เงารักสีน้ำเงิน {นวนิยายชุด"ความลับของผีเสื้อ" สนพ.อรุณ}
วนัสสาตื่นขึ้นมาพบว่าความทรงจำของเธอหายไปถึงสองเดือน...
แต่สิ่งที่เพิ่มมาคือรอยสักรูปผีเสื้อตรงกลางหลัง กับกระดาษแผ่นเดียวในมือเป็นเบาะแส
เธอคือผีเสื้อ แต่ใครกันคือดอกไม้ของเธอ...คือคนรักที่เธอหลงลืมไป
จะเป็นนวาระผู้มีรอยสักรูปดอกกุหลาบ
เจ้าของดวงตาสีน้ำเงินอย่างวาริช
หรือใครบางคนที่มีชื่อเป็นความหมายของสีสัน อย่างคราม...
Tags: วนัสสา ความลับของผีเสื้อ วาริช อินดิโก้ คราม นวาระ การทดลอง พลังจิต

ตอน: ความทรงจำที่ ๑๐ ความลับของดอกบัว + ยังเล่นเกมชิงนิยายเรื่องนี้ในเฟซบุ๊คได้อยู่นะคะ

ความทรงจำที่ ๑๐ ความลับของดอกบัว
ดาหวันเดินไปตามทางเงียบงันและสลัวรางตามลำพัง จนที่สุดก็เห็นความสว่างตรงทางเลี้ยวเบื้องหน้า
ประตูบานหนึ่งรอคอยเธออยู่ เมื่อเปิดเข้าไปจึงพบกับห้องนอน วูบแรกที่เห็นก็ให้นึกสะท้อนใจ
ตัวห้องไม่ได้อยู่ในสภาพแย่ ดีมากเสียด้วยซ้ำ ดีจนคิดว่าคงมีตนเพียงผู้เดียวที่เป็นลูกสาวของบิดาอย่างเทวัญ
จึงได้อยู่สบายๆ ห้องของคนอื่นอาจไม่ต่างจากคุกที่เพิ่งจากมา เอาเถอะ เธออาจแค่คิดมากเกินไป
บางทีสภาพแวดล้อมที่ดีก็จำเป็นต่อสุขภาพจิตที่เลวร้ายลงอยู่แล้ว หวังว่าคนอื่นๆคงจะไม่เจอ
เรื่องกดดันมากนัก ก็ได้แต่หวัง...

ในห้องมีเสื้อผ้าของเธอที่ถูกย้ายมาจากข้างบนพร้อมข้าวของติดตัวทุกอย่าง นอกจากนั้นที่เพิ่มเติมมา
ล้วนเป็นสิ่งที่ดาหวันต้องการ แปลก คนอย่างบิดาเกิดจะมาละเอียดอ่อน แต่อาจจะปล่อยให้เป็นธุระของ
แม่บ้านประจำบ้านศรีบริรักษ์ซึ่งรู้จักเธอดีกว่าก็เป็นได้

‘จำไว้นะ ถึงพ่อจะไม่ได้จดทะเบียนกับแม่แก แต่แกใช้นามสกุลพ่อ แล้วก็เป็นทายาทอันดับหนึ่ง
ต้องสืบทอดทุกอย่างต่อจากพ่อไป อย่าลืมซะล่ะดาหวัน’

‘พวกพี่ชายน้องชายดาเขาจะพอใจกันหรือคะ ถ้ารู้อย่างนี้’

‘พ่อบอกพวกมันแล้ว พี่น้องแกนิสัยนักเลงก็จริงอยู่ แต่ดีอย่าง พวกมันรักพ่อ เชื่อฟังดี
แล้วก็รู้ว่าพ่อมีเหตุผลที่ดีที่สุดในการตัดสินใจทำทุกอย่าง’

ดาหวันเข้าใจว่าเพราะอะไรบิดาจึงเลือกตน ไม่ต้องเดาเลย เหตุผลก็แค่เพราะเธอเป็นคนพิเศษ
มีพลังอยู่ในตัวตน แต่พวกพี่น้องต่างมารดานั้นเป็นคนธรรมดา มีเพียงเธอที่เป็นลูกแม่...แต่แม่ก็ตายไปแล้ว
พ่อซึ่งคลั่งไคล้ในเรื่องพลังจิตยังคงเสาะหาแสวงหา จนกระทั่งถึงวันที่ได้มาเจอแม่ของครามซึ่งยังสาวอยู่มาก
เพราะมีลูกคนแรกตั้งแต่อายุสิบหกเห็นจะได้ เจ้าหล่อนยอมแต่งงานกับพ่อเพราะไม่รู้ถึงความคลั่งไคล้ดังกล่าว

ถึงแม่เลี้ยงของดาหวันจะบอกว่าตนมีลูกไม่ได้อีก แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่อาจหาหนทางแก้ไข
ถ้าเจ้าตัวยินยอมพยายามด้วยกัน ทว่าเมื่อล่วงรู้จุดหมายแท้จริงของคู่ชีวิต ภรรยาใหม่ของพ่อ
ก็ยืนกรานปฏิเสธตลอดมา จนวันที่เสียชีวิตไปอย่างที่คนนอกเข้าใจว่าฆ่าตัวตาย...ซึ่งมันก็เป็น
เช่นนั้นจริง แต่ด้วยความที่ถูกพ่อเธอกดดันจนถึงขั้นบีบบังคับ เมื่อสตรีผู้นั้นทนรับความเจ็บปวด
ทั้งกายใจไม่ไหวจึงดับชีวิตของตัวเอง ครามกลับมาไม่ทันศพแม่ที่ถูกชิงเผาไปก่อนด้วยซ้ำ
เขาโกรธมาก แต่ก็ทำอะไรพ่อเธอไม่ได้อยู่ดี

เขาพยายามยื่นมือเข้ามาหาเรื่องนี้ แต่ครั้นดาหวันจะคิดร่วมมือกับครามก็เห็นว่าอีกฝ่ายหยิ่งเกินไป
และไม่ไว้ใจเธอ หญิงสาวจึงต้องเงียบไว้ก่อน จะให้บิดารู้ไม่ได้ว่าตอนนี้เธอเองกำลังมีความคิด
ขบถอยู่ในใจ ขอเพียงกำจัดคนสำคัญที่คอยช่วยพ่อทำเรื่องเลวร้ายไปได้ ถึงพ่ออยากจะสานต่อ
ก็คงยาก หากไม่มีคนคนนั้นอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป... ดร.กฤษณะ สรภพ

หญิงสาวใช้เวลาสำรวจในห้องโดยไม่ยอมนอนหลับอีก เธอล้างหน้า เสยผมสั้นๆของตนเอง
ด้วยมือเปียกน้ำ พยายามที่จะตื่นตัวอยู่ตลอด ไม่นานเสียงเคาะประตูดังขึ้น โดยไม่รอให้เธอเอ่ยอนุญาต
บานประตูเปิดออก ดร.คนที่ดาหวันเพิ่งนึกถึงอยู่หมาดๆก็ปรากฏกาย ไม่มีใครมากับเขาด้วย
อีกฝ่ายคงอยากให้บรรยากาศดูไม่กดดันนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าของห้องก็ระวังตัวพร้อมขึ้นในทันที

นักวิทยาศาสตร์ผิวซีดๆ ศีรษะล้าน และแม้แต่ท่าเดินก็ยังดูหลังค่อมๆไม่มีราศีคนนี้
ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเจ้าของสินทรัพย์มหาศาลเกือบเทียบได้กับบิดาเธอ เจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพล
คนหนึ่งของเมืองไทย ถึงบุคลิกจะแย่ แต่ถ้าเป็นเรื่องงานหรือผลประโยชน์ คารมของดร.กฤษณะ
ก็เป็นต่อ ทำให้ก้าวมาไกลจนทุกวันนี้

“ดูเหมือนว่าฉันจะเป็นคนแรกนะคะ ที่คุณให้เกียรติมาเยี่ยม” ดาหวันชักสีหน้ายามเอ่ยเสียงกระด้าง
“คนอื่นๆ ตอนนี้เป็นยังไง”

“ไม่เรียกลุงว่าลุงเหมือนแต่ก่อนล่ะ ดาหวัน”

“มาถึงจุดนี้แล้ว คงไม่จำเป็น” หญิงสาวหรี่ตามองอย่างเย็นชา ชายกลางคนกำลังเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น
เขาพยายามเดินช้าๆเพื่อมองสำรวจเธอให้รอบ แต่หญิงสาวหันตาม ไม่ยอมหันหลังให้อีกฝ่าย
มีโอกาสเข้ามาทำอะไรตนแม้แต่เสี้ยววินาที “ไม่อยากเชื่อนักหรอกว่าจะเป็นการทดลองแบบดีๆ
อย่างที่พ่อพยายามหว่านล้อมให้ฉันกลับมา ไม่มีเหตุผลอะไรที่คราวนี้พวกคุณจะคำนึงถึงมนุษยธรรม
บอกมาเถอะว่าคราวนี้คุณวางแผนจะทำอะไร กับฉันแล้วก็พวกนั้น”

“เป็นห่วงวาริชเป็นพิเศษหรือ” ดร.กฤษณะถามกึ่งหัวเราะหึๆอยู่ในคอ

ดาหวันไม่เสียเวลาปฏิเสธ แต่เอ่ยสวนในทันที “ดูเหมือนว่าคุณจะความรู้สึกไวนะ
เมื่อเป็นเรื่องของคนอื่น...แต่กับเมียตัวเอง ไม่ยักจะดูแลให้ดีหรือรู้อะไรดีๆอย่างนี้ไว้บ้าง”
วาจาหญิงสาวหยามหยันอย่างมีนัยยะ

“อ๋อ เมียลุงน่ะเหรอ... ช่างเถอะ เขาอยากจะทำอะไรที่ทำแล้วมีความสุขก็ปล่อยเขา
ก็นับเป็นการให้ความบันเทิงผ่อนคลายกับผู้ร่วมงาน ขอแค่ให้มันไม่เสียเวลาเปล่าก็พอ”

“สกปรก” ดาหวันถอนใจแรง นี่แปลว่าผู้ชายคนนี้รู้เรื่องศศิราศีกับพ่อของเธออยู่แล้ว
แต่ก็ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป เพื่อผลประโยชน์ เพื่อผูกใจคนอย่างเทวัญ ศรีบริรักษ์ไว้
ช่างน่ารังเกียจสิ้นดี “ที่เลือกเข้ามาในห้องฉันอย่างนี้มันเพราะอะไร อันที่จริงคนอื่นน่าจะสำคัญ
กับคุณมากกว่า อย่างวนัสสา ถึงตอนนี้เจ้าตัวจะยังไม่รู้ถึงพลังของตัวเองนักก็เถอะ หรือไม่คุณ
ก็ควรจะไปลองดีกับนวาระอีกสักครั้ง ฉันประทับใจจริงๆนะ ได้ยินว่าตอนการทดลองคราว
ก่อนเขาหันเข็มยาสร้างจุดความทรงจำมาทิ่มคอคุณได้ เสียดายจริงๆ ดันทิ่มไม่ถูกที่สำคัญ”

“ก้าวร้าวมากดาหวัน แต่ก็เอาเถอะ ลูกสาวก็ต้องคล้ายพ่อ ไม่งั้นคงไม่ใช่พ่อลูกกัน”
ดร.กฤษณะสรุปด้วยน้ำเสียงยวนๆ

“คงคิดว่าอย่างฉันอย่างมากก็ได้แค่ด่า ทำร้ายคุณด้วยคำพูด แต่กับพวกนั้น
คุณคงกลัวเขาโกรธแล้วทำอะไรที่คาดเดาไม่ได้ กลัวคนอื่นจนหัวหด แค่เห็นฉันไม่ค่อยจะ
มีพิษมีภัยเลยกล้าโผล่หัวเข้ามา”

ดร.กฤษณะไม่ใช่คนนิสัยอ่อนแออย่างรูปร่าง เมื่อดาหวันยั่ว ชายกลางคนก็ขยับเข้าใกล้
อยากจะลงไม้ลงมืออย่างใดสักอย่างกับลูกสาวของเทวัญ แต่ก็ยั้งใจตนเองได้ เพียงแค่ยื่นหน้า
ไปกระซิบดูแคลน “เธอเองก็เก่งแต่ปากจริงๆ หรือไม่ใช่”

ดาหวันไม่รอให้วินาทีนั้นเปล่าประโยชน์ พวงกุญแจมีดพับที่กระชากพ้นกระเป๋ากางกาง
เสือกพุ่งเข้าหาลำคอผู้คุกคามที่ขาดการระวังในทันที!

ชายกลางคนผงะตัวหลบวูบ ยังไม่พ้นดี ปลายมีดที่พุ่งตามติดจึงไพล่ไปถูกเอาปลายคาง
เป็นแนวเสยขึ้นจรดปากล่าง เลือดแดงฉานพุ่งกระเซ็น! เจ้าหน้าที่ซึ่งเฝ้าระวังอยู่ภายนอก
กรูกันเข้ามาคุมตัวดาหวันที่พยายามจะตามซ้ำเป้าหมาย เสียแต่ว่าไม่ทัน

“น่าเสียดาย โดนแค่นี้...แต่อย่างน้อยก็คงจะเลิกปากเก่งไปได้บ้างเหมือนกัน ใช่ไหมคะ
คุณลุงหมอ” ดาหวันที่ยังไม่เลิกดิ้นรนเผยยิ้มเยาะ นวาระเดาถูก! เขากระซิบว่าเธอเป็นคนเดียว
ที่ดร.กฤษณะจะมาหา อีกฝ่ายหาจังหวะยัดมีดใส่มือเธอตอนถูกขังรวมกันได้เป็นธรรมชาติ
จนไม่มีใครเห็น แม้แต่กล้องที่จับภาพอยู่ “จะบอกอะไรให้ ฉันน่ะ ยอมฆ่าคน ถ้ามันจะทำให้แผ่นดินนี้สูงขึ้น”

“งั้นก็ไปฆ่าพ่อเธอด้วยเลยเป็นไง แผ่นดินน่าจะสูงขึ้นอีกเป็นกิโลเลย” ดร.กฤษณะไม่ได้โกรธ
ดูเหมือนจะพอใจด้วยซ้ำที่หนึ่งในเหยื่อทดลองคิดดิ้นรนต่อสู้อย่างที่ไม่เคยเป็น

ต้องใช้ผู้ชายถึงสามคนทีเดียวถึงจะสามารถกดตรึงตัวดาหวันให้สงบลงกับเตียงได้
หญิงสาวรู้สึกเจ็บจี๊ดเหมือนมดกัดตรงต้นแขน พร้อมคำพูดจากดร.กฤษณะที่กรอกหูลงมา

“คราวนี้จะให้อภัย ถือว่าเธอคลุ้มคลั่งจากความกดดันเกินพิกัด แต่อย่าให้มีครั้งสอง
เพราะแม้แต่เทวัญจากชั้นฟ้าไหนก็มาช่วยไม่ได้ถ้าฉันโมโหขึ้นมา!”

ก่อนหมดสติ ดาหวันเผยยิ้มท้อๆออกมา ใจรู้สึกเหนื่อยล้า เธอกำจัดคนอันตรายคนนี้ไม่สำเร็จ
แล้วต่อไปจะเกิดอะไรกับทุกคน กับวาริช แล้วทำไมเธอจะต้องคอยคิดถึงเขาเป็นคนแรก
และสุดท้ายอยู่ร่ำไป...ทำไม


สัตวแพทย์หนุ่มไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า ในห้องเย็นแสงสลัวอุณหภูมิคล้ายจะลดลงเรื่อยๆ
ยามนี้เพื่อนของเขาก็มีแค่ร่างไร้ชีวิตซึ่งมีสายระโยงระยางตรงหน้า เขามีหน้าที่ปลุกให้เธอฟื้นคืนชีพ
ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้เลย

เมื่อวาริชวางมือลงบนร่างนั้น ส่งกระแสพลังเข้าไปแบบเดียวกับเวลารักษาคนหรือสัตว์
ให้หายจากการบาดเจ็บ พลังของเขาก็เหมือนไหลผ่านเข้าไปในถุงพลาสติกก้นรั่ว มีแต่จะ
ไหลออกไปไม่เหลือ เขาเหนื่อย หนาวจนปากสั่น มือไม้แทบจะไร้สีเลือดไม่ต่างจากศพตรงหน้า
อากาศเย็นลงเย็นลงทุกทีเหมือนจงใจบีบคั้นกดดัน ซึ่งทำให้วาริชอยากจะตะโกนออกไปดังๆ
ว่าไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย

“แม่งเอ๊ย! ทำไมมันหนาวแบบนี้วะเนี่ย!” ชายหนุ่มคำรามอย่างอัดอั้น เสียงเขาแหบลงอีก
รู้สึกว่าอากาศเบาบางและเริ่มหายใจลำบากเข้าทุกที

“ก็ห้องเย็นนี่คะหมอ...”
เสียงซึ่งไม่รู้ที่มาของนาเดียซึ่งเงียบไปแล้วพักใหญ่ๆสะท้อนก้องตอบมาอีกครั้ง
คล้ายเป็นการกระตุ้นวาริชมากกว่าอื่น

“ตายๆๆ ” ชายหนุ่มหัวเสียกับตัวเอง นี่มันบ้า เขาจะผ่านห้องบ้านี่ไปได้ยังไง
มีหวังต้องกลายเป็นศพแช่แข็งไปด้วยไม่ช้าก็เร็ว

“ตายอยู่ ก็ทำให้ฟื้นสิคะ”

“นี่คุณเป็นโฆษกประสาบ้าอะไร!” ชายหนุ่มสบถ “รบกวนการทดลองอยู่ได้
ช่วยเงียบๆไปเสียอย่างเมื่อกี้ยังจะดีกว่า”

“เปล่าสักหน่อย ดิฉันมีค่าตัวมากกว่านั้นเยอะ รู้อะไรไหมคะ ฉันได้มาเป็นผู้ช่วยอาจารย์หมอ
ตั้งแต่ไม่มีคุณหมอ เอ๊ย...ตั้งแต่ที่คุณกลายเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทดลองของเรานั่นแหละ”

วาริชขบกรามที่เริ่มจะสั่นเพราะความหนาว รู้ดีว่าอีกฝ่ายอยากเรียกเขาเป็นสัตว์ทดลองอยู่เต็มที
เขาไม่ยอมมาจอดแค่ด่านแรกนี้แน่ ประตูจะไม่เปิด หากเขาไม่พยายามทุ่มสุดตัวจริงๆ

“หน้าตาไม่บ่งบอกนะว่าฉลาดพอจะมาแทนที่ผมได้ ปกติเคยเห็นแต่ถือไม้กวาดขนไก่ร่อนไปร่อนมา
ไม่เห็นได้ลงมือปัดกวาดอะไร กลัวแต่ว่าจะเป็นหุ่นตัวหนึ่งที่ไม่สลักสำคัญก็เท่านั้น”

“รีบทำงานเข้าเถอะค่ะหมอวาริช ยิ่งนานไปศพนั่นก็ยิ่งแย่” นาเดียดูเหมือนชักอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา

“เรื่องนั้นรู้อยู่หรอก ไม่ต้องมาบอก! แล้วทำไมไม่พามาให้เร็วกว่านี้ล่ะวะเฮ้ย ไม่ปล่อยให้ตายเน่า
ไปเลยแล้วค่อยพามาล่ะ” ชายหนุ่มระบายความอัดอั้นหัวเสียด้วยเสียงตะคอก เขาประชดออกไป
ทั้งที่รู้ดี ไม่ว่ายังไงตนก็จะต้องทำงานตรงหน้าต่อไป

“เพราะว่า...มันจะง่ายเกินไป ถ้าให้คุณจัดการกับร่างกายที่เพิ่งเสียชิวิตใหม่ๆ”

วาริชเลิกคิ้ว ง่ายเกินไป ทำไมถึงพูดแบบนั้น ทั้งที่เขาไม่คิดว่าง่าย หรือว่า...ในช่วงเวลาที่หลงลืมไปแล้ว
การทำให้เซลล์ที่ตายกลับมีชีวิตขึ้นมามันกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาจริงๆ

ช่วงหนึ่งเขาเองก็เคยร่วมทำงานเกี่ยวกับเรื่องยาอายุวัฒนะและการต่อชีวิต ความคิดของวาริชลอยกลับไปถึง
‘ดอกราตรีดอกใหญ่แสนสวยพันธุ์ประหลาด’ ...มันเคยเป็นความหวังของเวชกุล แต่มาตอนนี้กลับเป็นตัวเขา
ที่จะต้องเป็นเครื่องมือทำให้ศพฟื้นคืนชีพขึ้นมา

“จะบอกให้ ว่าถ้าศพนี่จะฟื้นก็คงต้องตายลงไปใหม่เพราะไม่มีอุปกรณ์ช่วยอะไรเลย
แล้วห้องนี้มันก็เย็นจนแม้แต่คนเป็นก็จะลงนอนแข็งตายอยู่แล้ว ทำไมไม่ให้ย้ายไปห้องอื่น
ถ้าคุณจะบอกว่าศพนี่คือผู้ป่วยที่ผมต้องรักษาน่ะนะ มีใครเขารักษาผู้ป่วยในห้องเย็นกันบ้าง”

“เพราะเธอไม่ใช่ผู้ป่วย แต่เป็น‘ผู้ตาย’ งานของหมอคือต้องผ่านสภาวะแวดล้อมที่กดดันไปให้ได้
เพื่อยกระดับพลังจิตนะคะ”

“แล้วไม่มีเครื่องมืออะไรจะให้เลยเหรอ มีด เข็มเย็บ ให้ผมเล่นมือเปล่างี้เนี่ยนะ”
หมอจำเป็นอดรนทนไม่ไหว

“ไม่ถึงขนาดนั้น เราก็ช่วยคุณอยู่ อย่างกระแสไฟฟ้าที่ปล่อยเข้าไปในบอดี้เปื่อยๆนั่นไงคะ”
นาเดียเริ่มจะกลับมาคิกคัก

“นี่คุณ ครูคุณไม่สอนให้เคารพอาจารย์ใหญ่บ้างเหรอ” วาริชสุดจะทนเมื่อนาเดียแสดงความ
ไม่ใส่ใจตัวอย่างศพที่กำลังกลายเป็นหนึ่งในการศึกษาทดลอง พูดถึงอย่างสนุกอย่างกับเป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่ง

“ฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์ค่ะ ไม่ใช่หมอ... แล้วยังกับว่าคุณไม่เคยเล่นกับความตายของคนหรือสัตว์
แต่ก่อนคุณหมอเอาสัตว์มาทดลองออกบ่อย พูดยังกับคุณไม่เคย ‘เพลย์ก็อด’ ...เป็นคนดีจังเลยนะคะคุณน่ะ”

“ผมน่ะหรือ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า แค่ทำสิ่งที่คิดว่าสมควร ที่คิดว่ามันจะมีประโยชน์
ช่วยต่อยอดความรู้ให้คนรุ่นต่อไป” ใช่ เขายอมรับว่าเคยทำ แต่หลังจากที่ตัวเองต้องมากลายเป็นหนูทดลอง
วาริชก็ชักรู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาเคยคิดว่าไม่สำคัญ กับชีวิตของคนอื่นที่เขาเคยทำเหมือนเป็นของเล่นในมือ

สัตวแพทย์หนุ่มก้มลงมองร่างตรงหน้าอีกครั้ง พยายามรวบรวมกำลังใจ แต่ก่อนเขารักษาแผลเลือดตกยางออก
ไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำได้แค่บรรเทาความเจ็บปวดของเซลล์ที่ไม่ได้เสียหายมากมายนัก แม้ความสามารถเขาจะ
เพิ่มมาหลังจากที่หายตัวไปสองเดือน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้คนตายกลายเป็นคนเป็นได้
มันออกจะมากเกินไป หรือบางทีเขาควรต้องลอง

มือสีแทนค่อยๆยื่นไปกุมบาดแผลตรงคอศพ ก่อนสอดปลายนิ้วเข้าไปใต้แผลเปิดที่ผิวหนัง
บางทีเขาอาจจะเคยทำได้มาก่อนแล้ว ควรจะต้องเชื่อมเนื้อเยื่อจากข้างในออกมาทีละชั้น
โดยยื่นนิ้วเข้าไปสัมผัสตรงๆ อย่างน้อยเมื่อร่างตรงหน้าไม่เป็นถุงก้นรั่วอีกต่อไป
เมื่อเขาเติมเต็มพลังงานเข้าไปร่างกายนี้อาจจะพอมีชีวิตขึ้นมาได้ แม้ไม่ใช่คนเต็มคนก็ตาม...

เขาสอดนิ้วเข้าไปในแผลใต้เนื้อหนังซึ่งเริ่มจะกลายเป็นสีเทา สัมผัสความรู้สึกลื่นเป็นวุ้นตรงปลายนิ้ว
ค่อยๆเชื่อมเนื้อเยื่อตั้งแต่ข้างใน ไล่มาจนถึงผิวหนังชั้นนอก เขาต้องเคยทำได้ บอกตัวเองแบบนั้นแล้ว
ตอนนี้ก็อาจจะทำสำเร็จขึ้นมาจริงๆ

ผ่านไปสิบนาที ลมหายใจของเขากลายเป็นควันเพราะอากาศเย็นจัด เลือดในถุงถูกปล่อยเข้ามาในร่างกาย
ซึ่งถูกปิดรอยแผลจนสนิท พร้อมกับตัวยาบางอย่างที่คล้ายเตรียมไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
และอีกกว่าสิบนาทีที่วาริชพยายามถ่ายเทพลังชีวิตเข้าไป พลังแห่งการรักษาทั้งหมดเท่าที่เขามี

และแล้ว...สัญญาณชีวิตค่อยๆจุดขึ้นอย่างช้าๆ บนจอแสดงผลซึ่งเชื่อมโยงกับร่างตรงหน้า
เสียงสัญญาณปิ๊บๆ ดังขึ้นเป็นจังหวะ ชายหนุ่มตะลึง ทว่าในขณะเดียวกันนั้นเองก็ได้ยินเสียงประตู
อีกด้านของห้องเย็นเลื่อนเปิดออก เขาไม่รอช้า ผละจากงานทดลองบ้าๆที่ตนไม่อยากทำไปสู่ทางหนีทันใด

นี่มันไม่ใช่การช่วยชีวิต! วาริชแทบจะหลับหูหลับตาวิ่งออกไปทั้งที่มือยังเปื้อนเลือด
“ขอโทษนะสายชล! คุณตายไปแล้วนานขนาดนั้น ถึงจะฟื้นขึ้นมาก็ไม่มีทางเหมือนเดิมได้ ไม่มีวัน!”

ชายหนุ่มวิ่งไปตามทางซึ่งพาเขาขึ้นบน ลงล่าง อย่างกับกำลังวิ่งหนีความรู้สึกที่ตนทิ้งไว้เบื้องหลัง
ไม่วายรู้สึกว่าคนออกแบบที่นี่ไม่ได้เตรียมไว้ใช้แค่กับการทดลอง แต่คงมีแผนใช้งานมันต่อไปอย่างคุ้มค่า
ในอนาคต พื้นที่ถูกใช้ให้เป็นประโยชน์โดนการขุดลึกลงมาหลายชั้น การก่อสร้างคงจะต้องทำกันนานหลายปี
แต่ตระกูลของอาจารย์หมอก็ครอบครองสินทรัพย์มาหลายอายุคนแล้ว ฝ่ายนั้นมีเวลาทั้งชีวิตที่จะสร้าง
สิ่งวิปริตเหล่านี้ขึ้นมา

ในที่สุด วาริชก็ไปพบเข้ากับห้องพัก สภาพดีกว่าคุกที่พวกเขาถูกขังรวมไม่กี่มากน้อย
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มหรี่ลง หวังว่าเขาจะไม่ต้องอยู่ที่นี่นานนัก อย่างน้อยก็ยังดี มีห้องน้ำพอให้อาบน้ำ
ล้างคราบเลือดและความรู้สึกเหมือนติดอยู่ในกรงขังออกไป น้ำเย็นๆทำให้หนาวยิ่งขึ้น แต่ไม่มีทางเลือก
เขาต้องการให้ร่างกายกลับมาสะอาด แม้ยังรู้สึกเหมือนเลือดเปื้อนมือ กลิ่นคาว กลิ่นยายังติดอยู่ตรง
ปลายจมูก เขาคุ้นเคยกับความตาย ทว่าไม่เคยได้สัมผัสมันด้วยมือเปล่าและด้วยความรู้สึกพะอืดพะอมขนาดนี้

วาริชออกจากห้องน้ำ เสื้อผ้าของเขาเองที่ถูกนำมาเตรียมไว้ให้เปลี่ยน ชายหนุ่มล้าเต็มที ตัวก็ยังสั่นอยู่
อาจจะด้วยเครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิถูกตั้งไว้ค่อนข้างเย็น เขาใส่เสื้อที่ไม่ใช่ชุดนอนเตรียมพร้อมไว้
ทับด้วยเสื้อนอกแขนยาว ถุงเท้าครบ ก่อนจะเอนกายลง

“บ้าจริงๆ” ชายหนุ่มพึมพำด่าตัวเอง เขาเคยคิดแบบนั้นไปได้ยังไง “หึๆ คนเราสามารถยอมได้ทุกอย่าง
เพื่อการทดลองอันจะนำไปสู่ความรู้ ไม่ว่าจะต้องเสียสละมากเท่าไหร่...” วาริชเคยเชื่อเช่นนั้นจริงจัง
จนถึงวันที่คนเสียสละต้องกลายเป็นตัวเอง เขาก็ไม่อยากจะยอมอีกแล้ว ความรู้เรื่องสัตว์ พืช
และยาของเขาเคยเป็นที่ต้องใจอาจารย์หมอกฤษณะ “เคยมีค่า แต่วันนี้ต้องกลายมาเป็นสัตว์ทดลอง”

เขาเป็น...ตั้งแต่สองเดือนที่ถูกทำให้ลืมมันไปแล้ว อยากรู้เหลือเกินว่าตอนนั้นตนยินดีเล่นตามเกม
ของอาจารย์หรือเปล่า แล้วตอนนี้ ถ้าอยากจะเอาตัวรอดไปให้ได้จริงๆ บางทีเขาจะต้องไม่มัวลังเลอีก

“ผมจะผ่านมันไปให้ได้ อาจารย์คอยดูก็แล้วกัน...เพราะผู้ชนะเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์เลือกทางชีวิตของตัวเอง”

ในความมืด มือของวาริชคลำไปพบหนังสือไลฟ์ ออฟ พายที่ตัวเขาเองโยนไว้ข้างหมอน
ดีว่ามันยังอยู่เป็นเพื่อน ที่คั่นดอกไม้หอมๆนั้นยังเสียบอยู่กลางเล่ม ทำให้นึกถึงดาหวัน
ซึ่งเป็นคนให้หนังสือเล่มนี้มา เธอดูทั้งห้าวทั้งแข็ง แต่ก็คงมีแง่มุมอ่อนโยน ถึงได้เลือก
ที่คั่นหนังสือจุ๋มจิ๋มน่ารักแบบนี้ก็เป็น

วาริชวางมือบนปกหนังสือเล่มไม่หนานั้น คล้ายจะขอพลังจากมันให้ถ่ายทอดมา
ชายหนุ่มถอนใจ ปลุกปลอบตัวเองอีกครั้งในความมืดอันเยียบเย็น “หนังสือที่เล่าเรื่อง
คนที่ต้องเผชิญหน้ากับเสือ บางทีสัตว์ร้ายอาจเป็นตัวแทนของความกลัวในจิตใจเราเอง
แต่สำหรับจิตใจที่โดดเดี่ยว ก็อยากจะหวังเหลือเกินให้มีเสือตัวนั้นอยู่ อย่างน้อยก็ให้มันอยู่...เป็นเพื่อนกัน”

กลิ่นดอกไม้หอม หอมเหมือนกับกลิ่นของอดีต และในเวลานั้นเองชายหนุ่มก็ย้อนนึกไปถึงสัตว์เลี้ยง
ตัวแรกและเป็นตัวเดียวที่มีความสำคัญกับเขา ก่อนที่ความฝันจะโรยตัวครอบคลุมลงมา
เสียงเห่าทักทายยังแจ่มชัด เหมือนกับมันดีใจที่เห็นเขาอีกครั้ง หลังจากไม่ได้พบเจอกัน
มานานเหลือเกินแล้ว

‘บ๊อบบี้’ วาริชร้องเรียกออกไป

ร่างกายของเขาหดลง คล้ายจะกลับไปเป็นเด็กหนุ่มอีกครั้ง และบ๊อบบี้ก็คือชื่อโหลๆ
ของหมาอัลเซเชี่ยนที่เขารัก เขาก็แค่ตั้งชื่อมันตามชื่อหมาพระเอกในหนังฝรั่งที่ชอบดู
พอเวลาผ่านมานานก็ชักจำไม่ได้แล้วว่าเป็นหนังเรื่องไหน เพราะมีหลายบ๊อบบี้เสียเหลือเกิน

วาริชเพิ่งขึ้นมัธยมปลาย สมัยนั้นเขาชอบที่จะเอาตำราแพทย์เกี่ยวกับสรีระร่างกายมนุษย์
ของบิดามารดาบุญธรรมที่เป็นหมอมานั่งอ่านประสาคนใฝ่รู้เกินวัย สงสัยอะไรก็ถาม
เพราะพื้นนิสัยชื่นชอบการแข่งขัน ไม่ว่ากีฬาที่ต้องใช้กำลัง หรือว่าด้านวิชาการที่ใช้สมอง
เขาไม่เคยจะยอมแพ้ใครสักที

วันหนึ่ง พ่อมานั่งลงยังโซฟาใกล้ๆเด็กหนุ่มที่อ่านหนังสืออยู่ เวลานั้นพ่อก็ตัวเล็กกว่าเขาแล้วด้วยซ้ำไป

‘ไง เจ้าริช เลือกได้หรือยังว่าจะเอาหมาพันธุ์อะไร ที่อยากให้พ่อแม่ซื้อให้วันเกิด
อย่าลืมซะล่ะว่าต้องดูแลเอง ไม่ทิ้งเป็นภาระของคนในบ้าน’

ในตอนนั้นเขาอดไม่ได้ที่จะคิดตามประสาคนหัวต่อต้านมองชีวิตเป็นตลกร้าย
ว่าแค่ตัวเขาที่ถูกเอามาเลี้ยงเหมือนกันก็คงจะเป็นภาระมากพอแล้วสินะ แต่เด็กหนุ่มก็ตอบออกไปยิ้มๆ

‘ตัวใหญ่ๆอย่างผมจะขอหมาพันธุ์อะไรดีล่ะครับ ขืนเอาตัวเล็กๆมา ผมเหวี่ยงขาไปโดนมัน
ไม่ตั้งใจทีเดียวก็ตายละ ขอที่ขนาดสูสีกันหน่อยเถอะ’

พ่อแม่บุญธรรมของเขาเป็นสามีภรรยาชาวไทยร่างเล็ก วาริชตอนโตเป็นหนุ่มใหญ่กอดทีเดียว
ก็รวบทั้งสองไว้ในอ้อมแขนได้สบาย เพียงแต่ว่าตอนเด็กๆเขายังเก๊ก ไม่อยากจะ
แสดงความรักกับคนอื่นเอาเสียเลย

เช้าวันเกิดปีที่สิบห้า กล่องของขวัญแบบมีฝาเปิดได้เลยโดยไม่ต้องแกะห่อวางอยู่
แม่แกล้งหลอกว่าซื้ออย่างอื่นมาให้แทน แต่วาริชไม่ได้เชื่อตาม รู้ก็รู้ว่าเขาไม่ถูกหลอกง่ายๆ
แม่ก็ยังพยายามจะแกล้ง ตอนนั้นเขามองว่าเพราะอีกฝ่ายไม่ใช่แม่แท้ๆถึงได้ไม่รู้จักเขาดีพอเสียที
พอมาคิดย้อนไปแล้วก็รู้ว่าเป็นตนเองที่คิดคับแคบจุกจิก แม่ก็แค่อยากจะหยอกเล่นเท่านั้น

เขาคลานเข้าไปหากล่องของขวัญเหมือนกับเด็กชายตัวโคร่งได้พบกรุสมบัติ เมื่อเขี่ยฝาทิ้งไป
เจ้าสิ่งที่ขยับตัวขลุกขลักอยู่ภายในกล่องขนาดใหญ่ก็โผเกาะขอบกล่องด้วยขาหน้า โผล่หูแหลมปุย
ขึ้นมาเป็นอันดับแรก วาริชตั้งชื่อมันว่า บ๊อบบี้...ลูกหมาอัลเซเชี่ยนสีออกเข้มแต่ช่วงหน้าสีสว่าง
หูแหลมหนาเป็นปุยชวนให้บี้เล่นสนุกมือ แล้วเขาก็รักมัน

มีใครสักคนบอกเขา บางทีคนจิตใจแข็งกระด้างก็ต้องการขนนุ่มๆของตัวอะไรบางอย่างมาช่วยให้
ใจอ่อนโยนลงบ้าง แล้วมันก็ช่วยได้จริงๆ ไม่เพียงแค่นั้น ลูกหมาตัวนุ่มฟูที่โตไวอย่างมันยังทำให้เขา
สนิทกับพ่อแม่มากขึ้น และได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่เราเลี้ยงดูฟูมฟักมาย่อมมีความหมาย ไม่ว่าจะเป็น
เลือดเนื้อเชื้อไข หรือเป็นชีวิตที่เลือกแล้วว่าอยากให้มาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน

จนวันที่บ๊อบบี้ตาย...
มันเพิ่งอายุได้สองขวบ เวลานั้นวาริชพยายามใช้พลังจิตที่เขามีช่วยมันเต็มที่
พลังในการรักษาซึ่งเขายังใช้ได้ไม่ดีเท่าปัจจุบัน แถมบ๊อบบี้ก็ป่วยเป็นโรคติดเชื้อ
แม้จะเยียวยาส่วนที่สึกหรอในตัวมันเท่าไร แต่เชื้อโรคก็ทำลายร่างกายมันลงอีก
ได้แต่ชะลอให้ความตายมาถึงมันช้าลง ได้ดูมันทรมานอยู่นาน
จนในที่สุด พ่อแม่ต้องบอกให้เขาวางร่างของบ๊อบบี้ลง...เพื่อปลดปล่อยมันไป

‘พ่อกับแม่เป็นหมอ ชินกับความตายอยู่แล้ว จะมาเข้าใจอะไร!’

‘พูดบ้าๆน่าริช’ ตอนนั้นจำได้ว่าพ่อดุเขา ซึ่งเป็นเรื่องนานๆครั้งสำหรับผู้ชายตัวเล็กอารมณ์ดีอย่างนั้น
‘เพราะเป็นหมอถึงได้เข้าใจ ตายเป็นเรื่องธรรมชาติ แล้วก็ควรเข้าใจว่าชีวิตในมือเราน่ะ
เมื่อไหร่ควรยื้อไว้ เมื่อไหร่ควรจะปล่อยไป’

เขาจำคำพูดนั้นได้แม่นยำ ความตายของบ๊อบบี้ทำให้เขาเลือกเป็นสัตวแพทย์
แต่สิ่งที่วาริชทำแทบจะเป็นตรงข้ามกับที่พ่อบอก แม้เขาจะไม่รักสัตว์ตัวไหนอย่างบ๊อบบี้อีก
เขาก็ทนเห็นพวกมันทรมานไม่ได้ นั่นจะทำให้เขานึกถึงจุดจบอันทุรนทุรายของสัตว์เลี้ยงที่ตายไป
จนต้องชิงจบชีวิตพวกมันด้วยมือตนก่อนจะไปถึงจุดนั้น และสำหรับชีวิตมากมายที่เขานำมาทดลอง
วาริชก็บอกตัวเองว่าความรู้ที่ได้จะนำไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าของทั้งคนและสัตว์ในอนาคต

‘จะไม่มีโรคที่รักษาไม่ได้ ไม่มีใครต้องทรมานอีก’ เขาบอกตัวเองว่าทางเลือกของเขาถูก

แล้วตอนนี้เขากลายเป็นตัวอะไร ถูกขังไว้โดยไม่รู้จุดหมายปลายทางชีวิต ไม่ต่างอะไรกับ
คนเรือแตกกลางสมุทรในหนังสือเล่มนั้น...ถูกมือของพระเจ้าปล่อยทิ้งไว้ตามลำพังกับเสือ
ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะรอด มีแต่ต้องทำทุกวิถีทางให้ตะกายพ้นจากมหาสมุทรแห่งความทรมานนี้ไปเท่านั้น



------
อย่าลืมเล่นเกมชิงเล่ม เงารักสีน้ำเงิน
โดยเซิชหาอสิตาใจเฟซบุค

อ่านแล้วชอบช่วยกดไลค์ให้ด้วยนะคะ //เต้นส่าย



อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.ย. 2556, 13:09:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.ย. 2556, 13:12:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1316





<< ความทรงจำที่ ๙ กรงดักแด้(จบบท) + ยังเล่นเกมชิงนิยายเรื่องนี้ในเฟซบุ๊คได้อยู่นะคะ   ความทรงจำที่ ๑๐ ความลับของดอกบัว(...ต่อ) + ยังเล่นเกมชิงนิยายเรื่องนี้ในเฟซบุ๊คได้อยู่ รีบกันหน่อยนะคะ ใกล้หมดเขตแล้ว >>
อสิตา 20 ก.ย. 2556, 13:11:27 น.
เจ็บตา ขอตอบเฉพาะเม้นต์ที่จำได้แล้วกันนะคะ
คุณเรือใบ - สนุกขนาดนั้นเลย ขอบคุณนะคะ เลิฟๆ
คุณสุขุมวิท66 - เห็นที่ไปเล่นเกมในเฟซบุคอสิแล้วค่ะ


ภาวิน 20 ก.ย. 2556, 13:44:27 น.
สมน้ำหน้าด็อกเตอร์กฤษณะ ถูกมีดเฉือนปากสักที แต่ไหงหมอวาริชดันไปฝันถึงเจ้าบ๊อบบี้ซะล่ะ


ดังปัณณ์ 20 ก.ย. 2556, 15:13:59 น.
เอาแระ หมอหมา เอ๊ย หมอริชของเก๊าก็มา เปนไรค้าเนี่ย คุณแป้งเจ็บตา เอ้าพักเยอะแล้วกันค่ะ จะได้หายไวๆ เอ๊ะ หรือดอกไม้เมื่อวันก่อนแยงตา ไม่เปนรายยยย เดี๋ยวหนอนไปแทะให้ค้า 555+


พันธุ์แตงกวา 20 ก.ย. 2556, 17:27:04 น.
หายเร็วๆนะคะไรท์เตอร์ อุบาทก์ความคิดตากฤษณะที่สุดเลย เอ... วันนี้พ่อครามไม่มา เดี๋ยวเจ้ถอดร่างไปหาดีกว่า ว่าทำอะไรอยู่(ไปแต่หัวกับไส้)


goldensun 20 ก.ย. 2556, 18:51:09 น.
ตกลงดาหวันมีพลังอะไรคะ
หมอริชชุบชีวิตได้ โว้ว สายชลที่ถูกปาดคอนี่เอง ศพที่ว่า ฟื้นแล้วมีบทบาทต่อรึเปล่า
เริ่มเข้าใจความรู้สึกของสัตว์ทดลองแล้วสิ จะถือว่าเป็นประโยชน์ของการทดลองที่เปิดมุมมองชีวิตให้รึเปล่า


นักอ่านเหนียวหนึบ 20 ก.ย. 2556, 20:49:47 น.
หายไวๆ นะจ้ะไรเตอร์ เอ..... ที่งานต้องมีอะไรดีๆ ให้ดูแน่เลย 555


Sukhumvit66 20 ก.ย. 2556, 21:59:38 น.
ฟื้นมาก็เป็นซอมบี้ซินะ อึ๊ย น่ากลัว



Ps.ไรเตอร์หายไวไวนะคะ พักสายตาเยอะ ๆ จะได้หายเร็ว เร็ว


Chii 20 ก.ย. 2556, 22:00:11 น.
พระเอกของเค้าล่ะ? หายไปไหน
เอาแต่ตัวรอง ๆ มาวิ่งไปมา

//พี่ครามของเค้าไปไหน ๆๆๆๆ


Barby 23 ก.ย. 2556, 11:00:00 น.
แล้วคนอื่นๆจะทดลองเกี่ยวกับอะไรอ่ะ


Zephyr 23 ก.ย. 2556, 23:48:46 น.
เอิ่ม ตอนชุบชีวิตนี่หยะแหยงมากอ่ะ อี๊ๆๆๆๆ คิดภาพตามแล้ว....... อึ้ยยยย ขนลุก
มีอดีตฝังใจนี่เอง เลยดูเหมือนมีบางสิ่งอยู่ตลอดเวลา
สายชลที่มีสัญญาณชีพตื้ดๆๆๆกลับมา คงไม่โผล่มาเป็นซอมบี้หรอกน้าาาาาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account