เริงราตรีสีขาว {จากนวนิยายชุด ความลับของผีเสื้อ สนพ. อรุณ}
เขาเกิดมาพร้อมคำทำนาย "สตรีผู้มีชะตาผูกพัน จะทำให้เขาอายุสั้นลง"
และเมื่อเธอคือสตรีผู้นั้น ระหว่างชีวิตกับหัวใจ
เขาจะเลือกสิ่งใด
Tags: รัก ลึกลับ โรแมนติก

ตอน: ตอนที่ ๑๖ + ยังเล่นเกมแจกนิยายในเพจ "ภาวิน" นะคะ

มีเพียงศาศวัตเท่านั้นที่รู้ดีว่า เรื่องที่ณราตรีปะติดปะต่อเรื่องราวและจดจำเขาได้ ทำให้เขาเครียดยิ่งกว่าเรื่องที่ษมาขุดคุ้ยประวัติของเธอเสียอีก บทสนทนาระหว่างเขากับเพื่อนร่วมงานยังชัดเจนเพราะเพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆ

‘ทีนี้คงไม่ต้องสงสัยแล้วสินะว่าใครมาขุดต้นไม้ในแปลงทดลองของเราไป’ ษมาถามเสียงเย็น หลังจากศาศวัตอ่านประวัติโดยย่อของณราตรีที่ษมาค้นมาจากกูเกิลจบลง ทว่าศาศวัตกลับสงสัยไปอีกเรื่อง

‘นายไปเอาชื่อจริงนามสกุลจริงคุณไนท์มาจากไหน’ ชื่อจริง นามสกุลจริงซึ่งเขาจดจำได้แม่นและไม่เคยแย้มให้ใครฟังไม่ว่าจะษมาหรือจีวร

คนถูกถามเบนสายตาไปทางอื่น ‘เมื่อกี้ฉันเห็นผู้หญิงคนนั้นในห้องอาหาร ก็เลยขึ้นไปค้นบนห้องเธอมา’ ครั้นเห็นศาศวัตหรี่ตามอง ษมาจึงรีบเอ่ยต่อราวกับเด็กยามถูกผู้ใหญ่จับได้ว่าทำผิด ’แค่ค้นเฉยๆ ดูแล้วจดจำ ก่อนเก็บไว้เหมือนเดิมไม่ถือว่าผิดหรอก คนที่เข้ามาที่นี่ด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ต่างหากที่ผิด’

‘นายคิดว่าคุณไนท์เข้ามาโดยมีเจตนาอื่นแอบแฝงอยู่เหรอ’

สีหน้าท่าทางของษมาบ่งชัดว่าคิดตามคำกล่าวหาจริงๆ ศาศวัตลุกขึ้นจากเก้าอี้ยืนประจันหน้า และเริ่มชี้ให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ใจของณราตรีซึ่งเขารู้อยู่เต็มใจ‘ทางเข้าบ้านกลางวนามีตั้งเยอะ ถ้าคุณไนท์เป็นสายของเนเชอรัลเฮลท์จริง คงหาวิธีอื่นเข้ามาสบายๆไม่ลงทุนเสี่ยงตายกระโดดลงจากน้ำตกปล่อยให้น้ำพัดมาเกยหาดแบบนั้นหรอก เพราะมีโอกาสตายก่อนจะได้ความลับ’

จริงอยู่ณราตรีอาจใจกล้าบ้าบิ่นมาตั้งแต่เด็ก ดูจากที่เธอกล้ากระโดดเข้าตบหัวเพื่อนผู้ชายซึ่งมารังแกเขาก็พอจะเดาได้ เขาคิดว่าเธอน่าจะกล้าเสี่ยงในเรื่องที่คิดว่าสู้ไหวเท่านั้น

‘อาจมีใครดอดเข้ามาส่งเธอตอนกลางคืนก็ได้’ ษมาเถียงด้วยน้ำเสียงดื้อรั้น

ศาศวัตส่ายหน้าระอาใจ แก้ต่างให้ณราตรีอย่างใจเย็น ‘สภาพร่อแร่แบบนั้นนายก็รู้ว่าไม่ได้เกิดจากการเล่นละครตบตา ไหนจะผื่นแพ้ที่ทำให้เธอทรมานอยู่หลายวันนั่นอีก ถ้าเป็นนาย นายกล้าเสี่ยงโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันแบบนั้นหรือ เสี่ยงโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้อะไรติดมือกลับไปหรือเปล่า’

ษมานิ่งไปนิด เถียงไม่ออก สุดท้ายก็โพล่งมาดื้อๆ ‘นายกำลังเข้าข้างผู้หญิงคนนั้น’

‘ฉันไม่ได้เข้าข้าง ฉันแค่ประมวลไปตามเหตุผล คุณไนท์เพิ่งมาถึง เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราสองคนทำงานให้เวชกุล ส่วนต้นไม้ที่หายไป ฉันยังนึกไม่ออกว่าคุณไนท์จะรีบร้อนขุดทำไมในเมื่อเธอยังไม่ได้ไปไหน’ ศาศวัตอธิบาย ‘แล้วเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าต้นไม้ชนิดไหนมีพิษหรือมีประโยชน์ยังไง นายอย่าเพิ่งด่วนสรุปด้วยหลักฐานแค่นี้ดีกว่า’ ชายหนุ่มหรี่ตามองคนตรงหน้า ‘เพราะไม่อย่างนั้น นายก็จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยเหมือนกัน’

ศาศวัตเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน หยิบกระดุมโลหะสีสนิมซึ่งตนเก็บได้มาส่งคืนให้ษมา พลางพลิกปกแจ๊กเก็ตยีนของเพื่อนร่วมงานให้ดู กระดุมเม็ดบนสุดหลุดหายไป ส่วนเม็ดอื่นๆบนสาบเสื้อมีลักษณะเดียวกับที่ศาศวัตส่งให้ไม่มีผิด
ทิ้งระเบิดไว้แล้วศาศวัตก็จากมาโดยไม่เหลียวกลับไปมองด้วยซ้ำว่าษมาทำหน้ายังไง

ศาศวัตไม่ตกใจ ไม่แปลกใจ เมื่อได้อ่านประวัติของณราตรี เนื่องจากเขารู้อยู่แล้ว รู้มานานแล้ว และไม่เคยลืมเลือน...ใครจะลืมผู้หญิงที่เสี่ยงเอาตัวเข้าปกป้องเด็กชายตัวเล็กๆแบบเขาได้ลงคอ

แต่ที่เขาตกใจเพราะอยู่ๆษมาก็รู้เรื่องนี้ขึ้นมา และเดาได้ว่าเรื่องยุ่งยากจะตามมาอีกเป็นขบวน และส่งผลให้ณราตรีต้องไปจากบ้านกลางวนาเร็วขึ้น...เขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย อยากให้เธออยู่ต่อนานอีกนิด...หรือตลอดไปก็ยิ่งดี



“เราต้องคุยกัน” ศาศวัตย้ำคำเดิมพลางปิดประตูตามหลังกักกันเธอไว้กับเขาสองต่อสอง

ณราตรีวางกรอบรูปลงช้าๆ สบตาเขานิ่งๆ

“คุณจำผมได้แล้วสิ”

“ส่วนเธอจำฉันได้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม” น้ำเสียงที่ลอดผ่านริมฝีปากอิ่มเบาหวิว

ศาศวัตพยักหน้าแทนคำตอบ พลางก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว “จำได้ตั้งแต่วันที่สวนกันตรงหน้าลิฟต์ที่โรงแรม นอกจากขนาดตัวที่โตขึ้นแล้ว คุณไม่เปลี่ยนไปเลยนะไนท์ โดยเฉพาะตาคู่นี้” อุ้งมือแข็งแรงประคองใบหน้าเธอไว้ ปลายนิ้วโป้งทั้งสองข้างลากไล้ผ่านดวงตาคู่สวยเบาๆ ดวงตาที่ปกติฉายแววเฉยเมยคล้ายไม่แยแสต่อโลก แต่ยามมีความรู้สึกใดอัดแน่นอยู่ภายในหน้าต่างหัวใจคู่นี้จะเปิดเผยจนหมดสิ้น

“เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ทำไม...” คำถามนั้นหายเข้าไปในลำคอดื้อๆ พร้อมกับนิ้วเรียวแตะลงบนผิวบริเวณหางตาซึ่งชายหนุ่มรู้ว่ามันมีร่องรอยความ ‘ชรา’ บ่งชัด

ศาศวัตจับมือเธอไว้ มองสบสายตาซึ่งเต็มไปด้วยคำถาม ถึงเวลาแล้วสินะที่เขาต้องบอกเล่าความจริงเกี่ยวกับ ‘โรคประหลาด’ ที่เขาเป็น ชายหนุ่มจูงมือเธอไปยังเก้าอี้หน้าโต๊ะหนังสือพลางกดไหล่เบาๆเป็นการบังคับให้เธอนั่งลง ส่วนเขาหย่อนกายลงบนขอบเตียงซึ่งอยู่ใกล้กัน

“ไนท์ คุณจะรู้สึกอย่างไรหากผมจะบอกว่าผมไม่ได้เด็กกว่าคุณแค่สองปีอย่างที่คุณเข้าใจมาโดยตลอด”

แค่เริ่มต้นณราตรีก็เห็นเค้าลางความซับซ้อนแล้ว แต่มิได้เอ่ยขัด ยังคงนิ่งฟัง คงไม่มีเรื่องใดจะทำให้ประหลาดใจไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว

“ผมอายุน้อยกว่าคุณสี่ปี”

“สี่ปี” ณราตรีครางอย่างไม่อยากเชื่อ

ศาศวัตยืนยันหนักแน่น ไม่มีวี่แววล้อเล่น “ใช่ สี่ปี ผมเรียนเร็วจึงเป็นเด็ก ม.๑ ที่ตัวเล็กกว่าใคร” เขายิ้มเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ ดวงตายาวรีเปล่งประกายความสุขยามย้อนรำลึกถึงวันเก่าก่อน “ผมไม่เคยลืมรุ่นพี่คนเก่งที่กล้ากระโดดตบหัวเพื่อนผู้ชายตัวโตที่มารังแกผม เธอดูเท่มาก แต่ผมไม่คิดว่าผู้ชายคนนั้นจะกล้าหันมาสวนกลับแรงๆแบบนั้น...ผมเสียใจที่ผมตัวเล็กเกินกว่าจะปกป้องเธอได้”

แววตายามมองเธอแสดงความขอลุแก่โทษ ณราตรีหลับตาคลึงขมับ ถ้ามียาดมยาหม่องเธอก็คงควักล้วงมาถูทาด้วย เรื่องราวจากปากชายหนุ่มลบเลือนภาพศาศวัตที่เธอรู้จักมาหลายวันจนแทบหมดสิ้น...อย่างนี้นี่เล่าเขาถึงพูดให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้งว่าเขายังเด็กอยู่ และบางครั้งยังเผลอแสดงนิสัยเด็กๆออกมาให้เห็น

“พอคุณจบ ม.๓ แล้วไปต่อโรงเรียนใหม่ ผมก็ตามไปสอบเข้าที่นั่น”

“พอเถอะ” ณราตรีขัดขึ้นพร้อมกับพรวดพราดลุกขึ้นยืน ความจริงบางเรื่องไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ถ้ามันทำให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจและสร้างรอยกระดำกระด่างให้ความรู้สึกงดงามซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน เธอยังกำซาบความหวานหอมได้ไม่จุใจเลย

“ฉันไม่อยากฟังแล้ว” ณราตรีเสียงแข็ง ก่อนก้าวเร็วๆไปยังประตูห้อง ทว่าคนตัวโตไวกว่าขยับขาไม่กี่ครั้งก็เข้าถึงตัว รั้งแขนเธอไว้ก่อน

“ผมอยากให้คุณฟังนะไนท์” เขาใช้เสียงดังขึ้น เหมือนต้องการปรามไม่ให้เธอวิ่งหนีความจริง

ฟัง...เพื่อตอกย้ำว่าเขาเด็กกว่าเธอตั้งสี่ปีนะหรือ...อายุอาจเป็นเพียงตัวเลข อาจไม่สำคัญสำหรับใครอื่น แต่มันสำคัญมากในความรู้สึกของเธอ ถึงหน้าเขาจะแก่ล้ำอายุจริงไปแล้วก็เถอะ

“ผมขอร้องนะไนท์ ฟังผมก่อน” เสียงทุ้มเว้าวอน แววตาชวนสงสาร

“แล้วคุณสามารถรับผิดชอบความรู้สึกของฉันหลังจากฟังจบได้ไหมล่ะ” ณราตรีย้อนเสียงขื่น ทำไมต้องบังคับให้ฟังในสิ่งที่เธอรู้แล้ว...เพียงยังไม่อยากยอมรับ

“ทำไมล่ะไนท์ มันแย่มากหรือที่รู้ว่าผมเด็กกว่าคุณน่ะ คนอื่นเขาห่างกันห้าปีสิบปียังคบหากันได้”

“สำหรับคนอื่นฉันไม่รู้ แต่สำหรับฉัน...มันแย่มาก” เธอใช้ถ้อยคำรุนแรงเกินไปใช่ไหม ดวงตาที่เคยสดใสของเขาจึงหม่นวูบ เงื้อมเงาของความผิดหวังพาดผ่านอย่างเห็นได้ชัด

ชีวิตที่ผ่านมา ณราตรีปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่ ‘หลุดกรอบ’ ซึ่งเธอขีดล้อมไว้อย่างชัดเจน ไม่ว่าเธอจะชอบสิ่งนั้นมากเพียงใดก็ตาม เธอเคยปฏิเสธงานออกแบบที่เรียกตัวเธอไปทำงาน แม้ผลตอบแทนน่าสนใจและเป็นงานที่เธอรัก เพียงเพราะที่นั่นไม่ใช่เนเชอรัลเฮลท์ที่เธอรักและใฝ่ฝัน

เธอตีกรอบความต้องการในเรื่องต่างๆของตนเองอย่างชัดเจน และเมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจเลือก เธอก็เลือกเดินอยู่ในกรอบของตน ฟังเหตุผลของสมอง โดยไม่ใส่ใจคำเรียกร้องของหัวใจ เธอเชิดหน้ายิ้มในฐานะ ‘ผู้ชนะ’ เสมอ

แม้ใครจะมองว่าเป็นความคิดที่คับแคบ โง่เขลา และไม่ยอมเปิดโอกาสให้ตัวเองเรียนรู้สิ่งใหม่ก็ตาม เสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นก็อยู่นอกกรอบความสนใจของเธอเหมือนกัน

นี่เป็นอีกครั้งที่ณราตรีต้องตัดสินใจ และมีแนวโน้มสูงว่าเธอจะทำตามที่สมองสั่ง ไม่เช่นนั้นคงไม่โพล่งขึ้นมาว่า “ฉันจะไปจากที่นี่อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้ต้องฟังอะไรอีก”

ไปจากที่นี่และลืมเรื่องราวต่างๆซะ ทั้งเรื่องในอดีตสมัยเรียนระหว่างเธอกับเขา รวมทั้งเหตุการณ์ต่างๆ ณ บ้านกลางวนาแห่งนี้ ไม่ว่ามันจะหวานซึ้งตรึงใจเพียงใดก็ตาม

“คุณขี้ขลาดเรื่องความรักใช่ไหม” คำถามซื่อๆง่ายๆของเขาเหมือนไม้ท่อนใหญ่ฟาดลงมากลางแสกหน้า

ณราตรียืนอึ้งไปชั่วขณะ มือเยียบเย็นของศาศวัตซึ่งกำข้อมือเธอไว้กระชับแน่นขึ้นดุจกลัวว่าเธอจะสะบัดหลุดแล้ววิ่งหนีไป

“คุณก่อกำแพงขวางผมไว้ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก...เด็กกว่าคุณ แต่พอมาเจอกันอีกครั้งผมเปลี่ยนไปจนคุณจำผมไม่ได้ มันจึงไม่มีกำแพงระหว่างเรา แล้วคุณก็เปิดใจยอมรับความรู้สึกดีๆที่ผมมีต่อคุณ” ไม้ท่อนเดิมซึ่งมีชื่อว่าความจริงยังฟาดกระหน่ำลงมาไม่ยั้ง โดยคนฟาดไม่เปิดโอกาสให้เธอดิ้นหนีเอาตัวรอดเลย

“พอคุณรู้ว่าผมเป็นคนเดียวกับเด็กอ่อนแอตัวกระจ้อยร่อย เป็นคนเดียวกับเด็กน้อยที่หมั่นส่งช็อกโกแลตให้คุณทุกวัน โดยคุณไม่เคยใส่ใจจะรับไว้ คุณไม่สนใจด้วยซ้ำว่าผมชื่ออะไร เป็นใครมาจากไหน”

“เป็นความผิดของฉันหรือไงเล่า คนเรามีสิทธิ์จะคิด มีสิทธิ์จะรู้สึกไม่ใช่หรือ” เธอย้อนเสียงสูง

“ไม่ คุณไม่ผิด คนเรามีสิทธิ์คิดและรู้สึกต่างกันอย่างที่คุณบอกนั่นแหละ ผมปลื้มคุณก็ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องปลื้มผม ผมสนใจเรื่องราวของคุณก็ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องสนใจเรื่องราวของผม แต่นั่นมันเมื่อก่อน ตอนที่ผมยังขี้ขลาดและเด็กเกินกว่าจะมุ่งเดินหน้าเรื่องหัวใจ ผมยังมีหน้าที่เรียนหนังสือและทำความคิดฝันของตัวเองให้เป็นจริง แต่ไม่ว่าผมจะทุ่มเทกับการเรียนมากแค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้ผมลืมคุณเลย...”

ณราตรีบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรกับคำบอกเล่าตรงไปตรงมา มันก้ำกึ่งระหว่างดีใจกับสงสาร

“คุณรู้ไหมผมดีใจแค่ไหนที่เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าคุณจะมาโผล่ที่นี่ ในวันที่ผมโตแล้วและพร้อมจะทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ ผมไม่ยอมให้คุณมาปิดประตูใส่หน้าผมเพียงแค่รู้ว่าผมเป็นคนเดียวกับคนที่คุณเคยปฏิเสธมาก่อนหรอกนะ”

ณราตรีเบือนหน้าหนีไปยังหน้าต่างห้องซึ่งเปิดกว้าง ม่านราตรีสีดำมืดโรยตัวลงมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ลมหนาวพัดพรูจนม่านระบัดไหว ศาศวัตคงรู้กระมังว่าเธอเจตนาหลบตา นิ้วแข็งแรงจึงจับปลายคางเธอให้หันมาเผชิญหน้าอีกครั้ง “มองผมสิไนท์ นอกจากอายุที่คุณมองมันไม่เห็นแล้ว มีตรงไหนบ้างที่ผมเด็กกว่าคุณ ผมงอแงเอาแต่ใจหรือก็เปล่า จริงอยู่ ในอดีตผมอ่อนแอดูแลคุณไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนก่อนแล้ว ผมปกป้องดูแลคุณได้ และผมไม่มีทางปล่อยให้ใครมาทำร้ายคุณต่อหน้าต่อตาได้อีกเด็ดขาด”

แววตาจริงใจเมื่อประกอบคำพูดจริงจังตรึงณราตรีไว้ไม่ให้ขยับไปไหน สิ่งที่ได้ยินไม่เพียงติดอยู่ที่หู มันกระแทกเข้าสู่หัวใจอย่างจัง
“ทำไมต้องตั้งท่าเหมือนจะวิ่งหนี ทั้งที่ใจเราตรงกันด้วยเล่า” เสียงทุ้มทอดอ่อนแฝงแววตัดพ้อ

“เธอรู้ได้ยังไง” หลุดปากออกไปแล้ว ณราตรีจึงรู้ว่าเป็นคำถามที่ฟังดูโง่เง่าเหลือเกิน เขาอ่านความรู้สึกเธอออกชัดเจนราวกับอ่านหนังสือเล่มโปรด เรื่องแค่นี้มีหรือที่เขาจะไม่รู้

“ผมรู้ตั้งแต่ตอนที่...” คำพูดถูกทิ้งไว้ครึ่งๆกลางๆ ตามติดด้วยริมฝีปากอุ่นฉกวูบลงมาบนกลีบปากนุ่มดุจผีเสื้อหนุ่มผู้หิวกระหายโฉบลงเกลือกกลั้วดูดชิมความหอมหวานจากเกสรดอกไม้ ทั้งปรนเปรอและเรียกร้องจนหญิงสาวแทบสำลักลมหายใจตัวเอง

สัมผัสที่เขามอบให้โดยไม่ทันตั้งตัวนั้นทำให้เลือดในกายณราตรีฉีดพล่าน เขารุกรานต่อเนื่องราวกับจะเอาคืนให้สาสมกับที่เธอทำลายความรู้สึกเขาด้วยคำพูดเมื่อครู่

ประตูหัวใจซึ่งเธอพยายามจะปิดกั้นถูกดุนดันจนเปิดออก ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในถาโถมออกมาราวกับลาวาใต้ภูเขาไฟยามทะลักทลายออกจากปล่อง ผลักดันให้เธอตอบสนองเขาอย่างเต็มอกเต็มใจ คืนกลับไปดังเช่นรับมา อยากให้เขารู้สึกปั่นป่วน หวามไหว รัญจวนใจเหมือนที่เธอกำลังประสบ ยิ่งให้ก็ยิ่งได้รับ ยิ่งคืนกลับก็ยิ่งได้มาเหมือนไม่มีวันหมดสิ้น ความเร่าร้อนทวีตามแรงอารมณ์ปรารถนาที่ถูกปลุกเร้าให้คุโชน

ผีเสื้อหนุ่มโผนทะยานจากริมฝีปากไปยังเปลือกตาที่หลับพริ้ม ลากไล้ลงมาตามผิวแก้มนุ่มเนียน โฉบชิมความหวานจากริมฝีปากอย่างยั่วเย้าก่อนจะไล่เลยลงมายังคางมน ระเรื่อยซุกไซ้ความหอมกรุ่นจากซอกคอ และเล็มไปตามรอยแผลเป็นอัปลักษณ์ซึ่งพาดขวางลำคอระหงอย่างไม่รังเกียจ

ลำแขนกลมกลึงโอบกอดเขาไว้แน่น ดวงหน้าคมสวยแดงเรื่อแหงนเงย ชายหนุ่มสอดปลายนิ้วเข้าไปในเรือนผมหนานุ่มประคองศีรษะได้รูปให้รับสัมผัสจากเขา เสียงครางเบาๆคล้ายพึงพอใจดึงให้ชายหนุ่มวกกลับมายังริมฝีปากอิ่มซึ่งแย้มเผยอรอการเติมเต็มไม่รู้จบ

จากกลางห้องมาถึงเตียงนอนได้อย่างไรณราตรีไม่รู้ ครั้นแผ่นหลัง ‘เปล่าเปลือย’ แตะที่นอนนุ่ม ความรู้สึกภายในถูกปลุกเร้าจนปั่นป่วนยากแก่การควบคุม ณ ขณะหนึ่ง หญิงสาวก็ถามหัวใจตัวเองว่าควรหยุดแค่นี้หรือไปต่อ ทว่าร่างกายกลับไม่ยอมรับรู้สิ่งใด มันโลดแล่นไปตามสัมผัสที่อีกฝ่ายปรนเปรอ ดังเรือลำน้อยที่ผกโผนไปตามยอดคลื่นในทะเลคลั่ง ทุกแห่งที่ผีเสื้อหนุ่มโบยบินผ่าน ทิ้งรอยร้อนเร่าบนผิวเธอเป็นทางไล่ต่ำระเรื่อยลงไปทีละนิด

กลิ่นดอกราตรีประหลาดนั่นใช่ไหมที่ฟั่นเกลียวมากับสายลมยามค่ำซึ่งพรูผ่านช่องหน้าต่าง กระตุ้นเลือดในกายให้ฉีดพล่านรุนแรง

สายลมพรู กรูกลิ่น หอมเย้ายวน
กระตุ้นเร้า จิตรัญจวน สิเน่หา
สองกายร่วม บรรเลงรัก ร้อนอุรา
ละโลดลิ่ว เริงร่า ในราตรี

หญิงสาวหลับตาลง ปิดการรับรู้ทางสายตา ปล่อยกายใจให้เลื่อนไหลไปกับอารมณ์หวามที่หลายครั้งเหมือนร่างเธอจะลอยลิ่วจนฉิวเฉียดดวงดาวพริบพรายบนท้องฟ้า หลายคราคล้ายถูกดึงให้จมดิ่งลงท้องทะเลแปรปรวนจนแทบสำลัก เนื้อตัวเครียดเกร็ง ลมหายใจหอบกระเส่า แต่จะทรมานสักนิดก็หาไม่ กลับสร้างความหฤหรรษ์รัญจวนชวนหลงใหลยั่วเย้าให้โลดลิ่วไปจนสุดทาง

'ระวังให้ดี สตรีผู้มีชะตาผูกพันจะพรากอายุเจ้าให้สั้นลง'

คำทำนายของเยาวนะผุดขึ้นในหัว ร่างแกร่งเกร็งก็ชะงักไปชั่วเสี้ยววินาที ทว่าในยามพายุพิศวาสโหมกระหน่ำเช่นนี้ ใครเล่าจะฉุดรั้งนาวาที่กำลังโลดแล่นไปตามกระแสคลื่นลมไว้ได้

เสียงครางต่ำลึกในลำคอดังอยู่ข้างหูพร้อมกับความรู้สึกที่เขม็งเกลียวเต็มที่ถึงจุดระเบิดพร่าง ณราตรีเกือบหลุดเสียงหวีดร้องออกมาในนาทีนั้น ปลายเล็บกดจิกแผ่นหลังกว้างไว้แน่นเมื่อร่างกายเหมือนถูกโยนขึ้นลอยคว้างกลางอากาศ หมดสิ้นความสงสัยแล้วว่าปลายทางสายนี้เป็นเช่นไร

วินาทีนั้นเอง...ณราตรีตระหนักชัดว่าความผูกพันก่อเกิดสมบูรณ์แล้วทั้งร่างกายและจิตใจ!
ริมฝีปากร้อนๆประทับลงบนหน้าผากชื้นเหงื่อ ณราตรีเปิดตาขึ้นช้าๆ ใบหน้าที่อยู่ในระยะประชิดยังแดงเรื่อด้วยอารมณ์ที่คงยังไม่มอดดับดี รอยยิ้มของเขางดงามกว่าครั้งไหนๆ เธอยิ้มตอบ และรอยยิ้มนั้นก็ถูกเขายึดครองด้วยริมฝีปากบาง มอบจูบหนักหน่วงเนิ่นนานกว่าจะถอนริมฝีปากออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์

ชายหนุ่มพลิกกายลงนอนตะแคง ดึงเธอให้หันมาเผชิญหน้า อุทิศแขนให้หนุนแทนหมอนพร้อมกับกอดไว้หลวมๆ ดวงตายาวรีล้อมรอบด้วยแพขนตางอนงามจนน่าอิจฉาฉายแววหวานตลอดเวลาที่ทอดมองเธอ มองอย่างรักใคร่ หวงแหน และพร้อมจะปกป้อง

“เห็นหรือยังว่าอายุไม่สำคัญเลย” ชายหนุ่มกระเซ้าพลางส่งสายตากรุ้มกริ่ม

ณราตรียิ้มกลบความขัดเขิน แก้มร้อนวูบวาบไปหมด ล่วงเลยมาไกลขนาดนี้แล้ว จะปฏิเสธความต้องการของหัวใจไปไย อายุเท่าไรก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ต่อให้เขาอยู่นอกกรอบเธอก็พร้อมจะก้าวออกไปหา ปล่อยให้เขาจับจูงพาเดินไปด้วยกัน

ณราตรียกมือขึ้นลูบใบหน้าชายหนุ่มแผ่วเบา จากหน้าผากลากผ่านริ้วรอยบริเวณหางตาลงมายังร่องแก้ม

“แล้วทำไมอยู่ๆเธอถึงได้ดู...”

“แก่” เขาต่อให้ก่อนที่เธอจะเอ่ยจบ

คนสงสัยพยักหน้า ศาศวัตผ่อนลมหายใจแผ่วเบา คล้ายไม่รู้จะเริ่มเล่าอย่างไรดี




‘แม่ครับ แม่’ เขาเรียกซ้ำๆราวกับคนเสียสติเมื่อชีพจรในร่างมารดานิ่งสนิทเช่นเดียวกับลมหายใจ แทบไม่เหลือความหวังว่าท่านจะยังมีชีวิต
แม่บ้านสูงวัยวิ่งตามมา หน้าตาเลิกลั่ก ‘เกิดอะไรขึ้นคะคุณหนึ่ง’

‘แม่จมน้ำในสระ’ เขาเอ่ยเสียงสั่น ไม่กล้าบอกความจริงว่าธารทิพย์เสียชีวิตแล้ว ‘ป้าชมโทร.ตามรถโรงพยาบาล โทร.หาคุณพ่อที’ สติอารมณ์ที่พยายามประคับประคองไว้ทำให้เขาสั่งออกไปได้เพียงแค่นั้น ร่างตุ้ยนุ้ยของอีกฝ่ายละล้าละลังอยู่ครู่ จึงวิ่งตุ้บตั้บเข้าไปในบ้าน

แม้รู้ว่าคนตายไม่อาจฟื้นคืน แต่ศาศวัตก็ยังพยายาม เขาจับร่างมารดาให้นอนราบ นวดหัวใจตามหลักการปฐมพยาบาลที่เคยฝึกมา สลับกับการผายปอดเป็นระยะ ไม่เสียเวลาแม้สักวินาทีเอาน้ำออกจากท้อง เพราะรู้ว่าวิธีนั้นมันไร้ประโยชน์!

ทุกครั้งที่เป่าลมเข้าไปในโพรงปาก ใจเขาเต้นระทึก พร่ำภาวนาซ้ำๆขอให้มีปาฏิหาริย์ ขอให้แม่กลับมา กี่ครั้งที่นวดหัวใจ กี่คราวที่ผายปอดศาศวัตก็จำไม่ได้ ความหวังซึ่งริบหรี่ราวกับเปลวเทียนต้องลมจวนเจียนจะดับเต็มที

แม่กลับมา...อย่าเพิ่งทิ้งผมไป...ใจเต้นระรัวอ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่พละกำลังในกายเหือดหายคล้ายถูกสูบออกไปเกือบหมด เขารวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือก่อนถ่ายทอดลมเฮือกใหญ่แก่ร่างไร้วิญญาณ ใจสั่นหวิวปานจะหยุดเต้น นัยน์ตาพร่าเลือน

ภาพสุดท้ายที่ติดตรึงในความทรงจำคือมารดาสำลักน้ำออกทางปากและจมูก กระอักกระไอได้ไม่ต่างจากคนที่ยังมีลมหายใจ แม่บ้านซึ่งออกมาอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ตะโกนลั่นอยู่ใกล้ๆ

‘คุณผู้หญิงฟื้นแล้ว คุณผู้หญิงฟื้นแล้ว อ้าว...คุณหนึ่ง เป็นอะไรไปคะ คุณหนึ่ง...’

เขาหมดแรงทรงกาย ทรุดลงไปราวกับใบไม้ร่วง รับรู้ถึงท่อนแขนอวบอูมของแม่บ้านที่ช้อนเข้ามาทันท่วงทีก่อนศีรษะจะกระแทกพื้น สติดับวูบไปในตอนนั้นเอง

รู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งในโรงพยาบาล ลืมตาขึ้นมาก็พบคนรับใช้เก่าแก่นั่งเท้าคางทำหน้าหมองอยู่บนเก้าอี้ตัวนุ่มสำหรับญาติที่มาเฝ้าไข้ ครั้นเขาขยับตัวด้วยความเมื่อยขบนางก็กระวีกระวาดลุกมายังเตียง

‘แม่เป็นยังไงบ้าง’ เสียงเขาแหบแห้งราวกับคนขาดน้ำมาหลายวัน ได้ยินแล้วเขาเองยังตกใจ อีกฝ่ายหยิบแก้วรินน้ำปักหลอดมายื่นตรงหน้า ช่วยประคองศีรษะขึ้นเพื่อให้เขาดื่มได้สะดวก น้ำเสียงที่ตอบเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีที่ยังไม่จางคลาย

‘คุณผู้หญิงปลอดภัยดีค่ะ’

ฟังคำแม่บ้านสูงวัยแล้ว ชายหนุ่มก็ทิ้งตัวลงนอนด้วยความโล่งใจ แปลกใจนิดๆที่ธารทิพย์ปลอดภัยแล้ว แต่แม่บ้านกลับยังทำหน้าเหมือนเศร้าตรมอมทุกข์อยู่

ยังไม่ทันถาม คนที่คิดถึงก็โผล่เข้ามาพอดี ธารทิพย์นั่งรถเข็นมาพร้อมสายน้ำเกลือโดยมีบุลินทร์เป็นคนเข็น ดวงหน้าอวบอูมของมารดาระเรื่อสีเลือดไม่ซีดเซียวแบบที่เขาเห็นก่อนหมดสติ

‘หนึ่ง ฟื้นแล้วหรือลูก’ ธารทิพย์เอ่ยเสียงเครือ น้ำตาคลอด้วยความดีใจ บุลินทร์เองยกนิ้วป้ายหัวตาเหมือนกัน ทั้งสองพากันยิ้มเข้ามายังเตียงคนเจ็บ

‘ทำไมแม่ต้องร้องไห้ด้วยครับ ผมก็แค่ตกใจจนเป็นลม’ เขายิ้มขันกับท่าทางของบิดามารดาที่ทำราวกับว่าเขาเพิ่งฟื้นจากการบาดเจ็บสาหัส เขายิ้มกว้างจนเจ็บริมฝีปากเลยหรือเนี่ย ปลายนิ้วแตะริมฝีปากตนเองเบาๆ

แค่เป็นลมประเดี๋ยวประด๋าวทำไมจึงปากแห้งแตกเป็นสะเก็ดขนาดนี้ ชายหนุ่มเริ่มเอะใจ เขาเป็นลมไปแค่ไม่กี่นาที แต่ทำไมปากแห้งเหมือนคนขาดน้ำเป็นวันๆ แถมมีถุงน้ำเกลือแขวนอยู่ที่เสาข้างเตียง ต่อสายมาเสียบอยู่บนหลังมืออีกด้วย

‘ใครบอกว่าแค่เป็นลม หนึ่งหมดสติไปตั้งสองวันสองคืนเชียวนะ’ ธารทิพย์ยื่นมืออันสั่นเทามาลูบแก้มบุตรชายแผ่วเบา ทะนุถนอม แววตาเธอหดหู่จนชายหนุ่มใจหาย

‘เกิดอะไรขึ้นกับผมหรือครับแม่’

ธารทิพย์ส่ายหน้าน้ำตาปริ่มเจียนจะหยาดไหล ครั้นเลื่อนสายตาไปยังบุลินทร์ ใบหน้าคมคายสมวัยก็แบกความหนักใจไว้เต็มเปี่ยม

‘แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน’ หญิงกลางคนดึงกระดาษทิชชูบนโต๊ะวางของข้างเตียงมาซับน้ำตา แล้วทบทวนเหตุการณ์ให้เขาฟัง ‘วันนั้นแม่ลงว่าย
น้ำในสระแล้วเป็นตะคริวจมน้ำหมดสติไป พอฟื้นขึ้นมามีสติครบถ้วนก็ถามหาลูก พ่อพาเข้ามาเยี่ยมแม่ก็เห็นลูกเป็นแบบนี้แล้ว’

ฝ่ามือนุ่มลูบไล้แก้มเขาราวกับอาลัยอาวรณ์บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ๆก็หายไป

‘แบบนี้’ เสียงนุ่มดังกว่ากระซิบนิดเดียว ‘แบบไหนครับ’

คำตอบของธารทิพย์คือการส่ายหน้า น้ำตาไหลปริ่มจนต้องซับแล้วซับอีก

ศาศวัตรเพิ่งรู้สาเหตุที่ทำให้บิดามารดาทุกข์ใจหนักหนาก็ตอนรับกระจกจากหมอมาส่องดูหน้าตัวเอง พลันที่พบภาพสะท้อน ชายหนุ่มตกใจจนพูดไม่ออก แม้ว่าคิ้ว ตา จมูก ปากจะยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม้ได้แหว่งวิ่นขาดหายไปไหน แต่ริ้วรอยร่องลึกเด่นชัดอันเพิ่มขึ้นมามากมายในเวลาแค่สองวันส่งผลให้เขาดู ‘แก่’ ลงสักสิบปีเห็นจะได้ ใช่เขาแน่หรือ...ศาศวัตรำพึงอยู่ในอก

ชายหนุ่มยกมือลูบหน้าราวกับจะป่ายปัดริ้วรอยก่อนวัยออกไปให้พ้น จึงแลเห็นปานขาวรูปผีเสื้อบนนิ้วนางข้างซ้าย เขาคิดไปเองหรือเปล่าว่ามันจางลง

นายแพทย์ผู้ตรวจรักษาวินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคหน้าแก่ก่อนวัย พร้อมกับยกตัวอย่างเหวียนถิเฟืองสตรีชาวเวียดนามอายุ ๒๖ ปีที่กินอาหารทะเลเข้าไปแล้วเกิดคันบนใบหน้า จึงไปพบแพทย์และได้รับยามากินเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ นอกจากอาการไม่ดีขึ้นแล้วผิวหนังยังค่อยๆเหี่ยวย่นจนมีสภาพใบหน้าราวกับคนแก่อายุแปดสิบ

นอกจากเหวียนถิเฟืองยังมีหญิงสาวชาวจีนแซ่หู ที่ใบหน้าแก่ลงเรื่อยๆหลังจากคลอดลูก จนอายุ ๒๘ ปีก็มีใบหน้าไม่ต่างจากหญิงชรา
ศาศวัตทราบข่าวคราวเหล่านั้นมาก่อน แต่สองสาวนั่นค่อยๆแก่ลงทีละน้อย ไม่ใช่หลับไปสองวันสองคืนพอฟื้นขึ้นมาหน้าก็แก่ไปสิบปีแบบเขา หรือว่านี่เป็นเพียงแค่อาการเริ่มแรก

‘แล้วผมจะแก่ลงไปอีกมากแค่ไหน’ เขาถามแพทย์เจ้าของไข้ ความกังวลปกคลุมจิตใจไม่ต่างจากเมฆดำทะมึนบนฟากฟ้ากลางฤดูฝน

‘พูดจริงๆนะครับ...ผมเองก็ตอบไม่ได้ ต้องรอดูอาการกันต่อไป’

คำตอบจากปากนายแพทย์วัยกลางคนไม่อาจช่วยให้เขาสบายใจขึ้นเลย



วันต่อมา ศาศวัตได้รับอนุญาตให้กลับบ้านพร้อมธารทิพย์ เมื่อบุลินทร์หมุนพวงมาลัยบังคับรถให้เลี้ยวเข้าหมู่บ้านบุลินธรา ธารทิพย์หันไปบอกสามีว่า

‘เดี๋ยวแวะหาแม่คุณยายเยาวนะหน่อยนะคะคุณ บางทีเรื่องนี้อาจเกี่ยวกับคำทำนายก็ได้’

ศาศวัตซึ่งนั่งอยู่เบาะตอนหลังฉุกใจสงสัยขึ้นมาครามครัน ‘คำทำนายอะไรครับแม่’

พ่อกับแม่สบตากันภายในความเงียบ จากนั้นธารทิพย์หันมายิ้มให้ ‘หนึ่งรอฟังจากปากคุณยายเองดีกว่าจ้ะ’

ศาศวัตรู้จักเยาวนะมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากมารดามักพาเขาไปกราบสักการะพระแม่มีนาคชีเทวีที่บ้านท่านบ่อยครั้ง ชายหนุ่มทราบจากมารดาถึงความเป็นมาที่รู้จักมักคุ้นกับเยาวนะอย่างละเอียด รวมถึงการที่หญิงชราเมตตาตั้งชื่อให้เขาว่าศาศวัตด้วย ส่วนคนตั้งชื่อให้เขาเสียเพราะ กลับเรียกเขาว่า ‘เจ้าผีเสื้อ’ แทน อาจเป็นเพราะปานขาวรูปผีเสื้อบนนิ้วนางข้างซ้ายของเขานี่ละจึงทำให้ได้รับสมญานามเช่นนี้

ชายหนุ่มเก็บความสงสัยเรื่องคำทำนายไว้จนกระทั่งรถจอดนิ่งสนิท เยาวนะยืนรออยู่หน้าประตูรั้วเหมือนทุกคราวยามสองแม่ลูกแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนราวกับรู้ล่วงหน้าว่าจะมีแขกมาเยือน

ในความรู้สึกของศาศวัต เยาวนะดูเป็นคนลึกลับและไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่หากใครได้เข้าใกล้จะสัมผัสได้ถึงกระแสแห่งความเมตตาซึ่งแผ่ซ่านจากรอยยิ้ม น้ำเสียง และแววตา

‘เข้าไปสักการะพระแม่กันก่อน’ เจ้าของบ้านเชื้อเชิญพลางก้าวนำ

ครอบครัวศศิราตามเข้าไปด้วยความสงบ กระทั่งธูปหอมถูกปักลงในกระถางทองเหลืองใบใหญ่เก่าคร่ำคร่าแล้ว ทุกคนน้อมจิตน้อมใจก้มลงกราบแทบพื้นด้วยความเคารพ

‘เราไปนั่งคุยตรงนั้นเถอะ’ เยาวนะชี้ไปยังม้านั่งหินอ่อนใต้ต้นยางอินเดียซึ่งอยู่ไม่ไกล
‘มีเรื่องอะไรที่ผมยังไม่รู้ และควรต้องรู้ครับคุณยาย’ ศาศวัตเรียกเยาวนะว่าคุณยายตามมารดา รอยยิ้มละไมซึ่งเห็นจนคุ้นตานำมาก่อนสิ่งแรก

‘ยายทำนายเจ้าไว้เมื่อแรกเกิด ทำนายไปตามที่จิตรู้...สตรีที่มีชะตาผูกพันจะพรากชีวิตเจ้าให้สั้นลง’ หญิงชราเล่าไปเรื่อยๆ มีกังวานชวนศรัทธาอยู่ในน้ำเสียง นางดึงมือซ้ายเขาไปกุม ไล้นิ้วแผ่วเบาบนรอยปานขาวรูปผีเสื้อพลางพึมพำ ‘ตราบใดผีเสื้อโบยบิน ตราบนั้นชีวิตจะสิ้นไป’

ศาศวัตที่เรียนด้านวิทยาศาสตร์และใช้ชีวิตในประเทศซึ่งมีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสมัยใหม่มาหลายปีมั่นใจว่าเขาไม่เชื่อคำทำนายของเยาวนะ แต่ทำไมทั้งน้ำเสียงและสัมผัสของนางจึงทำให้เขาขนลุกชัน ตัวชาวาบ ดวงตาจับจ้องรอยปานขาวซึ่งติดตัวเขามาตั้งแต่เกิดแทบไม่กะพริบ เขารู้สึกว่ามันจางไปพร้อมใบหน้าใหม่ที่ดูแก่ขึ้นไปสักสิบปี

‘สตรีผู้มีชะตาผูกพันไม่ได้หมายถึงคู่ครองเท่านั้น ยังหมายถึงผู้ให้กำเนิดของเจ้าด้วย’ นางเอ่ยต่อ พลางเบนสายตาจากศาศวัตไปยังธารทิพย์ซึ่งบัดนี้หน้าเผือดสี

‘ทำไมคุณยายไม่เตือน’ คนเป็นแม่คราง ถึงธารทิพย์จะรู้คำทำนายล่วงหน้า เคยหวั่นกลัว ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปยี่สิบกว่าปีและไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น คำทำนายชวนขนลุกก็เริ่มเลือนไปจากความคิด จนกระทั่งเกิดเรื่องครั้งนี้

‘คิดว่าเตือนแล้วเจ้าผีเสื้อจะยอมทำตามอย่างนั้นหรือ ไม่มีลูกคนไหนยอมให้แม่ตายไปต่อหน้าต่อตาหรอก ต่อให้ตายไปแล้วถ้าปลุกให้ฟื้นคืนได้ก็คงทำโดยไม่ลังเล จริงไหม’ ท้ายประโยค เยาวนะหันมาถามศาศวัต รอยยิ้มยังคงแต้มติดใบหน้าราวกับนางล่วงรู้เรื่องราวทุกอย่างแจ่มแจ้ง ทั้งที่ศาศวัตไม่เคยปริปากเล่าเรื่องธารทิพย์หยุดหายใจไปแล้วให้ใครฟังเลย

การนิ่งเงียบของศาศวัตเท่ากับเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย เยาวนะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงดุจเดิม

‘คนที่ตายไปแล้วน่ะคือเจ้า’ หญิงชรายิ้มให้ธารทิพย์ซึ่งหน้าซีดมือสั่นราวกับได้ยินเรื่องราวอันเหลือเชื่อ ‘ตอนเจ้าผีเสื้อช่วยเจ้าขึ้นจากน้ำนั้น สัญญาณชีพของเจ้าไม่หลงเหลืออยู่แล้ว มันดับวูบไปก่อนเจ้าผีเสื้อไปพบด้วยซ้ำ’

‘จริงหรือหนึ่ง’ คนถามขึ้นอย่างงุนงงสงสัยคือบุลินทร์ ชายหนุ่มสบตามารดาและพบว่ามีเครื่องหมายคำถามอยู่เช่นกัน

‘จริงครับ’ เขายอมรับ ‘แต่ผมก็พยายามปฐมพยาบาลอย่างเต็มที่จนแม่ฟื้น’

‘แล้วเจ้าก็สลบไป’ เยาวนะเอ่ยต่อแม่นยำราวกับอยู่ร่วมในเหตุการณ์ ‘ลมหายใจของเจ้าช่วยต่อชีวิตสตรีที่เจ้ามีชะตาผูกพันได้ แต่นั่นหมายความว่าชีวิตเจ้าก็จะลดน้อยถอยลงไปด้วยเช่นกัน เหตุนี้เจ้าจึงมีหน้าตาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างกายและสังขารของเจ้าก็เสื่อมสภาพไปด้วย เคยสังเกตไหม’ นางจับมือเขาแบ ลากนิ้วตามเส้นลายมือเส้นหนึ่งซึ่งจุดเริ่มต้นอยู่กึ่งกลางระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ‘เส้นนี้คือเส้นชีวิต มันเคยลากยาวจรดข้อมือใช่หรือเปล่า’

ศาศวัตมองตาม ไม่เคยรู้ว่าเส้นนั้นเรียกว่าอะไร แต่จำได้ว่ามันเคยยาวลงมาเกือบถึงข้อมือจริง บัดนี้หดหายไปเกือบครึ่ง มืออุ่นของหญิงสูงวัยแนบลงบนแก้มเขาอย่างอ่อนโยน

‘ชีวิตคนเราผ่านการเวียนว่ายตายเกิดมาหลายภพชาติ ย่อมข้องเกี่ยวผูกพันกับคนหลายคน หากเจ้าหวั่นกลัว ก็จงปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่มันเป็น อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของใคร” นางเว้นไปนิด สบตาเขาตรงๆ ‘ระวังให้ดี สตรีผู้มีชะตาผูกพันจะพรากชีวิตเจ้าให้สั้นลง ยามใดผีเสื้อโบยบิน...ยามนั้นชีวิตจะสิ้นไป’

ศาศวัตบอกไม่ได้ว่าเขาเชื่อคำทำนายของเยาวนะหรือเปล่า ทุกอย่างอาจเกิดจากความบังเอิญซึ่งมาประจวบเหมาะกันพอดีก็ได้ คนตายแล้วฟื้นก็มีให้เห็นมาแล้ว คนหน้าแก่ตั้งแต่เด็กก็มีอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร บุลินทร์และธารทิพย์ดูปักใจเชื่ออย่างไม่มีข้อโต้แย้งไปแล้ว

ในขณะที่บิดามารดาตกอยู่ในความกังวล ศาศวัตกลับดีใจอยู่ลึกๆ ถ้าลมหายใจที่มีสามารถต่อชีวิตแด่ผู้ให้กำเนิดได้ เขาไม่สนใจหรอกว่าจะเหลือเวลาอยู่อีกมากน้อยเพียงใด แต่คงต้องใช้เวลาปรับใจให้ยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี่ให้ได้เท่านั้น




“ถ้าเธอไม่สบายใจ ไม่ต้องเล่าก็ได้” เสียงคนในอ้อมกอดดึงชายหนุ่มจากภวังค์ความคิด เพียงสบสายตาเข้าอกเข้าใจนั้น ศาศวัตก็อดดึงมือนุ่มๆซึ่งไล้ผิวแก้มเขาผะแผ่วมาจูบไม่ได้

นาทีแรกที่ศาศวัตมั่นใจว่าณราตรีรู้ความจริงว่าเขากับเด็กน้อยที่เธอเคยปกป้อง และหนุ่มน้อยที่เคยจีบเธอตอนมัธยมปลายเป็นคนเดียวกัน ใจหนึ่งเขายินดี ส่วนอีกใจกลับหวั่นไหวอย่างประหลาด บางทีการทิ้งเรื่องราวต่างๆไว้ในอดีต แล้วปล่อยให้ชีวิตปัจจุบันเดินหน้าไปอย่างที่มันควรเป็นอาจดีกว่าก็ได้ ทว่าความลับไม่มีในโลกไม่ใช่หรือ หากไม่จากกันไปเสียก่อน ช้าหรือเร็วเธอต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดี
ถ้าเธอไม่ได้เป็นผู้ค้นพบความจริง ก็คงเป็นเขานี่แหละที่จะเปิดเผยให้เธอทราบด้วยตัวเอง

“ผมสบายใจที่ได้บอกเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตผมให้คุณรู้ และดีใจด้วยที่คุณสนใจอยากรู้” ชายหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่มใส่ดวงตาคู่โตที่มองเขาอย่างรอคอยคำตอบ

“ผมเป็นโรคหน้าแก่เกินวัย แม้แต่หมอก็ยังไม่ทราบว่าสาเหตุเกิดจากอะไร” เขาเลือกบอกในสิ่งที่ไม่เหลือเชื่อและดูเป็นไปได้ เนื่องจากครึ่งหนึ่งของใจเขาก็เชื่อเช่นนี้เหมือนกัน ส่วนอีกครึ่งนั้นก็คิดว่าเป็นโชคชะตาดังเยาวนะว่า

“ฉันเคยได้ยินว่ามีโรคแบบนี้” ณราตรีนิ่วหน้าครุ่นคิด “แต่ไม่เคยได้ยินว่าคนไทยเป็นนะ”

“อาจจะมีแต่ไม่เป็นข่าวก็ได้ อย่างผมไงล่ะ”

“เธอเป็นมากี่ปีแล้ว...แล้วจะแก่ไปอีกมากแค่ไหน” คำถามซึ่งหลุดจากปากอิ่มสวยนั้นไม่ได้เจือไปด้วยความหวาดกลัวเลย กลับเต็มไปด้วยความห่วงใยเห็นอกเห็นใจมากกว่า

“เป็นมาเกือบสองปีแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแก่ลงไปเรื่อยๆ หรือหยุดแค่นี้” ชายหนุ่มตอบตามจริง เขาเองก็กังวลอยู่เหมือนกัน

“ทำศัลยกรรมได้ไหม” เธอช่วยคิดหาวิธี

“ผมเคยคิดเหมือนกัน แต่ไม่ได้ทำ” ศาศวัตสารภาพ

ณราตรีหลุดเสียงหัวเราะออกมาพรืดใหญ่

เด็กหน้าแก่ทำหน้าง้ำ เขายอมรับว่าสูญเสียความมั่นใจกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่เกิดขึ้นจนคิดจะทำศัลยกรรม ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ เพราะรอดูว่าความเปลี่ยนแปลงจะหยุดอยู่แค่นี้หรือเพิ่มขึ้นไปอีก ระหว่างรอดูอาการเขาจึงมาหลบอยู่บ้านกลางวนาและพบต้นราตรีกลายพันธุ์ซึ่งเขาผิดสังเกตตั้งแต่กลิ่นหอมที่ชวนให้สดชื่นแล้ว จึงลองคิดค้นวิจัยโดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเวชกุลซึ่งนอกจากเรื่องเงินทุนแล้ว เวชกุลยังส่งษมาซึ่งเป็นนักวิจัยของบริษัทมาร่วมทำงานด้วย

งานวิจัยครั้งนี้จำเป็นต้องออกมาทำนอกห้องแล็ปของบริษัท เนื่องจากต้นราตรีกลายพันธุ์ที่ใช้วิจัยไม่อาจขยายพันธุ์หรือโยกย้ายไปที่อื่นได้เลย ดร.กฤษณะ ฟันเฟืองสำคัญของเวชกุลพยายามแล้ว และล้มเหลวทุกคราวไป

“ถ้าผมแก่ลงเรื่อยๆ แก่จนหงำเหงือกเหมือนคนอายุแปดสิบ เก้าสิบ คุณจะรังเกียจไหม”

ชายหนุ่มถามเรื่องที่ตนแอบหวั่นใจ คนถูกถามส่ายหน้าทันทีโดยไม่เสียเวลาคิด

“ถ้าความรู้สึกของเรายังตรงกัน และเธอยังดีกับฉันแบบนี้ ฉันไม่มีทางรังเกียจไม่ว่าเธอจะแก่หง่อมสักแค่ไหน” หญิงสาวยิ้มเจ้าเล่ห์ “ดีเสียอีก จะได้ไม่มีใครมามองคิ้วเข้มๆ ตาสวยๆ จมูกโด่งๆ ปากแดงๆของเธอ” นิ้วเรียวไล่ไปตามคิ้วดกหนา ดวงตายาวรี จมูกโด่งเป็นสันตรง และหยุดนิ่งที่ริมฝีปากบางแดงเรื่อ

ชายหนุ่มยึดมือแสนซนนั้นไว้ ก่อนที่อารมณ์เขาจะเตลิดก่อนได้คุยเรื่องสำคัญ

“คุณไม่เสียใจใช่ไหมกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้” ชายหนุ่มไล้นิ้วโป้งไปบนริมฝีปากอิ่ม

“ไม่เลย” ณราตรีตอบง่ายดายโดยไม่ต้องหยุดคิด

ทว่าคนฟังกลับขมวดคิ้วจนเกิดร่องลึกระหว่างหัวคิ้วทั้งสองข้าง เอ่ยเสียงดุ “หวังว่า...คุณคงไม่คิดว่านี่เป็นความสัมพันธ์เพียงฉาบฉวยชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นนะ เพราะผมคิดจริงจัง และไม่มีทางปล่อยคุณไปแน่”

“แล้วเธอคิดว่าฉันจะยอมปล่อยเธอไปอย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวย้อนถาม สีหน้าท่าทางจริงจัง “ขอให้ฉันกลับไปจัดการชีวิตตัวเองให้เข้าที่เข้าทางก่อนนะ อีกอย่างคุณษมาไม่ไว้ใจฉัน ฉันไม่อยากให้เธอผิดใจกับเพื่อนเพราะฉัน”

“หมอนั่นเป็นคนมีเหตุผล ปล่อยให้คิดสักพัก เดี๋ยวก็เข้าใจเอง” ศาศวัตมั่นใจว่ารู้นิสัยษมาดี

“ยังไงฉันก็ต้องกลับ ยังมีเรื่องทางบ้านที่ฉันปล่อยค้างคาไว้อย่างคนไร้ความรับผิดชอบ” ณราตรีเอ่ยถึงการกระทำของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ปราศจากท่าทีประชดประชัน

“คุณจะไปเมื่อไหร่” ศาศวัตใจหาย

“คิดว่าน่าจะเป็นพรุ่งนี้ ฉันไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว รีบกลับไปเคลียร์เรื่องที่บ้านให้เรียบร้อย จะได้กลับมาเคลียร์เรื่องของเรา”

ชายหนุ่มยิ้มออก “งั้นผมจะไปส่งคุณเอง ผมอยากพาคุณไปอวดใครบางคนด้วย”

“ใครคะ”

ภาพธารทิพย์และบุลินทร์ชัดเจนในใจ หมายใจว่าความสัมพันธ์ซึ่งถูกถักทอก่อสานขึ้นอย่างงดงามไนวันนี้ ต้องได้รับการจัดการให้
เรียบร้อยถูกต้อง กระนั้นชายหนุ่มกลับส่ายหน้าไม่ยอมบอก “อดใจไว้...เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เอง”

“ฉันอดใจไม่อยู่น่ะสิ” นัยน์ตาคมหวานซึ่งอยู่ห่างแค่คืบช้อนขึ้นมองเขา

ศาศวัตยิ้มและก้มลงไปกระซิบชิดริมฝีปากอิ่ม

“ผมก็อดใจไม่อยู่เหมือนกัน”

ร่างแกร่งขยับแนบชิดกายเปลือยเปล่าของคนในอ้อมแขน เพลงรักบทใหม่เริ่มบรรเลงอีกครั้ง

เจ้าดอกไม้ แสนงาม สะท้านไหว
ยามผีเสื้อ ซอนไซร้ มิหน่ายหนี
แย้มรับไว้ ด้วยใจรัก และภักดี
เปลี่ยนราตรี มืดดำ ให้พร่างพราว

จากท่วงทำนองหวานละมุนค่อยๆเร่งร้อนขึ้นตามเพลิงปรารถนาอันโชนฉานอยู่ในใจสองดวง ยิ่งดึก ดอกราตรียิ่งส่งกลิ่นรุนแรงผสานมากับลมหนาวไม่ขาดสาย โอบล้อมอยู่รอบกายหนุ่มสาวซึ่งร่วมกันบรรเลงเพลงรักบทแล้วบทเล่า บางครั้งเร่าร้อน บางคราอ่อนหวาน แล้วแต่คลื่นอารมณ์จะโหมซัดพัดพาไปทิศทางใด...จวบจนรุ่งสาง กลิ่นหอมราโรย ร่างสูงจึงพลิกกายลงจากร่างนุ่มชื้นเหงื่อแล้วดึงมากอดแนบอกอย่างรักใคร่หวงแหน พากันดำดิ่งสู่ห้วงนิทราแสนสุข

หนุ่มสาวมิรู้เลยว่า...จากนี้ไป เรื่องราวเลวร้ายจะดาหน้าเข้ามาดุจห่าฝน และกว่าจะก้าวผ่านไปได้ ทั้งคู่ก็สะบักสะบอมจนแทบเอาชีวิตไม่รอดเลยทีเดียว!

************************************************************

มาถึงวันสุดท้ายในเว็บเลิฟแล้วนะคะ สำหรับคุณศาศวัตกับหนูไนท์ ขอบคุณทุกไลค์ ทุกคอมเม้นท์ ทุกสายตาที่เคียงข้างกันมาตลอด

จนถึงวันนี้ คุณศาศและหนุไนท์เข้าโรงพิมพ์ไปแล้ว อีกสิบกว่าวันก็จะออกมาอวดโฉมบนแผง ใครที่อยากรู้ว่ามีสิ่งใดรอคอยพระนางของเรา

อยู่ ติดตามได้ในรูปเล่ม แต่เพื่อเป็นการตอบแทนนักอ่านที่น่ารัก เราจะนำรายชื่อผู้ที่เข้ามาคอมเม้นท์มาจับฉลากแจกหนังสือฟรีหนึ่งเล่มค่ะ

แต่ใครที่พลาดโอกาสนี้ เข้าไปเล่นเกมในเพจ "ภาวิน" ได้นะคะ ที่นั่นแจกสามเล่ม หมดเขตเล่นเกม ๑๔ ตุลาคมเวลาสองทุ่ม

ประกาสผล ๑๕ ตุลาคมค่ะ

แล้วยังไงไปพบกันที่งานหนังสือได้นะคะ ชุดความลับของผีเสื้อมีบ็อกเซ็ตสวยงาม และรับของที่ระลึกน่ารักๆจากนักเขียนได้ค่ะ

ถ้าหากไม่มีสิ่งใดขัดข้อง ภาวินไปอยู่ที่บูธนายอินทร์ในวันที่ ๒๐ ตุลาคม เวลา ๑๕.๐๐-๑๖.๐๐ น.

***********************************************

ตอบเม้นท์

คุณหนอนน้อยดังปัณณ์ ขอบคุณมากๆค่ะ กอดแน่นๆ สำหรับกำลังใจที่ให้กันตลอดมา และอีกกอดแน่นๆเป็นกำลังใจให้ค่ะ ทราบว่าคุณแม่กำลังป่วย สู้ๆนะคะ เข้มแข็งไว้

คุณ ree ยังไงต้องฝากติดตามในเล่มนะคะ ว่าหนูไนท์ถูกใส่ความหรือเปล่า แต่อาจเป็นผู้โชคดีได้รับหนังสือก็ได้ค่า

คุณ ketza เริงราตรีสีขาว ความหมายน่าจะชัดเจนในตอนนี้แล้วนะคะ เริงร่าอยู่ท่ามกลางกลิ่นดอกราตรีสีขาว ๕๕๕ แอบเห็นว่าไปเล่นเกมในเพจมาแล้ว ไม่รู้ใช่คนเดียวกันหรือเปล่า ขอให้โชคดีนะคะ ^_<

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ เปิดเผยกันแล้วนะคะว่าหนูไนท์จะโดนอะไร หุ หุ หิ หิ

หนูบาร์บี้ เคลียร์แล้ว เคลียร์แล้ว อย่าเพิ่งรมณ์เสีย

พี่แตงกวา เขาคุยกันด้วยภาษากายค่ะ คุณศาศน่ะเขาหนักแน่นน่า ก็เขารู้จักหนูไนท์มาตั้งนานแล้วนี่

คุณวรรษา บอกกันชัดๆแล้วว่าหนุ่มหน้ามนคนหน้าหล่อคนนั้นคือคุณศาศอย่างที่หลายๆคนสงสัยมาตั้งแต่ต้นนั่นละ ความจริงเปิดเผยอย่างนี้แล้ว เขาจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร ต้องติดตามในเล่มค่ะ ถ้าไปเจอกันในงานหนังสือทักทายกกันได้เลยนะคะ

ผีเสื้อสีน้ำเงินอสิตาที่เคียงข้างกันมาตลอดทั้งตอนทำงานและช่วงโพสต์งาน กอดร่างอวบแน่นๆนานๆหนึ่งที

คุณ Sukhumvit66 อยากรู้ติดตามได้ในเล่มเลยค่ะ แต่อาจเป็นผู้โชคดีก็ได้น้าาา วันพุธมาลุ้นกันเนอะ

คุณ malida ยินดีที่มาทักทายกันค่ะ เข้าไปเล่นเกมในเพจภาวินมาแล้วหรือยังเอ่ย แปดตอนที่เหลือต่อจากนี้มีผีเสื้ออีกเยอะเลยค่ะ ต้องเดาแล้วงานนี้ ^_^

คุณปลายสี งานยุ่งแค่ไหนก็ไม่เคยทิ้งกัน ขอบคุณมากๆค่ะ แค่นี้ก็ดีใจแล้ว ^_^

**************************************************

แล้ววันพุธจะมาประกาสรายชื่อผู้โชคดีนะคะ ว่าผู้เขียนจะส่งเริงราตรีสีขาวไปให้นักอ่านคนใดได้ติดตามชีวิตหนูไนท์กับคุณศาศแบบเต็มที่เต็มอิ่มกัน แล้วเจอกันค่ะ




ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ย. 2556, 03:36:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ย. 2556, 05:35:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 1513





<< ตอนที่ ๑๕ +ยังเล่นเกมแจกหนังสือในเพจ "ภาวิน" นะคะ   ประกาศรายชื่อผู้โชคดีค่ะ >>
ree 30 ก.ย. 2556, 06:27:56 น.
รู้สึกว่าษมาจะเป็นปัญหายังไงก็ไม่รุ


Pat 30 ก.ย. 2556, 06:40:02 น.
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวเลวร้ายที่จะดาหน้าเข้ามา เข้าใจทิ้งท้ายนะคะ สงสัยต้องไปตาม(หา)อ่านต่อซะแล้ว


พันธุ์แตงกวา 30 ก.ย. 2556, 06:43:50 น.
กรี้ดดดด. คุณชาย...จะน่ารักไปไหน แบบนี้สินะที่เค้าว่า ยิ่งทะเลาะกันยิ่งลูกดก555
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ เข้าไปซื้อในโรงพิมพ์เลยได้มั้ยเนี่ยะ จะทนยังไงไหว
เรื่องนี้สนุกมากตริงๆขอให้ได้เป็นละครอีกเรื่องนะ อยากดู


ใบบัวน่ารัก 30 ก.ย. 2556, 07:36:01 น.
เอาเรื่องร้ายๆๆมาอีกเช้อะ


อสิตา 30 ก.ย. 2556, 07:36:41 น.
ลงตอนสุดท้ายแล้วจริงๆหรือนี่ ใจหายจุงเบย ของเรายังไม่ถึงจุด โบยบินต่อไป...
ขอบคุณที่บินเคียงข้างกันมา ผีเสื้อท้องแก่สองตัว(ท้องปลอมหนึ่งตัว)


ketza 30 ก.ย. 2556, 10:40:02 น.
อจ๊ากกก ยังไงต่อ ค้างได้อีก อิอิ (แอบเข้ามาจับผีเสื้อ่ะ)เข้าไปเล่นในเพจแล้วเค้าเองๆๆ ว่าแต่พระเอกแก่แต่หน้าแต่อย่างอื่นไม่แก่ชิมิ 55555.....ฟิ้วววววววววววว


ปลายสี 30 ก.ย. 2556, 12:49:18 น.
อุ้ยตาย คุณศาศอย่าหักโหมนักนะคะ หน้าแก่ไม่แก่ไม่สนแล้วเนอะหนูไนท์55555


วรรษา 30 ก.ย. 2556, 12:53:57 น.
ตอนนี้ทำให้นึกถึงรักแท้ค่่ะสู้ๆต่อไปนะคุณหนึ่ง หนูไนท์ คงไปตามเก็บส่วนที่เหลือในเล่มนะคะ ค้างสุดๆ รอๆ ให้หนังสือเดินทางออกจากโรงพิมพ์ค่ะ


Sukhumvit66 30 ก.ย. 2556, 13:10:00 น.
ขออุดหนุนนะคร้า.....เด่วไปเหมาทั้งสามเล่มเลย


ดังปัณณ์ 30 ก.ย. 2556, 15:54:19 น.
ต๊ะคอมเมนท์ก่อนนะค้า พี่ปุ๊กกกกกกกกกกกก


นักอ่านเหนียวหนึบ 30 ก.ย. 2556, 19:02:22 น.
หนูไนท์ ไม่เข้าใจ คุณสาดเค้ารีบทำหน้าแก่ให้ทันตะเองไง5555
ดีใจด้วยกับไรเตอร์จ้า ได้ปล่อยผีเสื้อน้อยสีขาวออกไปโบยบินในโลกกว้างแล้ว เย้ๆๆๆ จะติดตามต่อไปนะค้า รวมถึงเจ้าผีเสื้ออีก 2 ตัวที่รอขยับปีกตามๆ กันไป สู้ๆ จ้า


ดังปัณณ์ 30 ก.ย. 2556, 20:46:39 น.
กลับมาอีกรอบ หลังแอบไปเงียบ เรียกพลังคืนชีพ หุย เนาะ
พี่ปุ๊กคะ อารั้ยยยยยยยยยยยยยยยย เอามาให้หนอนดีดดิ้น แกล้งโปรยขี้เถ้าใส่หนอนอีกแล้ว มานิ่มๆเนียนๆ แหมๆๆๆๆ คุณศาสวัตขราาาาาาาาาาาาาาาาา แอบล้วงตับหนูไนท์ไปกินแล้ว แหมๆๆๆๆ อย่างนี้ มันดอกไม้กินแมลงนี่นา วุ้ยเนาะ

อั้ยยยยยยยยยยย พี่ปุ๊กทิ้งท้ายไว้แบบนี้ กว่าหนังสือจะออก กระซิก ดีดๆดิ้นๆ ลงแดงแหงเลย อิๆ


Barby 30 ก.ย. 2556, 22:20:36 น.
อุอิ อุอิต้องติดตาม ไม่ติดตามต่อไม่ได้เเล้ว ขอให้ยอดขายพุ่งกระฉูดนะค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account