องมีสิ่งกระตุ้นเตือนจึงคิดถึงได้”
“ฉันก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไปนั่นละ บางเรื่องก็ลืมง่ายแสนง่าย บางเรื่องก็อยู่ในความทรงจำนานแสนนานเหมือนว่าชาตินี้จะไม่มีทางลืมได้เลย” อย่างเรื่องแม่คบชู้สู่ชายและฆ่าตัวตายหนีอายทิ้งเธอไว้กับบิดาซึ่งเกลียดเธอจนไม่อยากมองหน้า ต่อให้อยากลืมแค่ไหนก็ลืมไม่ลง
ชายหนุ่มเหลือบตามองคล้ายว่าจับอารมณ์หม่นมัวของเธอได้ “ให้ผมเดาไหมว่าเรื่องไหนที่คุณจำได้ไม่ลืม”
ณราตรีเริ่มระแวงว่าเขาอาจล่วงรู้ความคิดเธอจริงๆ ทว่าเพียงเห็นแววตาสุกใส และรอยยิ้มกรุ้มกริ่มนั่น ก็รู้ว่าเขาแค่ล้อเล่นเท่านั้น หญิงสาวจึงเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม อยากรู้เหมือนกันว่าเขาเดาว่าอะไร
“ก็...” เขาเว้นไปนิด ดวงตาสุกใสเริ่มแพรวพราวเจ้าเล่ห์ “เรื่องที่พ่อหนุ่มน้อยชั้น ม.๔ คนนั้นส่งดอกไม้และช็อกโกแลตมาจีบคุณไม่ขาดน่ะสิ”
ณราตรีหลุดเสียงหัวเราะคิกคัก เขาเดาถูกจริงๆด้วย
“ไม่ได้ตั้งใจจำหรอก มันไม่ลืมเอง เพราะไม่ค่อยมีใครเครซี่ฉันขนาดนั้น จะว่าไปฉันก็เดินทางมาเยอะนะ อาจเคยผ่านพบเขาโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ แต่ก็นั่นแหละ...ผ่านเวลาเนิ่นนานขนาดนี้ใครจะจำกันได้ล่ะ”
“ก็ไม่แน่นะ” ศาศวัตเอ่ยโดยไม่ทิ้งรอยยิ้ม “เขาเครซี่คุณมาก อาจจำคุณได้ไม่มีวันลืม ส่วนคุณน่ะ ไม่สนใจจดจำเขามาตั้งแต่แรก”
“นั่นน่ะสิ” ณราตรีเห็นด้วย “อันที่จริง จดจำกันไปก็ไม่เห็นมีประโยชน์ ถ้าวันนี้เขามาเจอฉัน คงเห็นฉันเป็นแค่หญิงแก่หลักลอย งานการไม่ทำ ไร้ความโดดเด่น ไม่น่าสนใจเหมือนก่อนนี้แล้ว”
“ใครบอกว่าไร้ความโดดเด่นน่าสนใจ” ศาศวัตพึมพำเสียงเบา
กระนั้นณราตรีกลับหูดีอย่างเหลือเชื่อ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นประกายบางอย่างในดวงตาของคนพูดเสียก่อน เธอคงรบเร้าจะฟังเขาพูดออกมาดังๆแล้ว แต่นี่...
หญิงสาวส่ายหน้า ย้ำกับตัวเองในใจ เงียบไว้ดีกว่า ขี้เกียจเข้าเนื้อ!
การเดินทางสิ้นสุดลงเมื่อถึงจุดหมายคือหน้าผาหินโล่งเตียน ลมเย็นพัดกรูเกรียวจนณราตรีต้องตลบผ้าพันคอขึ้นมาปิดจมูกปาก เบื้องหน้าคือทะเลหมอกขาวโพลนกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แสงแห่งวันฉาดฉาย ย้อมกลุ่มเมฆหมอกสุดขอบฟ้าไกลลิบเป็นสีทองอร่ามเรื่อเรือง
ขึ้นเหนือครั้งนี้ณราตรีเพิ่งมีโอกาสได้ชมพระอาทิตย์ขึ้น คล้ายภาพงดงามและลำแสงอบอุ่นไม่ได้หยุดอยู่แค่ผิวกายและสายตา แต่ซ่านซึมเข้าสู่ความรับรู้ของหัวใจ ขับไล่ความหม่นหมองที่เบียดบังพื้นที่ความสุขมาเนิ่นนานให้เลือนหายไป แม้เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ก็สามารถทำให้เธอยิ้มกว้างอย่างเบิกบานใจได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ทะเลาะกับปรมัตถ์และออกจากบ้านมา
“สวยจัง” ณราตรีออกปากชมด้วยความตื่นเต้น ภาพงดงามชวนให้จินตนาการบรรเจิด “แยกไม่ออกเลยอันไหนหมอก อันไหนเมฆ ขาวเหมือนปุยฝ้าย ดูอบอุ่น อ่อนโยนเหมือนที่นอนขนาดใหญ่ น่ากระโดดลงไปเกลือกกลิ้ง”
“เมฆหมอกก็เหมือนความฝัน บริสุทธิ์สวยงาม แต่คว้าจับไม่ได้ ส่วนความจริงที่จับต้องได้ก็ไม่ได้สวยงามราบรื่นอย่างที่ฝัน” คนที่ยืนซ้อนอยู่เบื้องหลังแย้งขึ้น ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “และถ้ากระโดดลงไปคงได้กลิ้งจริงๆนั่นแหละ กว่าจะกลิ้งถึงก้นเหวข้างล่างคงเละเป็นโจ๊ก”
“เป็นความสวยที่ปกปิดอันตรายไว้อย่างมิดชิดสินะ” ณราตรีได้ข้อสรุป
ศาศวัตพยักหน้าเห็นด้วย “ก็เหมือนดอกไม้บางชนิด มีกลีบสีสวย เกสรหวานหอมลวงล่อผีเสื้อให้ลงสัมผัส แล้วกลีบงดงามก็หุบฉับขัง
แมลงโชคร้ายไว้ข้างใน ไปไหนไม่ได้ ดิ้นไม่หลุด สุดท้ายก็ตายอยู่ในนั้น”
ณราตรีหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่ยืนโต้ลมหนาวอยู่ด้านหลัง อากาศเย็นทำให้ปลายจมูกโด่งสวยของเขากลายเป็นสีแดงเรื่อเช่นเดียวกับผิวแก้มที่เคยขาวเนียน
“แหม มันก็ต้องมีเรื่องราวแบบนี้บ้าง ขืนปล่อยให้ผีเสื้อดมดอมดูดน้ำหวานจากดอกไม้อยู่ฝ่ายเดียว ก็จะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไป แล้วผีเสื้อส่วนใหญ่ก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่ดอกไม้เพียงดอกเดียวเสียด้วยสิ” สาบานได้ว่าที่เธอกล่าวไปนั้นหมายถึงผีเสื้อกับดอกไม้จริงๆ
“ผีเสื้อแค่ดูดน้ำหวานจากดอกไม้ แต่ไม่เคยทำลายดอกไม้นะ” เขายังคงแก้ต่างให้ผีเสื้อ
“แล้วผีเสื้ออย่างคุณ เคยพลาดพลั้งตกหลุมพรางดอกไม้ที่ไหนมาก่อนไหมคะ” คำถามที่พ้นริมฝีปากไปแล้วไม่อาจคว้ากลับคืนได้ไม่ว่าจะปรารถนาสักเพียงใด ตอนนี้เรื่องผีเสื้อกลับไม่เกี่ยวกับผีเสื้ออีกต่อไป
“ผีเสื้อตัวนี้เพิ่งได้พบดอกไม้ที่รอคอยมาตลอด ก็หวังนะว่าดอกไม้ที่หมายตาจะไม่มีเล่ห์กลลับลวงซ่อนไว้ให้ต้องมาเสียใจภายหลัง”
ไม่ต้องพูดตรงๆว่า ‘ดอกไม้’ นั้นหมายถึงใคร ณราตรีก็พอจะเดาได้ เพราะดวงตาอ่อนหวานทอดมองมายังเธอทั้งชัดเจนและเปิดเผยราวกับเจ้าตัวไม่ปรารถนาจะปิดบังซ่อนเร้นใดสิ่งที่ใจรู้สึกอีกต่อไป
ต้องเป็นเพราะลมหนาวและอากาศเย็นแน่ๆร่างสูงจึงขยับเข้ามาใกล้จนเกือบชิด ณราตรีอยากถอยหลังหนี แต่นอกจากเบื้องหลังเธอจะเป็นหน้าผาสูงแล้ว สายตาที่มองสบอยู่ยังคล้ายมีมนต์ขลังสะกดเธอให้หยุดนิ่งแม้กระทั่งลมหายใจ
สายตาสองคู่สบประสานกันหลายวินาที ดวงหน้าขาวสะอาดสะอ้านซึ่งบัดนี้แดงเรื่อด้วยปะทะลมหนาวมานานก้มต่ำลงมาช้าๆ ณราตรีอยากเบี่ยงหน้าหลบสายตาแสนหวานซึ่งเปิดเผยความปรารถนาลึกเร้นของเขาเหลือเกิน ยังไม่ทันทำดังใจคิด ระยะห่างที่ถูกทอนให้เหลือน้อยลงก็หยุดชะงักลงเพียงเท่านั้น
ชายหนุ่มระบายลมหายใจอุ่นๆแผ่วเบา ก่อนจะขยับถอยห่างอย่างนุ่มนวล พลางดึงมือเธอให้ทรุดนั่งบนพื้นหินเยียบเย็น “กินมื้อเช้ากันบนนี้แล้วกัน ผมเตรียมแซนด์วิชกับกาแฟมาเผื่อคุณด้วย”
ณราตรีพ่นลมหายใจซึ่งกลั้นไว้ออกมาเฮือกใหญ่ ยกมือทาบอกข้างซ้าย สัมผัสได้ถึงหัวใจที่ยังเต้นรัวแรง ไม่รู้ว่าตื่นเต้นที่เห็นตัวเองยืนห่างขอบหน้าผาแค่ฟุตกว่า หรือเกิดจากการยืนอยู่ใกล้เขาแค่คืบก็ไม่รู้
ศาศวัตนำกล่องพลาสติกบรรจุแซนวิชชิ้นโตออกจากกระเป่าเป้ เปิดและส่งให้เธอเลือกก่อน ตามด้วยแก้วเครื่องดื่มชนิดเก็บความร้อน หญิงสาวรับไว้พลางเอ่ยขอบคุณ ตวัดผ้าคลุมไหล่ที่ปิดปากจมูกออกให้พ้นหน้า หมุนเปิดฝาแก้วแล้วยกขึ้นจรดริมฝีปาก เป่าลมไล่ความร้อนก่อนเริ่มจิบช้าๆ
“คุณชงกาแฟรสเดียวกับที่ฉันดื่มเลย” ณราตรีออกปากชม
คนฟังยิ้มปลื้ม “งั้นเรามาชนแก้วฉลองกันดีกว่า”
“ฉลองเนื่องในโอกาส...” หญิงสาวหันไปถาม
“โอกาสที่เราได้พบกันไง”
“ได้เลย” ณราตรีชูแก้วเครื่องดื่มไปเบื้องหน้า ศาศวัตยกแก้วของตนเองขึ้นมาชนเบาๆดังกริ๊ก
“ชนแซนวิชด้วย ฉลองที่ฉันรอดพ้นจากกรงเล็บนางพญาแดงเถือกนั่นมาได้” หญิงสาวชวนอย่างร่าเริง น้ำเสียงทีใช้เรียกชื่อพืชประหลาดนั่นบ่งบอกความจงชัง
เครื่องดื่มอุ่นจัดทำให้ร่างกายอบอุ่นสามารถนั่งชมบรรยากาศยามเช้าท่ามกลางลมหนาวได้นานขึ้น อาหารเช้าง่ายๆมื้อนั้นจึงกินเวลานานกว่าที่ควร แซนด์วิชหมดไปนานแล้ว เหลือเพียงเครื่องดื่มในแก้วซึ่งทั้งคู่นั่งจิบแกล้มลมหนาวและสายหมอกด้วยท่าทีผ่อนคลายไม่รีบร้อน
“ถ้าหายแล้วยังไม่อยากกลับบ้าน จะอยู่ต่อก็ได้นะ” ศาศวัตเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ ดวงตาทอดมองไปยังทะเลหมอกไกลสุดลูกหูลูกตา
“ไม่ดีมั้งคะ เป็นภาระเปล่าๆ แถมคุณสองคนจะทำงานกันไม่สะดวก เพราะมีฉันคอยอยากรู้อยากเห็นอยู่ร่ำไป” คนพูดคลึงแก้วในมือเล่น
ศาศวัตโคลงศีรษะและหัวเราะเบาๆ
“ฉันพูดจริงใช่ไหมล่ะ”
ชายหนุ่มไม่ตอบ กลับวางเครื่องดื่มลงข้างตัวและหยิบช็อกโกแลตจากช่องหน้าของกระเป๋าเป้
เห็นกระดาษห่อสีทองอร่ามแวววาวณราตรีก็เดายี่ห้อได้ไม่ยาก แต่อดสงสัยไม่ได้ “คุณชอบกินช็อกโกแลตหรือคะ วันก่อนๆไม่เห็นเคยกิน”
“ผมไม่ได้กินให้คุณเห็นต่างหาก กลัวถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กอีก” เขาเอ่ยทั้งรอยยิ้ม ส่งของหวานในกระดาษห่อสีทองให้เธอหนึ่งแท่ง
ณราตรีส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมเหตุผล “ฉันไม่ชอบกินช็อกโกแลต ไม่ชอบกินขนมหวาน”
“แต่ชอบกินเนื้อสัตว์และดื่มกาแฟ” เขาทบทวนความทรงจำ
คราวนี้หญิงสาวพยักหน้ายอมรับ ไม่รู้ว่าที่บ้านจะมีใครจดจำได้ได้บ้างว่าเธอชอบอะไรไม่ชอบอะไร
แค่ตั้งคำถามจบ คำตอบก็ตามมาเองเสร็จสรรพ คงไม่มีใครจำได้หรอก!
ก่อนหน้านี้ ณราตรีเคยหลอกตัวเองว่าเธอเอาแต่เที่ยวตะลอนไปทั่ว แทบไม่อยู่บ้านนานพอให้ใครพิจารณาว่าเธอชอบหรือชังสิ่งใด ครั้นมาอยู่บ้านกลางวนาไม่กี่วัน ร่วมโต๊ะอาหารกันแค่ไม่กี่มื้อ คนที่เพิ่งพบเจอไม่นานกลับจดจำรายละเอียดต่างๆของเธอได้แม่นยำ นี่จึงน่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าระยะเวลาไม่มีผลเท่าความใส่ใจที่มีต่อกัน เพราะเธอยังจำได้เลยว่าปทุมทองโปรดปรานการกินสับปะรดหลังอาหาร ปรมัตถ์ชอบแอบไปสูบบุหรี่ในสวนหลังบ้าน พรไพลินชอบเดินป่าและกินไอศกรีมกะทิสดเวลาเครียด แม้แต่แม่เลี้ยงขาเมาธ์ เธอก็รู้ว่าหล่อนคลั่งไคล้การช็อปปิ้งเป็นที่สุด
“แต่เนื้อสัตว์และกาแฟกินมากๆจะทำให้หน้าแก่นะ” เขาทำเสียงล้อเลียน
“ฉันไม่เห็นจะกลัวแก่เลยสักนิด คุณนี่ชักจะน่าสงสัยแล้วนะ ถึงขนาดรู้ว่ากินอะไรแล้วหน้าแก่ บอกมาตามตรงดีกว่าว่าคุณกลัวแก่ใช่ไหมล่ะ” คำถามล้อเลียนของเธอทำให้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสุกใสราวลูกแก้วหม่นวูบ แต่ไม่นานเขาก็กลบเกลื่อนมันได้มิดชิด
ณราตรีเผลอขมวดคิ้วทันที ทำไมเขาถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ หรือว่าที่เธอแซวจะแทงใจดำเข้าจังเบ้อเริ่ม คนบางประเภทนั้นอ่อนไหวกับเรื่องอายุจนใครก็แตะไม่ได้ บางรายถึงกับประกาศว่า ‘แก่ไม่ได้ ยอมตายดีกว่า’ เลยก็มี ไม่แน่นะบางทีศาศวัตอาจเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้ก็ได้
“ช็อกโกแลตยี่ห้อนี้อร่อยนะ กินแล้วสมองคุณจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ทำให้มีความสุข ลองสิ แล้วจะติดใจ” คำโฆษณาชวนเชื่อของเขาจับจูงณราตรีออกจากความคิด ขนมหวานแท่งเดิมถูกส่งมาให้อีกครั้ง เธอไม่อยากปฏิเสธซ้ำให้เสียน้ำใจ เพราะขนาดเขาชอบดื่มน้ำขิงยังเคยเปลี่ยนมาดื่มกาแฟตามเธอเลย บางครั้งคนเราก็ควรลองเรียนรู้สิ่งใหม่ๆบ้าง ไม่ใช่เรื่องผิดนี่นา
“หวังว่าไม่มียาเสพติดผสม หรือว่าผ่านพิธีปลุกเสกทำเสน่ห์ กินแล้วรักกินแล้วหลงนะ” ณราตรีเอ่ยติดตลกขณะยื่นมือไปรับ
“ถ้าจำเป็นจะต้องใส่บางอย่างลงไป คงไม่ใช่สองอย่างที่คุณว่ามาแน่”
รู้ว่าเขาหยอด แต่ก็อยากรู้ว่าบทสนทนาเช่นนี้จะไปจบลงตรงไหน
“แล้วใส่อะไรคะ”
“ใส่ใจ”
ไม่น่าเชื่อว่ามุกเชยๆของเขาสามารถเรียกรอยยิ้มเธอได้ เออเนอะ คำพูดง่ายๆแค่นี้ก็ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจได้แล้ว หรือว่าต้องขึ้นอยู่กับใครเป็นคนพูดด้วย
ชายหนุ่มเก็บช็อกโกแลตที่กินเหลือลงกระเป๋าเสื้อและเริ่มดึงต้นหญ้าที่แทรกเสียดขึ้นตามรอยหินแตกมาถักอะไรเล่นคล้ายไม่อยากให้มือว่าง
“แหม...หวานตั้งแต่ยังไม่ได้แกะห่อเลย อย่างนี้ต้องลองหน่อยแล้ว” หญิงสาวเย้า แกะกระดาษห่อออก ปากก็เอ่ยไปเรื่อยๆ “คุณรู้ไหมว่าช็อกโกแลตยี่ห้อนี้น่ะ เป็นยี่ห้อเดียวกับที่เด็กน้อยเคยส่งมาจีบฉันเลย”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “ถ้าหนุ่มน้อยคนนั้นรู้เข้าว่าคุณจำเขาได้ฝังใจขนาดนี้คงดีใจ และไม่นึกน้อยใจอีก ถ้ารู้ว่าคุณไม่รับช็อกโกแลตเพราะไม่ชอบกินขนมหวาน”
“ไม่ใช่หรอก” เธอรีบปฏิเสธ “ฉันไม่อยากให้ความหวังใครต่างหาก ถ้าไม่รักไม่ชอบก็ไม่รู้จะไปรับของของเขาทำไม”
“งั้น...” ศาศวัตหันมาสบตาเธอ ก่อนดวงตายาวรีสองชั้นพับทบสวยจะหลุบลงมองช็อกโกแลตในมือเธอ แลเห็นขนตาดกหนายาวงอนเรียงเป็นแพ และดวงตาคู่เดียวกันนี่เองที่วกกลับมามองสบกันอีกครั้ง “ผมก็มีความหวังแล้วใช่ไหม”
ถามเสียงอ่อนโยนแล้วไม่รอให้ณราตรีตั้งตัว เขาดึงมือเธอด้วยกิริยาสุภาพ หญิงสาวเพิ่งสังเกตว่าต้นหญ้าที่เขาดึงขึ้นมาถักๆพันๆเมื่อครู่กลายเป็นแหวนวงย่อม หัวแหวนสานเป็นรูปผีเสื้อกางปีกอย่างอิสระคล้ายกำลังจะโผบิน เขาวางแหวนวงนั้นลงกลางฝ่ามือนุ่ม รวบนิ้วเธอให้กำไว้
“ผีเสื้อมันมีปีกให้โบยบินได้อย่างอิสระก็จริงนะ แต่ผีเสื้อบางตัวก็เหนื่อยกับการบินเดี่ยว อิสรภาพบางทีก็ทำให้เดียวดายจนน่าเบื่อ พอเจอดอกไม้งามที่เฝ้ารอก็ชักอยากถูกกักขังบ้างแล้ว”
ณราตรีสู้สายตาเขาได้ไม่นาน จำต้องเบือนหน้ากลับไปมองท้องฟ้าที่ดวงตะวันขึ้นสูงแล้ว แสงแดดฉาดฉายอาบไล้ให้ความอบอุ่น...อุ่นไปถึงหัวใจเลยทีเดียว
หนุ่มสาวกลับลงจากหน้าผาตอนสายจัด ความสวยงามของธรรมชาติทำให้รู้สึกชื่นตา แววตาและรอยยิ้มของคนข้างกายทำให้รู้สึกชื่นใจ ดอกหญ้าริมทางชูดอกไสวที่ไม่ได้รับความสนใจมาก่อนก็ยังน่ามอง อยู่ๆณราตรีก็นึกอยากให้หนทางสายนี้ทอดยาวไกลไม่มีวันจบสิ้น และมีเขาเดินร่วมทางเช่นนี้ตลอดไป
**************************************
วันนี้อ่านกันยาวหน่อยนะคะ เพราะลงจนจบบทเลย เรื่องนี้จะลงให้อ่านถึงวันจันทร์ที่ ๓๐ กันยายนนะคะ ใครที่เตรียมที่นอน หมอน ผ้าห่ม ไว้จิกกัด แล้วตอนนี้ยังใช้ไม่เต็มที่เก็บไว้ก่อนะคะ ยังมีให้ลุ้นกันอีกในตอนต่อๆไป แต่วันไหนนั้นต้องติดตามเองค่า

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ย. 2556, 08:27:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.ย. 2556, 08:52:24 น.
จำนวนการเข้าชม : 1450
<< ตอนที่ ๑๑ (จบตอน) | ตอนที่ ๑๓ (ครึ่งแรก) >> |

พันธุ์แตงกวา 16 ก.ย. 2556, 08:39:07 น.
อ้าว! มิเห็นมีพิมพ์ประภาเบย
อ้าว! มิเห็นมีพิมพ์ประภาเบย

ภาวิน 16 ก.ย. 2556, 09:07:14 น.
วันนี้คนเขียนมึนๆเบลอๆเลยลงนิยายผิดๆถูกๆต้องเข้ามาแก้ไขกันใหม่ ๕๕๕
มาตอบเม้นท์กันค่ะ
หนูอวบอสิตา ชุดนี้ปกสวยทั้งสามเล่มนะ ทั้งใต้ปีกรักสีเพลิง เริงราตรีสีขาว และเงารักสีน้ำเงิน...เป็นนิยายที่ปกสวยที่สุดในชีวิตเราเลยแหละ (ชีวิตมีนิยายมาแค่สองเล่มเนี่ยนะ ๕๕๕)
พี่แตงกวา หนูขอโทษ หนูลงผิดเอง พิมพ์ประภามาวันพุธค่า หนูเบลอ
คุณ Sukhumvit66 ตอนนี้ยังไม่ต้องเตรียมอะไรมากค่ะ เตรียมใจไว้เต้นตึกตักเล็กน้อยพอ
คุณดังปัณณ์ ตอนนี้คงยังไม่ได้จิกกัดผ้าห่มมากมาย แต่คงได้รอยยิ้มประดับหน้าคนละเล็กน้อยกระมัง ^___^
คุณวรรษา ตอนนี้คงชัดเจนขึ้นแล้วล่ะค่ะ ว่าไอ้ที่งอน หึง หวง มาจนวันนี้น่ะ มันแปลว่าอะไร ถึงปากจะไม่ได้บอกว่าว่ารัก แต่การกระทำก้เดาได้ใช่ม้า
หนูบาร์บี้ เขาอยู่ด้วยกันสองต่อสองแค่แป๊บเดียวเองงงง
คุณนักอ่านเหนียวหนึบ ตอนนี้จัดให้ยาวเหยียดจนจบตอนเลย น้ำหมากอาจยังไม่ทันกระจาย เพราะด้ายยังไม่ถึงเวลาเข้าเข็ม หุ หุ
คุรปลายสี ไหนๆก็อยู่กันสองคนแล้ว ก็ต้องตักตวงกันให้เต็มที่นิดนึงเนอะ เดี๋ยวสองคนนั้นกลับมา หนทางไม่สะดวกกก
วันนี้คนเขียนมึนๆเบลอๆเลยลงนิยายผิดๆถูกๆต้องเข้ามาแก้ไขกันใหม่ ๕๕๕
มาตอบเม้นท์กันค่ะ
หนูอวบอสิตา ชุดนี้ปกสวยทั้งสามเล่มนะ ทั้งใต้ปีกรักสีเพลิง เริงราตรีสีขาว และเงารักสีน้ำเงิน...เป็นนิยายที่ปกสวยที่สุดในชีวิตเราเลยแหละ (ชีวิตมีนิยายมาแค่สองเล่มเนี่ยนะ ๕๕๕)
พี่แตงกวา หนูขอโทษ หนูลงผิดเอง พิมพ์ประภามาวันพุธค่า หนูเบลอ
คุณ Sukhumvit66 ตอนนี้ยังไม่ต้องเตรียมอะไรมากค่ะ เตรียมใจไว้เต้นตึกตักเล็กน้อยพอ
คุณดังปัณณ์ ตอนนี้คงยังไม่ได้จิกกัดผ้าห่มมากมาย แต่คงได้รอยยิ้มประดับหน้าคนละเล็กน้อยกระมัง ^___^
คุณวรรษา ตอนนี้คงชัดเจนขึ้นแล้วล่ะค่ะ ว่าไอ้ที่งอน หึง หวง มาจนวันนี้น่ะ มันแปลว่าอะไร ถึงปากจะไม่ได้บอกว่าว่ารัก แต่การกระทำก้เดาได้ใช่ม้า
หนูบาร์บี้ เขาอยู่ด้วยกันสองต่อสองแค่แป๊บเดียวเองงงง
คุณนักอ่านเหนียวหนึบ ตอนนี้จัดให้ยาวเหยียดจนจบตอนเลย น้ำหมากอาจยังไม่ทันกระจาย เพราะด้ายยังไม่ถึงเวลาเข้าเข็ม หุ หุ
คุรปลายสี ไหนๆก็อยู่กันสองคนแล้ว ก็ต้องตักตวงกันให้เต็มที่นิดนึงเนอะ เดี๋ยวสองคนนั้นกลับมา หนทางไม่สะดวกกก


พันธุ์แตงกวา 16 ก.ย. 2556, 09:16:38 น.
555 นึกว่าถูกผีหลอก ไม่เป็นไร ดีใจได้อ่านเพิ่ม
ตกลงคุณชายเป็นเด็กมอสี่คนนั้นใช่มั้ยอ่ะ น่ารักจริงน่ารักจัง ชอบช็อกโกแลตเหรอ อู๊ย! เข้าทาง
555 นึกว่าถูกผีหลอก ไม่เป็นไร ดีใจได้อ่านเพิ่ม
ตกลงคุณชายเป็นเด็กมอสี่คนนั้นใช่มั้ยอ่ะ น่ารักจริงน่ารักจัง ชอบช็อกโกแลตเหรอ อู๊ย! เข้าทาง


อสิตา 16 ก.ย. 2556, 10:14:34 น.
อยากได้แหวนผีเสื้อถักบ้าง แต่สงสัยต้องเป็นทรงผีเสื้อสมุทรให้เข้ากับตัวคนใส่


วรรษา 16 ก.ย. 2556, 10:57:58 น.
รอค้นหาคำตอบ ว่าใครกาน คือเด็กม4 คนนั้น ^___^
รอค้นหาคำตอบ ว่าใครกาน คือเด็กม4 คนนั้น ^___^

ดังปัณณ์ 16 ก.ย. 2556, 13:54:52 น.
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย แหมๆๆๆๆ พ่อผีเสื้อ อยากเกาะหราจร้าาาาาา มามะมาเกาะนี่ 555+ (เสียใจนะ หนอนกินดอกไม้หมดไปก่อนที่พ่อจะได้เจาะน้ำหวานเค้าแระล่ะจ้ะ ฮิ้วววววววววววว)
อิจฉา ดีดดิ้น หนูไนท์จับผีเสื้อหม่ำซะหนูเอ๊ยยยยยยยยยย 555+
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย แหมๆๆๆๆ พ่อผีเสื้อ อยากเกาะหราจร้าาาาาา มามะมาเกาะนี่ 555+ (เสียใจนะ หนอนกินดอกไม้หมดไปก่อนที่พ่อจะได้เจาะน้ำหวานเค้าแระล่ะจ้ะ ฮิ้วววววววววววว)
อิจฉา ดีดดิ้น หนูไนท์จับผีเสื้อหม่ำซะหนูเอ๊ยยยยยยยยยย 555+

Barby 16 ก.ย. 2556, 15:00:54 น.
เอๆแล้วคุณแม่รอดมาได้ไง
เอๆแล้วคุณแม่รอดมาได้ไง

ปลายสี 16 ก.ย. 2556, 16:38:41 น.
ทำไมคุณศาศวัตไม่ชอบให้พูดเรื่องอายุล่ะ แต่มุก 'ใส่ใจ' นี่ได้ใจจริงๆ เลยนะพ่อคุณ
ทำไมคุณศาศวัตไม่ชอบให้พูดเรื่องอายุล่ะ แต่มุก 'ใส่ใจ' นี่ได้ใจจริงๆ เลยนะพ่อคุณ


Sukhumvit66 16 ก.ย. 2556, 20:12:26 น.
หวานจริงเชียว เดาว่าหนุ่มน้อยมอสี่คนนั้นคือคุณ...........
หวานจริงเชียว เดาว่าหนุ่มน้อยมอสี่คนนั้นคือคุณ...........

นักอ่านเหนียวหนึบ 16 ก.ย. 2556, 23:13:18 น.
กราบแทบแกไรเตอร์งามๆ หนึ่งทีเลยจ้ะ
ยาววววสะใจดีจิงๆ
อัลไลกัน เค้าอ่านแค่นี้เค้าก็ตาลอย น้ำหมากยืดแล้วนะ มีอะไรมากกว่านี้อีกเหรอ แบบเค้าแบ๊วๆ อ่ะ มะรู้เรื่อง 555
คุณสาด เอ้ย คุณศาศนี่คงจะกินชอคโกแลตมากจริงๆ เวลาหวานนี่ เชื่อมกล้วยได้ทั้งเครือเบยย
ทั้งพระทั้งนาง ต่างก็มีความลับและปมของตัวเอง มันจะคลี่คลายไปอย่างไรน้อ รอมาต่อนะจ้ะ
กราบแทบแกไรเตอร์งามๆ หนึ่งทีเลยจ้ะ
ยาววววสะใจดีจิงๆ
อัลไลกัน เค้าอ่านแค่นี้เค้าก็ตาลอย น้ำหมากยืดแล้วนะ มีอะไรมากกว่านี้อีกเหรอ แบบเค้าแบ๊วๆ อ่ะ มะรู้เรื่อง 555
คุณสาด เอ้ย คุณศาศนี่คงจะกินชอคโกแลตมากจริงๆ เวลาหวานนี่ เชื่อมกล้วยได้ทั้งเครือเบยย
ทั้งพระทั้งนาง ต่างก็มีความลับและปมของตัวเอง มันจะคลี่คลายไปอย่างไรน้อ รอมาต่อนะจ้ะ

ketza 27 ก.ย. 2556, 15:33:48 น.
เ่ิริ่มหวานแว้ววว
เ่ิริ่มหวานแว้ววว