เงารักสีน้ำเงิน {นวนิยายชุด"ความลับของผีเสื้อ" สนพ.อรุณ}
วนัสสาตื่นขึ้นมาพบว่าความทรงจำของเธอหายไปถึงสองเดือน...
แต่สิ่งที่เพิ่มมาคือรอยสักรูปผีเสื้อตรงกลางหลัง กับกระดาษแผ่นเดียวในมือเป็นเบาะแส
เธอคือผีเสื้อ แต่ใครกันคือดอกไม้ของเธอ...คือคนรักที่เธอหลงลืมไป
จะเป็นนวาระผู้มีรอยสักรูปดอกกุหลาบ
เจ้าของดวงตาสีน้ำเงินอย่างวาริช
หรือใครบางคนที่มีชื่อเป็นความหมายของสีสัน อย่างคราม...
Tags: วนัสสา ความลับของผีเสื้อ วาริช อินดิโก้ คราม นวาระ การทดลอง พลังจิต

ตอน: บทพิเศษ ความทรงจำที่หายไป:ความหลังของผีเสื้อ - ความทรงจำที่ ๘ ดุจน้ำค้างกลางราตรี

คฤหาสน์หลังนี้มีความลับซ่อนอยู่ตามมุมต่างๆ ในซอกหลืบซึ่งแสงของดวงอาทิตย์สอดส่องไปไม่ถึง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ความลับของสวนดอกไม้อันถูกครอบไว้ภายใต้เรือนกระจกหลังคฤหาสน์
ซึ่งถ้ามองจากภายนอกก็จะไม่เห็นสิ่งใดนอกจากภาพสะท้อนทิวทัศน์ ทว่ายามมองจาก
ภายในเรือนกระจกออกไปก็สามารถเห็นสวนเบื้องนอกได้ชัดเจน

ความลับนั้นอยู่ที่บลูเทียร์ หยดน้ำตานางฟ้า...
เมื่อกลีบสีน้ำเงินสั่นไหว จะเปิดเผยความจริงอันถูกซ่อนเร้นภายใต้ลิ้นชักแห่งความทรงจำ



เรื่องลับสุดยอดที่แม้แต่คนจำนวนมากในองค์กรเวชกุลเองอาจไม่ได้รับอนุญาตให้รู้รายละเอียด

ศิวัฒน์ เวชกุลคือนักวิทยาศาสตร์ผู้คิดโครงงานทดลองเรื่องยาที่จะช่วยเก็บรักษาความทรงจำ
เริ่มตั้งแต่หลายปีก่อนที่ลูกสาวของเขาจะเกิด จากนั้นเมื่อเขาแต่งงาน แผนลองตัวยาที่สกัดได้
กับสัตว์ทดลองก็เป็นรูปเป็นร่าง แต่ไม่ว่าอย่างไรแค่ความทรงจำของสัตว์ก็คงไม่เหมือนได้ทดลองใช้มันกับมนุษย์

ชายหนุ่มทำงานนี้ร่วมกับดร.กฤษณะ สรภพ เพื่อนสนิทของเขาเองที่ทำหน้าที่เป็นเสมือนผู้ช่วย
กฤษณะมาจากครอบครัวร่ำรวย มีบิดาเป็นคนสำคัญที่ช่วยพยุงเวชกุลรุ่นก่อนเอาไว้ในช่วงเวลาย่ำแย่
เรียกว่าช่วยกู้ขึ้นจากที่กำลังจะล้ม เวชกุลจึงได้ก้าวต่อมาจนถึงวันนี้ กฤษณะจึงเป็นทั้งเพื่อน ผู้ร่วมงาน
และผู้มีพระคุณ นอกจากนั้นคนบุคลิกเรียบๆ พูดไม่เก่ง เข้าสังคมยากอย่างศิวัฒน์ยังต้องพึ่งเพื่อน
ให้เป็นปากและลิ้นแทนตัวเขา ช่วยเอาของที่เขาผลิตออกไปเสนอขาย ส่งออกสู่ตลาดวงการยา
ให้เป็นที่ยอมรับ
ทั้งด้านมืดและด้านสว่างของวงการยามีให้ต้องสัมผัส คนใจอ่อนอย่างศิวัฒน์บางทีก็กลัวด้านมืดที่ว่า
แต่มือของความรู้เท่านั้นที่ฉุดดึงเขาเข้าสู่ด้านมืดหม่นซึ่งแสงสว่างเข้าไม่ถึง เขาจำเป็นต้องก้าวเข้าไป
เพื่อนำความรู้ที่เป็นเสมือนความลับออกมาสู่ที่แจ้ง ถ้าไม่ใช่คนอย่างเขา ใครเล่าจะทำ

‘คุณต้องสัญญานะหมอกฤษณะ ว่าจะใช้ยาพวกนี้ให้เป็นประโยชน์กับผู้คนจริงๆ
และต้องไม่ใช้ด้านเสียของมันมาทำร้ายใคร’

‘พูดอย่างนั้นก็เหมือนไม่ไว้ใจเพื่อน ผมเคยทำให้คุณผิดหวังหรือไงศิวัฒน์
อุดมการณ์ของเราไม่แตกต่าง คุณน่าจะรู้ดี’

‘ผมรู้...แต่เรื่องพวกนี้บางทีมันก็ทำให้เมียผมไม่สบายใจ เขาห่วงมาก’

เมื่อตอนเด็กๆนั้นวนัสสาเองก็ติดแม่เสียยิ่งกว่าพ่อ ภรรยาของศิวัฒน์ เวชกุลเป็นคนมีเสน่ห์
ไม่ว่าใครก็อยากอยู่ใกล้ ไม่ว่าใครก็เชื่อคำพูดคำขอร้องของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามีผู้กำลังตกอยู่ในห้วงรัก

‘ศิวัฒน์ คุณนี่อัจฉริยะจริงๆ ไม่มีใครเข้าใจความลับของพืชสมุนไพรมีค่ามหาศาลพวกนั้น
ดีไปกว่าคุณอีกแล้ว บางทีผมก็คิด แค่คุณสัมผัสก็เข้าใจความรู้สึกของพืช คุยกันรู้เรื่องเป็นภาษาต้นไม้
แล้วมันก็บอกความลับให้คุณ’

‘ไม่เกี่ยวหรอก ต้นไม้มันบอกอะไรผมไม่ได้ ก็แค่ใช้เวลากับพวกมัน ถึงได้เข้าใจ’

‘เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคุณควรทุ่มเทเวลาให้กับงานวิจัยมากกว่านี้นะ
กลุ่มเวชกุลของเรากำลังเติบโตไม่ต่างจากต้นอ่อนในมือคุณนั่นแหละ’

‘ไม่ได้หรอกหมอ อย่าลืมว่าลูกสาวผมก็กำลังโตเหมือนกัน
ถ้าผมให้ความสำคัญกับแกน้อยลงกว่านี้ เมียผมคงเอาตาย’

คนฟังรู้ว่าอีกฝ่ายพูดเล่น ก็แม่ของลูกศิวัฒน์น่ะอ่อนหวานนิ่มนวลจะตายไป
เป็นคนพูดเองมากกว่าที่เสพติดรอยยิ้มสวยๆ เสพติดคำพูดมีอิทธิพล
ที่ครอบงำทั้งความรู้สึกและจิตใจให้ลอยห่างจากงานทดลอง

‘ลูกสาวของคุณ มีพลังแปลกๆเหมือนอย่างคุณใช่ไหม การอ่านคลื่นความรู้สึกที่ติดอยู่ในสิ่งของหรือผู้คน’

‘ก็น่าจะมีบ้าง มันสืบทอดทางกรรมพันธุ์ อาจจะตั้งแต่รุ่นพ่อของพ่อของพ่อไปอีก
ที่มีความสามารถนี้ฝังอยู่ในยีนส์ แล้วเวชกุลเราก็มีสมุนไพรสำหรับใช้บำรุงรักษา
สมรรถภาพของสมองส่วนพิเศษ เป็นยาบำรุงที่บ้านเรากินมาตลอด
แต่คิดว่ายายหนูวนัสแกมีพลังไม่มากนักหรอก ถ้าอยากจะทดลองอะไรก็ทดลองกับผมดีกว่าเยอะ’

คนฟังรู้อีกเช่นกันว่าคนพูดเบี่ยงเบนความสนใจ แม้รู้ว่าปิดบังไม่มิดก็ยังพยายาม
ปกป้องลูกสาวเอาไว้จากสิ่งใดก็ตามที่พุ่งเข้าไปหา แต่กฤษณะก็เห็นด้วย
วนัสสาสมควรจะถูกเก็บเอาไว้อย่างดี ไม่ให้ความทรงจำเลวร้ายใดเข้าไปรบกวน
การเติบโตขึ้นอย่างสวยงามของเด็กหญิง จนกว่าจะถึงเวลา...เขาเองก็ควรมีส่วน
ช่วยให้ลูกสาวเพื่อนเติบโตขึ้นมาอย่างดีที่สุดเหมือนกัน

ทว่าตัวแปรซึ่งไม่จำเป็นบางอย่างก็สมควรถูกกำจัด โดยเฉพาะคนที่ทำท่าจะมีอิทธิพล
มากเกินไปสำหรับเด็ก และมากเกินไปในเรื่องขัดขวางงานทดลองของพวกเขา


วันเกิดครบห้าปีของวนัสสา มีงานเลี้ยงเล็กๆจัดขึ้นที่บ้าน เด็กๆบ้านใกล้เรือนเคียง
รวมถึงพ่อแม่ของเด็กพวกนั้นได้รับเชิญมาร่วมสนุก เพื่อนสนิทของแม่ เพื่อนของพ่อ
อย่างอาอรหรือลุงหมอกฤษณะก็อุตส่าห์เอาของขวัญมาให้ด้วย คุณลุงเป็นคนผอม
หลังไหล่ดูห่อเหี่ยวเทียบไม่ได้กับพ่อ แต่ลุงก็แข็งแรงดีและเข้าใจพูดให้วนัสสาหัวเราะ
เข้าใจหาขนมของเล่นมาหลอกล่ออยู่ตลอดเวลา เด็กหญิงทั้งอิ่มและง่วงจนแม่ต้อง
เอาตัวเข้านอนระหว่างที่พวกผู้ใหญ่บางคนซึ่งไม่ได้พาลูกหลานมาด้วยยังคุยกันครื้นเครงอยู่ข้างนอก

‘สุขสันต์วันเกิดนะ ผีเสื้อตัวน้อยของแม่’ คนเป็นมารดาจูบลูกสาวที่นอนทำตาปรือ
อยู่บนหมอนแต่ก็ยังอุตส่าห์ยิ้มหวานตอบ

‘ฝันดี เจ้าผีเสื้อป่าของพ่อ’

คำเรียกซึ่งวนัสสาเองยังจำได้มาจนโต สมัยก่อนเคยมีคนถามว่าชื่อวนัสไม่ได้แปลว่าป่าหรอกหรือ
เธอได้ยินพ่อตอบไปว่าชื่อนั้นแม่วนัสสาเป็นคนตั้ง หมายถึงผีเสื้อ แต่พ่อก็เก็บเอาคำว่าป่ามาเติมให้เสียเลย

‘ผีเสื้อป่าตัวน้อย สวย อันตราย หายาก แต่เอาตัวรอดได้ดี ไม่เรียกผีเสื้อป่าแล้วจะเรียกอะไร’

เมื่อทั้งห้องมืดลง เด็กน้อยที่อิ่มหนำจากเค้กวันเกิดก็ผล็อยหลับ ไม่รู้ตัวเมื่อประตูแง้มขึ้น
อีกครั้งอย่างช้าๆ ใครบางคนก้าวเข้ามา เงาร่างของชายคนหนึ่ง...ซึ่งไม่ใช่พ่อของเธอ

วูบหนึ่งที่เหมือนมดกัดตอนหลับ เข็มฉีดยาถูกดึงออกจากแขนของเด็กหญิง
ใครๆก็มักชมว่ากฤษณะเป็นหมอที่มือเบาที่สุดตั้งแต่เคยพบมา เขาพิสูจน์แล้วว่ามันเป็นเรื่องจริง
ไม่ใช่แค่มือเบา ฝีเท้าของเขาก็เบามากด้วยเหมือนกัน

หลังจากนั้นหนึ่งปี ตอนที่มารดาของวนัสสาขับรถไปเที่ยวเขาเขียวกันสองคนกับลูกสาว
เกิดอุบัติเหตุรถพุ่งลงข้างถนน กิ่งไม้เสียบทะลุกระจกเข้าหาลำคอภรรยาของศิวัฒน์ เวชกุล
เป็นเหตุให้เสียชีวิตคาที่!

เจ้าหน้าที่บอกว่าวนัสสาร้องกรี๊ดๆด้วยความหวาดกลัว ทั้งร้องไห้จนสลบไปก่อนคนเป็นพ่อจะมาถึง
ยังดีที่ได้หมอกฤษณะเพื่อนรักของครอบครัวยื่นมือเข้ามาดูแล วันต่อมาเด็กหญิงฟื้นคืนสติ
ไม่มีน้ำตาและออกจะดูงงงันด้วยซ้ำว่าตนมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้อย่างไร

‘หมอทำได้ยังไง วนัสถึงสงบได้อย่างนี้’ คนเป็นพ่อของลูกที่ยังไม่คลายจากความเศร้าสร้อย
เรื่องภรรยาถามเพื่อนอย่างขอบคุณ จิตใจแหลกสลายจนไม่มีแก่ใจสนใจรายละเอียดเกี่ยวกับ
อาการผิดปกติไปจากเดิมของลูกสาว ได้แต่ปล่อยเรื่องไว้ให้ดร.กฤษณะช่วยดูแลต่อ

‘ผมไมได้ทำอะไรเลย นอกจากฉีดยาบำรุงให้’ คนพูดยิ้มปลอบใจพลางตบไหล่ศิวัฒน์
เขาให้ยาชั้นเลิศกับเด็กคนนี้แล้ว วนัสสาจะได้ไม่ต้องกระทบกระเทือนใจอะไรทั้งสิ้นตอนนี้
‘คุณเองก็เถอะ หักอกหักใจเสีย อย่าให้ความทรงจำแห่งรักมาทำร้ายเรา เพราะเรายังต้องก้าวต่อไปอีกไกล’



ตอนหกขวบ มีคนบอกวนัสสาว่าแม่รถชน เธอเองก็อยู่ในรถด้วย...
แต่นึกเท่าไหร่เด็กหญิงก็จำเหตุการณ์ตอนนั้นไม่ได้เลย แปลก เรื่องราวของแม่ดูเหมือนจะ
พร่าเลือนลงตามไปทั้งหมด ความรู้ทั้งหลายที่เรียนในช่วงนั้นก็ดูไม่คุ้นเคย วนัสสากลายเป็น
เด็กอ่านหนังสือไม่คล่องจากที่เคยอ่านได้สารพัด ยังดีที่คนเป็นพ่อมีวิธีสอนลูกสาวได้ใหม่
อย่างรวดเร็วไม่ให้เรียนตกชั้น

‘อาจจะด้วยความสะเทือนใจอย่างหนึ่ง จิตใจที่ป้องกันตัวเองจากความเจ็บช้ำ
ทำให้ลูกคุณลืมเรื่องเกี่ยวกับแม่ไป’ พูดแล้วกฤษณะก็แอบมายิ้มขำอยู่ลับหลัง

...มันไม่ใช่อย่างที่ผมบอกให้คุณฟังหรอกเพื่อน ลูกคุณก็แค่ลืมความจำตั้งแต่ห้าขวบมาจนถึงหก
ลืมว่าแม่รักเธอ สำคัญกับเธอยังไง รวมถึงวินาทีโหดร้ายที่คนของกฤษณะเองจับสตรีผู้นั้นเสียบกับ
กิ่งไม้ซึ่งทิ่มทะลุกระจกรถ เด็กคนนี้เห็นแม่ตายต่อหน้า ให้ลืมไปให้หมดนั่นแหละสมควรแล้ว
ดีที่เขาเองเตรียมฉีดยาเข็มแรกไว้นานแล้ว ตั้งแต่งานวันเกิดเธอปีก่อน กฤษณะจึงไม่ได้เข้าใกล้
ทั้งแม่และเด็กในระยะเกิดเหตุให้เป็นที่สงสัย

อาจเสี่ยงที่ใช้ยากับเด็ก แต่ถ้าวนัสสาไม่รอดไปจากจุดนี้ ก็แปลว่าเธออาจไม่แข็งแกร่งพอ
จะเจอการทดลองที่ยิ่งกว่าในอนาคต ...ความทรงจำในสมองเด็กหญิงไม่ได้ถูกทำลาย
เพียงแค่ถูกปิดขังไว้เท่านั้น

ยาเข็มแรกจะสร้างกล่องขึ้นมากักความทรงจำไว้ เรียกว่าสร้างจุดความทรงจำ...
เข็มที่สองที่ตามมาจะเติมเต็มสารที่ทำงานร่วมกันกับครั้งแรก ไม่ว่าจะฉีดห่างกันช้านานแค่ไหน
เป็นเสมือนการปิดกล่องลงให้แน่นหนาแล้วล็อกกุญแจ จากนั้นก็จบกัน หากได้รับยาเป็นเข็มที่สาม
จึงจะถือว่าเริ่มสร้างกล่องความทรงจำขึ้นมาใหม่อีกครั้งเพื่อรอการปิดกล่องในครั้งที่สี่ต่อไป
แน่นอนว่าต้องมีตัวยาจากดอกน้ำตานางฟ้าที่ใช้เป็นกุญแจเปิดกล่องนั่นได้ นั่นคือสิ่งที่เวชกุลต้องการจะขาย

‘ขโมยความทรงจำของผู้คนมาเสีย แล้วขายกลับไปในราคาแพงลิบ’
แต่ตอนนี้การทดลองยังไม่สำเร็จ และเขาก็ไม่ต้องการให้เด็กนั่นจำเรื่องนี้ได้แม้แต่น้อย
ท้ายที่สุด สิ่งที่สำคัญและจะยิ่งทำเงินคือการทดลองเรื่องพลังจิตประหลาดที่เกิดขึ้นในยีนของคน
พวกเขายังไม่พร้อม คงต้องเอาไว้เป็นเรื่องของอนาคตอีกเนิ่นนานหลายปีนับจากนี้ไป


ในช่วงเวลาที่ศิวัฒน์ เวชกุลทุ่มเทชีวิตให้กับงานวิจัย บางทีเขาก็จะเอ่ยปลอบลูกสาว
‘วนัส คงไม่ว่าอะไรใช่ไหมที่พ่อทำงานหนัก บางทีพ่อก็ต้องใช้เรื่องงานทำให้ลืมความเศร้าเรื่องแม่ของลูก’
คนเป็นพ่อนั้นรักลูกมาก แต่บางทีใบหน้าสวยน่ารักตรงหน้าศิวัฒน์ก็ยิ่งย้ำเตือนให้คิดถึงภรรยาที่เสียชีวิตไป
เขาอยากอยู่กับลูก แต่เมื่อมองหน้ากันแล้วอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ บางทีเขาก็อยากจะหันหนีไป
เรื่องงานจึงกลายเป็นสิ่งที่เข้ามาทดแทนความปวดร้าวซึ่งแทบจะคร่าชีวิตของเขา

‘เสาร์อาทิตย์นี้อยู่กับอาอรนะลูกนะ พ่อติดงาน ...คุณช่วยผมได้มากเลยอรอุมา
ยังดีที่อย่างน้อยก็มีคุณเข้ามา’

วนัสสาในวัยสิบเอ็ดขวบไม่ต้องการแม่ใหม่ แต่เธอก็พอจะยอมรับได้
เพราะอาอรที่เป็นเพื่อนพ่อนั้นดีกับเธอเสมอ แม้ดูออกว่าอีกฝ่ายทำเพราะชอบพ่อ
คนส่วนมากประณามคนที่ทำดีหวังผล แต่ทำดีหวังผลก็ยังน่าชมกว่าคนที่เข้ามา
เอาผลประโยชน์โดยไม่แม้แต่จะดีกับเรา...

ชีวิตแต่งงานใหม่ของพ่อดำเนินไปไม่ดีนัก แต่สุดท้ายพ่อก็หนีไปจากเด็กหญิงไม่สำเร็จ
เพราะวนัสสายิ่งโตก็ยิ่งฉลาด ยิ่งเข้าใจคนเป็นพ่อมากขึ้น พ่อลูกคุยกันได้ทุกเรื่อง
สนิทสนมกันมากมาย คนเป็นพ่อสอนวิธีจัดการกับความรู้สึกแปลกๆยามสัมผัสสิ่งของ
หรือผู้คนให้ เพื่อให้เธอยอมรับและควบคุมมันได้

เมื่อพ่อไม่อยู่บ้าน อาอรชอบบ่นเรื่องธุรกิจยานอกระบบที่พ่อเข้าไปเกี่ยวข้องเสมอ
จนที่สุดเมื่อวนัสสาโตพอ แม่เลี้ยงจึงหาโอกาสย้ายไปทำสวนไม้ดอกอยู่ถึงเชียงใหม่
ส่งดอกไม้ออกขายในตลาดทั่วไปและส่งส่วนที่ทำยาได้เป็นวัตถุดิบป้อนเวชกุล
เมื่อนั้นอรอุมาก็เลยไม่คิดจะย้ายกลับลงมากรุงเทพฯอีกเลย วนัสสาจึงอยู่กับพ่อ
ที่ไปทำงานบ้างกลับบ้านบ้าง ด้วยความเข้าใจทั้งคู่จึงไม่ได้สนิทกันน้อยลง

แต่แล้วพ่อเธอก็หายตัวไป!
วนัสสาโตพอที่จะควบคุมตนเองไม่ให้โศกเศร้าจนเสียคน รวมถึงยังมีภาระว่าต้องเรียนให้จบ
ทว่าในใจก็ยังครุ่นคิดเรื่องพ่อตลอดมา มีคนเอาตัวพ่อของเธอไป ตลอดเวลาตั้งแต่พ่อหายสูญนั้น
เธอพาตัวเองไปตามสถานที่ต่างๆ ไปรู้จักกับผู้คนที่เคยเป็นเพื่อนพ่อซึ่งพากันหนีหน้า แล้วก็คว้าน้ำเหลว
ไม่ว่าอย่างไรเวชกุลก็ยังเลี้ยงดูวนัสสากับแม่เลี้ยงไว้ภายใต้เงา หญิงสาวจึงมีโอกาสได้เข้าไปยัง
คฤหาสน์สีน้ำเงิน คืนงานเลี้ยงสวมหน้ากาก

ค่ำคืนของเดือนตุลาคมที่หลายสิ่งเกิดขึ้น แล้วเธอก็ลืมตาตื่นมาพบนาเดีย
พยาบาลผู้นำตนไปสู่ห้องที่ลุงหมอกฤษณะรอคอยอยู่ พร้อมข้อเสนอเรื่องว่า
ต้องยอมรับการทดลองเกี่ยวกับยาและพลังจิต แลกกับการได้พบหน้าพ่ออีกครั้ง...

แต่แล้ววนัสสาก็คงไม่ได้พบพ่ออย่างหวัง และความทรงจำหายที่ไปสองเดือนก็เป็นแค่
ส่วนหนึ่งของการทดลองเท่านั้น ทว่าตอนนี้ในใจเธอไม่ได้มีเพียงเรื่องพ่อ
ยังมีความรัก...กับคนรักที่เธอหลงลืมไปอีกทั้งคน

ในเวลาที่อันตรายระลอกใหญ่กำลังจะถาโถม เธอเองก็อยากรู้เหลือเกินว่าเขาคือคนไหน
ใครกันที่จะช่วยเธอ จับมือเธอก้าวผ่านช่วงเวลาที่โหดร้ายนี้ไปด้วยกัน


............................
ความทรงจำที่ ๘ ดุจน้ำค้างกลางราตรี

วนัสสาไม่เข้าใจว่าครามเป็นอะไร เมื่อจู่ๆเขาก็บุกเข้ามาในห้อง มารวบตัวเธอไปกอด!
แล้วก็ดันลงถึงเตียงอย่างไม่ให้ตั้งตัว หญิงสาวแทบรู้สึกเป็นตื่นตระหนก ทว่าไม่ได้แม้แต่จะร้องออกมา

เพราะเป็นเขา... เพราะอย่างน้อยเธอก็ต้องการจะฟังให้ชัด ว่าชายหนุ่มกำลังจะบอกอะไร

ในขณะที่ครามกอดเธอ ซุกไซ้ใบหน้าลงมาคลอเคลียใกล้ชิดราวกับคนเมา
แถมไม่ใช่เมาอย่างเดียว ยังเห็นได้ว่าดวงตาเรียวคมของเขาแดงช้ำ
พร่างพรายด้วยอารมณ์ความรู้สึกหลากหลาย ร่างแข็งแกร่งไปด้วยกล้ามเนื้อนั้นสั่นน้อยๆ
คล้ายเพิ่งผ่านฝันร้ายอย่างใดอย่างหนึ่งมา ทั้งที่กลัว แต่วนัสสาก็อยากจะปลอบโยน
ให้อีกฝ่ายได้ก้าวผ่านพ้นไปจากห้วงอารมณ์ที่กำลังดึงเขาดิ่งลง

“ผมอ่านหนังสือก่อนนอน พอนอนก็นอนไม่หลับ เคลิ้มไปหน่อย แล้วผมก็ฝันถึงเรา
เราสองคนเคยอยู่ด้วยกันอย่างนี้” ชายหนุ่มถอนหายใจแรง ระบายลมเฮือกออกมาจากในอก

วนัสสาฟังแล้วก็สงสัย ลังเล แต่อีกใจยังเต็มไปด้วยความหวัง “คุณพูดอะไรของคุณ”
คนนั้นของเธอจะใช่เขาเหรอ นี่ถ้าเธอเองพอจำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้บ้างสักนิดก็คงดี
แต่หัวใจกำลังบอกให้รับเขาไว้ในนาทีนี้ รับไว้ในอ้อมแขน แม้จะแค่เพื่อปลอบโยนจิตใจของกันและกัน

ครามส่ายหน้า พูดเสียงพร่าเหมือนคำราม
“ผมไม่ชอบให้เธอเข้าใกล้ใคร...ไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้เธอด้วย หรือแม้แต่มอง!”

ดวงหน้าของชายหนุ่มอยู่ติดกับเธอแค่นี้เอง ทำให้ยิ่งเห็นว่าคิ้วและตาของเขาคมสมชายเพียงใด
แต่ในความน่าดูนั้นก็ยิ่งมีอันตรายที่ยากจะต่อต้าน วนัสสาพยายามดันเขาออกห่าง เพื่อที่จะ
ได้พูดจากันให้เป็นกิจจะลักษณะ แต่ดูเหมือนเจ้าของอ้อมแขนแข็งแรงไม่เปิดโอกาสให้เธอ
ทำเช่นนั้นง่ายๆ “เราไม่ใช่แฟนกันนี่คะ ฉันจะได้ต้องทำแต่อะไรที่คุณชอบตลอด”

“เป็นสิ ถ้าแต่ก่อนไม่ใช่...ก็เป็นเสียตอนนี้เลย” ชายหนุ่มพึมพำห้วนจัด

“คุณยังไม่ทันบอกว่าชอบฉันเลยสักคำ” วนัสสาอึกอัก แต่เธอก็เขินไปถึงไหนๆแล้วเมื่อเขาจู่โจมรวดเร็ว

คราม...ผู้ชายที่ดูจากกิริยาไว้ตัวเมื่อแรกนั้นชวนให้คิด ยากนักที่จะปีนกำแพงเข้าไปถึงตัวเขาได้
ไม่เหมือนอย่างวาริชหรือนวาระ แต่แล้วจู่ๆกำแพงก็พลังทลายลงราบคาบ กลับเป็นเขาที่
บุกพรวดเข้าถึงตัวเธอซึ่งกำลังหล่นจากกำแพงลงมานั่งงงตั้งตัวไม่ติด

“ไม่เคยบอกชอบ แล้วไอ้ที่ผมทำมันไม่ได้แสดงออกให้เธอเห็นว่าชอบบ้างเลยหรือ”
ครามจับไหล่หญิงสาว จ้องลึกลงในดวงตากลมโตคู่สวยที่ตอนนี้ทอประกายสับสน

“ยังไงมันก็เร็วไป แล้วก็น่าเกลียดที่คุณบุกเข้ามาแบบนี้...”

“เราอาจจะเคยรักกัน เคยทำยิ่งกว่านี้กันมาแล้วก็ได้” ครามพูดเสียงเบา
ยังใช้น้ำหนักกดตรึงวนัสสาไว้ใต้เรือนกาย

“อาจจะ คุณหมายความว่ายังไง”

“ไม่ ไม่รู้สิ ว่าเราไปกันถึงขั้นไหนแล้ว ถ้าลองทำดูตอนนี้เลยก็จะรู้เอง”

------------

รักกันชอบกัน อย่าลืมติดตามเพจ "อสิตา" ได้ในเฟซบุคนะคะ
ใกล้ครบ 555 คนแล้ว จะได้ฤกษ์แจกของสักหน่อย



อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.ย. 2556, 06:38:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ต.ค. 2557, 07:36:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 1304





<< ความทรงจำที่ ๗ กลีบสีน้ำเงิน(จบบท)   ความทรงจำที่ ๘ ดุจน้ำค้างกลางราตรี(...ต่อ) >>
อสิตา 6 ก.ย. 2556, 06:40:06 น.
คุณภาวิน – มาให้กำลังใจเป็นคนแรกอีกเช่นเคย ครามเซ็กซี่ตลอดเวลา ส่วนดาหวันก็อยากดูแลหมอริช แหมๆ แต่สองหนุ่มนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยวนัสไปพ้นมือง่ายๆหรอกนะ
คุณพันธุ์แตงกวา – เชื่อว่าการตัดจบวันนี้ก็ยังบาดใจเจ๊และหลายๆคนต่อปาย //คนเขียนถูกขว้างปา
คุณหนอนน้อยดังปัณณ์ – ไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอคะ อย่ามาแอบดูข้างเตียงนะ ความร้อนขึ้นสูงไข้จะขึ้นอีกไม่รู้ด้วยล่ะ หุหิ พ่อดอกกุหลาบจะห้ามปรามทันไหมเนี่ย เค้าไปถึงไหนๆกันละ

คุณซาอิ แกะน้อยงุงิเจ้าอารมณ์ O.o – 555สั้นไปเหรอคะ คนเขียนผิดเอง จะพยายามมาบ่อยขึ้นน้า จุ๊บๆ
คุณสุขุมวิท66 – ครามร้ายมาก และจะเอาแต่ใจขึ้นเรื่อยๆ สงสารหนูวนัส หรืออิจฉาดี แหม่...ไม่ลืมที่จะลงกลอนประตู
คุณกระต่ายผ้าขี้ริ้วรุ่งริ่ง – ครามมิช่าทำแต้มนำแล้วสิ ยอมรับมาเถอะ แต่ลุ้นทางนาวี่ก็น่าจะลุ้นขึ้นอยู่เหมือนกัน
คุณบุลินทร – เดี๋ยวได้เล่มแล้วอย่าลืมอ่านด้วยนะ แสยะ เอ๊ย ยิ้มออดอ้อน - -“ (ไม่ถนัดยิ้มแบบนี้เลย)


อสิตา 6 ก.ย. 2556, 06:41:19 น.
คุณผักชี – อย่าหมั่นไส้วนัสเลยนะ บอกให้จิ้นว่าตัวเองเป็นวนัสไงคะ ยังไงก็มีแต่ได้ไม่มีเสีย นะๆๆ
คณโกลเด้นซันปิ๊งแว้บ – นวาระสมองคงจะโดนกระชากเต็มที่ แต่ปกติฮีก็เป็นพวกไฮเปอร์บ้าๆบวมๆอยู่แล้ว อัดความรู้เข้าสมองจนชิน พี่ครามอารมณ์ขึ้นแล้ว เหตุผลหรืออารมณ์จะมาแรงกว่า ความรู้สึกใหม่และเก่าคงจะตีกันยุ่งไปหมด


ภาวิน 6 ก.ย. 2556, 07:20:12 น.
อร๊ายยยย ถ้าลองทำดูตอนนี้จะรู้เอง คนอ่านก็อยากให้ทำ เอ้ย อยากรู้ค่ะ


พันธุ์แตงกวา 6 ก.ย. 2556, 07:51:36 น.
คราวที่แล้วบาดตับ คราวนี้สะเทือนม้าม ให้ตายเถอะพ่อคราม อ่านมาตั้งยาวมาตัดฉับตรงนี้พอดีสิน่า


sai 6 ก.ย. 2556, 08:19:39 น.
เออออ อย่ามาทำต่อหน้าคนอ่านสิค่ะพี่คราม เด๋วเค้ารุกันหมด 555


ดังปัณณ์ 6 ก.ย. 2556, 08:52:32 น.
เอ่อพ่อครามเอ๊ย เอ๊ย เอ๊ย เอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยย 555+ ถ้าลองทำดูตอนนี้เดี๋ยวก็รู้เองงงงงงงงงงงง ทำอัลไลอ่าาาาาาาาาาาาาา 555+ ได้อีกนะคุณ เอิ่วววววววววววว รอตอนต่อไปคร้าาาาาาาาา คุณแป้ง ว่าแต่ว่า พ่อดอกกุหลาบของอิชั้นโดนกลีบดอกไม้หล่นใส่ แล้วเปนยังไงบ้างเนี่ย


ก็เป็นได้แค่กระต่ายผ้าขี้ริ้ว 6 ก.ย. 2556, 12:27:04 น.
ค้างอ่ะ!!!!!! รีบมาต่อเร็วๆน้าาาาา


Chii 6 ก.ย. 2556, 14:40:16 น.
ไม่นะ กรี๊ดดดดด
พี่คร๊ามมมมมมมมมมม ไปลองกะยัยนั่นทำไม๊

นี่ ยัยวนัส หล่อนผลักพี่ครามออกเด๋วนี้เลยนะะะะ!!!!


Sukhumvit66 6 ก.ย. 2556, 15:37:35 น.
บ๊ะ ขนาดนี้เลยหรอ คราม อร้ายยยย


lovemuay 6 ก.ย. 2556, 17:15:37 น.
หมอกฤษณะน่ากลัวมาก ทำเพื่อการทดลองจนถึงกับทำร้ายคนมากมายเลยหรอ? ออกแนวหมอโรคจิตนะเนี่ย


ree 6 ก.ย. 2556, 19:09:30 น.
เกิดไม่ใช่ขึ้นมาจะยุ่งนะเนี่ย


SunSeed 6 ก.ย. 2556, 21:10:25 น.
หายไปนานนน พอกลับมาอ่านรวดเดียว อั๊ยยะ พี่แป้งงงงงงงง เอามาต่อ ณ บัดนาวเลยน๊า อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ระหว่างครามกับยัยวนัสสา (เรียกจิกหัวด้วยความหมั่นไส้แกมอิจฉา ที่ได้อยู่ใต้ร่างพี่คราม งื๊ดดๆๆ)


Zephyr 7 ก.ย. 2556, 20:39:59 น.
หมอกฤษณะ จะน่ากลัวไปไหน เล่นทำยังงี้กับเด็ก ไม่น่าเลย
ศศิราศีรับสืบทอดเจตนารมณ์นั้นมาเหรอ ยิ่งน่ากลัว
แต่ แบบคราม หื่นนนนนนน อ่า
บุกเข้ามาผลักลงเตียง
ชริ วนัส นางห้ามปล้ำพี่ครามนะ


goldensun 9 ก.ย. 2556, 14:33:51 น.
นอกจากเทวัญ ยังมีกฤษณะอีกด้วยหรือคะ น่ากลัวมาก ผลประโยชน์เป็นหลักเลย ขนาดครอบครัวเพื่อน ยังทำได้ขนาดนี้
ส่วนคราม กำลังขึ้นเต็มสปีดเลยนะเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account