เริงราตรีสีขาว {จากนวนิยายชุด ความลับของผีเสื้อ สนพ. อรุณ}
เขาเกิดมาพร้อมคำทำนาย "สตรีผู้มีชะตาผูกพัน จะทำให้เขาอายุสั้นลง"
และเมื่อเธอคือสตรีผู้นั้น ระหว่างชีวิตกับหัวใจ
เขาจะเลือกสิ่งใด
และเมื่อเธอคือสตรีผู้นั้น ระหว่างชีวิตกับหัวใจ
เขาจะเลือกสิ่งใด
Tags: รัก ลึกลับ โรแมนติก
ตอน: ตอนที่ ๑๖ + ยังเล่นเกมแจกนิยายในเพจ "ภาวิน" นะคะ
มีเพียงศาศวัตเท่านั้นที่รู้ดีว่า เรื่องที่ณราตรีปะติดปะต่อเรื่องราวและจดจำเขาได้ ทำให้เขาเครียดยิ่งกว่าเรื่องที่ษมาขุดคุ้ยประวัติของเธอเสียอีก บทสนทนาระหว่างเขากับเพื่อนร่วมงานยังชัดเจนเพราะเพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆ
‘ทีนี้คงไม่ต้องสงสัยแล้วสินะว่าใครมาขุดต้นไม้ในแปลงทดลองของเราไป’ ษมาถามเสียงเย็น หลังจากศาศวัตอ่านประวัติโดยย่อของณราตรีที่ษมาค้นมาจากกูเกิลจบลง ทว่าศาศวัตกลับสงสัยไปอีกเรื่อง
‘นายไปเอาชื่อจริงนามสกุลจริงคุณไนท์มาจากไหน’ ชื่อจริง นามสกุลจริงซึ่งเขาจดจำได้แม่นและไม่เคยแย้มให้ใครฟังไม่ว่าจะษมาหรือจีวร
คนถูกถามเบนสายตาไปทางอื่น ‘เมื่อกี้ฉันเห็นผู้หญิงคนนั้นในห้องอาหาร ก็เลยขึ้นไปค้นบนห้องเธอมา’ ครั้นเห็นศาศวัตหรี่ตามอง ษมาจึงรีบเอ่ยต่อราวกับเด็กยามถูกผู้ใหญ่จับได้ว่าทำผิด ’แค่ค้นเฉยๆ ดูแล้วจดจำ ก่อนเก็บไว้เหมือนเดิมไม่ถือว่าผิดหรอก คนที่เข้ามาที่นี่ด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ต่างหากที่ผิด’
‘นายคิดว่าคุณไนท์เข้ามาโดยมีเจตนาอื่นแอบแฝงอยู่เหรอ’
สีหน้าท่าทางของษมาบ่งชัดว่าคิดตามคำกล่าวหาจริงๆ ศาศวัตลุกขึ้นจากเก้าอี้ยืนประจันหน้า และเริ่มชี้ให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ใจของณราตรีซึ่งเขารู้อยู่เต็มใจ‘ทางเข้าบ้านกลางวนามีตั้งเยอะ ถ้าคุณไนท์เป็นสายของเนเชอรัลเฮลท์จริง คงหาวิธีอื่นเข้ามาสบายๆไม่ลงทุนเสี่ยงตายกระโดดลงจากน้ำตกปล่อยให้น้ำพัดมาเกยหาดแบบนั้นหรอก เพราะมีโอกาสตายก่อนจะได้ความลับ’
จริงอยู่ณราตรีอาจใจกล้าบ้าบิ่นมาตั้งแต่เด็ก ดูจากที่เธอกล้ากระโดดเข้าตบหัวเพื่อนผู้ชายซึ่งมารังแกเขาก็พอจะเดาได้ เขาคิดว่าเธอน่าจะกล้าเสี่ยงในเรื่องที่คิดว่าสู้ไหวเท่านั้น
‘อาจมีใครดอดเข้ามาส่งเธอตอนกลางคืนก็ได้’ ษมาเถียงด้วยน้ำเสียงดื้อรั้น
ศาศวัตส่ายหน้าระอาใจ แก้ต่างให้ณราตรีอย่างใจเย็น ‘สภาพร่อแร่แบบนั้นนายก็รู้ว่าไม่ได้เกิดจากการเล่นละครตบตา ไหนจะผื่นแพ้ที่ทำให้เธอทรมานอยู่หลายวันนั่นอีก ถ้าเป็นนาย นายกล้าเสี่ยงโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันแบบนั้นหรือ เสี่ยงโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้อะไรติดมือกลับไปหรือเปล่า’
ษมานิ่งไปนิด เถียงไม่ออก สุดท้ายก็โพล่งมาดื้อๆ ‘นายกำลังเข้าข้างผู้หญิงคนนั้น’
‘ฉันไม่ได้เข้าข้าง ฉันแค่ประมวลไปตามเหตุผล คุณไนท์เพิ่งมาถึง เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราสองคนทำงานให้เวชกุล ส่วนต้นไม้ที่หายไป ฉันยังนึกไม่ออกว่าคุณไนท์จะรีบร้อนขุดทำไมในเมื่อเธอยังไม่ได้ไปไหน’ ศาศวัตอธิบาย ‘แล้วเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าต้นไม้ชนิดไหนมีพิษหรือมีประโยชน์ยังไง นายอย่าเพิ่งด่วนสรุปด้วยหลักฐานแค่นี้ดีกว่า’ ชายหนุ่มหรี่ตามองคนตรงหน้า ‘เพราะไม่อย่างนั้น นายก็จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยเหมือนกัน’
ศาศวัตเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน หยิบกระดุมโลหะสีสนิมซึ่งตนเก็บได้มาส่งคืนให้ษมา พลางพลิกปกแจ๊กเก็ตยีนของเพื่อนร่วมงานให้ดู กระดุมเม็ดบนสุดหลุดหายไป ส่วนเม็ดอื่นๆบนสาบเสื้อมีลักษณะเดียวกับที่ศาศวัตส่งให้ไม่มีผิด
ทิ้งระเบิดไว้แล้วศาศวัตก็จากมาโดยไม่เหลียวกลับไปมองด้วยซ้ำว่าษมาทำหน้ายังไง
ศาศวัตไม่ตกใจ ไม่แปลกใจ เมื่อได้อ่านประวัติของณราตรี เนื่องจากเขารู้อยู่แล้ว รู้มานานแล้ว และไม่เคยลืมเลือน...ใครจะลืมผู้หญิงที่เสี่ยงเอาตัวเข้าปกป้องเด็กชายตัวเล็กๆแบบเขาได้ลงคอ
แต่ที่เขาตกใจเพราะอยู่ๆษมาก็รู้เรื่องนี้ขึ้นมา และเดาได้ว่าเรื่องยุ่งยากจะตามมาอีกเป็นขบวน และส่งผลให้ณราตรีต้องไปจากบ้านกลางวนาเร็วขึ้น...เขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย อยากให้เธออยู่ต่อนานอีกนิด...หรือตลอดไปก็ยิ่งดี
“เราต้องคุยกัน” ศาศวัตย้ำคำเดิมพลางปิดประตูตามหลังกักกันเธอไว้กับเขาสองต่อสอง
ณราตรีวางกรอบรูปลงช้าๆ สบตาเขานิ่งๆ
“คุณจำผมได้แล้วสิ”
“ส่วนเธอจำฉันได้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม” น้ำเสียงที่ลอดผ่านริมฝีปากอิ่มเบาหวิว
ศาศวัตพยักหน้าแทนคำตอบ พลางก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว “จำได้ตั้งแต่วันที่สวนกันตรงหน้าลิฟต์ที่โรงแรม นอกจากขนาดตัวที่โตขึ้นแล้ว คุณไม่เปลี่ยนไปเลยนะไนท์ โดยเฉพาะตาคู่นี้” อุ้งมือแข็งแรงประคองใบหน้าเธอไว้ ปลายนิ้วโป้งทั้งสองข้างลากไล้ผ่านดวงตาคู่สวยเบาๆ ดวงตาที่ปกติฉายแววเฉยเมยคล้ายไม่แยแสต่อโลก แต่ยามมีความรู้สึกใดอัดแน่นอยู่ภายในหน้าต่างหัวใจคู่นี้จะเปิดเผยจนหมดสิ้น
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ทำไม...” คำถามนั้นหายเข้าไปในลำคอดื้อๆ พร้อมกับนิ้วเรียวแตะลงบนผิวบริเวณหางตาซึ่งชายหนุ่มรู้ว่ามันมีร่องรอยความ ‘ชรา’ บ่งชัด
ศาศวัตจับมือเธอไว้ มองสบสายตาซึ่งเต็มไปด้วยคำถาม ถึงเวลาแล้วสินะที่เขาต้องบอกเล่าความจริงเกี่ยวกับ ‘โรคประหลาด’ ที่เขาเป็น ชายหนุ่มจูงมือเธอไปยังเก้าอี้หน้าโต๊ะหนังสือพลางกดไหล่เบาๆเป็นการบังคับให้เธอนั่งลง ส่วนเขาหย่อนกายลงบนขอบเตียงซึ่งอยู่ใกล้กัน
“ไนท์ คุณจะรู้สึกอย่างไรหากผมจะบอกว่าผมไม่ได้เด็กกว่าคุณแค่สองปีอย่างที่คุณเข้าใจมาโดยตลอด”
แค่เริ่มต้นณราตรีก็เห็นเค้าลางความซับซ้อนแล้ว แต่มิได้เอ่ยขัด ยังคงนิ่งฟัง คงไม่มีเรื่องใดจะทำให้ประหลาดใจไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
“ผมอายุน้อยกว่าคุณสี่ปี”
“สี่ปี” ณราตรีครางอย่างไม่อยากเชื่อ
ศาศวัตยืนยันหนักแน่น ไม่มีวี่แววล้อเล่น “ใช่ สี่ปี ผมเรียนเร็วจึงเป็นเด็ก ม.๑ ที่ตัวเล็กกว่าใคร” เขายิ้มเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ ดวงตายาวรีเปล่งประกายความสุขยามย้อนรำลึกถึงวันเก่าก่อน “ผมไม่เคยลืมรุ่นพี่คนเก่งที่กล้ากระโดดตบหัวเพื่อนผู้ชายตัวโตที่มารังแกผม เธอดูเท่มาก แต่ผมไม่คิดว่าผู้ชายคนนั้นจะกล้าหันมาสวนกลับแรงๆแบบนั้น...ผมเสียใจที่ผมตัวเล็กเกินกว่าจะปกป้องเธอได้”
แววตายามมองเธอแสดงความขอลุแก่โทษ ณราตรีหลับตาคลึงขมับ ถ้ามียาดมยาหม่องเธอก็คงควักล้วงมาถูทาด้วย เรื่องราวจากปากชายหนุ่มลบเลือนภาพศาศวัตที่เธอรู้จักมาหลายวันจนแทบหมดสิ้น...อย่างนี้นี่เล่าเขาถึงพูดให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้งว่าเขายังเด็กอยู่ และบางครั้งยังเผลอแสดงนิสัยเด็กๆออกมาให้เห็น
“พอคุณจบ ม.๓ แล้วไปต่อโรงเรียนใหม่ ผมก็ตามไปสอบเข้าที่นั่น”
“พอเถอะ” ณราตรีขัดขึ้นพร้อมกับพรวดพราดลุกขึ้นยืน ความจริงบางเรื่องไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ถ้ามันทำให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจและสร้างรอยกระดำกระด่างให้ความรู้สึกงดงามซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน เธอยังกำซาบความหวานหอมได้ไม่จุใจเลย
“ฉันไม่อยากฟังแล้ว” ณราตรีเสียงแข็ง ก่อนก้าวเร็วๆไปยังประตูห้อง ทว่าคนตัวโตไวกว่าขยับขาไม่กี่ครั้งก็เข้าถึงตัว รั้งแขนเธอไว้ก่อน
“ผมอยากให้คุณฟังนะไนท์” เขาใช้เสียงดังขึ้น เหมือนต้องการปรามไม่ให้เธอวิ่งหนีความจริง
ฟัง...เพื่อตอกย้ำว่าเขาเด็กกว่าเธอตั้งสี่ปีนะหรือ...อายุอาจเป็นเพียงตัวเลข อาจไม่สำคัญสำหรับใครอื่น แต่มันสำคัญมากในความรู้สึกของเธอ ถึงหน้าเขาจะแก่ล้ำอายุจริงไปแล้วก็เถอะ
“ผมขอร้องนะไนท์ ฟังผมก่อน” เสียงทุ้มเว้าวอน แววตาชวนสงสาร
“แล้วคุณสามารถรับผิดชอบความรู้สึกของฉันหลังจากฟังจบได้ไหมล่ะ” ณราตรีย้อนเสียงขื่น ทำไมต้องบังคับให้ฟังในสิ่งที่เธอรู้แล้ว...เพียงยังไม่อยากยอมรับ
“ทำไมล่ะไนท์ มันแย่มากหรือที่รู้ว่าผมเด็กกว่าคุณน่ะ คนอื่นเขาห่างกันห้าปีสิบปียังคบหากันได้”
“สำหรับคนอื่นฉันไม่รู้ แต่สำหรับฉัน...มันแย่มาก” เธอใช้ถ้อยคำรุนแรงเกินไปใช่ไหม ดวงตาที่เคยสดใสของเขาจึงหม่นวูบ เงื้อมเงาของความผิดหวังพาดผ่านอย่างเห็นได้ชัด
ชีวิตที่ผ่านมา ณราตรีปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่ ‘หลุดกรอบ’ ซึ่งเธอขีดล้อมไว้อย่างชัดเจน ไม่ว่าเธอจะชอบสิ่งนั้นมากเพียงใดก็ตาม เธอเคยปฏิเสธงานออกแบบที่เรียกตัวเธอไปทำงาน แม้ผลตอบแทนน่าสนใจและเป็นงานที่เธอรัก เพียงเพราะที่นั่นไม่ใช่เนเชอรัลเฮลท์ที่เธอรักและใฝ่ฝัน
เธอตีกรอบความต้องการในเรื่องต่างๆของตนเองอย่างชัดเจน และเมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจเลือก เธอก็เลือกเดินอยู่ในกรอบของตน ฟังเหตุผลของสมอง โดยไม่ใส่ใจคำเรียกร้องของหัวใจ เธอเชิดหน้ายิ้มในฐานะ ‘ผู้ชนะ’ เสมอ
แม้ใครจะมองว่าเป็นความคิดที่คับแคบ โง่เขลา และไม่ยอมเปิดโอกาสให้ตัวเองเรียนรู้สิ่งใหม่ก็ตาม เสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นก็อยู่นอกกรอบความสนใจของเธอเหมือนกัน
นี่เป็นอีกครั้งที่ณราตรีต้องตัดสินใจ และมีแนวโน้มสูงว่าเธอจะทำตามที่สมองสั่ง ไม่เช่นนั้นคงไม่โพล่งขึ้นมาว่า “ฉันจะไปจากที่นี่อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้ต้องฟังอะไรอีก”
ไปจากที่นี่และลืมเรื่องราวต่างๆซะ ทั้งเรื่องในอดีตสมัยเรียนระหว่างเธอกับเขา รวมทั้งเหตุการณ์ต่างๆ ณ บ้านกลางวนาแห่งนี้ ไม่ว่ามันจะหวานซึ้งตรึงใจเพียงใดก็ตาม
“คุณขี้ขลาดเรื่องความรักใช่ไหม” คำถามซื่อๆง่ายๆของเขาเหมือนไม้ท่อนใหญ่ฟาดลงมากลางแสกหน้า
ณราตรียืนอึ้งไปชั่วขณะ มือเยียบเย็นของศาศวัตซึ่งกำข้อมือเธอไว้กระชับแน่นขึ้นดุจกลัวว่าเธอจะสะบัดหลุดแล้ววิ่งหนีไป
“คุณก่อกำแพงขวางผมไว้ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก...เด็กกว่าคุณ แต่พอมาเจอกันอีกครั้งผมเปลี่ยนไปจนคุณจำผมไม่ได้ มันจึงไม่มีกำแพงระหว่างเรา แล้วคุณก็เปิดใจยอมรับความรู้สึกดีๆที่ผมมีต่อคุณ” ไม้ท่อนเดิมซึ่งมีชื่อว่าความจริงยังฟาดกระหน่ำลงมาไม่ยั้ง โดยคนฟาดไม่เปิดโอกาสให้เธอดิ้นหนีเอาตัวรอดเลย
“พอคุณรู้ว่าผมเป็นคนเดียวกับเด็กอ่อนแอตัวกระจ้อยร่อย เป็นคนเดียวกับเด็กน้อยที่หมั่นส่งช็อกโกแลตให้คุณทุกวัน โดยคุณไม่เคยใส่ใจจะรับไว้ คุณไม่สนใจด้วยซ้ำว่าผมชื่ออะไร เป็นใครมาจากไหน”
“เป็นความผิดของฉันหรือไงเล่า คนเรามีสิทธิ์จะคิด มีสิทธิ์จะรู้สึกไม่ใช่หรือ” เธอย้อนเสียงสูง
“ไม่ คุณไม่ผิด คนเรามีสิทธิ์คิดและรู้สึกต่างกันอย่างที่คุณบอกนั่นแหละ ผมปลื้มคุณก็ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องปลื้มผม ผมสนใจเรื่องราวของคุณก็ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องสนใจเรื่องราวของผม แต่นั่นมันเมื่อก่อน ตอนที่ผมยังขี้ขลาดและเด็กเกินกว่าจะมุ่งเดินหน้าเรื่องหัวใจ ผมยังมีหน้าที่เรียนหนังสือและทำความคิดฝันของตัวเองให้เป็นจริง แต่ไม่ว่าผมจะทุ่มเทกับการเรียนมากแค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้ผมลืมคุณเลย...”
ณราตรีบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรกับคำบอกเล่าตรงไปตรงมา มันก้ำกึ่งระหว่างดีใจกับสงสาร
“คุณรู้ไหมผมดีใจแค่ไหนที่เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าคุณจะมาโผล่ที่นี่ ในวันที่ผมโตแล้วและพร้อมจะทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ ผมไม่ยอมให้คุณมาปิดประตูใส่หน้าผมเพียงแค่รู้ว่าผมเป็นคนเดียวกับคนที่คุณเคยปฏิเสธมาก่อนหรอกนะ”
ณราตรีเบือนหน้าหนีไปยังหน้าต่างห้องซึ่งเปิดกว้าง ม่านราตรีสีดำมืดโรยตัวลงมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ลมหนาวพัดพรูจนม่านระบัดไหว ศาศวัตคงรู้กระมังว่าเธอเจตนาหลบตา นิ้วแข็งแรงจึงจับปลายคางเธอให้หันมาเผชิญหน้าอีกครั้ง “มองผมสิไนท์ นอกจากอายุที่คุณมองมันไม่เห็นแล้ว มีตรงไหนบ้างที่ผมเด็กกว่าคุณ ผมงอแงเอาแต่ใจหรือก็เปล่า จริงอยู่ ในอดีตผมอ่อนแอดูแลคุณไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนก่อนแล้ว ผมปกป้องดูแลคุณได้ และผมไม่มีทางปล่อยให้ใครมาทำร้ายคุณต่อหน้าต่อตาได้อีกเด็ดขาด”
แววตาจริงใจเมื่อประกอบคำพูดจริงจังตรึงณราตรีไว้ไม่ให้ขยับไปไหน สิ่งที่ได้ยินไม่เพียงติดอยู่ที่หู มันกระแทกเข้าสู่หัวใจอย่างจัง
“ทำไมต้องตั้งท่าเหมือนจะวิ่งหนี ทั้งที่ใจเราตรงกันด้วยเล่า” เสียงทุ้มทอดอ่อนแฝงแววตัดพ้อ
“เธอรู้ได้ยังไง” หลุดปากออกไปแล้ว ณราตรีจึงรู้ว่าเป็นคำถามที่ฟังดูโง่เง่าเหลือเกิน เขาอ่านความรู้สึกเธอออกชัดเจนราวกับอ่านหนังสือเล่มโปรด เรื่องแค่นี้มีหรือที่เขาจะไม่รู้
“ผมรู้ตั้งแต่ตอนที่...” คำพูดถูกทิ้งไว้ครึ่งๆกลางๆ ตามติดด้วยริมฝีปากอุ่นฉกวูบลงมาบนกลีบปากนุ่มดุจผีเสื้อหนุ่มผู้หิวกระหายโฉบลงเกลือกกลั้วดูดชิมความหอมหวานจากเกสรดอกไม้ ทั้งปรนเปรอและเรียกร้องจนหญิงสาวแทบสำลักลมหายใจตัวเอง
สัมผัสที่เขามอบให้โดยไม่ทันตั้งตัวนั้นทำให้เลือดในกายณราตรีฉีดพล่าน เขารุกรานต่อเนื่องราวกับจะเอาคืนให้สาสมกับที่เธอทำลายความรู้สึกเขาด้วยคำพูดเมื่อครู่
ประตูหัวใจซึ่งเธอพยายามจะปิดกั้นถูกดุนดันจนเปิดออก ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในถาโถมออกมาราวกับลาวาใต้ภูเขาไฟยามทะลักทลายออกจากปล่อง ผลักดันให้เธอตอบสนองเขาอย่างเต็มอกเต็มใจ คืนกลับไปดังเช่นรับมา อยากให้เขารู้สึกปั่นป่วน หวามไหว รัญจวนใจเหมือนที่เธอกำลังประสบ ยิ่งให้ก็ยิ่งได้รับ ยิ่งคืนกลับก็ยิ่งได้มาเหมือนไม่มีวันหมดสิ้น ความเร่าร้อนทวีตามแรงอารมณ์ปรารถนาที่ถูกปลุกเร้าให้คุโชน
ผีเสื้อหนุ่มโผนทะยานจากริมฝีปากไปยังเปลือกตาที่หลับพริ้ม ลากไล้ลงมาตามผิวแก้มนุ่มเนียน โฉบชิมความหวานจากริมฝีปากอย่างยั่วเย้าก่อนจะไล่เลยลงมายังคางมน ระเรื่อยซุกไซ้ความหอมกรุ่นจากซอกคอ และเล็มไปตามรอยแผลเป็นอัปลักษณ์ซึ่งพาดขวางลำคอระหงอย่างไม่รังเกียจ
ลำแขนกลมกลึงโอบกอดเขาไว้แน่น ดวงหน้าคมสวยแดงเรื่อแหงนเงย ชายหนุ่มสอดปลายนิ้วเข้าไปในเรือนผมหนานุ่มประคองศีรษะได้รูปให้รับสัมผัสจากเขา เสียงครางเบาๆคล้ายพึงพอใจดึงให้ชายหนุ่มวกกลับมายังริมฝีปากอิ่มซึ่งแย้มเผยอรอการเติมเต็มไม่รู้จบ
จากกลางห้องมาถึงเตียงนอนได้อย่างไรณราตรีไม่รู้ ครั้นแผ่นหลัง ‘เปล่าเปลือย’ แตะที่นอนนุ่ม ความรู้สึกภายในถูกปลุกเร้าจนปั่นป่วนยากแก่การควบคุม ณ ขณะหนึ่ง หญิงสาวก็ถามหัวใจตัวเองว่าควรหยุดแค่นี้หรือไปต่อ ทว่าร่างกายกลับไม่ยอมรับรู้สิ่งใด มันโลดแล่นไปตามสัมผัสที่อีกฝ่ายปรนเปรอ ดังเรือลำน้อยที่ผกโผนไปตามยอดคลื่นในทะเลคลั่ง ทุกแห่งที่ผีเสื้อหนุ่มโบยบินผ่าน ทิ้งรอยร้อนเร่าบนผิวเธอเป็นทางไล่ต่ำระเรื่อยลงไปทีละนิด
กลิ่นดอกราตรีประหลาดนั่นใช่ไหมที่ฟั่นเกลียวมากับสายลมยามค่ำซึ่งพรูผ่านช่องหน้าต่าง กระตุ้นเลือดในกายให้ฉีดพล่านรุนแรง
สายลมพรู กรูกลิ่น หอมเย้ายวน
กระตุ้นเร้า จิตรัญจวน สิเน่หา
สองกายร่วม บรรเลงรัก ร้อนอุรา
ละโลดลิ่ว เริงร่า ในราตรี
หญิงสาวหลับตาลง ปิดการรับรู้ทางสายตา ปล่อยกายใจให้เลื่อนไหลไปกับอารมณ์หวามที่หลายครั้งเหมือนร่างเธอจะลอยลิ่วจนฉิวเฉียดดวงดาวพริบพรายบนท้องฟ้า หลายคราคล้ายถูกดึงให้จมดิ่งลงท้องทะเลแปรปรวนจนแทบสำลัก เนื้อตัวเครียดเกร็ง ลมหายใจหอบกระเส่า แต่จะทรมานสักนิดก็หาไม่ กลับสร้างความหฤหรรษ์รัญจวนชวนหลงใหลยั่วเย้าให้โลดลิ่วไปจนสุดทาง
'ระวังให้ดี สตรีผู้มีชะตาผูกพันจะพรากอายุเจ้าให้สั้นลง'
คำทำนายของเยาวนะผุดขึ้นในหัว ร่างแกร่งเกร็งก็ชะงักไปชั่วเสี้ยววินาที ทว่าในยามพายุพิศวาสโหมกระหน่ำเช่นนี้ ใครเล่าจะฉุดรั้งนาวาที่กำลังโลดแล่นไปตามกระแสคลื่นลมไว้ได้
เสียงครางต่ำลึกในลำคอดังอยู่ข้างหูพร้อมกับความรู้สึกที่เขม็งเกลียวเต็มที่ถึงจุดระเบิดพร่าง ณราตรีเกือบหลุดเสียงหวีดร้องออกมาในนาทีนั้น ปลายเล็บกดจิกแผ่นหลังกว้างไว้แน่นเมื่อร่างกายเหมือนถูกโยนขึ้นลอยคว้างกลางอากาศ หมดสิ้นความสงสัยแล้วว่าปลายทางสายนี้เป็นเช่นไร
วินาทีนั้นเอง...ณราตรีตระหนักชัดว่าความผูกพันก่อเกิดสมบูรณ์แล้วทั้งร่างกายและจิตใจ!
ริมฝีปากร้อนๆประทับลงบนหน้าผากชื้นเหงื่อ ณราตรีเปิดตาขึ้นช้าๆ ใบหน้าที่อยู่ในระยะประชิดยังแดงเรื่อด้วยอารมณ์ที่คงยังไม่มอดดับดี รอยยิ้มของเขางดงามกว่าครั้งไหนๆ เธอยิ้มตอบ และรอยยิ้มนั้นก็ถูกเขายึดครองด้วยริมฝีปากบาง มอบจูบหนักหน่วงเนิ่นนานกว่าจะถอนริมฝีปากออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์
ชายหนุ่มพลิกกายลงนอนตะแคง ดึงเธอให้หันมาเผชิญหน้า อุทิศแขนให้หนุนแทนหมอนพร้อมกับกอดไว้หลวมๆ ดวงตายาวรีล้อมรอบด้วยแพขนตางอนงามจนน่าอิจฉาฉายแววหวานตลอดเวลาที่ทอดมองเธอ มองอย่างรักใคร่ หวงแหน และพร้อมจะปกป้อง
“เห็นหรือยังว่าอายุไม่สำคัญเลย” ชายหนุ่มกระเซ้าพลางส่งสายตากรุ้มกริ่ม
ณราตรียิ้มกลบความขัดเขิน แก้มร้อนวูบวาบไปหมด ล่วงเลยมาไกลขนาดนี้แล้ว จะปฏิเสธความต้องการของหัวใจไปไย อายุเท่าไรก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ต่อให้เขาอยู่นอกกรอบเธอก็พร้อมจะก้าวออกไปหา ปล่อยให้เขาจับจูงพาเดินไปด้วยกัน
ณราตรียกมือขึ้นลูบใบหน้าชายหนุ่มแผ่วเบา จากหน้าผากลากผ่านริ้วรอยบริเวณหางตาลงมายังร่องแก้ม
“แล้วทำไมอยู่ๆเธอถึงได้ดู...”
“แก่” เขาต่อให้ก่อนที่เธอจะเอ่ยจบ
คนสงสัยพยักหน้า ศาศวัตผ่อนลมหายใจแผ่วเบา คล้ายไม่รู้จะเริ่มเล่าอย่างไรดี
‘แม่ครับ แม่’ เขาเรียกซ้ำๆราวกับคนเสียสติเมื่อชีพจรในร่างมารดานิ่งสนิทเช่นเดียวกับลมหายใจ แทบไม่เหลือความหวังว่าท่านจะยังมีชีวิต
แม่บ้านสูงวัยวิ่งตามมา หน้าตาเลิกลั่ก ‘เกิดอะไรขึ้นคะคุณหนึ่ง’
‘แม่จมน้ำในสระ’ เขาเอ่ยเสียงสั่น ไม่กล้าบอกความจริงว่าธารทิพย์เสียชีวิตแล้ว ‘ป้าชมโทร.ตามรถโรงพยาบาล โทร.หาคุณพ่อที’ สติอารมณ์ที่พยายามประคับประคองไว้ทำให้เขาสั่งออกไปได้เพียงแค่นั้น ร่างตุ้ยนุ้ยของอีกฝ่ายละล้าละลังอยู่ครู่ จึงวิ่งตุ้บตั้บเข้าไปในบ้าน
แม้รู้ว่าคนตายไม่อาจฟื้นคืน แต่ศาศวัตก็ยังพยายาม เขาจับร่างมารดาให้นอนราบ นวดหัวใจตามหลักการปฐมพยาบาลที่เคยฝึกมา สลับกับการผายปอดเป็นระยะ ไม่เสียเวลาแม้สักวินาทีเอาน้ำออกจากท้อง เพราะรู้ว่าวิธีนั้นมันไร้ประโยชน์!
ทุกครั้งที่เป่าลมเข้าไปในโพรงปาก ใจเขาเต้นระทึก พร่ำภาวนาซ้ำๆขอให้มีปาฏิหาริย์ ขอให้แม่กลับมา กี่ครั้งที่นวดหัวใจ กี่คราวที่ผายปอดศาศวัตก็จำไม่ได้ ความหวังซึ่งริบหรี่ราวกับเปลวเทียนต้องลมจวนเจียนจะดับเต็มที
แม่กลับมา...อย่าเพิ่งทิ้งผมไป...ใจเต้นระรัวอ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่พละกำลังในกายเหือดหายคล้ายถูกสูบออกไปเกือบหมด เขารวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือก่อนถ่ายทอดลมเฮือกใหญ่แก่ร่างไร้วิญญาณ ใจสั่นหวิวปานจะหยุดเต้น นัยน์ตาพร่าเลือน
ภาพสุดท้ายที่ติดตรึงในความทรงจำคือมารดาสำลักน้ำออกทางปากและจมูก กระอักกระไอได้ไม่ต่างจากคนที่ยังมีลมหายใจ แม่บ้านซึ่งออกมาอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ตะโกนลั่นอยู่ใกล้ๆ
‘คุณผู้หญิงฟื้นแล้ว คุณผู้หญิงฟื้นแล้ว อ้าว...คุณหนึ่ง เป็นอะไรไปคะ คุณหนึ่ง...’
เขาหมดแรงทรงกาย ทรุดลงไปราวกับใบไม้ร่วง รับรู้ถึงท่อนแขนอวบอูมของแม่บ้านที่ช้อนเข้ามาทันท่วงทีก่อนศีรษะจะกระแทกพื้น สติดับวูบไปในตอนนั้นเอง
รู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งในโรงพยาบาล ลืมตาขึ้นมาก็พบคนรับใช้เก่าแก่นั่งเท้าคางทำหน้าหมองอยู่บนเก้าอี้ตัวนุ่มสำหรับญาติที่มาเฝ้าไข้ ครั้นเขาขยับตัวด้วยความเมื่อยขบนางก็กระวีกระวาดลุกมายังเตียง
‘แม่เป็นยังไงบ้าง’ เสียงเขาแหบแห้งราวกับคนขาดน้ำมาหลายวัน ได้ยินแล้วเขาเองยังตกใจ อีกฝ่ายหยิบแก้วรินน้ำปักหลอดมายื่นตรงหน้า ช่วยประคองศีรษะขึ้นเพื่อให้เขาดื่มได้สะดวก น้ำเสียงที่ตอบเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีที่ยังไม่จางคลาย
‘คุณผู้หญิงปลอดภัยดีค่ะ’
ฟังคำแม่บ้านสูงวัยแล้ว ชายหนุ่มก็ทิ้งตัวลงนอนด้วยความโล่งใจ แปลกใจนิดๆที่ธารทิพย์ปลอดภัยแล้ว แต่แม่บ้านกลับยังทำหน้าเหมือนเศร้าตรมอมทุกข์อยู่
ยังไม่ทันถาม คนที่คิดถึงก็โผล่เข้ามาพอดี ธารทิพย์นั่งรถเข็นมาพร้อมสายน้ำเกลือโดยมีบุลินทร์เป็นคนเข็น ดวงหน้าอวบอูมของมารดาระเรื่อสีเลือดไม่ซีดเซียวแบบที่เขาเห็นก่อนหมดสติ
‘หนึ่ง ฟื้นแล้วหรือลูก’ ธารทิพย์เอ่ยเสียงเครือ น้ำตาคลอด้วยความดีใจ บุลินทร์เองยกนิ้วป้ายหัวตาเหมือนกัน ทั้งสองพากันยิ้มเข้ามายังเตียงคนเจ็บ
‘ทำไมแม่ต้องร้องไห้ด้วยครับ ผมก็แค่ตกใจจนเป็นลม’ เขายิ้มขันกับท่าทางของบิดามารดาที่ทำราวกับว่าเขาเพิ่งฟื้นจากการบาดเจ็บสาหัส เขายิ้มกว้างจนเจ็บริมฝีปากเลยหรือเนี่ย ปลายนิ้วแตะริมฝีปากตนเองเบาๆ
แค่เป็นลมประเดี๋ยวประด๋าวทำไมจึงปากแห้งแตกเป็นสะเก็ดขนาดนี้ ชายหนุ่มเริ่มเอะใจ เขาเป็นลมไปแค่ไม่กี่นาที แต่ทำไมปากแห้งเหมือนคนขาดน้ำเป็นวันๆ แถมมีถุงน้ำเกลือแขวนอยู่ที่เสาข้างเตียง ต่อสายมาเสียบอยู่บนหลังมืออีกด้วย
‘ใครบอกว่าแค่เป็นลม หนึ่งหมดสติไปตั้งสองวันสองคืนเชียวนะ’ ธารทิพย์ยื่นมืออันสั่นเทามาลูบแก้มบุตรชายแผ่วเบา ทะนุถนอม แววตาเธอหดหู่จนชายหนุ่มใจหาย
‘เกิดอะไรขึ้นกับผมหรือครับแม่’
ธารทิพย์ส่ายหน้าน้ำตาปริ่มเจียนจะหยาดไหล ครั้นเลื่อนสายตาไปยังบุลินทร์ ใบหน้าคมคายสมวัยก็แบกความหนักใจไว้เต็มเปี่ยม
‘แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน’ หญิงกลางคนดึงกระดาษทิชชูบนโต๊ะวางของข้างเตียงมาซับน้ำตา แล้วทบทวนเหตุการณ์ให้เขาฟัง ‘วันนั้นแม่ลงว่าย
น้ำในสระแล้วเป็นตะคริวจมน้ำหมดสติไป พอฟื้นขึ้นมามีสติครบถ้วนก็ถามหาลูก พ่อพาเข้ามาเยี่ยมแม่ก็เห็นลูกเป็นแบบนี้แล้ว’
ฝ่ามือนุ่มลูบไล้แก้มเขาราวกับอาลัยอาวรณ์บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ๆก็หายไป
‘แบบนี้’ เสียงนุ่มดังกว่ากระซิบนิดเดียว ‘แบบไหนครับ’
คำตอบของธารทิพย์คือการส่ายหน้า น้ำตาไหลปริ่มจนต้องซับแล้วซับอีก
ศาศวัตรเพิ่งรู้สาเหตุที่ทำให้บิดามารดาทุกข์ใจหนักหนาก็ตอนรับกระจกจากหมอมาส่องดูหน้าตัวเอง พลันที่พบภาพสะท้อน ชายหนุ่มตกใจจนพูดไม่ออก แม้ว่าคิ้ว ตา จมูก ปากจะยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม้ได้แหว่งวิ่นขาดหายไปไหน แต่ริ้วรอยร่องลึกเด่นชัดอันเพิ่มขึ้นมามากมายในเวลาแค่สองวันส่งผลให้เขาดู ‘แก่’ ลงสักสิบปีเห็นจะได้ ใช่เขาแน่หรือ...ศาศวัตรำพึงอยู่ในอก
ชายหนุ่มยกมือลูบหน้าราวกับจะป่ายปัดริ้วรอยก่อนวัยออกไปให้พ้น จึงแลเห็นปานขาวรูปผีเสื้อบนนิ้วนางข้างซ้าย เขาคิดไปเองหรือเปล่าว่ามันจางลง
นายแพทย์ผู้ตรวจรักษาวินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคหน้าแก่ก่อนวัย พร้อมกับยกตัวอย่างเหวียนถิเฟืองสตรีชาวเวียดนามอายุ ๒๖ ปีที่กินอาหารทะเลเข้าไปแล้วเกิดคันบนใบหน้า จึงไปพบแพทย์และได้รับยามากินเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ นอกจากอาการไม่ดีขึ้นแล้วผิวหนังยังค่อยๆเหี่ยวย่นจนมีสภาพใบหน้าราวกับคนแก่อายุแปดสิบ
นอกจากเหวียนถิเฟืองยังมีหญิงสาวชาวจีนแซ่หู ที่ใบหน้าแก่ลงเรื่อยๆหลังจากคลอดลูก จนอายุ ๒๘ ปีก็มีใบหน้าไม่ต่างจากหญิงชรา
ศาศวัตทราบข่าวคราวเหล่านั้นมาก่อน แต่สองสาวนั่นค่อยๆแก่ลงทีละน้อย ไม่ใช่หลับไปสองวันสองคืนพอฟื้นขึ้นมาหน้าก็แก่ไปสิบปีแบบเขา หรือว่านี่เป็นเพียงแค่อาการเริ่มแรก
‘แล้วผมจะแก่ลงไปอีกมากแค่ไหน’ เขาถามแพทย์เจ้าของไข้ ความกังวลปกคลุมจิตใจไม่ต่างจากเมฆดำทะมึนบนฟากฟ้ากลางฤดูฝน
‘พูดจริงๆนะครับ...ผมเองก็ตอบไม่ได้ ต้องรอดูอาการกันต่อไป’
คำตอบจากปากนายแพทย์วัยกลางคนไม่อาจช่วยให้เขาสบายใจขึ้นเลย
วันต่อมา ศาศวัตได้รับอนุญาตให้กลับบ้านพร้อมธารทิพย์ เมื่อบุลินทร์หมุนพวงมาลัยบังคับรถให้เลี้ยวเข้าหมู่บ้านบุลินธรา ธารทิพย์หันไปบอกสามีว่า
‘เดี๋ยวแวะหาแม่คุณยายเยาวนะหน่อยนะคะคุณ บางทีเรื่องนี้อาจเกี่ยวกับคำทำนายก็ได้’
ศาศวัตซึ่งนั่งอยู่เบาะตอนหลังฉุกใจสงสัยขึ้นมาครามครัน ‘คำทำนายอะไรครับแม่’
พ่อกับแม่สบตากันภายในความเงียบ จากนั้นธารทิพย์หันมายิ้มให้ ‘หนึ่งรอฟังจากปากคุณยายเองดีกว่าจ้ะ’
ศาศวัตรู้จักเยาวนะมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากมารดามักพาเขาไปกราบสักการะพระแม่มีนาคชีเทวีที่บ้านท่านบ่อยครั้ง ชายหนุ่มทราบจากมารดาถึงความเป็นมาที่รู้จักมักคุ้นกับเยาวนะอย่างละเอียด รวมถึงการที่หญิงชราเมตตาตั้งชื่อให้เขาว่าศาศวัตด้วย ส่วนคนตั้งชื่อให้เขาเสียเพราะ กลับเรียกเขาว่า ‘เจ้าผีเสื้อ’ แทน อาจเป็นเพราะปานขาวรูปผีเสื้อบนนิ้วนางข้างซ้ายของเขานี่ละจึงทำให้ได้รับสมญานามเช่นนี้
ชายหนุ่มเก็บความสงสัยเรื่องคำทำนายไว้จนกระทั่งรถจอดนิ่งสนิท เยาวนะยืนรออยู่หน้าประตูรั้วเหมือนทุกคราวยามสองแม่ลูกแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนราวกับรู้ล่วงหน้าว่าจะมีแขกมาเยือน
ในความรู้สึกของศาศวัต เยาวนะดูเป็นคนลึกลับและไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่หากใครได้เข้าใกล้จะสัมผัสได้ถึงกระแสแห่งความเมตตาซึ่งแผ่ซ่านจากรอยยิ้ม น้ำเสียง และแววตา
‘เข้าไปสักการะพระแม่กันก่อน’ เจ้าของบ้านเชื้อเชิญพลางก้าวนำ
ครอบครัวศศิราตามเข้าไปด้วยความสงบ กระทั่งธูปหอมถูกปักลงในกระถางทองเหลืองใบใหญ่เก่าคร่ำคร่าแล้ว ทุกคนน้อมจิตน้อมใจก้มลงกราบแทบพื้นด้วยความเคารพ
‘เราไปนั่งคุยตรงนั้นเถอะ’ เยาวนะชี้ไปยังม้านั่งหินอ่อนใต้ต้นยางอินเดียซึ่งอยู่ไม่ไกล
‘มีเรื่องอะไรที่ผมยังไม่รู้ และควรต้องรู้ครับคุณยาย’ ศาศวัตเรียกเยาวนะว่าคุณยายตามมารดา รอยยิ้มละไมซึ่งเห็นจนคุ้นตานำมาก่อนสิ่งแรก
‘ยายทำนายเจ้าไว้เมื่อแรกเกิด ทำนายไปตามที่จิตรู้...สตรีที่มีชะตาผูกพันจะพรากชีวิตเจ้าให้สั้นลง’ หญิงชราเล่าไปเรื่อยๆ มีกังวานชวนศรัทธาอยู่ในน้ำเสียง นางดึงมือซ้ายเขาไปกุม ไล้นิ้วแผ่วเบาบนรอยปานขาวรูปผีเสื้อพลางพึมพำ ‘ตราบใดผีเสื้อโบยบิน ตราบนั้นชีวิตจะสิ้นไป’
ศาศวัตที่เรียนด้านวิทยาศาสตร์และใช้ชีวิตในประเทศซึ่งมีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสมัยใหม่มาหลายปีมั่นใจว่าเขาไม่เชื่อคำทำนายของเยาวนะ แต่ทำไมทั้งน้ำเสียงและสัมผัสของนางจึงทำให้เขาขนลุกชัน ตัวชาวาบ ดวงตาจับจ้องรอยปานขาวซึ่งติดตัวเขามาตั้งแต่เกิดแทบไม่กะพริบ เขารู้สึกว่ามันจางไปพร้อมใบหน้าใหม่ที่ดูแก่ขึ้นไปสักสิบปี
‘สตรีผู้มีชะตาผูกพันไม่ได้หมายถึงคู่ครองเท่านั้น ยังหมายถึงผู้ให้กำเนิดของเจ้าด้วย’ นางเอ่ยต่อ พลางเบนสายตาจากศาศวัตไปยังธารทิพย์ซึ่งบัดนี้หน้าเผือดสี
‘ทำไมคุณยายไม่เตือน’ คนเป็นแม่คราง ถึงธารทิพย์จะรู้คำทำนายล่วงหน้า เคยหวั่นกลัว ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปยี่สิบกว่าปีและไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น คำทำนายชวนขนลุกก็เริ่มเลือนไปจากความคิด จนกระทั่งเกิดเรื่องครั้งนี้
‘คิดว่าเตือนแล้วเจ้าผีเสื้อจะยอมทำตามอย่างนั้นหรือ ไม่มีลูกคนไหนยอมให้แม่ตายไปต่อหน้าต่อตาหรอก ต่อให้ตายไปแล้วถ้าปลุกให้ฟื้นคืนได้ก็คงทำโดยไม่ลังเล จริงไหม’ ท้ายประโยค เยาวนะหันมาถามศาศวัต รอยยิ้มยังคงแต้มติดใบหน้าราวกับนางล่วงรู้เรื่องราวทุกอย่างแจ่มแจ้ง ทั้งที่ศาศวัตไม่เคยปริปากเล่าเรื่องธารทิพย์หยุดหายใจไปแล้วให้ใครฟังเลย
การนิ่งเงียบของศาศวัตเท่ากับเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย เยาวนะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงดุจเดิม
‘คนที่ตายไปแล้วน่ะคือเจ้า’ หญิงชรายิ้มให้ธารทิพย์ซึ่งหน้าซีดมือสั่นราวกับได้ยินเรื่องราวอันเหลือเชื่อ ‘ตอนเจ้าผีเสื้อช่วยเจ้าขึ้นจากน้ำนั้น สัญญาณชีพของเจ้าไม่หลงเหลืออยู่แล้ว มันดับวูบไปก่อนเจ้าผีเสื้อไปพบด้วยซ้ำ’
‘จริงหรือหนึ่ง’ คนถามขึ้นอย่างงุนงงสงสัยคือบุลินทร์ ชายหนุ่มสบตามารดาและพบว่ามีเครื่องหมายคำถามอยู่เช่นกัน
‘จริงครับ’ เขายอมรับ ‘แต่ผมก็พยายามปฐมพยาบาลอย่างเต็มที่จนแม่ฟื้น’
‘แล้วเจ้าก็สลบไป’ เยาวนะเอ่ยต่อแม่นยำราวกับอยู่ร่วมในเหตุการณ์ ‘ลมหายใจของเจ้าช่วยต่อชีวิตสตรีที่เจ้ามีชะตาผูกพันได้ แต่นั่นหมายความว่าชีวิตเจ้าก็จะลดน้อยถอยลงไปด้วยเช่นกัน เหตุนี้เจ้าจึงมีหน้าตาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างกายและสังขารของเจ้าก็เสื่อมสภาพไปด้วย เคยสังเกตไหม’ นางจับมือเขาแบ ลากนิ้วตามเส้นลายมือเส้นหนึ่งซึ่งจุดเริ่มต้นอยู่กึ่งกลางระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ‘เส้นนี้คือเส้นชีวิต มันเคยลากยาวจรดข้อมือใช่หรือเปล่า’
ศาศวัตมองตาม ไม่เคยรู้ว่าเส้นนั้นเรียกว่าอะไร แต่จำได้ว่ามันเคยยาวลงมาเกือบถึงข้อมือจริง บัดนี้หดหายไปเกือบครึ่ง มืออุ่นของหญิงสูงวัยแนบลงบนแก้มเขาอย่างอ่อนโยน
‘ชีวิตคนเราผ่านการเวียนว่ายตายเกิดมาหลายภพชาติ ย่อมข้องเกี่ยวผูกพันกับคนหลายคน หากเจ้าหวั่นกลัว ก็จงปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่มันเป็น อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของใคร” นางเว้นไปนิด สบตาเขาตรงๆ ‘ระวังให้ดี สตรีผู้มีชะตาผูกพันจะพรากชีวิตเจ้าให้สั้นลง ยามใดผีเสื้อโบยบิน...ยามนั้นชีวิตจะสิ้นไป’
ศาศวัตบอกไม่ได้ว่าเขาเชื่อคำทำนายของเยาวนะหรือเปล่า ทุกอย่างอาจเกิดจากความบังเอิญซึ่งมาประจวบเหมาะกันพอดีก็ได้ คนตายแล้วฟื้นก็มีให้เห็นมาแล้ว คนหน้าแก่ตั้งแต่เด็กก็มีอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร บุลินทร์และธารทิพย์ดูปักใจเชื่ออย่างไม่มีข้อโต้แย้งไปแล้ว
ในขณะที่บิดามารดาตกอยู่ในความกังวล ศาศวัตกลับดีใจอยู่ลึกๆ ถ้าลมหายใจที่มีสามารถต่อชีวิตแด่ผู้ให้กำเนิดได้ เขาไม่สนใจหรอกว่าจะเหลือเวลาอยู่อีกมากน้อยเพียงใด แต่คงต้องใช้เวลาปรับใจให้ยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี่ให้ได้เท่านั้น
“ถ้าเธอไม่สบายใจ ไม่ต้องเล่าก็ได้” เสียงคนในอ้อมกอดดึงชายหนุ่มจากภวังค์ความคิด เพียงสบสายตาเข้าอกเข้าใจนั้น ศาศวัตก็อดดึงมือนุ่มๆซึ่งไล้ผิวแก้มเขาผะแผ่วมาจูบไม่ได้
นาทีแรกที่ศาศวัตมั่นใจว่าณราตรีรู้ความจริงว่าเขากับเด็กน้อยที่เธอเคยปกป้อง และหนุ่มน้อยที่เคยจีบเธอตอนมัธยมปลายเป็นคนเดียวกัน ใจหนึ่งเขายินดี ส่วนอีกใจกลับหวั่นไหวอย่างประหลาด บางทีการทิ้งเรื่องราวต่างๆไว้ในอดีต แล้วปล่อยให้ชีวิตปัจจุบันเดินหน้าไปอย่างที่มันควรเป็นอาจดีกว่าก็ได้ ทว่าความลับไม่มีในโลกไม่ใช่หรือ หากไม่จากกันไปเสียก่อน ช้าหรือเร็วเธอต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดี
ถ้าเธอไม่ได้เป็นผู้ค้นพบความจริง ก็คงเป็นเขานี่แหละที่จะเปิดเผยให้เธอทราบด้วยตัวเอง
“ผมสบายใจที่ได้บอกเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตผมให้คุณรู้ และดีใจด้วยที่คุณสนใจอยากรู้” ชายหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่มใส่ดวงตาคู่โตที่มองเขาอย่างรอคอยคำตอบ
“ผมเป็นโรคหน้าแก่เกินวัย แม้แต่หมอก็ยังไม่ทราบว่าสาเหตุเกิดจากอะไร” เขาเลือกบอกในสิ่งที่ไม่เหลือเชื่อและดูเป็นไปได้ เนื่องจากครึ่งหนึ่งของใจเขาก็เชื่อเช่นนี้เหมือนกัน ส่วนอีกครึ่งนั้นก็คิดว่าเป็นโชคชะตาดังเยาวนะว่า
“ฉันเคยได้ยินว่ามีโรคแบบนี้” ณราตรีนิ่วหน้าครุ่นคิด “แต่ไม่เคยได้ยินว่าคนไทยเป็นนะ”
“อาจจะมีแต่ไม่เป็นข่าวก็ได้ อย่างผมไงล่ะ”
“เธอเป็นมากี่ปีแล้ว...แล้วจะแก่ไปอีกมากแค่ไหน” คำถามซึ่งหลุดจากปากอิ่มสวยนั้นไม่ได้เจือไปด้วยความหวาดกลัวเลย กลับเต็มไปด้วยความห่วงใยเห็นอกเห็นใจมากกว่า
“เป็นมาเกือบสองปีแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแก่ลงไปเรื่อยๆ หรือหยุดแค่นี้” ชายหนุ่มตอบตามจริง เขาเองก็กังวลอยู่เหมือนกัน
“ทำศัลยกรรมได้ไหม” เธอช่วยคิดหาวิธี
“ผมเคยคิดเหมือนกัน แต่ไม่ได้ทำ” ศาศวัตสารภาพ
ณราตรีหลุดเสียงหัวเราะออกมาพรืดใหญ่
เด็กหน้าแก่ทำหน้าง้ำ เขายอมรับว่าสูญเสียความมั่นใจกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่เกิดขึ้นจนคิดจะทำศัลยกรรม ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ เพราะรอดูว่าความเปลี่ยนแปลงจะหยุดอยู่แค่นี้หรือเพิ่มขึ้นไปอีก ระหว่างรอดูอาการเขาจึงมาหลบอยู่บ้านกลางวนาและพบต้นราตรีกลายพันธุ์ซึ่งเขาผิดสังเกตตั้งแต่กลิ่นหอมที่ชวนให้สดชื่นแล้ว จึงลองคิดค้นวิจัยโดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเวชกุลซึ่งนอกจากเรื่องเงินทุนแล้ว เวชกุลยังส่งษมาซึ่งเป็นนักวิจัยของบริษัทมาร่วมทำงานด้วย
งานวิจัยครั้งนี้จำเป็นต้องออกมาทำนอกห้องแล็ปของบริษัท เนื่องจากต้นราตรีกลายพันธุ์ที่ใช้วิจัยไม่อาจขยายพันธุ์หรือโยกย้ายไปที่อื่นได้เลย ดร.กฤษณะ ฟันเฟืองสำคัญของเวชกุลพยายามแล้ว และล้มเหลวทุกคราวไป
“ถ้าผมแก่ลงเรื่อยๆ แก่จนหงำเหงือกเหมือนคนอายุแปดสิบ เก้าสิบ คุณจะรังเกียจไหม”
ชายหนุ่มถามเรื่องที่ตนแอบหวั่นใจ คนถูกถามส่ายหน้าทันทีโดยไม่เสียเวลาคิด
“ถ้าความรู้สึกของเรายังตรงกัน และเธอยังดีกับฉันแบบนี้ ฉันไม่มีทางรังเกียจไม่ว่าเธอจะแก่หง่อมสักแค่ไหน” หญิงสาวยิ้มเจ้าเล่ห์ “ดีเสียอีก จะได้ไม่มีใครมามองคิ้วเข้มๆ ตาสวยๆ จมูกโด่งๆ ปากแดงๆของเธอ” นิ้วเรียวไล่ไปตามคิ้วดกหนา ดวงตายาวรี จมูกโด่งเป็นสันตรง และหยุดนิ่งที่ริมฝีปากบางแดงเรื่อ
ชายหนุ่มยึดมือแสนซนนั้นไว้ ก่อนที่อารมณ์เขาจะเตลิดก่อนได้คุยเรื่องสำคัญ
“คุณไม่เสียใจใช่ไหมกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้” ชายหนุ่มไล้นิ้วโป้งไปบนริมฝีปากอิ่ม
“ไม่เลย” ณราตรีตอบง่ายดายโดยไม่ต้องหยุดคิด
ทว่าคนฟังกลับขมวดคิ้วจนเกิดร่องลึกระหว่างหัวคิ้วทั้งสองข้าง เอ่ยเสียงดุ “หวังว่า...คุณคงไม่คิดว่านี่เป็นความสัมพันธ์เพียงฉาบฉวยชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นนะ เพราะผมคิดจริงจัง และไม่มีทางปล่อยคุณไปแน่”
“แล้วเธอคิดว่าฉันจะยอมปล่อยเธอไปอย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวย้อนถาม สีหน้าท่าทางจริงจัง “ขอให้ฉันกลับไปจัดการชีวิตตัวเองให้เข้าที่เข้าทางก่อนนะ อีกอย่างคุณษมาไม่ไว้ใจฉัน ฉันไม่อยากให้เธอผิดใจกับเพื่อนเพราะฉัน”
“หมอนั่นเป็นคนมีเหตุผล ปล่อยให้คิดสักพัก เดี๋ยวก็เข้าใจเอง” ศาศวัตมั่นใจว่ารู้นิสัยษมาดี
“ยังไงฉันก็ต้องกลับ ยังมีเรื่องทางบ้านที่ฉันปล่อยค้างคาไว้อย่างคนไร้ความรับผิดชอบ” ณราตรีเอ่ยถึงการกระทำของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ปราศจากท่าทีประชดประชัน
“คุณจะไปเมื่อไหร่” ศาศวัตใจหาย
“คิดว่าน่าจะเป็นพรุ่งนี้ ฉันไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว รีบกลับไปเคลียร์เรื่องที่บ้านให้เรียบร้อย จะได้กลับมาเคลียร์เรื่องของเรา”
ชายหนุ่มยิ้มออก “งั้นผมจะไปส่งคุณเอง ผมอยากพาคุณไปอวดใครบางคนด้วย”
“ใครคะ”
ภาพธารทิพย์และบุลินทร์ชัดเจนในใจ หมายใจว่าความสัมพันธ์ซึ่งถูกถักทอก่อสานขึ้นอย่างงดงามไนวันนี้ ต้องได้รับการจัดการให้
เรียบร้อยถูกต้อง กระนั้นชายหนุ่มกลับส่ายหน้าไม่ยอมบอก “อดใจไว้...เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เอง”
“ฉันอดใจไม่อยู่น่ะสิ” นัยน์ตาคมหวานซึ่งอยู่ห่างแค่คืบช้อนขึ้นมองเขา
ศาศวัตยิ้มและก้มลงไปกระซิบชิดริมฝีปากอิ่ม
“ผมก็อดใจไม่อยู่เหมือนกัน”
ร่างแกร่งขยับแนบชิดกายเปลือยเปล่าของคนในอ้อมแขน เพลงรักบทใหม่เริ่มบรรเลงอีกครั้ง
เจ้าดอกไม้ แสนงาม สะท้านไหว
ยามผีเสื้อ ซอนไซร้ มิหน่ายหนี
แย้มรับไว้ ด้วยใจรัก และภักดี
เปลี่ยนราตรี มืดดำ ให้พร่างพราว
จากท่วงทำนองหวานละมุนค่อยๆเร่งร้อนขึ้นตามเพลิงปรารถนาอันโชนฉานอยู่ในใจสองดวง ยิ่งดึก ดอกราตรียิ่งส่งกลิ่นรุนแรงผสานมากับลมหนาวไม่ขาดสาย โอบล้อมอยู่รอบกายหนุ่มสาวซึ่งร่วมกันบรรเลงเพลงรักบทแล้วบทเล่า บางครั้งเร่าร้อน บางคราอ่อนหวาน แล้วแต่คลื่นอารมณ์จะโหมซัดพัดพาไปทิศทางใด...จวบจนรุ่งสาง กลิ่นหอมราโรย ร่างสูงจึงพลิกกายลงจากร่างนุ่มชื้นเหงื่อแล้วดึงมากอดแนบอกอย่างรักใคร่หวงแหน พากันดำดิ่งสู่ห้วงนิทราแสนสุข
หนุ่มสาวมิรู้เลยว่า...จากนี้ไป เรื่องราวเลวร้ายจะดาหน้าเข้ามาดุจห่าฝน และกว่าจะก้าวผ่านไปได้ ทั้งคู่ก็สะบักสะบอมจนแทบเอาชีวิตไม่รอดเลยทีเดียว!
************************************************************
มาถึงวันสุดท้ายในเว็บเลิฟแล้วนะคะ สำหรับคุณศาศวัตกับหนูไนท์ ขอบคุณทุกไลค์ ทุกคอมเม้นท์ ทุกสายตาที่เคียงข้างกันมาตลอด
จนถึงวันนี้ คุณศาศและหนุไนท์เข้าโรงพิมพ์ไปแล้ว อีกสิบกว่าวันก็จะออกมาอวดโฉมบนแผง ใครที่อยากรู้ว่ามีสิ่งใดรอคอยพระนางของเรา
อยู่ ติดตามได้ในรูปเล่ม แต่เพื่อเป็นการตอบแทนนักอ่านที่น่ารัก เราจะนำรายชื่อผู้ที่เข้ามาคอมเม้นท์มาจับฉลากแจกหนังสือฟรีหนึ่งเล่มค่ะ
แต่ใครที่พลาดโอกาสนี้ เข้าไปเล่นเกมในเพจ "ภาวิน" ได้นะคะ ที่นั่นแจกสามเล่ม หมดเขตเล่นเกม ๑๔ ตุลาคมเวลาสองทุ่ม
ประกาสผล ๑๕ ตุลาคมค่ะ
แล้วยังไงไปพบกันที่งานหนังสือได้นะคะ ชุดความลับของผีเสื้อมีบ็อกเซ็ตสวยงาม และรับของที่ระลึกน่ารักๆจากนักเขียนได้ค่ะ
ถ้าหากไม่มีสิ่งใดขัดข้อง ภาวินไปอยู่ที่บูธนายอินทร์ในวันที่ ๒๐ ตุลาคม เวลา ๑๕.๐๐-๑๖.๐๐ น.
***********************************************
ตอบเม้นท์
คุณหนอนน้อยดังปัณณ์ ขอบคุณมากๆค่ะ กอดแน่นๆ สำหรับกำลังใจที่ให้กันตลอดมา และอีกกอดแน่นๆเป็นกำลังใจให้ค่ะ ทราบว่าคุณแม่กำลังป่วย สู้ๆนะคะ เข้มแข็งไว้
คุณ ree ยังไงต้องฝากติดตามในเล่มนะคะ ว่าหนูไนท์ถูกใส่ความหรือเปล่า แต่อาจเป็นผู้โชคดีได้รับหนังสือก็ได้ค่า
คุณ ketza เริงราตรีสีขาว ความหมายน่าจะชัดเจนในตอนนี้แล้วนะคะ เริงร่าอยู่ท่ามกลางกลิ่นดอกราตรีสีขาว ๕๕๕ แอบเห็นว่าไปเล่นเกมในเพจมาแล้ว ไม่รู้ใช่คนเดียวกันหรือเปล่า ขอให้โชคดีนะคะ ^_<
คุณนักอ่านเหนียวหนึบ เปิดเผยกันแล้วนะคะว่าหนูไนท์จะโดนอะไร หุ หุ หิ หิ
หนูบาร์บี้ เคลียร์แล้ว เคลียร์แล้ว อย่าเพิ่งรมณ์เสีย
พี่แตงกวา เขาคุยกันด้วยภาษากายค่ะ คุณศาศน่ะเขาหนักแน่นน่า ก็เขารู้จักหนูไนท์มาตั้งนานแล้วนี่
คุณวรรษา บอกกันชัดๆแล้วว่าหนุ่มหน้ามนคนหน้าหล่อคนนั้นคือคุณศาศอย่างที่หลายๆคนสงสัยมาตั้งแต่ต้นนั่นละ ความจริงเปิดเผยอย่างนี้แล้ว เขาจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร ต้องติดตามในเล่มค่ะ ถ้าไปเจอกันในงานหนังสือทักทายกกันได้เลยนะคะ
ผีเสื้อสีน้ำเงินอสิตาที่เคียงข้างกันมาตลอดทั้งตอนทำงานและช่วงโพสต์งาน กอดร่างอวบแน่นๆนานๆหนึ่งที
คุณ Sukhumvit66 อยากรู้ติดตามได้ในเล่มเลยค่ะ แต่อาจเป็นผู้โชคดีก็ได้น้าาา วันพุธมาลุ้นกันเนอะ
คุณ malida ยินดีที่มาทักทายกันค่ะ เข้าไปเล่นเกมในเพจภาวินมาแล้วหรือยังเอ่ย แปดตอนที่เหลือต่อจากนี้มีผีเสื้ออีกเยอะเลยค่ะ ต้องเดาแล้วงานนี้ ^_^
คุณปลายสี งานยุ่งแค่ไหนก็ไม่เคยทิ้งกัน ขอบคุณมากๆค่ะ แค่นี้ก็ดีใจแล้ว ^_^
**************************************************
แล้ววันพุธจะมาประกาสรายชื่อผู้โชคดีนะคะ ว่าผู้เขียนจะส่งเริงราตรีสีขาวไปให้นักอ่านคนใดได้ติดตามชีวิตหนูไนท์กับคุณศาศแบบเต็มที่เต็มอิ่มกัน แล้วเจอกันค่ะ
‘ทีนี้คงไม่ต้องสงสัยแล้วสินะว่าใครมาขุดต้นไม้ในแปลงทดลองของเราไป’ ษมาถามเสียงเย็น หลังจากศาศวัตอ่านประวัติโดยย่อของณราตรีที่ษมาค้นมาจากกูเกิลจบลง ทว่าศาศวัตกลับสงสัยไปอีกเรื่อง
‘นายไปเอาชื่อจริงนามสกุลจริงคุณไนท์มาจากไหน’ ชื่อจริง นามสกุลจริงซึ่งเขาจดจำได้แม่นและไม่เคยแย้มให้ใครฟังไม่ว่าจะษมาหรือจีวร
คนถูกถามเบนสายตาไปทางอื่น ‘เมื่อกี้ฉันเห็นผู้หญิงคนนั้นในห้องอาหาร ก็เลยขึ้นไปค้นบนห้องเธอมา’ ครั้นเห็นศาศวัตหรี่ตามอง ษมาจึงรีบเอ่ยต่อราวกับเด็กยามถูกผู้ใหญ่จับได้ว่าทำผิด ’แค่ค้นเฉยๆ ดูแล้วจดจำ ก่อนเก็บไว้เหมือนเดิมไม่ถือว่าผิดหรอก คนที่เข้ามาที่นี่ด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ต่างหากที่ผิด’
‘นายคิดว่าคุณไนท์เข้ามาโดยมีเจตนาอื่นแอบแฝงอยู่เหรอ’
สีหน้าท่าทางของษมาบ่งชัดว่าคิดตามคำกล่าวหาจริงๆ ศาศวัตลุกขึ้นจากเก้าอี้ยืนประจันหน้า และเริ่มชี้ให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ใจของณราตรีซึ่งเขารู้อยู่เต็มใจ‘ทางเข้าบ้านกลางวนามีตั้งเยอะ ถ้าคุณไนท์เป็นสายของเนเชอรัลเฮลท์จริง คงหาวิธีอื่นเข้ามาสบายๆไม่ลงทุนเสี่ยงตายกระโดดลงจากน้ำตกปล่อยให้น้ำพัดมาเกยหาดแบบนั้นหรอก เพราะมีโอกาสตายก่อนจะได้ความลับ’
จริงอยู่ณราตรีอาจใจกล้าบ้าบิ่นมาตั้งแต่เด็ก ดูจากที่เธอกล้ากระโดดเข้าตบหัวเพื่อนผู้ชายซึ่งมารังแกเขาก็พอจะเดาได้ เขาคิดว่าเธอน่าจะกล้าเสี่ยงในเรื่องที่คิดว่าสู้ไหวเท่านั้น
‘อาจมีใครดอดเข้ามาส่งเธอตอนกลางคืนก็ได้’ ษมาเถียงด้วยน้ำเสียงดื้อรั้น
ศาศวัตส่ายหน้าระอาใจ แก้ต่างให้ณราตรีอย่างใจเย็น ‘สภาพร่อแร่แบบนั้นนายก็รู้ว่าไม่ได้เกิดจากการเล่นละครตบตา ไหนจะผื่นแพ้ที่ทำให้เธอทรมานอยู่หลายวันนั่นอีก ถ้าเป็นนาย นายกล้าเสี่ยงโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันแบบนั้นหรือ เสี่ยงโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้อะไรติดมือกลับไปหรือเปล่า’
ษมานิ่งไปนิด เถียงไม่ออก สุดท้ายก็โพล่งมาดื้อๆ ‘นายกำลังเข้าข้างผู้หญิงคนนั้น’
‘ฉันไม่ได้เข้าข้าง ฉันแค่ประมวลไปตามเหตุผล คุณไนท์เพิ่งมาถึง เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราสองคนทำงานให้เวชกุล ส่วนต้นไม้ที่หายไป ฉันยังนึกไม่ออกว่าคุณไนท์จะรีบร้อนขุดทำไมในเมื่อเธอยังไม่ได้ไปไหน’ ศาศวัตอธิบาย ‘แล้วเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าต้นไม้ชนิดไหนมีพิษหรือมีประโยชน์ยังไง นายอย่าเพิ่งด่วนสรุปด้วยหลักฐานแค่นี้ดีกว่า’ ชายหนุ่มหรี่ตามองคนตรงหน้า ‘เพราะไม่อย่างนั้น นายก็จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยเหมือนกัน’
ศาศวัตเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน หยิบกระดุมโลหะสีสนิมซึ่งตนเก็บได้มาส่งคืนให้ษมา พลางพลิกปกแจ๊กเก็ตยีนของเพื่อนร่วมงานให้ดู กระดุมเม็ดบนสุดหลุดหายไป ส่วนเม็ดอื่นๆบนสาบเสื้อมีลักษณะเดียวกับที่ศาศวัตส่งให้ไม่มีผิด
ทิ้งระเบิดไว้แล้วศาศวัตก็จากมาโดยไม่เหลียวกลับไปมองด้วยซ้ำว่าษมาทำหน้ายังไง
ศาศวัตไม่ตกใจ ไม่แปลกใจ เมื่อได้อ่านประวัติของณราตรี เนื่องจากเขารู้อยู่แล้ว รู้มานานแล้ว และไม่เคยลืมเลือน...ใครจะลืมผู้หญิงที่เสี่ยงเอาตัวเข้าปกป้องเด็กชายตัวเล็กๆแบบเขาได้ลงคอ
แต่ที่เขาตกใจเพราะอยู่ๆษมาก็รู้เรื่องนี้ขึ้นมา และเดาได้ว่าเรื่องยุ่งยากจะตามมาอีกเป็นขบวน และส่งผลให้ณราตรีต้องไปจากบ้านกลางวนาเร็วขึ้น...เขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย อยากให้เธออยู่ต่อนานอีกนิด...หรือตลอดไปก็ยิ่งดี
“เราต้องคุยกัน” ศาศวัตย้ำคำเดิมพลางปิดประตูตามหลังกักกันเธอไว้กับเขาสองต่อสอง
ณราตรีวางกรอบรูปลงช้าๆ สบตาเขานิ่งๆ
“คุณจำผมได้แล้วสิ”
“ส่วนเธอจำฉันได้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม” น้ำเสียงที่ลอดผ่านริมฝีปากอิ่มเบาหวิว
ศาศวัตพยักหน้าแทนคำตอบ พลางก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว “จำได้ตั้งแต่วันที่สวนกันตรงหน้าลิฟต์ที่โรงแรม นอกจากขนาดตัวที่โตขึ้นแล้ว คุณไม่เปลี่ยนไปเลยนะไนท์ โดยเฉพาะตาคู่นี้” อุ้งมือแข็งแรงประคองใบหน้าเธอไว้ ปลายนิ้วโป้งทั้งสองข้างลากไล้ผ่านดวงตาคู่สวยเบาๆ ดวงตาที่ปกติฉายแววเฉยเมยคล้ายไม่แยแสต่อโลก แต่ยามมีความรู้สึกใดอัดแน่นอยู่ภายในหน้าต่างหัวใจคู่นี้จะเปิดเผยจนหมดสิ้น
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ทำไม...” คำถามนั้นหายเข้าไปในลำคอดื้อๆ พร้อมกับนิ้วเรียวแตะลงบนผิวบริเวณหางตาซึ่งชายหนุ่มรู้ว่ามันมีร่องรอยความ ‘ชรา’ บ่งชัด
ศาศวัตจับมือเธอไว้ มองสบสายตาซึ่งเต็มไปด้วยคำถาม ถึงเวลาแล้วสินะที่เขาต้องบอกเล่าความจริงเกี่ยวกับ ‘โรคประหลาด’ ที่เขาเป็น ชายหนุ่มจูงมือเธอไปยังเก้าอี้หน้าโต๊ะหนังสือพลางกดไหล่เบาๆเป็นการบังคับให้เธอนั่งลง ส่วนเขาหย่อนกายลงบนขอบเตียงซึ่งอยู่ใกล้กัน
“ไนท์ คุณจะรู้สึกอย่างไรหากผมจะบอกว่าผมไม่ได้เด็กกว่าคุณแค่สองปีอย่างที่คุณเข้าใจมาโดยตลอด”
แค่เริ่มต้นณราตรีก็เห็นเค้าลางความซับซ้อนแล้ว แต่มิได้เอ่ยขัด ยังคงนิ่งฟัง คงไม่มีเรื่องใดจะทำให้ประหลาดใจไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
“ผมอายุน้อยกว่าคุณสี่ปี”
“สี่ปี” ณราตรีครางอย่างไม่อยากเชื่อ
ศาศวัตยืนยันหนักแน่น ไม่มีวี่แววล้อเล่น “ใช่ สี่ปี ผมเรียนเร็วจึงเป็นเด็ก ม.๑ ที่ตัวเล็กกว่าใคร” เขายิ้มเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ ดวงตายาวรีเปล่งประกายความสุขยามย้อนรำลึกถึงวันเก่าก่อน “ผมไม่เคยลืมรุ่นพี่คนเก่งที่กล้ากระโดดตบหัวเพื่อนผู้ชายตัวโตที่มารังแกผม เธอดูเท่มาก แต่ผมไม่คิดว่าผู้ชายคนนั้นจะกล้าหันมาสวนกลับแรงๆแบบนั้น...ผมเสียใจที่ผมตัวเล็กเกินกว่าจะปกป้องเธอได้”
แววตายามมองเธอแสดงความขอลุแก่โทษ ณราตรีหลับตาคลึงขมับ ถ้ามียาดมยาหม่องเธอก็คงควักล้วงมาถูทาด้วย เรื่องราวจากปากชายหนุ่มลบเลือนภาพศาศวัตที่เธอรู้จักมาหลายวันจนแทบหมดสิ้น...อย่างนี้นี่เล่าเขาถึงพูดให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้งว่าเขายังเด็กอยู่ และบางครั้งยังเผลอแสดงนิสัยเด็กๆออกมาให้เห็น
“พอคุณจบ ม.๓ แล้วไปต่อโรงเรียนใหม่ ผมก็ตามไปสอบเข้าที่นั่น”
“พอเถอะ” ณราตรีขัดขึ้นพร้อมกับพรวดพราดลุกขึ้นยืน ความจริงบางเรื่องไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ถ้ามันทำให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจและสร้างรอยกระดำกระด่างให้ความรู้สึกงดงามซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน เธอยังกำซาบความหวานหอมได้ไม่จุใจเลย
“ฉันไม่อยากฟังแล้ว” ณราตรีเสียงแข็ง ก่อนก้าวเร็วๆไปยังประตูห้อง ทว่าคนตัวโตไวกว่าขยับขาไม่กี่ครั้งก็เข้าถึงตัว รั้งแขนเธอไว้ก่อน
“ผมอยากให้คุณฟังนะไนท์” เขาใช้เสียงดังขึ้น เหมือนต้องการปรามไม่ให้เธอวิ่งหนีความจริง
ฟัง...เพื่อตอกย้ำว่าเขาเด็กกว่าเธอตั้งสี่ปีนะหรือ...อายุอาจเป็นเพียงตัวเลข อาจไม่สำคัญสำหรับใครอื่น แต่มันสำคัญมากในความรู้สึกของเธอ ถึงหน้าเขาจะแก่ล้ำอายุจริงไปแล้วก็เถอะ
“ผมขอร้องนะไนท์ ฟังผมก่อน” เสียงทุ้มเว้าวอน แววตาชวนสงสาร
“แล้วคุณสามารถรับผิดชอบความรู้สึกของฉันหลังจากฟังจบได้ไหมล่ะ” ณราตรีย้อนเสียงขื่น ทำไมต้องบังคับให้ฟังในสิ่งที่เธอรู้แล้ว...เพียงยังไม่อยากยอมรับ
“ทำไมล่ะไนท์ มันแย่มากหรือที่รู้ว่าผมเด็กกว่าคุณน่ะ คนอื่นเขาห่างกันห้าปีสิบปียังคบหากันได้”
“สำหรับคนอื่นฉันไม่รู้ แต่สำหรับฉัน...มันแย่มาก” เธอใช้ถ้อยคำรุนแรงเกินไปใช่ไหม ดวงตาที่เคยสดใสของเขาจึงหม่นวูบ เงื้อมเงาของความผิดหวังพาดผ่านอย่างเห็นได้ชัด
ชีวิตที่ผ่านมา ณราตรีปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่ ‘หลุดกรอบ’ ซึ่งเธอขีดล้อมไว้อย่างชัดเจน ไม่ว่าเธอจะชอบสิ่งนั้นมากเพียงใดก็ตาม เธอเคยปฏิเสธงานออกแบบที่เรียกตัวเธอไปทำงาน แม้ผลตอบแทนน่าสนใจและเป็นงานที่เธอรัก เพียงเพราะที่นั่นไม่ใช่เนเชอรัลเฮลท์ที่เธอรักและใฝ่ฝัน
เธอตีกรอบความต้องการในเรื่องต่างๆของตนเองอย่างชัดเจน และเมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจเลือก เธอก็เลือกเดินอยู่ในกรอบของตน ฟังเหตุผลของสมอง โดยไม่ใส่ใจคำเรียกร้องของหัวใจ เธอเชิดหน้ายิ้มในฐานะ ‘ผู้ชนะ’ เสมอ
แม้ใครจะมองว่าเป็นความคิดที่คับแคบ โง่เขลา และไม่ยอมเปิดโอกาสให้ตัวเองเรียนรู้สิ่งใหม่ก็ตาม เสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นก็อยู่นอกกรอบความสนใจของเธอเหมือนกัน
นี่เป็นอีกครั้งที่ณราตรีต้องตัดสินใจ และมีแนวโน้มสูงว่าเธอจะทำตามที่สมองสั่ง ไม่เช่นนั้นคงไม่โพล่งขึ้นมาว่า “ฉันจะไปจากที่นี่อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้ต้องฟังอะไรอีก”
ไปจากที่นี่และลืมเรื่องราวต่างๆซะ ทั้งเรื่องในอดีตสมัยเรียนระหว่างเธอกับเขา รวมทั้งเหตุการณ์ต่างๆ ณ บ้านกลางวนาแห่งนี้ ไม่ว่ามันจะหวานซึ้งตรึงใจเพียงใดก็ตาม
“คุณขี้ขลาดเรื่องความรักใช่ไหม” คำถามซื่อๆง่ายๆของเขาเหมือนไม้ท่อนใหญ่ฟาดลงมากลางแสกหน้า
ณราตรียืนอึ้งไปชั่วขณะ มือเยียบเย็นของศาศวัตซึ่งกำข้อมือเธอไว้กระชับแน่นขึ้นดุจกลัวว่าเธอจะสะบัดหลุดแล้ววิ่งหนีไป
“คุณก่อกำแพงขวางผมไว้ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก...เด็กกว่าคุณ แต่พอมาเจอกันอีกครั้งผมเปลี่ยนไปจนคุณจำผมไม่ได้ มันจึงไม่มีกำแพงระหว่างเรา แล้วคุณก็เปิดใจยอมรับความรู้สึกดีๆที่ผมมีต่อคุณ” ไม้ท่อนเดิมซึ่งมีชื่อว่าความจริงยังฟาดกระหน่ำลงมาไม่ยั้ง โดยคนฟาดไม่เปิดโอกาสให้เธอดิ้นหนีเอาตัวรอดเลย
“พอคุณรู้ว่าผมเป็นคนเดียวกับเด็กอ่อนแอตัวกระจ้อยร่อย เป็นคนเดียวกับเด็กน้อยที่หมั่นส่งช็อกโกแลตให้คุณทุกวัน โดยคุณไม่เคยใส่ใจจะรับไว้ คุณไม่สนใจด้วยซ้ำว่าผมชื่ออะไร เป็นใครมาจากไหน”
“เป็นความผิดของฉันหรือไงเล่า คนเรามีสิทธิ์จะคิด มีสิทธิ์จะรู้สึกไม่ใช่หรือ” เธอย้อนเสียงสูง
“ไม่ คุณไม่ผิด คนเรามีสิทธิ์คิดและรู้สึกต่างกันอย่างที่คุณบอกนั่นแหละ ผมปลื้มคุณก็ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องปลื้มผม ผมสนใจเรื่องราวของคุณก็ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องสนใจเรื่องราวของผม แต่นั่นมันเมื่อก่อน ตอนที่ผมยังขี้ขลาดและเด็กเกินกว่าจะมุ่งเดินหน้าเรื่องหัวใจ ผมยังมีหน้าที่เรียนหนังสือและทำความคิดฝันของตัวเองให้เป็นจริง แต่ไม่ว่าผมจะทุ่มเทกับการเรียนมากแค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้ผมลืมคุณเลย...”
ณราตรีบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรกับคำบอกเล่าตรงไปตรงมา มันก้ำกึ่งระหว่างดีใจกับสงสาร
“คุณรู้ไหมผมดีใจแค่ไหนที่เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าคุณจะมาโผล่ที่นี่ ในวันที่ผมโตแล้วและพร้อมจะทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ ผมไม่ยอมให้คุณมาปิดประตูใส่หน้าผมเพียงแค่รู้ว่าผมเป็นคนเดียวกับคนที่คุณเคยปฏิเสธมาก่อนหรอกนะ”
ณราตรีเบือนหน้าหนีไปยังหน้าต่างห้องซึ่งเปิดกว้าง ม่านราตรีสีดำมืดโรยตัวลงมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ลมหนาวพัดพรูจนม่านระบัดไหว ศาศวัตคงรู้กระมังว่าเธอเจตนาหลบตา นิ้วแข็งแรงจึงจับปลายคางเธอให้หันมาเผชิญหน้าอีกครั้ง “มองผมสิไนท์ นอกจากอายุที่คุณมองมันไม่เห็นแล้ว มีตรงไหนบ้างที่ผมเด็กกว่าคุณ ผมงอแงเอาแต่ใจหรือก็เปล่า จริงอยู่ ในอดีตผมอ่อนแอดูแลคุณไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนก่อนแล้ว ผมปกป้องดูแลคุณได้ และผมไม่มีทางปล่อยให้ใครมาทำร้ายคุณต่อหน้าต่อตาได้อีกเด็ดขาด”
แววตาจริงใจเมื่อประกอบคำพูดจริงจังตรึงณราตรีไว้ไม่ให้ขยับไปไหน สิ่งที่ได้ยินไม่เพียงติดอยู่ที่หู มันกระแทกเข้าสู่หัวใจอย่างจัง
“ทำไมต้องตั้งท่าเหมือนจะวิ่งหนี ทั้งที่ใจเราตรงกันด้วยเล่า” เสียงทุ้มทอดอ่อนแฝงแววตัดพ้อ
“เธอรู้ได้ยังไง” หลุดปากออกไปแล้ว ณราตรีจึงรู้ว่าเป็นคำถามที่ฟังดูโง่เง่าเหลือเกิน เขาอ่านความรู้สึกเธอออกชัดเจนราวกับอ่านหนังสือเล่มโปรด เรื่องแค่นี้มีหรือที่เขาจะไม่รู้
“ผมรู้ตั้งแต่ตอนที่...” คำพูดถูกทิ้งไว้ครึ่งๆกลางๆ ตามติดด้วยริมฝีปากอุ่นฉกวูบลงมาบนกลีบปากนุ่มดุจผีเสื้อหนุ่มผู้หิวกระหายโฉบลงเกลือกกลั้วดูดชิมความหอมหวานจากเกสรดอกไม้ ทั้งปรนเปรอและเรียกร้องจนหญิงสาวแทบสำลักลมหายใจตัวเอง
สัมผัสที่เขามอบให้โดยไม่ทันตั้งตัวนั้นทำให้เลือดในกายณราตรีฉีดพล่าน เขารุกรานต่อเนื่องราวกับจะเอาคืนให้สาสมกับที่เธอทำลายความรู้สึกเขาด้วยคำพูดเมื่อครู่
ประตูหัวใจซึ่งเธอพยายามจะปิดกั้นถูกดุนดันจนเปิดออก ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในถาโถมออกมาราวกับลาวาใต้ภูเขาไฟยามทะลักทลายออกจากปล่อง ผลักดันให้เธอตอบสนองเขาอย่างเต็มอกเต็มใจ คืนกลับไปดังเช่นรับมา อยากให้เขารู้สึกปั่นป่วน หวามไหว รัญจวนใจเหมือนที่เธอกำลังประสบ ยิ่งให้ก็ยิ่งได้รับ ยิ่งคืนกลับก็ยิ่งได้มาเหมือนไม่มีวันหมดสิ้น ความเร่าร้อนทวีตามแรงอารมณ์ปรารถนาที่ถูกปลุกเร้าให้คุโชน
ผีเสื้อหนุ่มโผนทะยานจากริมฝีปากไปยังเปลือกตาที่หลับพริ้ม ลากไล้ลงมาตามผิวแก้มนุ่มเนียน โฉบชิมความหวานจากริมฝีปากอย่างยั่วเย้าก่อนจะไล่เลยลงมายังคางมน ระเรื่อยซุกไซ้ความหอมกรุ่นจากซอกคอ และเล็มไปตามรอยแผลเป็นอัปลักษณ์ซึ่งพาดขวางลำคอระหงอย่างไม่รังเกียจ
ลำแขนกลมกลึงโอบกอดเขาไว้แน่น ดวงหน้าคมสวยแดงเรื่อแหงนเงย ชายหนุ่มสอดปลายนิ้วเข้าไปในเรือนผมหนานุ่มประคองศีรษะได้รูปให้รับสัมผัสจากเขา เสียงครางเบาๆคล้ายพึงพอใจดึงให้ชายหนุ่มวกกลับมายังริมฝีปากอิ่มซึ่งแย้มเผยอรอการเติมเต็มไม่รู้จบ
จากกลางห้องมาถึงเตียงนอนได้อย่างไรณราตรีไม่รู้ ครั้นแผ่นหลัง ‘เปล่าเปลือย’ แตะที่นอนนุ่ม ความรู้สึกภายในถูกปลุกเร้าจนปั่นป่วนยากแก่การควบคุม ณ ขณะหนึ่ง หญิงสาวก็ถามหัวใจตัวเองว่าควรหยุดแค่นี้หรือไปต่อ ทว่าร่างกายกลับไม่ยอมรับรู้สิ่งใด มันโลดแล่นไปตามสัมผัสที่อีกฝ่ายปรนเปรอ ดังเรือลำน้อยที่ผกโผนไปตามยอดคลื่นในทะเลคลั่ง ทุกแห่งที่ผีเสื้อหนุ่มโบยบินผ่าน ทิ้งรอยร้อนเร่าบนผิวเธอเป็นทางไล่ต่ำระเรื่อยลงไปทีละนิด
กลิ่นดอกราตรีประหลาดนั่นใช่ไหมที่ฟั่นเกลียวมากับสายลมยามค่ำซึ่งพรูผ่านช่องหน้าต่าง กระตุ้นเลือดในกายให้ฉีดพล่านรุนแรง
สายลมพรู กรูกลิ่น หอมเย้ายวน
กระตุ้นเร้า จิตรัญจวน สิเน่หา
สองกายร่วม บรรเลงรัก ร้อนอุรา
ละโลดลิ่ว เริงร่า ในราตรี
หญิงสาวหลับตาลง ปิดการรับรู้ทางสายตา ปล่อยกายใจให้เลื่อนไหลไปกับอารมณ์หวามที่หลายครั้งเหมือนร่างเธอจะลอยลิ่วจนฉิวเฉียดดวงดาวพริบพรายบนท้องฟ้า หลายคราคล้ายถูกดึงให้จมดิ่งลงท้องทะเลแปรปรวนจนแทบสำลัก เนื้อตัวเครียดเกร็ง ลมหายใจหอบกระเส่า แต่จะทรมานสักนิดก็หาไม่ กลับสร้างความหฤหรรษ์รัญจวนชวนหลงใหลยั่วเย้าให้โลดลิ่วไปจนสุดทาง
'ระวังให้ดี สตรีผู้มีชะตาผูกพันจะพรากอายุเจ้าให้สั้นลง'
คำทำนายของเยาวนะผุดขึ้นในหัว ร่างแกร่งเกร็งก็ชะงักไปชั่วเสี้ยววินาที ทว่าในยามพายุพิศวาสโหมกระหน่ำเช่นนี้ ใครเล่าจะฉุดรั้งนาวาที่กำลังโลดแล่นไปตามกระแสคลื่นลมไว้ได้
เสียงครางต่ำลึกในลำคอดังอยู่ข้างหูพร้อมกับความรู้สึกที่เขม็งเกลียวเต็มที่ถึงจุดระเบิดพร่าง ณราตรีเกือบหลุดเสียงหวีดร้องออกมาในนาทีนั้น ปลายเล็บกดจิกแผ่นหลังกว้างไว้แน่นเมื่อร่างกายเหมือนถูกโยนขึ้นลอยคว้างกลางอากาศ หมดสิ้นความสงสัยแล้วว่าปลายทางสายนี้เป็นเช่นไร
วินาทีนั้นเอง...ณราตรีตระหนักชัดว่าความผูกพันก่อเกิดสมบูรณ์แล้วทั้งร่างกายและจิตใจ!
ริมฝีปากร้อนๆประทับลงบนหน้าผากชื้นเหงื่อ ณราตรีเปิดตาขึ้นช้าๆ ใบหน้าที่อยู่ในระยะประชิดยังแดงเรื่อด้วยอารมณ์ที่คงยังไม่มอดดับดี รอยยิ้มของเขางดงามกว่าครั้งไหนๆ เธอยิ้มตอบ และรอยยิ้มนั้นก็ถูกเขายึดครองด้วยริมฝีปากบาง มอบจูบหนักหน่วงเนิ่นนานกว่าจะถอนริมฝีปากออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์
ชายหนุ่มพลิกกายลงนอนตะแคง ดึงเธอให้หันมาเผชิญหน้า อุทิศแขนให้หนุนแทนหมอนพร้อมกับกอดไว้หลวมๆ ดวงตายาวรีล้อมรอบด้วยแพขนตางอนงามจนน่าอิจฉาฉายแววหวานตลอดเวลาที่ทอดมองเธอ มองอย่างรักใคร่ หวงแหน และพร้อมจะปกป้อง
“เห็นหรือยังว่าอายุไม่สำคัญเลย” ชายหนุ่มกระเซ้าพลางส่งสายตากรุ้มกริ่ม
ณราตรียิ้มกลบความขัดเขิน แก้มร้อนวูบวาบไปหมด ล่วงเลยมาไกลขนาดนี้แล้ว จะปฏิเสธความต้องการของหัวใจไปไย อายุเท่าไรก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ต่อให้เขาอยู่นอกกรอบเธอก็พร้อมจะก้าวออกไปหา ปล่อยให้เขาจับจูงพาเดินไปด้วยกัน
ณราตรียกมือขึ้นลูบใบหน้าชายหนุ่มแผ่วเบา จากหน้าผากลากผ่านริ้วรอยบริเวณหางตาลงมายังร่องแก้ม
“แล้วทำไมอยู่ๆเธอถึงได้ดู...”
“แก่” เขาต่อให้ก่อนที่เธอจะเอ่ยจบ
คนสงสัยพยักหน้า ศาศวัตผ่อนลมหายใจแผ่วเบา คล้ายไม่รู้จะเริ่มเล่าอย่างไรดี
‘แม่ครับ แม่’ เขาเรียกซ้ำๆราวกับคนเสียสติเมื่อชีพจรในร่างมารดานิ่งสนิทเช่นเดียวกับลมหายใจ แทบไม่เหลือความหวังว่าท่านจะยังมีชีวิต
แม่บ้านสูงวัยวิ่งตามมา หน้าตาเลิกลั่ก ‘เกิดอะไรขึ้นคะคุณหนึ่ง’
‘แม่จมน้ำในสระ’ เขาเอ่ยเสียงสั่น ไม่กล้าบอกความจริงว่าธารทิพย์เสียชีวิตแล้ว ‘ป้าชมโทร.ตามรถโรงพยาบาล โทร.หาคุณพ่อที’ สติอารมณ์ที่พยายามประคับประคองไว้ทำให้เขาสั่งออกไปได้เพียงแค่นั้น ร่างตุ้ยนุ้ยของอีกฝ่ายละล้าละลังอยู่ครู่ จึงวิ่งตุ้บตั้บเข้าไปในบ้าน
แม้รู้ว่าคนตายไม่อาจฟื้นคืน แต่ศาศวัตก็ยังพยายาม เขาจับร่างมารดาให้นอนราบ นวดหัวใจตามหลักการปฐมพยาบาลที่เคยฝึกมา สลับกับการผายปอดเป็นระยะ ไม่เสียเวลาแม้สักวินาทีเอาน้ำออกจากท้อง เพราะรู้ว่าวิธีนั้นมันไร้ประโยชน์!
ทุกครั้งที่เป่าลมเข้าไปในโพรงปาก ใจเขาเต้นระทึก พร่ำภาวนาซ้ำๆขอให้มีปาฏิหาริย์ ขอให้แม่กลับมา กี่ครั้งที่นวดหัวใจ กี่คราวที่ผายปอดศาศวัตก็จำไม่ได้ ความหวังซึ่งริบหรี่ราวกับเปลวเทียนต้องลมจวนเจียนจะดับเต็มที
แม่กลับมา...อย่าเพิ่งทิ้งผมไป...ใจเต้นระรัวอ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่พละกำลังในกายเหือดหายคล้ายถูกสูบออกไปเกือบหมด เขารวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือก่อนถ่ายทอดลมเฮือกใหญ่แก่ร่างไร้วิญญาณ ใจสั่นหวิวปานจะหยุดเต้น นัยน์ตาพร่าเลือน
ภาพสุดท้ายที่ติดตรึงในความทรงจำคือมารดาสำลักน้ำออกทางปากและจมูก กระอักกระไอได้ไม่ต่างจากคนที่ยังมีลมหายใจ แม่บ้านซึ่งออกมาอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ตะโกนลั่นอยู่ใกล้ๆ
‘คุณผู้หญิงฟื้นแล้ว คุณผู้หญิงฟื้นแล้ว อ้าว...คุณหนึ่ง เป็นอะไรไปคะ คุณหนึ่ง...’
เขาหมดแรงทรงกาย ทรุดลงไปราวกับใบไม้ร่วง รับรู้ถึงท่อนแขนอวบอูมของแม่บ้านที่ช้อนเข้ามาทันท่วงทีก่อนศีรษะจะกระแทกพื้น สติดับวูบไปในตอนนั้นเอง
รู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งในโรงพยาบาล ลืมตาขึ้นมาก็พบคนรับใช้เก่าแก่นั่งเท้าคางทำหน้าหมองอยู่บนเก้าอี้ตัวนุ่มสำหรับญาติที่มาเฝ้าไข้ ครั้นเขาขยับตัวด้วยความเมื่อยขบนางก็กระวีกระวาดลุกมายังเตียง
‘แม่เป็นยังไงบ้าง’ เสียงเขาแหบแห้งราวกับคนขาดน้ำมาหลายวัน ได้ยินแล้วเขาเองยังตกใจ อีกฝ่ายหยิบแก้วรินน้ำปักหลอดมายื่นตรงหน้า ช่วยประคองศีรษะขึ้นเพื่อให้เขาดื่มได้สะดวก น้ำเสียงที่ตอบเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีที่ยังไม่จางคลาย
‘คุณผู้หญิงปลอดภัยดีค่ะ’
ฟังคำแม่บ้านสูงวัยแล้ว ชายหนุ่มก็ทิ้งตัวลงนอนด้วยความโล่งใจ แปลกใจนิดๆที่ธารทิพย์ปลอดภัยแล้ว แต่แม่บ้านกลับยังทำหน้าเหมือนเศร้าตรมอมทุกข์อยู่
ยังไม่ทันถาม คนที่คิดถึงก็โผล่เข้ามาพอดี ธารทิพย์นั่งรถเข็นมาพร้อมสายน้ำเกลือโดยมีบุลินทร์เป็นคนเข็น ดวงหน้าอวบอูมของมารดาระเรื่อสีเลือดไม่ซีดเซียวแบบที่เขาเห็นก่อนหมดสติ
‘หนึ่ง ฟื้นแล้วหรือลูก’ ธารทิพย์เอ่ยเสียงเครือ น้ำตาคลอด้วยความดีใจ บุลินทร์เองยกนิ้วป้ายหัวตาเหมือนกัน ทั้งสองพากันยิ้มเข้ามายังเตียงคนเจ็บ
‘ทำไมแม่ต้องร้องไห้ด้วยครับ ผมก็แค่ตกใจจนเป็นลม’ เขายิ้มขันกับท่าทางของบิดามารดาที่ทำราวกับว่าเขาเพิ่งฟื้นจากการบาดเจ็บสาหัส เขายิ้มกว้างจนเจ็บริมฝีปากเลยหรือเนี่ย ปลายนิ้วแตะริมฝีปากตนเองเบาๆ
แค่เป็นลมประเดี๋ยวประด๋าวทำไมจึงปากแห้งแตกเป็นสะเก็ดขนาดนี้ ชายหนุ่มเริ่มเอะใจ เขาเป็นลมไปแค่ไม่กี่นาที แต่ทำไมปากแห้งเหมือนคนขาดน้ำเป็นวันๆ แถมมีถุงน้ำเกลือแขวนอยู่ที่เสาข้างเตียง ต่อสายมาเสียบอยู่บนหลังมืออีกด้วย
‘ใครบอกว่าแค่เป็นลม หนึ่งหมดสติไปตั้งสองวันสองคืนเชียวนะ’ ธารทิพย์ยื่นมืออันสั่นเทามาลูบแก้มบุตรชายแผ่วเบา ทะนุถนอม แววตาเธอหดหู่จนชายหนุ่มใจหาย
‘เกิดอะไรขึ้นกับผมหรือครับแม่’
ธารทิพย์ส่ายหน้าน้ำตาปริ่มเจียนจะหยาดไหล ครั้นเลื่อนสายตาไปยังบุลินทร์ ใบหน้าคมคายสมวัยก็แบกความหนักใจไว้เต็มเปี่ยม
‘แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน’ หญิงกลางคนดึงกระดาษทิชชูบนโต๊ะวางของข้างเตียงมาซับน้ำตา แล้วทบทวนเหตุการณ์ให้เขาฟัง ‘วันนั้นแม่ลงว่าย
น้ำในสระแล้วเป็นตะคริวจมน้ำหมดสติไป พอฟื้นขึ้นมามีสติครบถ้วนก็ถามหาลูก พ่อพาเข้ามาเยี่ยมแม่ก็เห็นลูกเป็นแบบนี้แล้ว’
ฝ่ามือนุ่มลูบไล้แก้มเขาราวกับอาลัยอาวรณ์บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ๆก็หายไป
‘แบบนี้’ เสียงนุ่มดังกว่ากระซิบนิดเดียว ‘แบบไหนครับ’
คำตอบของธารทิพย์คือการส่ายหน้า น้ำตาไหลปริ่มจนต้องซับแล้วซับอีก
ศาศวัตรเพิ่งรู้สาเหตุที่ทำให้บิดามารดาทุกข์ใจหนักหนาก็ตอนรับกระจกจากหมอมาส่องดูหน้าตัวเอง พลันที่พบภาพสะท้อน ชายหนุ่มตกใจจนพูดไม่ออก แม้ว่าคิ้ว ตา จมูก ปากจะยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม้ได้แหว่งวิ่นขาดหายไปไหน แต่ริ้วรอยร่องลึกเด่นชัดอันเพิ่มขึ้นมามากมายในเวลาแค่สองวันส่งผลให้เขาดู ‘แก่’ ลงสักสิบปีเห็นจะได้ ใช่เขาแน่หรือ...ศาศวัตรำพึงอยู่ในอก
ชายหนุ่มยกมือลูบหน้าราวกับจะป่ายปัดริ้วรอยก่อนวัยออกไปให้พ้น จึงแลเห็นปานขาวรูปผีเสื้อบนนิ้วนางข้างซ้าย เขาคิดไปเองหรือเปล่าว่ามันจางลง
นายแพทย์ผู้ตรวจรักษาวินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคหน้าแก่ก่อนวัย พร้อมกับยกตัวอย่างเหวียนถิเฟืองสตรีชาวเวียดนามอายุ ๒๖ ปีที่กินอาหารทะเลเข้าไปแล้วเกิดคันบนใบหน้า จึงไปพบแพทย์และได้รับยามากินเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ นอกจากอาการไม่ดีขึ้นแล้วผิวหนังยังค่อยๆเหี่ยวย่นจนมีสภาพใบหน้าราวกับคนแก่อายุแปดสิบ
นอกจากเหวียนถิเฟืองยังมีหญิงสาวชาวจีนแซ่หู ที่ใบหน้าแก่ลงเรื่อยๆหลังจากคลอดลูก จนอายุ ๒๘ ปีก็มีใบหน้าไม่ต่างจากหญิงชรา
ศาศวัตทราบข่าวคราวเหล่านั้นมาก่อน แต่สองสาวนั่นค่อยๆแก่ลงทีละน้อย ไม่ใช่หลับไปสองวันสองคืนพอฟื้นขึ้นมาหน้าก็แก่ไปสิบปีแบบเขา หรือว่านี่เป็นเพียงแค่อาการเริ่มแรก
‘แล้วผมจะแก่ลงไปอีกมากแค่ไหน’ เขาถามแพทย์เจ้าของไข้ ความกังวลปกคลุมจิตใจไม่ต่างจากเมฆดำทะมึนบนฟากฟ้ากลางฤดูฝน
‘พูดจริงๆนะครับ...ผมเองก็ตอบไม่ได้ ต้องรอดูอาการกันต่อไป’
คำตอบจากปากนายแพทย์วัยกลางคนไม่อาจช่วยให้เขาสบายใจขึ้นเลย
วันต่อมา ศาศวัตได้รับอนุญาตให้กลับบ้านพร้อมธารทิพย์ เมื่อบุลินทร์หมุนพวงมาลัยบังคับรถให้เลี้ยวเข้าหมู่บ้านบุลินธรา ธารทิพย์หันไปบอกสามีว่า
‘เดี๋ยวแวะหาแม่คุณยายเยาวนะหน่อยนะคะคุณ บางทีเรื่องนี้อาจเกี่ยวกับคำทำนายก็ได้’
ศาศวัตซึ่งนั่งอยู่เบาะตอนหลังฉุกใจสงสัยขึ้นมาครามครัน ‘คำทำนายอะไรครับแม่’
พ่อกับแม่สบตากันภายในความเงียบ จากนั้นธารทิพย์หันมายิ้มให้ ‘หนึ่งรอฟังจากปากคุณยายเองดีกว่าจ้ะ’
ศาศวัตรู้จักเยาวนะมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากมารดามักพาเขาไปกราบสักการะพระแม่มีนาคชีเทวีที่บ้านท่านบ่อยครั้ง ชายหนุ่มทราบจากมารดาถึงความเป็นมาที่รู้จักมักคุ้นกับเยาวนะอย่างละเอียด รวมถึงการที่หญิงชราเมตตาตั้งชื่อให้เขาว่าศาศวัตด้วย ส่วนคนตั้งชื่อให้เขาเสียเพราะ กลับเรียกเขาว่า ‘เจ้าผีเสื้อ’ แทน อาจเป็นเพราะปานขาวรูปผีเสื้อบนนิ้วนางข้างซ้ายของเขานี่ละจึงทำให้ได้รับสมญานามเช่นนี้
ชายหนุ่มเก็บความสงสัยเรื่องคำทำนายไว้จนกระทั่งรถจอดนิ่งสนิท เยาวนะยืนรออยู่หน้าประตูรั้วเหมือนทุกคราวยามสองแม่ลูกแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนราวกับรู้ล่วงหน้าว่าจะมีแขกมาเยือน
ในความรู้สึกของศาศวัต เยาวนะดูเป็นคนลึกลับและไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่หากใครได้เข้าใกล้จะสัมผัสได้ถึงกระแสแห่งความเมตตาซึ่งแผ่ซ่านจากรอยยิ้ม น้ำเสียง และแววตา
‘เข้าไปสักการะพระแม่กันก่อน’ เจ้าของบ้านเชื้อเชิญพลางก้าวนำ
ครอบครัวศศิราตามเข้าไปด้วยความสงบ กระทั่งธูปหอมถูกปักลงในกระถางทองเหลืองใบใหญ่เก่าคร่ำคร่าแล้ว ทุกคนน้อมจิตน้อมใจก้มลงกราบแทบพื้นด้วยความเคารพ
‘เราไปนั่งคุยตรงนั้นเถอะ’ เยาวนะชี้ไปยังม้านั่งหินอ่อนใต้ต้นยางอินเดียซึ่งอยู่ไม่ไกล
‘มีเรื่องอะไรที่ผมยังไม่รู้ และควรต้องรู้ครับคุณยาย’ ศาศวัตเรียกเยาวนะว่าคุณยายตามมารดา รอยยิ้มละไมซึ่งเห็นจนคุ้นตานำมาก่อนสิ่งแรก
‘ยายทำนายเจ้าไว้เมื่อแรกเกิด ทำนายไปตามที่จิตรู้...สตรีที่มีชะตาผูกพันจะพรากชีวิตเจ้าให้สั้นลง’ หญิงชราเล่าไปเรื่อยๆ มีกังวานชวนศรัทธาอยู่ในน้ำเสียง นางดึงมือซ้ายเขาไปกุม ไล้นิ้วแผ่วเบาบนรอยปานขาวรูปผีเสื้อพลางพึมพำ ‘ตราบใดผีเสื้อโบยบิน ตราบนั้นชีวิตจะสิ้นไป’
ศาศวัตที่เรียนด้านวิทยาศาสตร์และใช้ชีวิตในประเทศซึ่งมีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสมัยใหม่มาหลายปีมั่นใจว่าเขาไม่เชื่อคำทำนายของเยาวนะ แต่ทำไมทั้งน้ำเสียงและสัมผัสของนางจึงทำให้เขาขนลุกชัน ตัวชาวาบ ดวงตาจับจ้องรอยปานขาวซึ่งติดตัวเขามาตั้งแต่เกิดแทบไม่กะพริบ เขารู้สึกว่ามันจางไปพร้อมใบหน้าใหม่ที่ดูแก่ขึ้นไปสักสิบปี
‘สตรีผู้มีชะตาผูกพันไม่ได้หมายถึงคู่ครองเท่านั้น ยังหมายถึงผู้ให้กำเนิดของเจ้าด้วย’ นางเอ่ยต่อ พลางเบนสายตาจากศาศวัตไปยังธารทิพย์ซึ่งบัดนี้หน้าเผือดสี
‘ทำไมคุณยายไม่เตือน’ คนเป็นแม่คราง ถึงธารทิพย์จะรู้คำทำนายล่วงหน้า เคยหวั่นกลัว ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปยี่สิบกว่าปีและไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น คำทำนายชวนขนลุกก็เริ่มเลือนไปจากความคิด จนกระทั่งเกิดเรื่องครั้งนี้
‘คิดว่าเตือนแล้วเจ้าผีเสื้อจะยอมทำตามอย่างนั้นหรือ ไม่มีลูกคนไหนยอมให้แม่ตายไปต่อหน้าต่อตาหรอก ต่อให้ตายไปแล้วถ้าปลุกให้ฟื้นคืนได้ก็คงทำโดยไม่ลังเล จริงไหม’ ท้ายประโยค เยาวนะหันมาถามศาศวัต รอยยิ้มยังคงแต้มติดใบหน้าราวกับนางล่วงรู้เรื่องราวทุกอย่างแจ่มแจ้ง ทั้งที่ศาศวัตไม่เคยปริปากเล่าเรื่องธารทิพย์หยุดหายใจไปแล้วให้ใครฟังเลย
การนิ่งเงียบของศาศวัตเท่ากับเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย เยาวนะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงดุจเดิม
‘คนที่ตายไปแล้วน่ะคือเจ้า’ หญิงชรายิ้มให้ธารทิพย์ซึ่งหน้าซีดมือสั่นราวกับได้ยินเรื่องราวอันเหลือเชื่อ ‘ตอนเจ้าผีเสื้อช่วยเจ้าขึ้นจากน้ำนั้น สัญญาณชีพของเจ้าไม่หลงเหลืออยู่แล้ว มันดับวูบไปก่อนเจ้าผีเสื้อไปพบด้วยซ้ำ’
‘จริงหรือหนึ่ง’ คนถามขึ้นอย่างงุนงงสงสัยคือบุลินทร์ ชายหนุ่มสบตามารดาและพบว่ามีเครื่องหมายคำถามอยู่เช่นกัน
‘จริงครับ’ เขายอมรับ ‘แต่ผมก็พยายามปฐมพยาบาลอย่างเต็มที่จนแม่ฟื้น’
‘แล้วเจ้าก็สลบไป’ เยาวนะเอ่ยต่อแม่นยำราวกับอยู่ร่วมในเหตุการณ์ ‘ลมหายใจของเจ้าช่วยต่อชีวิตสตรีที่เจ้ามีชะตาผูกพันได้ แต่นั่นหมายความว่าชีวิตเจ้าก็จะลดน้อยถอยลงไปด้วยเช่นกัน เหตุนี้เจ้าจึงมีหน้าตาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างกายและสังขารของเจ้าก็เสื่อมสภาพไปด้วย เคยสังเกตไหม’ นางจับมือเขาแบ ลากนิ้วตามเส้นลายมือเส้นหนึ่งซึ่งจุดเริ่มต้นอยู่กึ่งกลางระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ‘เส้นนี้คือเส้นชีวิต มันเคยลากยาวจรดข้อมือใช่หรือเปล่า’
ศาศวัตมองตาม ไม่เคยรู้ว่าเส้นนั้นเรียกว่าอะไร แต่จำได้ว่ามันเคยยาวลงมาเกือบถึงข้อมือจริง บัดนี้หดหายไปเกือบครึ่ง มืออุ่นของหญิงสูงวัยแนบลงบนแก้มเขาอย่างอ่อนโยน
‘ชีวิตคนเราผ่านการเวียนว่ายตายเกิดมาหลายภพชาติ ย่อมข้องเกี่ยวผูกพันกับคนหลายคน หากเจ้าหวั่นกลัว ก็จงปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่มันเป็น อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของใคร” นางเว้นไปนิด สบตาเขาตรงๆ ‘ระวังให้ดี สตรีผู้มีชะตาผูกพันจะพรากชีวิตเจ้าให้สั้นลง ยามใดผีเสื้อโบยบิน...ยามนั้นชีวิตจะสิ้นไป’
ศาศวัตบอกไม่ได้ว่าเขาเชื่อคำทำนายของเยาวนะหรือเปล่า ทุกอย่างอาจเกิดจากความบังเอิญซึ่งมาประจวบเหมาะกันพอดีก็ได้ คนตายแล้วฟื้นก็มีให้เห็นมาแล้ว คนหน้าแก่ตั้งแต่เด็กก็มีอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร บุลินทร์และธารทิพย์ดูปักใจเชื่ออย่างไม่มีข้อโต้แย้งไปแล้ว
ในขณะที่บิดามารดาตกอยู่ในความกังวล ศาศวัตกลับดีใจอยู่ลึกๆ ถ้าลมหายใจที่มีสามารถต่อชีวิตแด่ผู้ให้กำเนิดได้ เขาไม่สนใจหรอกว่าจะเหลือเวลาอยู่อีกมากน้อยเพียงใด แต่คงต้องใช้เวลาปรับใจให้ยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี่ให้ได้เท่านั้น
“ถ้าเธอไม่สบายใจ ไม่ต้องเล่าก็ได้” เสียงคนในอ้อมกอดดึงชายหนุ่มจากภวังค์ความคิด เพียงสบสายตาเข้าอกเข้าใจนั้น ศาศวัตก็อดดึงมือนุ่มๆซึ่งไล้ผิวแก้มเขาผะแผ่วมาจูบไม่ได้
นาทีแรกที่ศาศวัตมั่นใจว่าณราตรีรู้ความจริงว่าเขากับเด็กน้อยที่เธอเคยปกป้อง และหนุ่มน้อยที่เคยจีบเธอตอนมัธยมปลายเป็นคนเดียวกัน ใจหนึ่งเขายินดี ส่วนอีกใจกลับหวั่นไหวอย่างประหลาด บางทีการทิ้งเรื่องราวต่างๆไว้ในอดีต แล้วปล่อยให้ชีวิตปัจจุบันเดินหน้าไปอย่างที่มันควรเป็นอาจดีกว่าก็ได้ ทว่าความลับไม่มีในโลกไม่ใช่หรือ หากไม่จากกันไปเสียก่อน ช้าหรือเร็วเธอต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดี
ถ้าเธอไม่ได้เป็นผู้ค้นพบความจริง ก็คงเป็นเขานี่แหละที่จะเปิดเผยให้เธอทราบด้วยตัวเอง
“ผมสบายใจที่ได้บอกเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตผมให้คุณรู้ และดีใจด้วยที่คุณสนใจอยากรู้” ชายหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่มใส่ดวงตาคู่โตที่มองเขาอย่างรอคอยคำตอบ
“ผมเป็นโรคหน้าแก่เกินวัย แม้แต่หมอก็ยังไม่ทราบว่าสาเหตุเกิดจากอะไร” เขาเลือกบอกในสิ่งที่ไม่เหลือเชื่อและดูเป็นไปได้ เนื่องจากครึ่งหนึ่งของใจเขาก็เชื่อเช่นนี้เหมือนกัน ส่วนอีกครึ่งนั้นก็คิดว่าเป็นโชคชะตาดังเยาวนะว่า
“ฉันเคยได้ยินว่ามีโรคแบบนี้” ณราตรีนิ่วหน้าครุ่นคิด “แต่ไม่เคยได้ยินว่าคนไทยเป็นนะ”
“อาจจะมีแต่ไม่เป็นข่าวก็ได้ อย่างผมไงล่ะ”
“เธอเป็นมากี่ปีแล้ว...แล้วจะแก่ไปอีกมากแค่ไหน” คำถามซึ่งหลุดจากปากอิ่มสวยนั้นไม่ได้เจือไปด้วยความหวาดกลัวเลย กลับเต็มไปด้วยความห่วงใยเห็นอกเห็นใจมากกว่า
“เป็นมาเกือบสองปีแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแก่ลงไปเรื่อยๆ หรือหยุดแค่นี้” ชายหนุ่มตอบตามจริง เขาเองก็กังวลอยู่เหมือนกัน
“ทำศัลยกรรมได้ไหม” เธอช่วยคิดหาวิธี
“ผมเคยคิดเหมือนกัน แต่ไม่ได้ทำ” ศาศวัตสารภาพ
ณราตรีหลุดเสียงหัวเราะออกมาพรืดใหญ่
เด็กหน้าแก่ทำหน้าง้ำ เขายอมรับว่าสูญเสียความมั่นใจกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่เกิดขึ้นจนคิดจะทำศัลยกรรม ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ เพราะรอดูว่าความเปลี่ยนแปลงจะหยุดอยู่แค่นี้หรือเพิ่มขึ้นไปอีก ระหว่างรอดูอาการเขาจึงมาหลบอยู่บ้านกลางวนาและพบต้นราตรีกลายพันธุ์ซึ่งเขาผิดสังเกตตั้งแต่กลิ่นหอมที่ชวนให้สดชื่นแล้ว จึงลองคิดค้นวิจัยโดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเวชกุลซึ่งนอกจากเรื่องเงินทุนแล้ว เวชกุลยังส่งษมาซึ่งเป็นนักวิจัยของบริษัทมาร่วมทำงานด้วย
งานวิจัยครั้งนี้จำเป็นต้องออกมาทำนอกห้องแล็ปของบริษัท เนื่องจากต้นราตรีกลายพันธุ์ที่ใช้วิจัยไม่อาจขยายพันธุ์หรือโยกย้ายไปที่อื่นได้เลย ดร.กฤษณะ ฟันเฟืองสำคัญของเวชกุลพยายามแล้ว และล้มเหลวทุกคราวไป
“ถ้าผมแก่ลงเรื่อยๆ แก่จนหงำเหงือกเหมือนคนอายุแปดสิบ เก้าสิบ คุณจะรังเกียจไหม”
ชายหนุ่มถามเรื่องที่ตนแอบหวั่นใจ คนถูกถามส่ายหน้าทันทีโดยไม่เสียเวลาคิด
“ถ้าความรู้สึกของเรายังตรงกัน และเธอยังดีกับฉันแบบนี้ ฉันไม่มีทางรังเกียจไม่ว่าเธอจะแก่หง่อมสักแค่ไหน” หญิงสาวยิ้มเจ้าเล่ห์ “ดีเสียอีก จะได้ไม่มีใครมามองคิ้วเข้มๆ ตาสวยๆ จมูกโด่งๆ ปากแดงๆของเธอ” นิ้วเรียวไล่ไปตามคิ้วดกหนา ดวงตายาวรี จมูกโด่งเป็นสันตรง และหยุดนิ่งที่ริมฝีปากบางแดงเรื่อ
ชายหนุ่มยึดมือแสนซนนั้นไว้ ก่อนที่อารมณ์เขาจะเตลิดก่อนได้คุยเรื่องสำคัญ
“คุณไม่เสียใจใช่ไหมกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้” ชายหนุ่มไล้นิ้วโป้งไปบนริมฝีปากอิ่ม
“ไม่เลย” ณราตรีตอบง่ายดายโดยไม่ต้องหยุดคิด
ทว่าคนฟังกลับขมวดคิ้วจนเกิดร่องลึกระหว่างหัวคิ้วทั้งสองข้าง เอ่ยเสียงดุ “หวังว่า...คุณคงไม่คิดว่านี่เป็นความสัมพันธ์เพียงฉาบฉวยชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นนะ เพราะผมคิดจริงจัง และไม่มีทางปล่อยคุณไปแน่”
“แล้วเธอคิดว่าฉันจะยอมปล่อยเธอไปอย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวย้อนถาม สีหน้าท่าทางจริงจัง “ขอให้ฉันกลับไปจัดการชีวิตตัวเองให้เข้าที่เข้าทางก่อนนะ อีกอย่างคุณษมาไม่ไว้ใจฉัน ฉันไม่อยากให้เธอผิดใจกับเพื่อนเพราะฉัน”
“หมอนั่นเป็นคนมีเหตุผล ปล่อยให้คิดสักพัก เดี๋ยวก็เข้าใจเอง” ศาศวัตมั่นใจว่ารู้นิสัยษมาดี
“ยังไงฉันก็ต้องกลับ ยังมีเรื่องทางบ้านที่ฉันปล่อยค้างคาไว้อย่างคนไร้ความรับผิดชอบ” ณราตรีเอ่ยถึงการกระทำของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ปราศจากท่าทีประชดประชัน
“คุณจะไปเมื่อไหร่” ศาศวัตใจหาย
“คิดว่าน่าจะเป็นพรุ่งนี้ ฉันไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว รีบกลับไปเคลียร์เรื่องที่บ้านให้เรียบร้อย จะได้กลับมาเคลียร์เรื่องของเรา”
ชายหนุ่มยิ้มออก “งั้นผมจะไปส่งคุณเอง ผมอยากพาคุณไปอวดใครบางคนด้วย”
“ใครคะ”
ภาพธารทิพย์และบุลินทร์ชัดเจนในใจ หมายใจว่าความสัมพันธ์ซึ่งถูกถักทอก่อสานขึ้นอย่างงดงามไนวันนี้ ต้องได้รับการจัดการให้
เรียบร้อยถูกต้อง กระนั้นชายหนุ่มกลับส่ายหน้าไม่ยอมบอก “อดใจไว้...เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เอง”
“ฉันอดใจไม่อยู่น่ะสิ” นัยน์ตาคมหวานซึ่งอยู่ห่างแค่คืบช้อนขึ้นมองเขา
ศาศวัตยิ้มและก้มลงไปกระซิบชิดริมฝีปากอิ่ม
“ผมก็อดใจไม่อยู่เหมือนกัน”
ร่างแกร่งขยับแนบชิดกายเปลือยเปล่าของคนในอ้อมแขน เพลงรักบทใหม่เริ่มบรรเลงอีกครั้ง
เจ้าดอกไม้ แสนงาม สะท้านไหว
ยามผีเสื้อ ซอนไซร้ มิหน่ายหนี
แย้มรับไว้ ด้วยใจรัก และภักดี
เปลี่ยนราตรี มืดดำ ให้พร่างพราว
จากท่วงทำนองหวานละมุนค่อยๆเร่งร้อนขึ้นตามเพลิงปรารถนาอันโชนฉานอยู่ในใจสองดวง ยิ่งดึก ดอกราตรียิ่งส่งกลิ่นรุนแรงผสานมากับลมหนาวไม่ขาดสาย โอบล้อมอยู่รอบกายหนุ่มสาวซึ่งร่วมกันบรรเลงเพลงรักบทแล้วบทเล่า บางครั้งเร่าร้อน บางคราอ่อนหวาน แล้วแต่คลื่นอารมณ์จะโหมซัดพัดพาไปทิศทางใด...จวบจนรุ่งสาง กลิ่นหอมราโรย ร่างสูงจึงพลิกกายลงจากร่างนุ่มชื้นเหงื่อแล้วดึงมากอดแนบอกอย่างรักใคร่หวงแหน พากันดำดิ่งสู่ห้วงนิทราแสนสุข
หนุ่มสาวมิรู้เลยว่า...จากนี้ไป เรื่องราวเลวร้ายจะดาหน้าเข้ามาดุจห่าฝน และกว่าจะก้าวผ่านไปได้ ทั้งคู่ก็สะบักสะบอมจนแทบเอาชีวิตไม่รอดเลยทีเดียว!
************************************************************
มาถึงวันสุดท้ายในเว็บเลิฟแล้วนะคะ สำหรับคุณศาศวัตกับหนูไนท์ ขอบคุณทุกไลค์ ทุกคอมเม้นท์ ทุกสายตาที่เคียงข้างกันมาตลอด
จนถึงวันนี้ คุณศาศและหนุไนท์เข้าโรงพิมพ์ไปแล้ว อีกสิบกว่าวันก็จะออกมาอวดโฉมบนแผง ใครที่อยากรู้ว่ามีสิ่งใดรอคอยพระนางของเรา
อยู่ ติดตามได้ในรูปเล่ม แต่เพื่อเป็นการตอบแทนนักอ่านที่น่ารัก เราจะนำรายชื่อผู้ที่เข้ามาคอมเม้นท์มาจับฉลากแจกหนังสือฟรีหนึ่งเล่มค่ะ
แต่ใครที่พลาดโอกาสนี้ เข้าไปเล่นเกมในเพจ "ภาวิน" ได้นะคะ ที่นั่นแจกสามเล่ม หมดเขตเล่นเกม ๑๔ ตุลาคมเวลาสองทุ่ม
ประกาสผล ๑๕ ตุลาคมค่ะ
แล้วยังไงไปพบกันที่งานหนังสือได้นะคะ ชุดความลับของผีเสื้อมีบ็อกเซ็ตสวยงาม และรับของที่ระลึกน่ารักๆจากนักเขียนได้ค่ะ
ถ้าหากไม่มีสิ่งใดขัดข้อง ภาวินไปอยู่ที่บูธนายอินทร์ในวันที่ ๒๐ ตุลาคม เวลา ๑๕.๐๐-๑๖.๐๐ น.
***********************************************
ตอบเม้นท์
คุณหนอนน้อยดังปัณณ์ ขอบคุณมากๆค่ะ กอดแน่นๆ สำหรับกำลังใจที่ให้กันตลอดมา และอีกกอดแน่นๆเป็นกำลังใจให้ค่ะ ทราบว่าคุณแม่กำลังป่วย สู้ๆนะคะ เข้มแข็งไว้
คุณ ree ยังไงต้องฝากติดตามในเล่มนะคะ ว่าหนูไนท์ถูกใส่ความหรือเปล่า แต่อาจเป็นผู้โชคดีได้รับหนังสือก็ได้ค่า
คุณ ketza เริงราตรีสีขาว ความหมายน่าจะชัดเจนในตอนนี้แล้วนะคะ เริงร่าอยู่ท่ามกลางกลิ่นดอกราตรีสีขาว ๕๕๕ แอบเห็นว่าไปเล่นเกมในเพจมาแล้ว ไม่รู้ใช่คนเดียวกันหรือเปล่า ขอให้โชคดีนะคะ ^_<
คุณนักอ่านเหนียวหนึบ เปิดเผยกันแล้วนะคะว่าหนูไนท์จะโดนอะไร หุ หุ หิ หิ
หนูบาร์บี้ เคลียร์แล้ว เคลียร์แล้ว อย่าเพิ่งรมณ์เสีย
พี่แตงกวา เขาคุยกันด้วยภาษากายค่ะ คุณศาศน่ะเขาหนักแน่นน่า ก็เขารู้จักหนูไนท์มาตั้งนานแล้วนี่
คุณวรรษา บอกกันชัดๆแล้วว่าหนุ่มหน้ามนคนหน้าหล่อคนนั้นคือคุณศาศอย่างที่หลายๆคนสงสัยมาตั้งแต่ต้นนั่นละ ความจริงเปิดเผยอย่างนี้แล้ว เขาจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร ต้องติดตามในเล่มค่ะ ถ้าไปเจอกันในงานหนังสือทักทายกกันได้เลยนะคะ
ผีเสื้อสีน้ำเงินอสิตาที่เคียงข้างกันมาตลอดทั้งตอนทำงานและช่วงโพสต์งาน กอดร่างอวบแน่นๆนานๆหนึ่งที
คุณ Sukhumvit66 อยากรู้ติดตามได้ในเล่มเลยค่ะ แต่อาจเป็นผู้โชคดีก็ได้น้าาา วันพุธมาลุ้นกันเนอะ
คุณ malida ยินดีที่มาทักทายกันค่ะ เข้าไปเล่นเกมในเพจภาวินมาแล้วหรือยังเอ่ย แปดตอนที่เหลือต่อจากนี้มีผีเสื้ออีกเยอะเลยค่ะ ต้องเดาแล้วงานนี้ ^_^
คุณปลายสี งานยุ่งแค่ไหนก็ไม่เคยทิ้งกัน ขอบคุณมากๆค่ะ แค่นี้ก็ดีใจแล้ว ^_^
**************************************************
แล้ววันพุธจะมาประกาสรายชื่อผู้โชคดีนะคะ ว่าผู้เขียนจะส่งเริงราตรีสีขาวไปให้นักอ่านคนใดได้ติดตามชีวิตหนูไนท์กับคุณศาศแบบเต็มที่เต็มอิ่มกัน แล้วเจอกันค่ะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ย. 2556, 03:36:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ย. 2556, 05:35:35 น.
จำนวนการเข้าชม : 1588
<< ตอนที่ ๑๕ +ยังเล่นเกมแจกหนังสือในเพจ "ภาวิน" นะคะ | ประกาศรายชื่อผู้โชคดีค่ะ >> |

ree 30 ก.ย. 2556, 06:27:56 น.
รู้สึกว่าษมาจะเป็นปัญหายังไงก็ไม่รุ
รู้สึกว่าษมาจะเป็นปัญหายังไงก็ไม่รุ

Pat 30 ก.ย. 2556, 06:40:02 น.
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวเลวร้ายที่จะดาหน้าเข้ามา เข้าใจทิ้งท้ายนะคะ
สงสัยต้องไปตาม(หา)อ่านต่อซะแล้ว
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวเลวร้ายที่จะดาหน้าเข้ามา เข้าใจทิ้งท้ายนะคะ


พันธุ์แตงกวา 30 ก.ย. 2556, 06:43:50 น.
กรี้ดดดด. คุณชาย...จะน่ารักไปไหน แบบนี้สินะที่เค้าว่า ยิ่งทะเลาะกันยิ่งลูกดก555
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ เข้าไปซื้อในโรงพิมพ์เลยได้มั้ยเนี่ยะ จะทนยังไงไหว
เรื่องนี้สนุกมากตริงๆขอให้ได้เป็นละครอีกเรื่องนะ อยากดู
กรี้ดดดด. คุณชาย...จะน่ารักไปไหน แบบนี้สินะที่เค้าว่า ยิ่งทะเลาะกันยิ่งลูกดก555
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ เข้าไปซื้อในโรงพิมพ์เลยได้มั้ยเนี่ยะ จะทนยังไงไหว
เรื่องนี้สนุกมากตริงๆขอให้ได้เป็นละครอีกเรื่องนะ อยากดู


อสิตา 30 ก.ย. 2556, 07:36:41 น.
ลงตอนสุดท้ายแล้วจริงๆหรือนี่ ใจหายจุงเบย ของเรายังไม่ถึงจุด โบยบินต่อไป...
ขอบคุณที่บินเคียงข้างกันมา ผีเสื้อท้องแก่สองตัว(ท้องปลอมหนึ่งตัว)

ลงตอนสุดท้ายแล้วจริงๆหรือนี่ ใจหายจุงเบย ของเรายังไม่ถึงจุด โบยบินต่อไป...
ขอบคุณที่บินเคียงข้างกันมา ผีเสื้อท้องแก่สองตัว(ท้องปลอมหนึ่งตัว)




ketza 30 ก.ย. 2556, 10:40:02 น.
อจ๊ากกก ยังไงต่อ ค้างได้อีก อิอิ (แอบเข้ามาจับผีเสื้อ่ะ)เข้าไปเล่นในเพจแล้วเค้าเองๆๆ ว่าแต่พระเอกแก่แต่หน้าแต่อย่างอื่นไม่แก่ชิมิ 55555.....ฟิ้วววววววววววว
อจ๊ากกก ยังไงต่อ ค้างได้อีก อิอิ (แอบเข้ามาจับผีเสื้อ่ะ)เข้าไปเล่นในเพจแล้วเค้าเองๆๆ ว่าแต่พระเอกแก่แต่หน้าแต่อย่างอื่นไม่แก่ชิมิ 55555.....ฟิ้วววววววววววว

ปลายสี 30 ก.ย. 2556, 12:49:18 น.
อุ้ยตาย คุณศาศอย่าหักโหมนักนะคะ หน้าแก่ไม่แก่ไม่สนแล้วเนอะหนูไนท์55555
อุ้ยตาย คุณศาศอย่าหักโหมนักนะคะ หน้าแก่ไม่แก่ไม่สนแล้วเนอะหนูไนท์55555

วรรษา 30 ก.ย. 2556, 12:53:57 น.
ตอนนี้ทำให้นึกถึงรักแท้ค่่ะสู้ๆต่อไปนะคุณหนึ่ง หนูไนท์ คงไปตามเก็บส่วนที่เหลือในเล่มนะคะ ค้างสุดๆ รอๆ ให้หนังสือเดินทางออกจากโรงพิมพ์ค่ะ
ตอนนี้ทำให้นึกถึงรักแท้ค่่ะสู้ๆต่อไปนะคุณหนึ่ง หนูไนท์ คงไปตามเก็บส่วนที่เหลือในเล่มนะคะ ค้างสุดๆ รอๆ ให้หนังสือเดินทางออกจากโรงพิมพ์ค่ะ

Sukhumvit66 30 ก.ย. 2556, 13:10:00 น.
ขออุดหนุนนะคร้า.....เด่วไปเหมาทั้งสามเล่มเลย
ขออุดหนุนนะคร้า.....เด่วไปเหมาทั้งสามเล่มเลย


นักอ่านเหนียวหนึบ 30 ก.ย. 2556, 19:02:22 น.
หนูไนท์ ไม่เข้าใจ คุณสาดเค้ารีบทำหน้าแก่ให้ทันตะเองไง5555
ดีใจด้วยกับไรเตอร์จ้า ได้ปล่อยผีเสื้อน้อยสีขาวออกไปโบยบินในโลกกว้างแล้ว เย้ๆๆๆ จะติดตามต่อไปนะค้า รวมถึงเจ้าผีเสื้ออีก 2 ตัวที่รอขยับปีกตามๆ กันไป สู้ๆ จ้า
หนูไนท์ ไม่เข้าใจ คุณสาดเค้ารีบทำหน้าแก่ให้ทันตะเองไง5555
ดีใจด้วยกับไรเตอร์จ้า ได้ปล่อยผีเสื้อน้อยสีขาวออกไปโบยบินในโลกกว้างแล้ว เย้ๆๆๆ จะติดตามต่อไปนะค้า รวมถึงเจ้าผีเสื้ออีก 2 ตัวที่รอขยับปีกตามๆ กันไป สู้ๆ จ้า

ดังปัณณ์ 30 ก.ย. 2556, 20:46:39 น.
กลับมาอีกรอบ หลังแอบไปเงียบ เรียกพลังคืนชีพ หุย เนาะ
พี่ปุ๊กคะ อารั้ยยยยยยยยยยยยยยยย เอามาให้หนอนดีดดิ้น แกล้งโปรยขี้เถ้าใส่หนอนอีกแล้ว มานิ่มๆเนียนๆ แหมๆๆๆๆ คุณศาสวัตขราาาาาาาาาาาาาาาาา แอบล้วงตับหนูไนท์ไปกินแล้ว แหมๆๆๆๆ อย่างนี้ มันดอกไม้กินแมลงนี่นา วุ้ยเนาะ
อั้ยยยยยยยยยยย พี่ปุ๊กทิ้งท้ายไว้แบบนี้ กว่าหนังสือจะออก กระซิก ดีดๆดิ้นๆ ลงแดงแหงเลย อิๆ
กลับมาอีกรอบ หลังแอบไปเงียบ เรียกพลังคืนชีพ หุย เนาะ
พี่ปุ๊กคะ อารั้ยยยยยยยยยยยยยยยย เอามาให้หนอนดีดดิ้น แกล้งโปรยขี้เถ้าใส่หนอนอีกแล้ว มานิ่มๆเนียนๆ แหมๆๆๆๆ คุณศาสวัตขราาาาาาาาาาาาาาาาา แอบล้วงตับหนูไนท์ไปกินแล้ว แหมๆๆๆๆ อย่างนี้ มันดอกไม้กินแมลงนี่นา วุ้ยเนาะ
อั้ยยยยยยยยยยย พี่ปุ๊กทิ้งท้ายไว้แบบนี้ กว่าหนังสือจะออก กระซิก ดีดๆดิ้นๆ ลงแดงแหงเลย อิๆ


Barby 30 ก.ย. 2556, 22:20:36 น.
อุอิ อุอิต้องติดตาม ไม่ติดตามต่อไม่ได้เเล้ว ขอให้ยอดขายพุ่งกระฉูดนะค่ะ
อุอิ อุอิต้องติดตาม ไม่ติดตามต่อไม่ได้เเล้ว ขอให้ยอดขายพุ่งกระฉูดนะค่ะ